inputs
stringlengths
30
4.09k
targets
stringlengths
1
2.05k
language
stringclasses
1 value
split
stringclasses
3 values
template
stringclasses
36 values
dataset
stringclasses
4 values
config
stringclasses
2 values
I wonder ควอนตัม คืออะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: กลศาสตร์ควอนตัม Article: กลศาสตร์ควอนตัม (English: quantum mechanics) เป็นสาขาหนึ่งในทฤษฎีรากฐานของฟิสิกส์ ที่มีความสามารถในการอธิบายผลการทดลองต่างๆ และถูกใช้แทนที่กลศาสตร์นิวตัน (หรือกลศาสตร์ดั้งเดิม) และ กลศาสตร์ไฟฟ้าของแม็กซ์เวลล์ (หรือทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า) ซึ่งกลศาสตร์ดั้งเดิมเหล่านี้ไม่สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ในวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าอะตอม แต่กลศาสตร์ควอนตัมนั้นสามารถคำนวณได้แม่นยำมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขนาดของวัตถุที่สนใจนั้นเล็กถึงขนาดอะตอม จึงกล่าวได้ว่ากลศาสตร์ควอนตัมนั้นเป็นรากฐานเบื้องต้นของฟิสิกส์ที่มีความสำคัญมากกว่ากลศาสตร์นิวตันและกลศาสตร์ไฟฟ้าของแม็กซ์เวลล์ หรือใกล้เคียงกับความจริงมากกว่านั่นเอง กลศาสตร์ควอนตัมเริ่มในปี พ.ศ. 2443 เมื่อ มักซ์ พลังค์ ตีพิมพ์ทฤษฎีที่อธิบายถึงการปล่อยสเปกตรัมออกจากวัตถุดำ ซึ่ง 18 ปีต่อมา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ข้อแตกต่างของกลศาสตร์ดั้งเดิมและกลศาสตร์ควอนตัม กลายเป็นเรื่องประหลาด จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2469 แวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก และ แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ สามารถอธิบายทฤษฎีดังกล่าวทางคณิตศาสตร์ได้ สำหรับความเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎีทางฟิสิกส์อื่นๆ นั้น หากรวมสัมพัทธภาพพิเศษลงในกลศาสตร์ควอนตัม จะเรียกว่า พลศาสตร์ไฟฟ้าควอนตัม หรือทฤษฎีสนามควอนตัม ในปัจจุบัน ถือได้ว่า กลศาสตร์ควอนตัม และ สัมพัทธภาพทั่วไป เป็นเสาหลักของฟิสิกส์ยุคใหม่ ซึ่งยังไม่มีผู้ใดสามารถรวมสองทฤษฎีนี้เข้าด้วยกันได้ แต่ทฤษฎีสตริงอาจเป็นคำตอบสำหรับปัญหานี้ สูตรการแผ่รังสีของวัตถุดำ เมื่อวัตถุถูกทำให้ร้อน มันจะปล่อยรังสีความร้อน ในรูปแบบของการแผ่รังสีแม่เหล็กย่านอินฟราเรด (ใต้แดง) เมื่อวัตถุกลายเป็นวัตถุแดงร้อน (red-hot) เราจะสามารถเห็นความยาวคลื่นสีแดงได้ แต่รังสีความร้อนส่วนใหญ่ที่แผ่ออกมายังคงเป็นอินฟราเรด จนกระทั่งวัตถุร้อนเท่ากับพื้นผิวของดวงอาทิตย์ (ประมาณ 6000°C ที่ที่แสงส่วนใหญ่เป็นสีขาว) สูตรการแผ่รังสีของวัตถุดำ เป็นผลงานแรกๆ ของทฤษฎีควอนตัม ในกลางคืน วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2443 โดยพลังก์ มันมาจากรายงานของรูเบนส์ (Rubens) จากการค้นพบล่าสุดในการค้นหาอินฟราเรด คืนนั้นเองพลังก์เขียนสูตรลงบนโปสการ์ด รูเบนส์ ได้รับโปสการ์ดนั้นในเช้าวันถัดมา E = n h f {\displaystyle E=nhf\!} เมื่อ n = เลขควอนตัม E = พลังงาน f = ความถี่ single mode ที่แผ่รังสี วันที่มีการค้นพบควอนตัม จากการทดลอง พลังก์ค้นพบค่าของ h และ k...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ควอนตัมดอต ควอนตัมดอตสามารถเปล่งแสงมีกี่แสง?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ควอนตัมดอต Article: ควอนตัมดอต (English: quantum dot) เป็นวัสดุที่มีขนาดเล็กมากเพียงไม่กี่นาโนเมตร ประกอบขึ้นจากอนุภาคของสารกึ่งตัวนำ และเนื่องจากขนาดดังกล่าว วัสดุชนิดนี้จึงมีคุณสมบัติทางแสงและอิเล็กทรอนิกส์ที่แตกต่างจากสารที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ ควอนตัมดอตสามารถเปล่งแสงที่มีความถี่เฉพาะหากได้รับกระแสไฟฟ้า หรือ มีแสงมาตกกระทบ นอกจากนั้นการเปลี่ยนขนาด[1][2] รูปร่าง และชนิดของสสาร ยังสามารถเปลี่ยนความถี่ของแสงที่ออกมาได้อย่างแม่นยำ จึงทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถถูกนำไปประยุกตใช้ได้อย่างมากมาย ในภาษาของวิชาวัสดุศาสตร์ วัสดุซึ่งทำมาจากสารกึ่งตัวนำที่มีหน่วยเป็นนาโนเมตร จะจำกัดขอบเขตการกระจายของอิเล็กตรอนไว้อย่างเหนียวแน่น หรือ สร้างพื้นที่ที่อิเล็กตรอนไม่สามารถเข้าไปได้ (electron hole) ในบางครั้งควอนตัมดอตจะถูกเรียกว่า อะตอมเทียม ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่เน้นให้เห็นว่า ควอนตัมดอตเป็นวัตถุเดี่ยวซึ่งมีอิเล็กตรอนที่มีสถานะจำกัดขอบเขต และไม่ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับอะตอมหรือโมเลกุลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ[3][4] ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาวัสดุที่ มีโครงสร้างในระดับนาโนเมตรในทุกมิติ หรือ กล่าวอีกในหนึ่งคือ เทคโนโลยี ศูนย์ มิติ (Zero dimension nanotechnology) มีคุณสมบัติเป็นสารกึ่งตัวนำ บางครั้งก็ถูกเรียกว่า ผลึกนาโน (nanocrystals) ประกอบขึ้นจากธาตุ หมู่ สอง-หก (II-VI) , สาม-ห้า (III-V) , และ สี่-หก (IV-VI) ใน ตารางธาตุของเพอริออดิก (periodic table) วัสดุเหล่านี้ได้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิก เช่น วงจรในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น จุดเด่นของ ควอนตัมดอต คือ มีขนาดเล็กมาก โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 2-10 นาโนเมตร หรือ 10-50 อะตอม นอกจากนั้นการนำไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการกระตุ้นภายนอก เช่น ความต่างศักย์ และ ฟรักซ์ ของ โฟตอน (photon flux) หรือ จำนวนโฟตอนต่อเวลาต่อพื้นที่ เป็นต้น[5] ยกตัวอย่างเช่น แคดเมียมซีลีไนด์ (CdSe) โดยปกติ โลหะแคดเมียมเป็นตัวนำไฟฟ้า แต่ ซีลีเนียมไม่สามารถนำไฟฟ้าได้ แต่เมื่อนำโลหะสองชนิดมารวมกัน บวกกับการกระตุ้นจากภายนอก แคดเมียมซีลีไนด์ สามารถนำไฟฟ้าได้ แบนด์แกปของควอนตัมดอต เมื่อได้รับการกระตุ้นจากภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ สามารถทำให้อิเล็กตรอนกระโดดจากชั้นนอกสุดที่มีอิเล็กตรอนอยู่ หรือ เวเลนซ์ แบนด์ (valence band) ไปสู่ชั้นวางเปล่าที่เรียกว่า คอนดัคชัน แบนด์ (conduction band) ทำให้เกิดหลุมบวก (positively...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความกลัวในสมอง เกิดขึ้นที่สมองส่วนไหน?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: การประมวลผลให้เป็นความกลัวในสมอง Article: การประมวลผลให้เป็นความกลัวในสมอง (English: Fear processing in the brain) เป็นกระบวนการที่สมองแปลผลจากสิ่งเร้า ไปเป็นพฤติกรรมในสัตว์โดยเป็น "การตอบสนองประกอบด้วยความกลัว (fear response)" มีการทดลองที่ได้ทำแล้วหลายอย่างเพื่อจะสืบหาว่า สมองแปลผลจากสิ่งเร้าได้อย่างไร และสัตว์มี การตอบสนองประกอบด้วยความกลัว</i>ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร จริง ๆ แล้ว ความรู้สึกหวาดกลัว เป็นสิ่งที่กำหนดไว้กระทั่งในยีนของมนุษย์ เพราะความกลัวนั้นจำเป็นต่อการมีชีวิตรอดอยู่ได้ของแต่ละคน นอกจากนั้นแล้ว นักวิจัยยังพบว่า ความกลัวก่อร่างสร้างตัวอย่างไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจ และเขตสมองชื่อว่า อะมิกดะลา มีบทบาทในการปรับสภาวะให้เกิดความกลัว (fear conditioning) ถ้าเข้าใจว่า ความหวาดกลัวเกิดขึ้นได้อย่างไรในบุคคลหนึ่ง ๆ ก็อาจสามารถที่จะรักษาความผิดปกติทางจิตประเภทต่าง ๆ เช่น ความวิตกกังวล โรคกลัว และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจได้ วิถีประสาทแห่งความกลัว ในกระบวนการปรับสภาวะให้เกิดความกลัว (fear conditioning) วงจรประสาทที่เกี่ยวข้องก็คือ เขตรับความรู้สึกต่าง ๆ ที่แปลผลของตัวกระตุ้นทั้งมีเงื่อนไข (conditioned stimuli[1]) และทั้งไม่มีเงื่อนไข (unconditioned stimuli[1]) บางส่วนของอะมิกดะลาที่มีความเปลี่ยนแปลงเมื่อผ่านการเรียนรู้ และ เขตที่ให้เกิดการแสดงออกในการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขบางอย่าง เนื่องจากว่า วิถีประสาทเหล่านี้ ไปรวมตัวลงที่อะมิกดะลาด้านข้าง และเพราะว่า กระบวน<b data-parsoid='{"dsr":[2224,2264,3,3]}'>การเสริมกำลังการส่งสัญญาณในระยะยาว (long-term potentiation, ตัวย่อ LTP[2]) และสภาพพลาสติกของไซแนปส์ที่เพิ่มระดับการตอบสนองของนิวรอนที่อะมิกดะลาด้านข้างต่อตัวกระตุ้นมีเงื่อนไข เกิดขึ้นที่อะมิกดะลาด้านข้าง ดังนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับตัวกระตุ้นมีเงื่อนไขจึงสามารถจะเดินทางไปจากอะมิกดะลาด้านข้าง ไปถึงนิวเคลียสกลางของอะมิกดะลา คือ ส่วนฐาน (basal) และ Intercalated cells[3] ของอะมิกดะลาเชื่อมอะมิกดะลาส่วนข้างไปยังนิวเคลียสกลางทั้งโดยตรงและโดยอ้อม วิถีประสาทจากนิวเคลียสกลางของอะมิกดะลาที่ดำเนินไปยังเขตต่อไปนั่นแหละ เป็นส่วนในสมองที่ควบคุมพฤติกรรมเพื่อป้องกันตน (เช่นการมีตัวแข็ง) ควบคุมการตอบสนองของระบบประสาทอัตโนวัติ (autonomic nervous system) และควบคุมการตอบสนองของระบบต่อมไร้ท่อ ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความกลัวในสมอง เกิดจากการหลั่งสารใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: การประมวลผลให้เป็นความกลัวในสมอง Article: การประมวลผลให้เป็นความกลัวในสมอง (English: Fear processing in the brain) เป็นกระบวนการที่สมองแปลผลจากสิ่งเร้า ไปเป็นพฤติกรรมในสัตว์โดยเป็น "การตอบสนองประกอบด้วยความกลัว (fear response)" มีการทดลองที่ได้ทำแล้วหลายอย่างเพื่อจะสืบหาว่า สมองแปลผลจากสิ่งเร้าได้อย่างไร และสัตว์มี การตอบสนองประกอบด้วยความกลัว</i>ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร จริง ๆ แล้ว ความรู้สึกหวาดกลัว เป็นสิ่งที่กำหนดไว้กระทั่งในยีนของมนุษย์ เพราะความกลัวนั้นจำเป็นต่อการมีชีวิตรอดอยู่ได้ของแต่ละคน นอกจากนั้นแล้ว นักวิจัยยังพบว่า ความกลัวก่อร่างสร้างตัวอย่างไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจ และเขตสมองชื่อว่า อะมิกดะลา มีบทบาทในการปรับสภาวะให้เกิดความกลัว (fear conditioning) ถ้าเข้าใจว่า ความหวาดกลัวเกิดขึ้นได้อย่างไรในบุคคลหนึ่ง ๆ ก็อาจสามารถที่จะรักษาความผิดปกติทางจิตประเภทต่าง ๆ เช่น ความวิตกกังวล โรคกลัว และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจได้ วิถีประสาทแห่งความกลัว ในกระบวนการปรับสภาวะให้เกิดความกลัว (fear conditioning) วงจรประสาทที่เกี่ยวข้องก็คือ เขตรับความรู้สึกต่าง ๆ ที่แปลผลของตัวกระตุ้นทั้งมีเงื่อนไข (conditioned stimuli[1]) และทั้งไม่มีเงื่อนไข (unconditioned stimuli[1]) บางส่วนของอะมิกดะลาที่มีความเปลี่ยนแปลงเมื่อผ่านการเรียนรู้ และ เขตที่ให้เกิดการแสดงออกในการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขบางอย่าง เนื่องจากว่า วิถีประสาทเหล่านี้ ไปรวมตัวลงที่อะมิกดะลาด้านข้าง และเพราะว่า กระบวน<b data-parsoid='{"dsr":[2224,2264,3,3]}'>การเสริมกำลังการส่งสัญญาณในระยะยาว (long-term potentiation, ตัวย่อ LTP[2]) และสภาพพลาสติกของไซแนปส์ที่เพิ่มระดับการตอบสนองของนิวรอนที่อะมิกดะลาด้านข้างต่อตัวกระตุ้นมีเงื่อนไข เกิดขึ้นที่อะมิกดะลาด้านข้าง ดังนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับตัวกระตุ้นมีเงื่อนไขจึงสามารถจะเดินทางไปจากอะมิกดะลาด้านข้าง ไปถึงนิวเคลียสกลางของอะมิกดะลา คือ ส่วนฐาน (basal) และ Intercalated cells[3] ของอะมิกดะลาเชื่อมอะมิกดะลาส่วนข้างไปยังนิวเคลียสกลางทั้งโดยตรงและโดยอ้อม วิถีประสาทจากนิวเคลียสกลางของอะมิกดะลาที่ดำเนินไปยังเขตต่อไปนั่นแหละ เป็นส่วนในสมองที่ควบคุมพฤติกรรมเพื่อป้องกันตน (เช่นการมีตัวแข็ง) ควบคุมการตอบสนองของระบบประสาทอัตโนวัติ (autonomic nervous system) และควบคุมการตอบสนองของระบบต่อมไร้ท่อ ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความกังวลสามารถส่งผลให้เกิดการอาเจียนได้หรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: โรควิตกกังวลไปทั่ว Article: โรควิตกกังวลไปทั่ว[1] (English: Generalized anxiety disorder ตัวย่อ GAD) หรือ<b data-parsoid='{"dsr":[483,507,3,3]}'>โรควิตกกังวลทั่วไป</b>เป็นโรควิตกกังวลอย่างหนึ่ง กำหนดโดยความกังวลที่เกินควร ควบคุมไม่ได้ และบ่อยครั้งไม่สมเหตุผล เป็นความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือกิจกรรมต่าง ๆ[2] ซึ่งมักจะขวางชีวิตประจำวัน เพราะคนไข้มักคิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้าย หรือกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น สุขภาพ การเงิน ความตาย ปัญหาครอบครัว ปัญหากับเพื่อน ปัญหากับคนอื่น หรือปัญหาการงาน[3][4] คนไข้มักจะมีอาการทางกายต่าง ๆ รวมทั้ง ความล้า อยู่ไม่สุข ปวดหัว คลื่นไส้ มือเท้าชา กล้ามเนื้อเกร็ง ปวดกล้ามเนื้อ กลืนไม่ลง มีกรดในกระเพาะมาก ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย หายใจไม่ออก ไม่มีสมาธิ สั่น กล้ามเนื้อกระตุก หงุดหงิด กายใจไม่สงบ นอนไม่หลับ หน้าหรือตัวร้อน (hot flashes) เป็นผื่น และไม่สามารถควบคุมความกังวลได้[5] อาการเหล่านี้ต้องสม่ำเสมอและคงยืนอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อที่จะวินิจฉัยว่าเป็น GAD[2][3] ในแต่ละปี ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันและยุโรปประมาณ 2% จะเป็น GAD[6][7] โดยหญิงเป็นโรค 2 เท่าของชาย โรคจะสามัญในบุคคลที่มีประวัติเสพยาเสพติดหรือมีประวัติโรคในครอบครัว[8] เมื่อโรคเกิดขึ้นแล้ว อาจจะกลายเป็นอาการเรื้อรัง แต่สามารถบริหารหรือกำจัดได้ถ้ารักษาอย่างถูกต้อง[9] แบบวัดมาตรฐานเช่น Generalized Anxiety Disorder 7 (GAD-7) สามารถใช้ประเมินความรุนแรงของ GAD[10] GAD เป็นเหตุพิการที่สามัญในที่ทำงานมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา[11] เหตุ กรรมพันธุ์ ความแปรปรวนของโรคประมาณ 1/3 มีเหตุจากยีน[12] บุคคลที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับ GAD มีโอกาสสูงกว่าที่จะเกิดโรค โดยเฉพาะเมื่อตอบสนองต่อตัวก่อความเครียดในชีวิต[13] เกิดจากสาร การใช้ยากลุ่ม benzodiazepines ในระยะยาวสามารถทำให้โรคแย่ลง[14][15] และมีหลักฐานด้วยว่าการลด benzodiazepines สามารถทำให้อาการวิตกกังวลดีขึ้น[16] โดยนัยเดียวกัน การดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ เป็นต้น) ระยะยาวก็สัมพันธ์กับโรควิตกกังวล[17] และมีหลักฐานว่า การอดเหล้าในระยะยาวอาจกำจัดอาการวิตกังวลโดยสิ้นเชิง[18] แต่ว่า อาจจะใช้เวลาถึงสองปีที่อาการจะกลับไปสู่ระดับปกติ (ของบุคคล) ในประมาณ 1/4 ที่เลิกสุรา[19] ในงานศึกษาระหว่างปี 2531-2533 โรคในคนไข้ประมาณครึ่งหนึ่งที่หาหมอคลินิกสุขภาพจิตในโรงพยาบาลประเทศอังกฤษ สำหรับโรควิตกกังวลรวมทั้งโรคตื่นตระหนก...
No
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความคิดเป็นกระบวนการของสมองหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: สมอง Article: สมอง คืออวัยวะสำคัญในสัตว์หลายชนิดตามลักษณะทางกายวิภาค หรือที่เรียกว่า encephalon จัดว่าเป็นส่วนกลางของระบบประสาท คำว่า สมอง นั้นส่วนใหญ่จะเรียกระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์มีกระดูกสันหลัง คำนี้บางทีก็ใช้เรียกอวัยวะในระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกด้วย สมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และภาวะธำรงดุล (homeostasis) เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรู้ (cognition) อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว (motor learning) และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ สมองประกอบด้วยเซลล์สองชนิด คือ เซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เกลียมีหน้าที่ในการดูแลและปกป้องนิวรอน นิวรอนหรือเซลล์ประสาทเป็นเซลล์หลักที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า ศักยะงาน (action potential) การติดต่อระหว่างนิวรอนนั้นเกิดขึ้นได้โดยการหลั่งของสารเคมีชนิดต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ข้ามบริเวณระหว่างนิวรอนสองตัวที่เรียกว่า ไซแนปส์ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลงต่าง ๆ ก็มีนิวรอนอยู่นับล้านในสมอง สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่มักจะมีนิวรอนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านตัวในสมอง สมองของมนุษย์นั้นมีความพิเศษกว่าสัตว์ตรงที่ว่ามีความซับซ้อนและใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมนุษย์ ส่วนประกอบ ระบบประสาทแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ระบบประสาทส่วนกลาง 1.1.สมอง (Brain)บรรจุอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ สมองส่วนหน้า(Forebrain) มีขนาดใหญ่ที่สุด มีรอยหยักเป็นจำนวนมาก สามารถแบ่งออกได้อีก ดังนี้ ออลเฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) - อยู่ด้านหน้าสุด ทำหน้าที่ - ดมกลิ่น (ปลา,กบ และสัตว์เลื้อยคลานสมองส่วนนี้จะมีขนาดใหญ่) ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมออลแฟกทอรีบัลบ์จะไม่เจริญ แต่จะดมกลิ่นได้ดีโดยอาศัยเยื่อบุในโพรงจมูก ซีรีบรัม (Cerebrum) - มีขนาดใหญ่สุด มีรอยหยักเป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ความสามารถต่างๆ เป็นศูนย์การทำงานของกล้ามเนื้อ การพูด การมองเห็น การดมกลิ่น การชิมรส แบ่งเป็นสองซีก แต่ละซีกเรียกว่า Cerebral hemisphere และแต่ละซีกจะแบ่งได้เป็น 4 พูดังนี้ Frontal lobe ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว การออกเสียง ความคิด ความจำ สติปัญญา บุคลิก ความรู้สึก พื้นอารมณ์ Temporal lobe ทำหน้าที่ควบคุมการได้ยิน...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความจำมีกี่ประเภท?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความจำ Article: ในจิตวิทยา ความจำ (English: memory) เป็นกระบวนการที่ข้อมูลต่าง ๆ รับการเข้ารหัส การเก็บไว้ และการค้นคืน เนื่องจากว่า ในระยะแรกนี้ ข้อมูลจากโลกภายนอกมากระทบกับประสาทสัมผัสต่าง ๆ (มีตาเป็นต้น) ในรูปแบบของสิ่งเร้าเชิงเคมีหรือเชิงกายภาพ จึงต้องมีการเปลี่ยนข้อมูลไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็คือการเข้ารหัส เพื่อที่จะบันทึกข้อมูลไว้ในความจำได้ ระยะที่สองเป็นการเก็บข้อมูลนั้นไว้ ในสภาวะที่สามารถจะรักษาไว้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ส่วนระยะสุดท้ายเป็นการค้นคืนข้อมูลที่ได้เก็บเอาไว้ ซึ่งก็คือการสืบหาข้อมูลนั้นที่นำไปสู่การสำนึกรู้ ให้สังเกตว่า การค้นคืนความจำบางอย่างไม่ต้องอาศัยความพยายามภายใต้อำนาจจิตใจ จากมุมมองเกี่ยวกับกระบวนการประมวลข้อมูล มีระยะ 3 ระยะในการสร้างและค้นคืนความจำ คือ การเข้ารหัส (encoding) เป็นการรับ การแปลผล และการรวบรวมข้อมูลที่ได้รับ การเก็บ (storage) เป็นการบันทึกข้อมูลที่ได้เข้ารหัสแล้วอย่างถาวร การค้นคืน (retrieval หรือ recollection) หรือ การระลึกถึง เป็นการระลึกถึงข้อมูลที่ได้บันทึกไว้แล้วโดยเป็นกระบวนการตอบสนองต่อตัวช่วย (cue) เพื่อใช้ในพฤติกรรมหรือกิจกรรมอะไรบางอย่าง การสูญเสียความจำเรียกว่าเป็นความหลงลืม หรือถ้าเป็นโรคทางการแพทย์ ก็จะเรียกว่า ภาวะเสียความจำ[1] (amnesia) ความจำอาศัยประสาทสัมผัส Sensory memory (ความจำอาศัยความรู้สึก) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึกที่เก็บไว้น้อยกว่า 1 วินาทีหลังจากเกิดการรับรู้สิ่งที่มากระทบประสาทสัมผัส ความสามารถในการเห็นวัตถุหนึ่งแล้วจำได้ว่าเหมือนกับอะไร โดยดู (หรือจำ) ใช้เวลาเพียงไม่ถึงวินาที เป็นตัวอย่างของความจำอาศัยความรู้สึก เป็นความจำนอกเหนือการควบคุมทางประชานและเป็นการตอบสนองอัตโนมัติ แม้ว่าจะมีการแสดงให้ดูเพียงระยะสั้น ๆ ผู้ร่วมการทดลองมักจะรายงานว่าเหมือนจะ "เห็น" รายละเอียดมากกว่าที่จะรายงานได้จริง ๆ (เพราะกว่าจะบอกสิ่งที่เห็นหมด ก็ลืมไปก่อนแล้ว) นักจิตวิทยาเชิงประชานชาวอเมริกัน ศ. จอร์จ สเปอร์ลิง ได้ทำงานทดลองชุดแรก ๆ เพื่อตรวจสอบความจำประเภทนี้ในปี ค.ศ. 1963[2] โดยใชัรูปแบบ "partial report paradigm" (การทดลองแบบรายงานเป็นบางส่วน) คือ มีการแสดงตารางมีอักษร 12 ตัว จัดเป็น 3 แถว 4 คอลัมน์ให้ผู้ร่วมการทดลองดู หลังจากให้ดูเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็จะเล่นเสียงสูง เสียงกลาง หรือเสียงต่ำเพื่อบอกผู้ร่วมการทดลองว่า ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความจำเชิงกระบวนวิธี มีในวิชาคณิตหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คณิตศาสตร์ Article: คณิตศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่มุ่งค้นคว้าเกี่ยวกับโครงสร้างนามธรรมที่ถูกกำหนดขึ้นผ่านทางกลุ่มของสัจพจน์ซึ่งมีการให้เหตุผลที่แน่นอนโดยใช้ตรรกศาสตร์สัญลักษณ์ และสัญกรณ์คณิตศาสตร์ เรามักนิยามโดยทั่วไปว่าคณิตศาสตร์เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบและโครงสร้าง, การเปลี่ยนแปลง และปริภูมิ กล่าวคร่าว ๆ ได้ว่าคณิตศาสตร์นั้นสนใจ "รูปร่างและจำนวน" เนื่องจากคณิตศาสตร์มิได้สร้างความรู้ผ่านกระบวนการทดลอง บางคนจึงไม่จัดว่าคณิตศาสตร์เป็นสาขาของวิทยาศาสตร์ ในอดีตผู้คนจะใช้สิ่งของแทนจำนวนที่จะนับยิ่งนานเข้าจำนวนประชากรยิ่งมีมากขึ้น ทำให้ผู้คนเริ่มคิดที่จะประดิษฐ์ตัวเลขขึ้นมาแทนการนับที่ใช้สิ่งของนับแทนจากนั้นก็มีการบวก ลบคูณ และหาร จากนั้นก็ก่อให้เกิดคณิตศาสตร์ คำว่า "คณิตศาสตร์" (คำอ่าน: คะ-นิด-ตะ-สาด) มาจากคำว่า คณิต (การนับ หรือ คำนวณ) และ ศาสตร์ (ความรู้ หรือ การศึกษา) ซึ่งรวมกันมีความหมายโดยทั่วไปว่า การศึกษาเกี่ยวกับการคำนวณ หรือ วิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณ. คำนี้ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า mathematics มาจากคำภาษากรีก μάθημα (máthema) แปลว่า "วิทยาศาสตร์, ความรู้, และการเรียน" และคำว่า μαθηματικός (mathematikós) แปลว่า "รักที่จะเรียนรู้" ในอเมริกาเหนือนิยมย่อ mathematics ว่า math ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษนิยมย่อว่า maths ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ผ่านทางการวิจัยและการประยุกต์ใช้ คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมืออันหนึ่งของวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การคิดค้นทางคณิตศาสตร์ไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายอยู่ที่การนำไปใช้ทางวิทยาศาสตร์ (ดู คณิตศาสตร์บริสุทธิ์ และคณิตศาสตร์ประยุกต์) โครงสร้างต่าง ๆ ที่นักคณิตศาสตร์สนใจและพิจารณานั้น มักจะมีต้นกำเนิดจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะฟิสิกส์ และเศรษฐศาสตร์ ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในปัจจุบัน ยังเกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และทฤษฎีการสื่อสาร อีกด้วย เนื่องจากคณิตศาสตร์นั้นใช้ตรรกศาสตร์สัญลักษณ์และสัญกรณ์คณิตศาสตร์ ซึ่งทำให้กิจกรรมทุกอย่างกระทำผ่านทางขั้นตอนที่ชัดเจน เราจึงสามารถพิจารณาคณิตศาสตร์ว่า เป็นระบบภาษาที่เพิ่มความแม่นยำและชัดเจนให้กับภาษาธรรมชาติ ผ่านทางศัพท์และไวยากรณ์บางอย่าง สำหรับการอธิบายและศึกษาความสัมพันธ์ทั้งทางกายภาพและนามธรรม ความหมายของคณิตศาสตร์นั้นยังมีอีกหลายมุมมอง...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความจำเชิงกระบวนวิธี ใช้ในวิชาใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความจำชัดแจ้ง Article: "ความจำชัดแจ้ง"[1] (English: Explicit memory) หรือบางครั้งเรียกว่า "ความจำเชิงประกาศ"[2] (English: Declarative memory) เป็นประเภทหนึ่งของความจำระยะยาวสองอย่างในมนุษย์ ความจำชัดแจ้งหมายถึงความจำที่สามารถระลึกได้ใต้อำนาจจิตใจเช่นความจริงและความรู้ต่าง ๆ[3] ดังนั้น การระลึกถึงประสบการณ์ในอดีตหรือข้อมูลอื่น ๆ โดยตั้งใจและประกอบด้วยความรู้สึกตัวว่ากำลังระลึกถึงความจำ จึงเป็นการระลึกถึงความจำชัดแจ้ง[4]:1458 มนุษย์มีการจำได้แบบชัดแจ้งตลอดทั้งวัน เช่นจำเวลานัดได้ หรือจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายปีได้ ส่วนความจำที่คู่กันก็คือ "ความจำโดยปริยาย"[5] (implicit memory) หรือ "ความจำเชิงไม่ประกาศ" (non-declarative memory) หรือ "ความจำเชิงกระบวนวิธี"[6] (procedural memory)[4]:1446 ซึ่งหมายถึงความจำที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจเช่นทักษะต่าง ๆ (ตัวอย่างเช่น ทักษะในการขี่จักรยาน) การเข้าถึงความจำโดยปริยายไม่ประกอบด้วยความรู้สึกตัว ไม่ใช่เป็นการระลึกได้ด้วยความตั้งใจ ให้เทียบกับการระลึกถึงความจำชัดแจ้งซึ่งเป็นการระลึกได้พร้อมด้วยความรู้สึกตัว ตัวอย่างเช่น การระลึกถึงการหัดขับรถชั่วโมงหนึ่งได้เป็นตัวอย่างของการจำได้แบบชัดแจ้ง ส่วนทักษะการขับรถที่พัฒนาขึ้นเพราะการหัดขับรถนั้นเป็นตัวอย่างของการจำได้โดยปริยาย ส่วนความจำชัดแจ้งยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทอีก คือ ความจำอาศัยเหตุการณ์[7] (episodic memory) ซึ่งบันทึกประสบการณ์ส่วนตัวเฉพาะอย่าง ๆ ความจำอาศัยความหมาย (semantic memory) ซึ่งบันทึกข้อมูลความเป็นจริงต่าง ๆ[8] ประเภท มีความจำชัดแจ้งสองประเภทคือ ความจำอาศัยความหมาย และ ความจำอาศัยเหตุการณ์ "ความจำอาศัยความหมาย" (Semantic memories) เป็นความจำที่บันทึกความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงทั่ว ๆ ไปที่เป็นอิสระจากประสบการณ์ส่วนตัว เป็นความจำชัดแจ้งอย่างอื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่ความจำอาศัยเหตุการณ์ ตัวอย่างรวมทั้ง ประเภทอาหาร, เมืองหลวงของประเทศต่าง ๆ, เขตภูมิภาค, ความรู้ต่าง ๆ ทางภาษาเช่นคำศัพท์ที่รู้[8], ความรู้เกี่ยวกับเวลาและบุคคลในประวัติศาสตร์, ความสามารถในการจำเพื่อนและคนคุ้นเคยต่าง ๆ ได้ และบทเรียนในโรงเรียนเช่นคำศัพท์เฉพาะทางต่าง ๆ การอ่าน การเขียน และวิชาคณิต "ความจำอาศัยเหตุการณ์" (Episodic memories) เป็นความจำที่บันทึกข้อมูลที่ได้สังเกตไว้เชื่อมต่อกับเหตุการณ์หนึ่ง ๆ ในชีวิต ตัวอย่างของความจำชนิดนี้รวมทั้ง ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความจำโดยปริยายที่เราใช้ทุกวันอย่างนี้เรียกว่าอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความจำโดยปริยาย Article: ความจำโดยปริยาย[1] (English: Implicit memory) เป็นความจำประเภทหนึ่งที่ประสบการณ์ในอดีตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งโดยที่ไม่ต้องมีการระลึกรู้ใต้อำนาจจิตใจถึงประสบการณ์ในอดีตนั้น[2] หลักฐานว่ามีความจำโดยปริยายเห็นได้ในปรากฏการณ์ priming (การเตรียมการรับรู้) ซึ่งเป็นการวัดผู้รับการทดลองว่ามีทักษะในงานหนึ่ง ๆ ดีขึ้นเท่าไรเพราะการเตรียมตัวที่ให้กับผู้ทดลองโดยที่ไม่รู้ตัว[3][4] ความจำโดยปริยายสามารถนำไปสู่ปรากฏการณ์ความจริงเทียม (illusion-of-truth effect) ซึ่งแสดงว่า เรามักจะคิดว่าคำอ้างอิงหนึ่ง ๆ ว่าเป็นจริงถ้าเคยได้ยินมาก่อน ไม่ว่าคำนั้นจะตรงกับความจริงแค่ไหน[5] ในชีวิตประจำวัน เราพึ่งความจำโดยปริยายทุก ๆ วันในรูปแบบของความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural memory) ซึ่งเป็นรูปแบบของความจำที่ทำให้เราสามารถจำได้ว่า จะผูกเชือกรองเท้าอย่างไร หรือจะขี่จักรยานอย่างไร โดยไม่ต้องคิดถึงวิธีการทำกิจเหล่านั้น งานวิจัยเกี่ยวกับความจำโดยปริยายแสดงว่า ความจำนี้เกิดขึ้นผ่านกระบวนการทางจิตใจที่ต่างไปจากความจำชัดแจ้ง (explicit memory)[2] หลักฐานและงานวิจัยปัจจุบัน งานศึกษาในระดับสูงเกี่ยวกับความจำโดยปริยายพึ่งเกิดขึ้นภายใน 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา งานวิจัยเป็นจำนวนมากได้พุ่งความสนใจไปที่ปรากฏการณ์/ผลของความจำโดยปริยายที่เรียกว่า priming (การเตรียมการรับรู้)[2] งานวิจัยหลายงานยืนยันถึงความมีอยู่ของระบบความจำต่างหากซึ่งก็คือความจำโดยปริยาย ในการทดลองหนึ่ง ผู้ร่วมการทดลองฟังเพลงหลายเพลงแล้วตัดสินใจว่าคุ้นเคยกับเพลง ๆ หนึ่งหรือไม่ ผู้ร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งฟังเพลงพื้นบ้านอเมริกัน และอีกครึ่งหนึ่งฟังเพลงที่แต่งโดยใช้ทำนองของเพลงที่กลุ่มแรกได้ยินแต่ใช้เนื้อร้องที่แต่งใหม่ ผลแสดงว่า ผู้ร่วมการทดลองกลุ่มแรกมีโอกาสสูงกว่าที่จะรู้สึกว่าเพลงเหล่านั้นเป็นเพลงที่คุ้นเคย ทั้ง ๆ ที่ในกลุ่มทั้งสอง ทำนองเพลงต่างเหมือนกัน[6] งานวิจัยนี้แสดงว่า เราทำการเชื่อมต่อกันระหว่างความจำต่าง ๆ โดยปริยาย (คือไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำใต้อำนาจจิตใจ) และงานวิจัยเป็นจำนวนมากพุ่งความสนใจไปที่ ความจำเชิงสัมพันธ์ (associative memory) ซึ่งเป็นความจำที่เชื่อมสิ่งสองสิ่งเข้าด้วยกัน ส่วนงานวิจัยนี้แสดงว่า เราทำความเชื่อมโยง (โดยปริยาย) ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความจำโดยปริยายสามารถนำไปสู่ปรากฏการณ์อะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความจำโดยปริยาย Article: ความจำโดยปริยาย[1] (English: Implicit memory) เป็นความจำประเภทหนึ่งที่ประสบการณ์ในอดีตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งโดยที่ไม่ต้องมีการระลึกรู้ใต้อำนาจจิตใจถึงประสบการณ์ในอดีตนั้น[2] หลักฐานว่ามีความจำโดยปริยายเห็นได้ในปรากฏการณ์ priming (การเตรียมการรับรู้) ซึ่งเป็นการวัดผู้รับการทดลองว่ามีทักษะในงานหนึ่ง ๆ ดีขึ้นเท่าไรเพราะการเตรียมตัวที่ให้กับผู้ทดลองโดยที่ไม่รู้ตัว[3][4] ความจำโดยปริยายสามารถนำไปสู่ปรากฏการณ์ความจริงเทียม (illusion-of-truth effect) ซึ่งแสดงว่า เรามักจะคิดว่าคำอ้างอิงหนึ่ง ๆ ว่าเป็นจริงถ้าเคยได้ยินมาก่อน ไม่ว่าคำนั้นจะตรงกับความจริงแค่ไหน[5] ในชีวิตประจำวัน เราพึ่งความจำโดยปริยายทุก ๆ วันในรูปแบบของความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural memory) ซึ่งเป็นรูปแบบของความจำที่ทำให้เราสามารถจำได้ว่า จะผูกเชือกรองเท้าอย่างไร หรือจะขี่จักรยานอย่างไร โดยไม่ต้องคิดถึงวิธีการทำกิจเหล่านั้น งานวิจัยเกี่ยวกับความจำโดยปริยายแสดงว่า ความจำนี้เกิดขึ้นผ่านกระบวนการทางจิตใจที่ต่างไปจากความจำชัดแจ้ง (explicit memory)[2] หลักฐานและงานวิจัยปัจจุบัน งานศึกษาในระดับสูงเกี่ยวกับความจำโดยปริยายพึ่งเกิดขึ้นภายใน 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา งานวิจัยเป็นจำนวนมากได้พุ่งความสนใจไปที่ปรากฏการณ์/ผลของความจำโดยปริยายที่เรียกว่า priming (การเตรียมการรับรู้)[2] งานวิจัยหลายงานยืนยันถึงความมีอยู่ของระบบความจำต่างหากซึ่งก็คือความจำโดยปริยาย ในการทดลองหนึ่ง ผู้ร่วมการทดลองฟังเพลงหลายเพลงแล้วตัดสินใจว่าคุ้นเคยกับเพลง ๆ หนึ่งหรือไม่ ผู้ร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งฟังเพลงพื้นบ้านอเมริกัน และอีกครึ่งหนึ่งฟังเพลงที่แต่งโดยใช้ทำนองของเพลงที่กลุ่มแรกได้ยินแต่ใช้เนื้อร้องที่แต่งใหม่ ผลแสดงว่า ผู้ร่วมการทดลองกลุ่มแรกมีโอกาสสูงกว่าที่จะรู้สึกว่าเพลงเหล่านั้นเป็นเพลงที่คุ้นเคย ทั้ง ๆ ที่ในกลุ่มทั้งสอง ทำนองเพลงต่างเหมือนกัน[6] งานวิจัยนี้แสดงว่า เราทำการเชื่อมต่อกันระหว่างความจำต่าง ๆ โดยปริยาย (คือไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำใต้อำนาจจิตใจ) และงานวิจัยเป็นจำนวนมากพุ่งความสนใจไปที่ ความจำเชิงสัมพันธ์ (associative memory) ซึ่งเป็นความจำที่เชื่อมสิ่งสองสิ่งเข้าด้วยกัน ส่วนงานวิจัยนี้แสดงว่า เราทำความเชื่อมโยง (โดยปริยาย) ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความดันเลือด มีหน่วยวัดเป็นอะไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความดันเลือด Article: ความดันเลือด (English: blood pressure, ย่อ: BP) หรือเรียก ความดันเลือดแดง เป็นความดันที่เกิดจากเลือดหมุนเวียนกระทำต่อผนังหลอดเลือด และเป็นหนึ่งในอาการแสดงชีพที่สำคัญ คำว่า "ความดันเลือด" โดยไม่เจาะจงปกติหมายถึง ความดันเลือดแดงของการไหลเวียนเลือดทั่วกาย ระหว่างหัวใจเต้นแต่ละครั้ง ความดันเลือดแปรผันระหว่างความดันสูงสุด (ช่วงการบีบตัวของหัวใจ) และความดันต่ำสุด (ช่วงหัวใจคลายตัว) ความดันเลือดในการไหลเวียนเลือดเกิดจากการสูบของหัวใจเป็นหลัก ผลต่างของความดันเลือดเฉลี่ยเป็นผลให้เลือดไหลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในการไหลเวียนเลือด อัตราการไหลของเลือดเฉลี่ยขึ้นอยู่กับทั้งความดันเลือดและความต้านทานต่อการไหลของหลอดเลือด ความดันเลือดเฉลี่ยลดลงเมื่อเลือดไหลเวียนเคลื่อนห่างจากหัวใจผ่านหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดฝอย เนื่องจากการสูญเสียพลังงานกับความหนืด ความดันเลือดเฉลี่ยลดลงตลอดทั้งการไหลเวียนเลือด แม้ส่วนมากจะตกลงในหลอดเลือดแดงเล็กและหลอดเลือดแดงจิ๋ว (arteriole) ความโน้มถ่วงมีผลต่อความดันเลือดผ่านแรงอุทกสถิต (คือ ระหว่างยืน) และลิ้นในหลอดเลือดดำ การหายใจและการสูบจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อลายยังผลต่อความดันในหลอดเลือดดำ อ้างอิง ความดันโลหิต
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความดันเลือด มีหน่วยเป็นอะไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความดันเลือด Article: ความดันเลือด (English: blood pressure, ย่อ: BP) หรือเรียก ความดันเลือดแดง เป็นความดันที่เกิดจากเลือดหมุนเวียนกระทำต่อผนังหลอดเลือด และเป็นหนึ่งในอาการแสดงชีพที่สำคัญ คำว่า "ความดันเลือด" โดยไม่เจาะจงปกติหมายถึง ความดันเลือดแดงของการไหลเวียนเลือดทั่วกาย ระหว่างหัวใจเต้นแต่ละครั้ง ความดันเลือดแปรผันระหว่างความดันสูงสุด (ช่วงการบีบตัวของหัวใจ) และความดันต่ำสุด (ช่วงหัวใจคลายตัว) ความดันเลือดในการไหลเวียนเลือดเกิดจากการสูบของหัวใจเป็นหลัก ผลต่างของความดันเลือดเฉลี่ยเป็นผลให้เลือดไหลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในการไหลเวียนเลือด อัตราการไหลของเลือดเฉลี่ยขึ้นอยู่กับทั้งความดันเลือดและความต้านทานต่อการไหลของหลอดเลือด ความดันเลือดเฉลี่ยลดลงเมื่อเลือดไหลเวียนเคลื่อนห่างจากหัวใจผ่านหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดฝอย เนื่องจากการสูญเสียพลังงานกับความหนืด ความดันเลือดเฉลี่ยลดลงตลอดทั้งการไหลเวียนเลือด แม้ส่วนมากจะตกลงในหลอดเลือดแดงเล็กและหลอดเลือดแดงจิ๋ว (arteriole) ความโน้มถ่วงมีผลต่อความดันเลือดผ่านแรงอุทกสถิต (คือ ระหว่างยืน) และลิ้นในหลอดเลือดดำ การหายใจและการสูบจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อลายยังผลต่อความดันในหลอดเลือดดำ อ้างอิง ความดันโลหิต
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความดันเลือดวัดได้โดยเครื่องมือใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความดันเลือด Article: ความดันเลือด (English: blood pressure, ย่อ: BP) หรือเรียก ความดันเลือดแดง เป็นความดันที่เกิดจากเลือดหมุนเวียนกระทำต่อผนังหลอดเลือด และเป็นหนึ่งในอาการแสดงชีพที่สำคัญ คำว่า "ความดันเลือด" โดยไม่เจาะจงปกติหมายถึง ความดันเลือดแดงของการไหลเวียนเลือดทั่วกาย ระหว่างหัวใจเต้นแต่ละครั้ง ความดันเลือดแปรผันระหว่างความดันสูงสุด (ช่วงการบีบตัวของหัวใจ) และความดันต่ำสุด (ช่วงหัวใจคลายตัว) ความดันเลือดในการไหลเวียนเลือดเกิดจากการสูบของหัวใจเป็นหลัก ผลต่างของความดันเลือดเฉลี่ยเป็นผลให้เลือดไหลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในการไหลเวียนเลือด อัตราการไหลของเลือดเฉลี่ยขึ้นอยู่กับทั้งความดันเลือดและความต้านทานต่อการไหลของหลอดเลือด ความดันเลือดเฉลี่ยลดลงเมื่อเลือดไหลเวียนเคลื่อนห่างจากหัวใจผ่านหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดฝอย เนื่องจากการสูญเสียพลังงานกับความหนืด ความดันเลือดเฉลี่ยลดลงตลอดทั้งการไหลเวียนเลือด แม้ส่วนมากจะตกลงในหลอดเลือดแดงเล็กและหลอดเลือดแดงจิ๋ว (arteriole) ความโน้มถ่วงมีผลต่อความดันเลือดผ่านแรงอุทกสถิต (คือ ระหว่างยืน) และลิ้นในหลอดเลือดดำ การหายใจและการสูบจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อลายยังผลต่อความดันในหลอดเลือดดำ อ้างอิง ความดันโลหิต
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความดันโลหิตวัดได้ด้วยเครื่องมือใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: เครื่องมือวัด Article: เครื่องมือวัด (English: Measuring Instrument) เป็นอุปกรณ์สำหรับการวัด ปริมาณทางกายภาพ ในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ, การประกันคุณภาพ และ วิศวกรรม, การวัด เป็นกิจกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งปริมาณทางกายภาพของวัตถุและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง และทำการเปรียบเทียบปริมาณทางกายภาพเหล่านั้น มาตรฐานของวัตถุและเหตุการณ์ได้ถูกก่อตั้งขึ้นและถูกใช้เป็น หน่วยการวัด และกระบวนการของการวัดจะได้ผลออกมาเป็นตัวเลขหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังทำการวัดอยู่นั้นและหน่วยอ้างอิงของการวัด เครื่องมือวัดและวิธีการทดสอบอย่างเป็นทางการซึ่งเป็นตัวกำหนดการใช้เครื่องมือเป็นวิธีการที่จะบอกความสัมพันธ์ของตัวเลขเหล่านี้ เครื่องมือวัดทั้งหมดขึ้นอยู่กับปริมาณที่แปรได้ของความผิดพลาดของเครื่องมือวัดและความไม่แน่นอนในการวัด นักวิทยาศาสตร์, วิศวกรและคนอื่น ๆ ใช้เครื่องมือที่หลากหลายในการดำเนินการวัดของพวกเขา เครื่องมือเหล่านี้อาจจะเป็นตั้งแต่วัตถุง่าย ๆ เช่นไม้บรรทัดและนาฬิกาจับเวลาจนถึงกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนและเครื่องเร่งอนุภาค เครื่องมือวัดเสมือนจริงถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการพัฒนาเครื่องมือวัดที่ทันสมัย ราล์ฟ Müller (1940) กล่าวว่า "นั่นประวัติศาสตร์ของว​​ิทยาศาสตร์ทางกายภาพเป็นส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ของเครื่องมือและการใช้งานที่ชาญฉลาดของพวกมันเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ความเป็นสากลและทฤษฎีที่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้ลุกขึ้นยืนหรือตกลงไปบนพื้นฐานของการวัดที่แม่นยำ และในหลายกรณีเครื่องมือใหม่จะต้องมีการปรับปรุงใหม่เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ มีหลักฐานเล็กน้อยที่แสดงให้เห็นว่าจิตใจของคนทันสมัย​​จะเหนือกว่าพวกคนหัวโบราณ เครื่องมือของคนทันสมัยดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้"[1][2]:290 เดวิส Baird ได้แย้งว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจะเกี่ยวข้องกับตัวบ่งชี้ของ ฟลอริส โคเฮน เกี่ยวกับ "ปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ครั้งที่สี่" หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการพัฒนาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ไม่เพียงแต่เฉพาะในทางเคมีเท่านั้น แต่ทั่วทุกสาขาวิทยาศาสตร์[2][3] ในสาขาวิชาเคมี หัวข้อแนะนำของเครื่องมือใหม่ในทศวรรษที่ 1940 คือ "ไม่มีอะไรน้อยกว่าการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี"[4]:28-29...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความตลกขบขัน มีผลทางอารมณ์ใช่หรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความตลกขบขัน Article: ความตลกขบขัน[1] (English: humour, humor) เป็นประสบการณ์ทางการรู้คิดที่มักทำให้หัวเราะและสร้างความบันเทิงสนุกสนาน คำจากภาษาอังกฤษมาจากศัพท์ทางการแพทย์ของชาวกรีกโบราณ ซึ่งสอนว่า ความสมดุลของธาตุน้ำต่าง ๆ ในร่างกายที่เรียกในภาษาละติน ว่า humor (แปลว่า ของเหลวในร่างกาย) เป็นตัวควบคุมสุขภาพและอารมณ์ของมนุษย์ มนุษย์ทุกยุคสมัยและทุกวัฒนธรรมตอบสนองต่อเรื่องขบขัน มนุษย์โดยมากประสบความขำขัน คือรู้สึกบันเทิงใจ ยิ้ม หรือหัวเราะต่ออะไรที่ขำ ๆ และดังนั้น จึงเรียกได้ว่าเป็นคนมีอารมณ์ขำ (คือมี sense of humour) คนสมมุติที่ไม่มีอารมณ์ขำน่าจะพบเหตุการณ์ที่ทำให้ขำว่า อธิบายไม่ได้ แปลก หรือว่าไม่สมเหตุผล แม้ว่าปกติความขำขันจะขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัว ขอบเขตที่บุคคลพบว่าอะไรน่าขำจะขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่าง รวมทั้งอยู่ในภูมิประเทศไหน ในวัฒนธรรมอะไร อายุ ระดับการศึกษา ความเฉลียวฉลาด และพื้นเพหรือบริบท ยกตัวอย่างเช่น เด็กเล็ก ๆ อาจชอบเรื่องตลกที่มีการตีกัน (ภาษาอังกฤษเรียกว่า slapstick) ดังที่พบในการ์ตูน เช่นรายการ ทอมกับเจอร์รี่ ที่การกระทบกระทั่งทางกายทำให้เด็กเข้าใจได้ เทียบกับเรื่องตลกที่ซับซ้อนกว่า เช่น แบบที่ใช้การล้อเลียนเสียดสี (satire) ซึ่งจำเป็นต้องเข้าใจสถานะทางสังคมและดังนั้น ผู้ใหญ่จะชอบใจมากกว่า ทฤษฎี มีทฤษฎีหลายอย่างว่า อะไรคือความตลกขบขันและหน้าที่ทางสังคมของมันคืออะไร ทฤษฎีที่แพร่หลายมองความตลกขบขันในแนวจิตวิทยา โดยมากมองพฤติกรรมที่เกิดจากความขำขันว่าเป็นเรื่องดีมากต่อสุขภาพ หรือมองในแนวจิตวิญญาณ ซึ่งอาจจะมองความตลกขบขันว่าเป็น "ของขวัญจากพระเจ้า" หรือมองความตลกขบขันว่าเป็นเรื่องอธิบายไม่ได้ เหมือนกับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณบางอย่าง[2] ทฤษฎีทางจิตวิทยา คือ benign-violation theory (ไม่เป็นไร-มีการล่วงละเมิด) อธิบายความตลกขบขันว่า "ความตลกขบขันจะเกิดขึ้นเมื่อมีอะไรดูผิดปกติ น่ากังวล หรืออันตราย แต่ก็ยังโอเค ยอมรับได้ และปลอดภัยไปด้วยพร้อม ๆ กัน"[3] อารมณ์ขันสามารถช่วยให้เริ่มคุยกับคนอื่นโดยกำจัดความรู้สึกเคอะเขิน ไม่สบาย หรือกระวนกระวายที่มาจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ส่วนคนอื่น ๆ เชื่อว่า "การใช้ความตลกขบขันที่สมควรสามารถช่วยอำนวยปฏิสัมพันธ์ทางสังคม"[4] มุมมอง บางคนยืนยันว่า ความตลกขบขันไม่สามารถและไม่ควรจะอธิบาย นักเขียนนายอี.บี. ไวท์ ได้กล่าวไว้ว่า "ความตลกขบขันสามารถผ่าดูได้เหมือนผ่ากบ แต่มันก็จะตาย...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความตื่นตัวมีส่วนเกี่ยวข้องในการตรวจจับ การรักษาไว้ และการค้นคืนข้อมูลที่อยู่ในระบบใด?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: สภาวะตื่นตัว Article: ใน สรีรวิทยาและจิตวิทยา สภาวะตื่นตัว หรือ ความตื่นตัว (English: arousal) เป็นสภาวะของการตื่นตัวหรือการตอบสนองต่อตัวกระตุ้น จะมีความตื่นตัวได้ก็ต่อเมื่อมีการทำงานในระบบ reticular activating system (ตัวย่อ RAS)[1]ในก้านสมอง ในระบบระบบประสาทอิสระ (autonomic nervous system) และในระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มระดับการเต้นของหัวใจและความดันเลือด และสภาวะความตื่นตัวทางความรู้สึก ทางการเคลื่อนไหว และทางความพร้อมเพรียงในการตอบสนองต่อตัวกระตุ้น มีระบบประสาทหลายระบบที่เกี่ยวข้องกัน ที่เรียกรวมๆ กันว่า ระบบความตื่นตัวนี้ ระบบสำคัญ 4 ระบบในก้านสมอง ซึ่งมีการเชื่อมต่อกับเปลือกสมองทั้งหมด มีหน้าที่การงานเกี่ยวกับสารสื่อประสาทรวมทั้งอะเซทิลโคลิน (acetylcholine) นอเรพิเนฟรีน (norepinephrine) โดพามีน (dopamine) และเซโรโทนิน (serotonin) เมื่อระบบสำคัญเหล่านี้ทำงานอยู่ เขตประสาทส่วนต่างๆ ที่รับสารสื่อประสาทเหล่านั้น ก็จะเริ่มมีความไวและมีการตอบสนองต่อสัญญาณที่เข้ามาในเขตประสาท ความสำคัญ ความตื่นตัวมีความสำคัญในการควบคุมการรับรู้ ความใส่ใจ และการประมวลข้อมูล มีความสำคัญมากในการกระตุ้นพฤติกรรมบางอย่าง เช่นการเคลื่อนไหว การแสวงหาอาหาร การตอบสนองแบบสู้หรือหนี และกิจกรรมทางเพศ ความตื่นตัวมีความสำคัญอย่างมากในอารมณ์ด้วย จึงเป็นแนวความคิดที่ได้ถูกนำไปเป็นส่วนของทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่างๆ เช่น ทฤษฎีอารมณ์ของเจมส์-ลานจ์ (James-Lange theory of emotion) ส่วนตามทฤษฎีของฮันส์ ไอเซงค์ ความแตกต่างในระดับความตื่นตัวขั้นพื้นฐานเป็นเหตุให้บุคคลต่างๆ มีบุคคลิกเป็นผู้ใส่ใจภายนอก (extrovert[2]) และผู้ใส่ใจภายใน (introvert[3]) แต่งานวิจัยภายหลังเสนออีกอย่างหนึ่งว่า มีความเป็นไปได้มากกว่า ที่ผู้ใส่ใจภายนอกและผู้ใส่ใจภายในมีระดับการปลุกความตื่นตัวได้ที่ไม่เท่ากัน คือระดับความตื่นตัวพื้นฐานของทั้งสองพวกเท่ากัน แต่มีการตอบสนองต่อตัวกระตุ้นที่ไม่เหมือนกัน[4] กฎของเยอร์คส-ด็อดสัน (Yerkes-Dodson Law) กำหนดว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างความตื่นตัวและสมรรถภาพในการทำงาน คือโดยสำคัญแล้ว อ้างว่า มีระดับความตื่นตัวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำงาน และระดับที่มากหรือน้อยเกินไปสามารถมีผลลบต่อสมรรถภาพการทำงาน เป็นความสัมพันธ์ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยสมมุติฐานการใช้ข้อมูลของอีสเตอร์บรุก (Easterbrook Cue-Utilisation hypothesis)...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความถี่วิทยุหมายถึง?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คลื่นวิทยุ Article: คลื่นวิทยุ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงความถี่วิทยุบนเส้นสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นวิทยุไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ใช้ในการสื่อสารมี 2 ระบบคือ A.M. และ F.M. ความถี่ของคลื่น หมายถึง จำนวนรอบของการเปลี่ยนแปลงของคลื่น ในเวลา 1 วินาที คลื่นเสียงมีความถี่ช่วงที่หูของคนรับฟังได้ คือ ตั้งแต่เริ่มมี คลื่นวิทยุแต่ละช่วงความถี่จะถูกกำหนดให้ใช้งานด้านต่างๆ ตามความเหมาะสม ส่วนประกอบของคลื่น 1. สันคลื่น (Crest)  ตำแหน่งสูงสุดของคลื่น หรือเป็นตำแหน่งที่มีการกระจัดสูงสุดในทางบวก 2. ท้องคลื่น (Trough) ตำแหน่งต่ำสุดของคลื่น หรือเป็นตำแหน่งที่มีการกระจัดสูงสุดในทางลบ 3. แอมพลิจูด (Amplitude)   เป็นระยะการกระจัดมากสุด ทั้งค่าบวกและค่าลบ 4. ความยาวคลื่น (wavelength)   เป็นความยาวของคลื่นหนึ่งลูกมีค่าเท่ากับระยะระหว่างสันคลื่นหรือท้องคลื่นที่อยู่ถัดกัน ความยาวคลื่นแทนด้วยสัญลักษณ์ มีหน่วยเป็นเมตร (m) 5. ความถี่ (frequency)   หมายถึง เวลาที่ตำแหน่งใด ๆ ในหนึ่งหน่วยเวลา แทนด้วยสัญลักษณ์ มีหน่วยเป็นรอบต่อวินาที (s-1) หรือ เฮิรตซ์ (Hz) 6. คาบ (period)   หมายถึง เวลาที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งใด ๆ ครบหนึ่งลูกคลื่น แทนด้วยสัญลักษณ์ มีหน่วยเป็นวินาทีต่อรอบ (s) 7. อัตราเร็วของคลื่น (wave speed)   หาได้จากผลคูณระหว่างความยาวคลื่นและความถี่ ระบบ A.M สื่อสารโดยใช้คลื่นเสียงผสมเข้าไปกับคลื่นวิทยุเรียกว่า "คลื่นพาหะ" โดยแอมพลิจูดของคลื่นพาหะจะเปลี่ยนแปลงตามสัญญาณคลื่นความถี่ของการซอย ในการส่งคลื่นระบบ A.M. สามารถส่งคลื่นได้ทั้งคลื่นดินเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงขนานกับผิวโลกและคลื่นฟ้าโดยคลื่นจะไปสะท้อนที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับลงมา จึงไม่ต้องใช้สายอากาศตั้งสูงรับ ระบบ F.M. สื่อสารโดยใช้คลื่นเสียงผสมเข้ากับคลื่นพาหะ โดยความถี่ของคลื่นพาหะจะเปลี่ยนแปลงตามสัญญาณคลื่นเสียง ในการส่งคลื่นระบบ F.M. ส่งคลื่นได้เฉพาะคลื่นดินอย่างเดียว ถ้าต้องการส่งให้คลุมพื้นที่ต้องมีสถานีถ่ายทอดและเครื่องรับต้องตั้งเสาอากาศสูงๆ รับ James Clerk Maxwell เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ เป็นผู้ค้นพบระหว่างการตรวจสอบทางคณิตศาสตร์ เมื่อ ปี ค.ศ. 1865 จากการสังเกตคุณสมบัติของแสงบางประการที่คล้ายคลึงกับคลื่น และคล้ายคลึงกับผลการเฝ้าสังเกตกระแสไฟฟ้าและแม่เหล็ก...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความน่ารัก แตกต่างจาก ความสวยงาม อย่างไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความน่ารัก Article: ความน่ารัก (English: cuteness) เป็นคำบ่งความรู้สึกที่ใช้แสดงความน่าพึงใจ/ความน่าดูน่าชมที่มักจะเกี่ยวข้องกับความเยาว์วัยและรูปร่างหน้าตา และยังเป็นคำบัญญัติทางวิทยาศาสตร์และแบบวิเคราะห์ในพฤติกรรมวิทยาอีกด้วย[2] นักวิทยาศาสตร์ที่ใช้คำนี้เป็นคนแรก (ชาวออสเตรียชื่อว่าค็อนแรด ลอเร็นซ์) ได้เสนอความคิดในเรื่องแผนภาพทารก (English: baby schema, German: Kindchenschema) ซึ่งเป็นลักษณะทางใบหน้าและร่างกาย ที่ทำให้สัตว์หนึ่ง ๆ ปรากฏว่า "น่ารัก" และกระตุ้นให้ผู้อื่นช่วยดูแลรักษาสัตว์นั้น ๆ[3] คำนี้สามารถใช้ในการชมบุคคลและสิ่งของที่น่าดูน่าชมหรือมีเสน่ห์[4] อีกอย่างหนึ่ง ความน่ารัก เป็นความสวยงามประเภทหนึ่งที่มีลักษณะละเอียดอ่อนและดึงดูดใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก ความน่ารักมักจะเกิดจากส่วนประกอบของสิ่งที่มีลักษณะคล้ายทารกหรือมีขนาดใกล้เคียงกับทารก และมักจะมีส่วนประกอบของความขี้เล่น ความเปราะบาง และการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้รวมอยู่ด้วย เด็กเล็ก ๆ และสัตว์ในวัยเยาว์มักจะมีการกล่าวถึงในลักษณะความน่ารัก ในขณะเดียวกันสัตว์ใหญ่บางประเภทเช่นแพนด้ายักษ์ ก็ยังมีการกล่าวถึงความน่ารัก เนื่องจากลักษณะที่คล้ายคลึงกับทารก และมีสัดส่วนหัวขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดร่างกาย เทียบกับสัตว์ชนิดอื่น ในประเทศญี่ปุ่น ความน่ารักได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม จะเห็นได้ว่าในสื่อต่าง ๆ เสื้อผ้า อาหาร ของเล่น หรือของใช้ส่วนตัว มักจะมีภาพแสดงความน่ารักออกมา หรือแม้แต่หน่วยงานรัฐบาล การทหารก็ยังมีภาพแสดงความน่ารักออกมา ในขณะที่ไม่มีใช้กันในประเทศอื่นโดยถือว่าเป็นความไม่เหมาะสม ความน่ารักในปัจจุบันได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการตลาดของบริษัทขายของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น โดยได้กลายเป็นจุดขายที่สำคัญ ตัวอย่างเช่นในสินค้า เฮลโล คิตตี้ หรือ โปเกมอน หรือแม้แต่ในวัฒนธรรมตะวันตก เช่น หมีพูห์ หรือ มิกกี้เมาส์ ลักษณะของเด็กและความน่ารัก นักวิชาการมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลได้กล่าวไว้ว่า ส่วนสัดของใบหน้าจะเปลี่ยนไปตามอายุเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของอวัยวะทั้งที่เป็นส่วนที่แข็งและส่วนที่นิ่ม และความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามลำดับในธรรมชาตินั้นทำให้สัตว์มีอายุน้อยมองดูน่ารัก โดยมีจมูกและปากที่เล็กกว่า หน้าผากที่ใหญ่กว่า และตาที่ใหญ่กว่าผู้ที่ถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว ในส่วนของอวัยวะที่แข็ง กะโหลกศีรษะส่วนบรรจุสมอง (neurocranium) ได้เติบโตขึ้นมากแล้วในเด็ก...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มีโทษสูงสุดคืออะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย Article: ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย</b>อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี" ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ คนไทยหรือคนต่างด้าวไม่ว่ากระทำในหรือนอกราชอาณาจักรก็ต้องรับโทษ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับเรื่อยมามีข้อที่กล่าวว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้" ในประมวลกฎหมายไม่มีนิยามว่าพฤติการณ์แบบใดเข้าข่าย "หมิ่นประมาท" หรือ "ดูหมิ่น"[1] ลักษณะการกระทำความผิดมีหลากหลาย แล้วแต่ศาลจะพิเคราะห์เจตนา เช่น ปราศรัยในที่สาธารณะ ส่งสารสั้น โพสต์รูปภาพ เผยแพร่เอกสารหรือวีดิทัศน์ ละเมิดพระบรมฉายาลักษณ์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีข้อโต้แย้งว่า ความผิดต่อองคมนตรีเข้าข่ายความผิดนี้หรือไม่ อนึ่ง ในปี 2556 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำว่า "พระมหากษัตริย์" ยังหมายความรวมถึง พระมหากษัตริย์ในอดีตด้วย[2] ธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังตีความว่า กฎหมายห้ามครอบคลุมถึงการวิจารณ์โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สถาบันพระมหากษัตริย์ ราชวงศ์จักรีและพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์[3] พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ไม่เคยฟ้องร้องเป็นการส่วนพระองค์ ผู้ถูกตั้งข้อหามักไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว และถูกคุมขังในเรือนจำหลายเดือนก่อนมีการไต่สวนในชั้นศาล องค์การนิรโทษกรรมสากลถือว่านักโทษตามความผิดนี้เป็นนักโทษการเมือง มีบุคคลส่วนหนึ่งเลือกเดินทางออกนอกประเทศเพื่อมิให้ถูกดำเนินคดี และยังมีผู้ต้องหาและผู้ต้องขังตามความผิดดังกล่าวฆ่าตัวตายหรือเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม มีความเห็นเกี่ยวกับผู้ต้องขังในคดีทำนองนี้ว่า "...บุคคลที่เจนโลกโชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคม สถาบันหลักของประเทศชาติ และองค์พระประมุขอันเป็นที่เคารพสักการะ...ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคมเพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก..." และแสดงความเห็นว่า "…ถ้าคดีใดอัยการโจทก์สามารถนำสืบพิสูจน์จนให้ศาลเห็นและเชื่อได้ว่า...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความผิดปกติทางจิต สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้หรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: โรคออทิซึม Article: โรคออทิซึม (English: Autism) เป็นความผิดปกติในการเจริญของระบบประสาท โดยมีลักษณะเด่นคือความบกพร่องด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสาร และมีพฤติกรรมทำกิจกรรมบางอย่างซ้ำๆ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มักเรียกกันว่า<b data-parsoid='{"dsr":[2328,2349,3,3]}'>ผู้ป่วยออทิสติก อาการแสดงดังกล่าวมักปรากฏในวัยเด็กก่อนอายุ 3 ปี[6] นอกจากนี้ยังมีความบกพร่องด้านสังคมและการสื่อสารที่จัดในกลุ่มใกล้เคียงโรคออทิซึม เรียกว่า Autism spectrum disorder (ASD) อาทิกลุ่มอาการแอสเปอร์เจอร์ (Asperger syndrome) ที่มีอาการและอาการแสดงน้อยกว่า[4] โรคออทิซึมมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมอย่างมาก แม้ว่าการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจะมีความซับซ้อนและยังไม่สามารถอธิบายกลุ่มอาการ ASD ได้จากปฏิสัมพันธ์หลายยีนหรือการกลายพันธุ์[7] ผู้ป่วยจำนวนน้อยพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับสารก่อวิรูป (สารที่ก่อให้เกิดความผิดปกติแต่กำเนิด) [8] บางแหล่งข้อมูลเสนอสาเหตุของโรคออทิซึมไว้หลากหลาย เช่น การให้วัคซีนในวัยเด็ก ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน และสมมติฐานดังกล่าวยังขาดหลักฐานที่เชื่อถือได้ทางวิทยาศาสตร์[9] ความชุกของกลุ่มอาการ ASD เกิดราว 6 ใน 1,000 คน และเป็นในเด็กชายเป็น 4 เท่าของเด็กหญิง จำนวนผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคออทิซึมพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 ทั้งนี้บางส่วนเนื่องจากการเปลี่ยนวิธีการวินิจฉัย แต่ความชุกแท้จริงเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นยังไม่เป็นที่ทราบ[10] ผู้ป่วยโรคออทิซึมมีความผิดปกติที่หลายส่วนของสมองซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุ ผู้ปกครองมักสังเกตอาการผู้ป่วยได้ในช่วงอายุ 2 ขวบปีแรก แม้ว่าการบำบัดด้วยพฤติกรรมและการรับรู้โดยนักกายภาพบำบัดและนักจิตวิทยาคลินิกตั้งแต่เยาว์วัยจะช่วยพัฒนาให้ผู้ป่วยดูแลตนเอง มีทักษะด้านสังคมและการสื่อสารได้ แต่การรักษาที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบ[4] เด็กที่ป่วยด้วยโรคนี้น้อยรายที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระหลังเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่ก็มีบางส่วนที่ประสบความสำเร็จ[11] สาเหตุ เป็นที่เชื่อกันมานานว่ามีสาเหตุแรกเริ่มสาเหตุหนึ่งของอาการสำคัญทั้งสามอย่างของโรคออทิซึม โดยสาเหตุอาจเป็นสาเหตุในระดับพันธุกรรม ระดับสติปัญญา หรือระดับเซลล์ประสาท อย่างไรก็ดี ในภายหลังเริ่มเป็นที่สงสัยว่าโรคออทิซึมเป็นโรคที่สาเหตุซับซ้อน โดยอาการแต่ละด้านมีสาเหตุที่แตกต่างกันแต่เกิดและพบร่วมกันบ่อย เป็นต้น โรคออทิซึมมีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมเป็นอย่างมาก...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความผิดปกติทางบุคลิกภาพคืออาการหนึ่งของโรคจิตใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ Article: ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (English: personality disorders, ตัวย่อ PD) เป็นหมวดหมู่ของความผิดปกติทางจิตต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นรูปแบบพฤติกรรม รูปแบบทางประชาน และรูปแบบประสบการณ์ทางใจที่ปรับตัวอย่างไม่เหมาะสม (maladaptive) ที่ยั่งยืน โดยปรากฏในสถานการณ์ต่าง ๆ หลายอย่าง และออกนอกลู่นอกทางอย่างสำคัญจากที่ยอมรับได้ในสังคมและวัฒนธรรมของบุคคลนั้น รูปแบบเหล่านี้จะพัฒนาขึ้นตั้งแต่เบื้องต้นของชีวิต ยืดหยุ่นไม่ได้ และสัมพันธ์กับความทุกข์กับความพิการในระดับสำคัญ[1] แต่ว่านิยามที่จำเพาะอาจจะต่างกันได้แล้วแต่ที่มา[2][3]:226 เกณฑ์วินิจฉัยความผิดปกติทางบุคลิกภาพอยู่ในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM) ที่จัดพิมพ์โดยสมาคมจิตเวชอเมริกัน (American Psychiatric Association ตัวย่อ APA) และในหัวข้อ "ความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรม (mental and behavioral disorders)" ในบัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง (ตัวย่อ ICD) ที่เผยแพร่โดยองค์การอนามัยโลก DSM-5 รุ่นที่พิมพ์ในปี 2556 กำหนดความผิดปกติทางบุคลิกภาพเช่นเดียวกับความผิดปกติทางจิต (mental disorders) อื่น ๆ แทนที่จะอยู่ใน "axis" ที่ต่างกันตามที่เคยทำมาก่อน ๆ[4] บุคลิกภาพตามนิยามของจิตวิทยา เป็นเซตของลักษณะทางพฤติกรรมและทางจิตที่คงทน ที่ทำให้มนุษย์แต่ละคนต่างกัน ดังนั้น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพจึงกำหนดโดยประสบการณ์ (ทางใจ) และพฤติกรรม ที่ต่างจากมาตรฐานและความคาดหวังของสังคม คนผิดปกติเช่นนี้ อาจประสบความยากลำบากทางประชาน (cognition) ความไวอารมณ์ (emotiveness) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal functioning) และการควบคุมความหุนหันพลันแล่น (impulse control) โดยทั่วไปแล้ว คนไข้จิตเวชร้อยละ 40-60 จะได้รับวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติเช่นนี้ จึงเป็นกลุ่มโรคที่วินิจฉัยบ่อยครั้งที่สุดในบรรดาโรคจิตเวช[5] ความผิดปกติทางบุคลิกภาพกำหนดโดยรูปแบบพฤติกรรมที่คงทน บ่อยครั้งสัมพันธ์กับความขัดข้องในชีวิตส่วนตัว ชีวิตทางสังคม หรือทางอาชีพ นอกจากนั้นแล้ว ความผิดปกติเช่นนี้ยืดหยุ่นไม่ได้ และแพร่กระจายไปในสถานการณ์มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะมาจากเหตุที่ว่า พฤติกรรมเช่นนี้เข้ากับทัศนคติเกี่ยวกับตน (ego-syntonic) ของบุคคลนั้นได้ ดังนั้น บุคคลนั้นจึงพิจารณาว่าเป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม แต่เป็นพฤติกรรมที่อาจมีผลเป็นทักษะจัดการปัญหาและความเครียด (coping skill)...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือ โรคอารมณ์แปรปรวน เกดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัยใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความผิดปกติทางอารมณ์ Article: ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือ โรคอารมณ์แปรปรวน (English: Mood disorder) เป็นกลุ่มโรคในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM) ที่ปัญหาทางอารมณ์ (mood) สันนิษฐานว่าเป็นอาการหลักของโรค[1] ส่วนในบัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง (ICD) เป็นกลุ่มที่เรียกว่า mood (affective) disorders ซึ่งแปลได้อย่างเดียวกัน จิตแพทย์ชาวอังกฤษเสนอหมวดโรคที่ครอบคลุมเรียกว่า affective disorder ในปี พ.ศ. 2477[2] ต่อมาจึงแทนชื่อว่า mood disorder เพราะว่าคำหลังหมายถึงสภาวะอารมณ์ที่เป็นเหตุโดยตรง[3] เทียบกับคำแรกซึ่งหมายถึงการแสดงออกภายนอกที่คนอื่นสังเกตเห็นได้[1] ความผิดปกติจะจัดอยู่ในกลุ่มพื้นฐาน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอารมณ์ครึกครื้นเช่น อาการฟุ้งพล่าน (mania) หรืออาการเกือบฟุ้งพล่าน (hypomania) กลุ่มอารมณ์ซึมเศร้า เช่นที่รู้จักดีที่สุดและมีงานวิจัยมากที่สุดคือโรคซึมเศร้า (MDD) กลุ่มอารมณ์กลับไปกลับมาระหว่างระยะฟุ้งพล่านกับระยะซึมเศร้าที่รู้จักกันว่าโรคอารมณ์สองขั้ว (BD) มีกลุ่มย่อย ๆ ของกลุ่มโรคซึมเศร้า (depressive disorders) หรือว่าอาการทางจิตเวชอื่น ๆ ที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่า เช่น Dysthymia (คล้ายกับโรคซึมเศร้าแต่เบากว่า) และ Cyclothymia (คล้ายกับ BD แต่เบากว่า)[4] ความผิดปกติทางอารมณ์อาจเกิดจากสารหรือเป็นการตอบสนองต่ออาการของโรคอื่น ๆ หมวดหมู่ โรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder ตัวย่อ MDD) เป็นโรคที่บุคคลมีคราวซึมเศร้า (major depressive episode) หนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น ดังนั้น หลังจากมีคราวซึมเศร้าครั้งเดียว ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า (คราวเดียว) และหลังจากคราวแรก ก็จะวินิจฉัยเป็นโรคซึมเศร้า (ซ้ำ) โรคซึมเศร้าที่ไร้ระยะฟุ้งพล่าน (mania) บางครั้งเรียกว่าโรคซึมเศร้าขั้วเดียว (unipolar depression) เพราะว่าอารมณ์ติดอยู่ที่ขั้วซึมเศร้า โดยไม่ย้ายไปที่ขั้วฟุ้งพล่านเหมือนกับที่พบในโรคอารมณ์สองขั้ว (BD)[5] บุคคลที่มีคราวซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้ามีโอกาสเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงขึ้น การหาความช่วยเหลือและการรักษาจากแพทย์พยาบาลช่วยลดโอกาสเสี่ยงอย่างสำคัญ และงานวิจัยก็แสดงว่า การถามคนซึมเศร้าหรือสมาชิกในครอบครัวว่าคิดค่าตัวตายหรือไม่ เป็นวิธีที่มีประสิทธิผลในการบ่งบุคคลที่เสี่ยง และไม่ใช่เป็นการชี้ทางหรือเพิ่มโอกาสเสี่ยงฆ่าตัวตายโดยประการทั้งปวง[6] งานศึกษาทางวิทยาการระบาดในยุโรปแสดงว่า...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความผิดสูงสุดของ การข่มขืนกระทำชำเรา ตามกฎหมายไทยต้องรับโทษอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: โทษประหารชีวิต Article: โทษประหารชีวิต หรือ อุกฤษฏ์โทษ (English: capital punishment, death penalty) เป็นกระบวนการทางกฎหมายซึ่งรัฐลงโทษอาชญากรรมของบุคคลด้วยการทำให้ตาย คำสั่งของศาลที่ให้ลงโทษบุคคลในลักษณะนี้ เรียก การลงโทษประหารชีวิต ขณะที่การบังคับใช้โทษนี้ เรียก การประหารชีวิต อาชญากรรมที่มีโทษประหารชีวิต เรียก "ความผิดอาญาขั้นอุกฤษฏ์โทษ" คำว่า capital มาจากคำภาษาละตินว่า capitalis ความหมายตามตัวอักษร คือ "เกี่ยวกับหัว" (หมายถึงการประหารชีวิตโดยการตัดหัว) [1] สังคมอดีตส่วนมากนั้นมีโทษประหารชีวิตโดยเป็นการลงโทษอาชญากร และผู้ไม่เห็นด้วยทางการเมืองหรือศาสนา ในประวัติศาสตร์ การลงโทษประหารชีวิตมักสัมพันธ์กับการทรมาน และมักประหารชีวิตในที่สาธารณะ[2] ปัจจุบันมีประเทศที่ยังคงโทษประหารชีวิต 58 ประเทศ ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับอาชญากรรมทุกรูปแบบโดยนิตินัย 98 ประเทศ ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตเฉพาะอาชญากรรมปรกติ 7 ประเทศ (โดยคงไว้สำหรับพฤติการณ์พิเศษ เช่น อาชญากรรมสงคราม) และประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยพฤตินัย (คือ ไม่ได้ใช้โทษประหารชีวิตอย่างน้อยสิบปี และอยู่ระหว่างงดใช้โทษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง)[3] องค์การนิรโทษกรรมสากลมองว่าประเทศส่วนใหญ่เป็นผู้ยกเลิก (abolitionist) โดยองค์การฯ พิจารณาว่า 140 ประเทศเป็นผู้ยกเลิกในทางกฎหมายหรือทางปฏิบัติ[3] การประหารชีวิตเกือบ 90% ทั่วโลกเกิดในทวีปเอเชีย[4] แทบทุกประเทศในโลกห้ามการประหารชีวิตบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปีขณะก่อเหตุ นับแต่ปี 2552 มีเพียงประเทศอิหร่าน ซาอุดิอาระเบียและซูดานที่ยังประหารชีวิตลักษณะนี้ กฎหมายระหว่างประเทศห้ามการประหารชีวิตประเภทนี้[5] โทษประหารชีวิตกำลังเป็นประเด็นการถกเถียงอยู่ในหลายประเทศ และจุดยืนอาจมีได้หลากหลายในอุดมการณ์ทางการเมืองหรือภูมิภาคทางวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ ในรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป ข้อ 2 แห่งกฎบัตรสิทธิมูลฐานแห่งสหภาพยุโรปห้ามการใช้โทษประหารชีวิต สภายุโรปซึ่งมีรัฐสมาชิก 47 ประเทศ ยังห้ามสมาชิกใช้โทษประหารชีวิต สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติลงมติรับข้อมติไม่ผูกพันในปี 2550, 2551 และ 2553 เรียกร้องให้มีการผ่อนเวลาการประหารชีวิตทั่วโลก ซึ่งมุ่งให้ยกเลิกในที่สุด[6] แม้หลายชาติยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว แต่ประชากรโลกกว่า 60% อาศัยอยู่ในประเทศซึ่งเกิดการประหารชีวิต เช่น สี่ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก คือ จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซีย...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความฝันอเมริกัน ปรากฎครั้งแรกเมื่อไหร่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ฝันอเมริกัน Article: ความหมายโดยทั่วๆ ไปแต่เดิมของ “ความฝันอเมริกัน” อาจนิยามได้ว่าเป็น “ความเท่าเทียมทางโอกาสและเสรีภาพที่เอื้อให้พลเมืองบรรลุถึงเป้าหมายในชีวิตด้วยการทำงานหนักและด้วยความมุ่งมั่น ปัจจุบัน ความหมายโดยทั่วไปได้ปรับเปลี่ยนเป็นว่า ความมั่งคั่งของบุคคลขึ้นอยู่กับขีดความสามารถและการทำงานหนัก ไม่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างระดับชั้นที่ตายตัวของสังคม ซึ่งความหมายนี้ไปเปลี่ยนไปตามเวลาของประวัติศาสตร์ สำหรับบางคน อาจหมายถึงโอกาสที่จะบรรลุความมั่งคั่งได้มากกว่าที่เคยได้ในประเทศเดิมที่ตนย้ายถิ่นมา บางคนอาจหมายถึงโอกาสที่บุตรหลานที่จะเจริญเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ดีและได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ รวมทั้งโอกาสการได้งานที่ดี สำหรับบางคนอาจเป็นการได้โอกาสที่จะเป็นปัจจเกชนที่ปราศจากการกีดกันด้วยชนชั้นทางสังคม จากวรรณะ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือชาติพันธุ์ นิยามของ<b data-parsoid='{"dsr":[937,958,3,3]}'>ความฝันอเมริกัน</b>ดังกล่าว ณ ปัจจุบันยังคงเป็นหัวข้อที่ยังถกเถียงอภิปรายกันมากอยู่ [1] และเช่นกันที่ “ชุดของความเชื่อ การตั้งข้อสมมุติฐานและรูปแบบของการประพฤติปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับความฝันอเมริกันที่เกาะตัวกันอย่างหลวมๆ ในขณะนี้ ซึ่งประกอบด้วย (1) เสรีภาพของบุคคลในการเลือกวิถีการดำเนินชีวิต (2) โอกาสที่จะเข้าถึงความมั่งคั่งได้โดยเสรี และ (3) การเสาะแสวงหาและการแลกเปลี่ยนเป้าประสงค์ร่วมระหว่างบุคคลกับสังคมของตน” [2] ในขณะที่คำว่า “ความฝันอเมริกัน” ในปัจจุบันมักเชื่อมโยงกับการอพยพมาตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเป็นอย่างมากอยู่ แต่บุคคลที่เกิดในอเมริกาก็ยังถือว่า “การแสวงหาความฝันอเมริกัน” ของพวกเขาคือ “การที่จะได้ดำรงชีวิตตามแบบความฝันอเมริกัน” อยู่ ประวัติ นิยามโดยรวมของ “ความฝันอเมริกัน” ปรากฏครั้งแรกในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดย<i data-parsoid='{"dsr":[2223,2248,2,2]}'>เจมส์ ทรัสโลว์ อดัมส์ ชื่อ “มหากาพย์แห่งอเมริกา” (The Epic of America - พ.ศ. 2474 "ถ้าเป็นดังที่ข้าพเจ้าพูดที่ว่า ถ้าทุกสิ่งทุกย่างที่เราได้บันทึกไว้แล้วทั้งหมดคือสิ่งที่เราจะต้องให้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อเมริกาก็คงไม่ใช่ของขวัญที่ดีที่มีความเด่นเฉพาะสำหรับมนุษยชาติ แต่ก็มี<i data-parsoid='{"stx":"html","dsr":[2521,2543,3,4]}'>ความฝันอเมริกัน</i>ที่เป็นความฝันถึงแผ่นดินที่ซึ่งจะให้ชีวิตที่ดีกว่า ให้ความร่ำรวยได้มากกว่าและให้โอกาสแก่ทุกคนที่มีความสามารถ" [น. 404]...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความภูมิใจในตน หมายถึงอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความภูมิใจแห่งตน Article: ในสังคมวิทยาและจิตวิทยา ความภูมิใจในตน หรือ ความภูมิใจแห่งตน[1] หรือ การเคารพตนเอง[2] หรือ การเห็นคุณค่าในตัวเอง (English: self-esteem) เป็นการประเมินคุณค่าตนเองโดยทั่วไปที่เป็นอัตวิสัยและอยู่ในใจ เป็นทั้งการตัดสินและทัศนคติต่อตนเอง ความภูมิใจในตนอาจรวมความเชื่อ (เช่น ฉันเก่ง ฉันมีคุณค่า) และอารมณ์ความรู้สึก เช่น การได้ชัยชนะ ความซึมเศร้า ความภูมิใจ และความอับอาย[3] หนังสือปี 2550 ให้คำนิยามว่า "ความภูมิใจในตนเป็นการประเมินในเชิงบวกหรือเชิงลบเกี่ยวกับตัวเอง คือ เรารู้สึกกับตัวเองอย่างไร"[4]:107 เป็นแนวคิดทางจิตวิทยา (psychological construct) ที่น่าสนใจเพราะว่านักวิจัยเชื่อว่ามันเป็นตัวพยากรณ์ที่ทรงอิทธิพลต่อผลบางอย่าง เช่น การเรียนเก่ง[5][6] ความสุข[7] ความพึงพอใจในชีวิตแต่งงานและในความสัมพันธ์กับผู้อื่น[8] และพฤติกรรมอาชญากรรม[8] ความภูมิใจอาจจะเป็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ (เช่น ฉันเชื่อว่าฉันเป็นนักเขียนที่ดีและมีความสุขเพราะเหตุนั้น) หรืออาจเป็นการประเมินรวม (เช่น ฉันเชื่อว่าฉันเป็นคนไม่ดี และรู้สึกไม่ดีกับตนเองโดยทั่วไป) นักจิตวิทยามักจะพิจารณาความภูมิใจในตนว่าเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่คงยืน (คือเป็น trait) แม้ว่า สภาวะที่ชั่วคราวและเป็นเรื่องปกติ (คือเป็น state) ก็มีด้วยเหมือนกัน ไวพจน์ของคำภาษาอังกฤษว่า self-esteem รวมทั้ง self-worth (การเห็นคุณค่าของตน)[9] self-regard (การนับถือตน)[10] และ self-respect (ความเคารพในตน)[11] ประวัติ การระบุความภูมิใจในตนโดยเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาเชื่อว่าเริ่มจากงานของ นพ. วิลเลียม เจมส์[12] คือคุณหมอเจมส์ได้ระบุด้านต่าง ๆ ของอัตตา (self) โดยมีลำดับชั้นสองชั้น คือ กระบวนการรู้ (เรียกว่า 'I-self') และความรู้เกี่ยวกับตนที่เป็นผล (เรียกว่า 'Me-self' ) สังเกตการณ์และการเก็บข้อมูลของ I-self สร้างความรู้ 3 ประเภท ซึ่งรวมกันเป็น Me-self 3 ประเภทคือ ความรู้เรื่องตนทางกาย ตนทางสังคม และตนทางจิตวิญญาณ ตนทางสังคมเป็นสิ่งที่ใกล้ที่สุดกับความภูมิใจในตนเอง ซึ่งประกอบด้วยลักษณะต่าง ๆ ที่คนอื่นเห็น ส่วนตนทางกายเป็นตัวแทน (representation) ของร่างกายและทรัพย์สมบัติ ตนทางจิตวิญญาณเป็นตัวแทนแบบพรรณนา (descriptive representations) และเป็นลักษณะที่ได้ประเมิน (evaluative dispositions) เกี่ยวกับตน และมุมมองว่าความภูมิใจในตนเป็นทัศนคติเกี่ยวกับตนโดยรวม ๆ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความมั่นใจในความสามารถของตนทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความภูมิใจแห่งตน Article: ในสังคมวิทยาและจิตวิทยา ความภูมิใจในตน หรือ ความภูมิใจแห่งตน[1] หรือ การเคารพตนเอง[2] หรือ การเห็นคุณค่าในตัวเอง (English: self-esteem) เป็นการประเมินคุณค่าตนเองโดยทั่วไปที่เป็นอัตวิสัยและอยู่ในใจ เป็นทั้งการตัดสินและทัศนคติต่อตนเอง ความภูมิใจในตนอาจรวมความเชื่อ (เช่น ฉันเก่ง ฉันมีคุณค่า) และอารมณ์ความรู้สึก เช่น การได้ชัยชนะ ความซึมเศร้า ความภูมิใจ และความอับอาย[3] หนังสือปี 2550 ให้คำนิยามว่า "ความภูมิใจในตนเป็นการประเมินในเชิงบวกหรือเชิงลบเกี่ยวกับตัวเอง คือ เรารู้สึกกับตัวเองอย่างไร"[4]:107 เป็นแนวคิดทางจิตวิทยา (psychological construct) ที่น่าสนใจเพราะว่านักวิจัยเชื่อว่ามันเป็นตัวพยากรณ์ที่ทรงอิทธิพลต่อผลบางอย่าง เช่น การเรียนเก่ง[5][6] ความสุข[7] ความพึงพอใจในชีวิตแต่งงานและในความสัมพันธ์กับผู้อื่น[8] และพฤติกรรมอาชญากรรม[8] ความภูมิใจอาจจะเป็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ (เช่น ฉันเชื่อว่าฉันเป็นนักเขียนที่ดีและมีความสุขเพราะเหตุนั้น) หรืออาจเป็นการประเมินรวม (เช่น ฉันเชื่อว่าฉันเป็นคนไม่ดี และรู้สึกไม่ดีกับตนเองโดยทั่วไป) นักจิตวิทยามักจะพิจารณาความภูมิใจในตนว่าเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่คงยืน (คือเป็น trait) แม้ว่า สภาวะที่ชั่วคราวและเป็นเรื่องปกติ (คือเป็น state) ก็มีด้วยเหมือนกัน ไวพจน์ของคำภาษาอังกฤษว่า self-esteem รวมทั้ง self-worth (การเห็นคุณค่าของตน)[9] self-regard (การนับถือตน)[10] และ self-respect (ความเคารพในตน)[11] ประวัติ การระบุความภูมิใจในตนโดยเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาเชื่อว่าเริ่มจากงานของ นพ. วิลเลียม เจมส์[12] คือคุณหมอเจมส์ได้ระบุด้านต่าง ๆ ของอัตตา (self) โดยมีลำดับชั้นสองชั้น คือ กระบวนการรู้ (เรียกว่า 'I-self') และความรู้เกี่ยวกับตนที่เป็นผล (เรียกว่า 'Me-self' ) สังเกตการณ์และการเก็บข้อมูลของ I-self สร้างความรู้ 3 ประเภท ซึ่งรวมกันเป็น Me-self 3 ประเภทคือ ความรู้เรื่องตนทางกาย ตนทางสังคม และตนทางจิตวิญญาณ ตนทางสังคมเป็นสิ่งที่ใกล้ที่สุดกับความภูมิใจในตนเอง ซึ่งประกอบด้วยลักษณะต่าง ๆ ที่คนอื่นเห็น ส่วนตนทางกายเป็นตัวแทน (representation) ของร่างกายและทรัพย์สมบัติ ตนทางจิตวิญญาณเป็นตัวแทนแบบพรรณนา (descriptive representations) และเป็นลักษณะที่ได้ประเมิน (evaluative dispositions) เกี่ยวกับตน และมุมมองว่าความภูมิใจในตนเป็นทัศนคติเกี่ยวกับตนโดยรวม ๆ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความรอบคอบ คืออะไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความรอบคอบ Article: ความรอบคอบ (English: Prudence) ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในคุณธรรมพื้นฐานสี่ประการที่ควรเคารพ มาจากคำในภาษาฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ว่า prudence มาจากภาษาละตินว่า prudentia สายตาอันกว้างไกล ความหลักแหลม อันเป็น providentia foresight มันยังถูกจัดรวมกับ ความรอบรู้ ความเข้าใจลึกซึ้ง และสติปัญญา ในกรณีนี้ มันเป็นความดีที่สามารถตัดสินระหว่างคุณความดีกับพฤติกรรมความดีได้ ไม่เพียงแต่จากความรู้สึกโดยทั่วไป แต่ด้วยการพิจารณาไปถึงการกระทำที่ถูกต้องทั้งสถานที่และกาลเวลาด้วย ถึงแม้ว่าความรอบคอบเพียงอย่างเดียวไม่สามารถประกอบกับการกระทำใดๆ ได้ แต่ถูกเกี่ยวข้องเป็นหนึ่งเดียวกับสติปัญญา เนื่องจากคุณความดีทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้การวางระเบียบของมัน ความรอบคอบจะมีความจำเป็นต้องใช้กับความกล้าหาญ "บิดา" แห่งคุณธรรมทั้งมวล ความรอบคอบได้ถูกพิจารณาโดยกรีกโบราณและภายหลังโดยนักปรัชญาคริสเตียน ที่โดดเด่นที่สุด คือ นักบุญโทมัส อควีนาส ดังที่ความเห็น การประมาณและระเบียบของคุณความดีทั้งหมดแล้ว มันยังเคยถูกนับถือว่าเป็น auriga virtutum หรือว่า สารถีแห่งคุณธรรมทั้งมวล ความรอบคอบถูกมองอย่างชัดเจนว่าเป็น "ความสามารถที่ดีเลิศทุกประการ" ของผู้มีปัญญา เพราะเป็นความสามารถในการตัดสินใจอย่างถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น บุคคลหนึ่งสามารถอยู่อย่างพอประมาณได้ เมื่อบุคคลผู้นั้นสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเพื่อตอบสนองความละโมบของตัวเอง ความรอบคอบกับความฉลาดและความรอบคอบแบบผิด ๆ ในความเข้าใจของชาวคริสเตียน ความแตกต่างระหว่างความรอบคอบกับความฉลาดนั้นเป็นจุดจบหรือจุดจบในสิ่งที่เป็นการตัดสินใจของการกระทำที่ได้เกิดขึ้น ความเข้าใจของชาวคริสเตียนกับโลกนั้นรวมไปถึงความมีอยู่ของพระเจ้า กฎธรรมชาติและคุณความดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์ ในคำอธิบายนี้ ความรอบคอบนั้นแตกต่างจากความฉลาดตรงที่มันนำไปสู่การกระทำที่เป็นความดีอันศักดิ์สิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น การตัดสินใจของคริสเตียนที่ถูกประหารเพื่อให้ทรมานมากกว่าจะปฏิเสธความเชื่อของพวกเขาว่าเป็นความฉลาด เป็นการหลอกหลวงถึงการปฏิเสธความเชื่อของพวกเขาว่าเป็นความฉลาดจากมุมมองของผู้ที่ไม่เชื่อ การตัดสินนั้นต้องใช้เหตุผลเพื่อจุดจบของความชั่วร้ายหรือว่าความชั่วร้ายหมายถึงการถูกพิจารณาว่าเป็นการกระทำผ่าน "ความฉลาด" และ "ความรอบคอบแบบผิดๆ" อันเป็นการกระทำนอกเหนือจากความรอบคอบที่ถูกต้อง ปัจจัยที่นำไปสู่ความรอบคอบที่สมบูรณ์ Memoria -...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความรุนแรงของแผ่นดินไหวมีหน่วยวัดเป็นอะไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: แผ่นดินไหว Article: แผ่นดินไหว เป็นปรากฏการณ์สั่นสะเทือนหรือเขย่าของพื้นผิวโลก เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล ซึ่งแผ่นดินไหวสามารถก่อให้เกิดความเสียหายและภัยพิบัติต่อบ้านเมือง ที่อยู่อาศัย สิ่งมีชีวิต ส่วนสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวนั้นส่วนใหญ่เกิดจากธรรมชาติ โดยแผ่นดินไหวบางลักษณะสามารถเกิดจากการกระทำของมนุษย์ได้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ นักธรณีวิทยาประมาณกันว่าในวันหนึ่ง ๆ จะเกิดแผ่นดินไหวประมาณ 1,000 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแผ่นดินไหวที่มีการสั่นสะเทือนเพียงเบา ๆ เท่านั้น คนทั่วไปจะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (แนวระหว่างรอยต่อธรณีภาค) ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นหินขนาดใหญ่เลื่อน เคลื่อนที่ หรือแตกหักและเกิดการโอนถ่ายพลังงานศักย์ ผ่านในชั้นหินที่อยู่ติดกัน พลังงานศักย์นี้อยู่ในรูปคลื่นไหวสะเทือน ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวมักเกิดตามรอยเลื่อน อยู่ในระดับความลึกต่าง ๆ ของผิวโลก เท่าที่เคยวัดได้ลึกสุดอยู่ในชั้นแมนเทิล ส่วนจุดที่อยู่ในระดับสูงกว่า ณ ตำแหน่งผิวโลก เรียกว่า จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว โดยการศึกษาเรื่องแผ่นดินไหวและคลื่นสั่นสะเทือนที่ถูกส่งออกมา เรียกว่า วิทยาแผ่นดินไหว เมื่อจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่อยู่นอกชายฝั่ง อาจเกิดคลื่นสึนามิตามมาได้ นอกจากนี้ แผ่นดินไหวยังอาจก่อให้เกิดดินถล่ม และบางครั้งกิจกรรมภูเขาไฟตามมาได้ แผ่นดินไหววัดโดยใช้การสังเกตจากไซสโมมิเตอร์ (seismometer) มาตราขนาดโมเมนต์เป็นมาตราที่ใช้มากที่สุดซึ่งทั่วโลกรายงานแผ่นดินไหวที่มีขนาดมากกว่าประมาณ 5 สำหรับแผ่นดินไหวอีกจำนวนมากที่ขนาดเล็กกว่า 5 แมกนิจูด สำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหวแต่ละประเทศจะวัดด้วยมาตราขนาดท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ หรือเรียก มาตราริกเตอร์ สองมาตรานี้มีพิสัยความถูกต้องคล้ายกันในเชิงตัวเลข แผ่นดินไหวขนาด 3 หรือต่ำกว่าส่วนใหญ่แทบไม่รู้สึกหรือรู้สึกได้เบามาก ขณะที่แผ่นดินไหวตั้งแต่ขนาด 7 อาจก่อความเสียหายรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง ขึ้นอยู่กับความลึก แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มีขนาดมากกว่า 9 เล็กน้อย แม้จะไม่มีขีดจำกัดว่าขนาดจะมีได้ถึงเท่าใด แผ่นดินไหวใหญ่ล่าสุดที่มีขนาด 9.0 หรือมากกว่า คือ แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2554 และเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกในญี่ปุ่น...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความรุนแรงของแผ่นดินไหววัดได้ด้วยเครื่องมือชนิดใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: มาตราเมร์กัลลี Article: มาตราเมร์กัลลี (English: Mercalli scale) เป็นมาตราสำหรับใช้กำหนดขั้นความรุนแรงของแผ่นดินไหว คิดค้นโดยจูเซปเป เมร์กัลลี (Giuseppe Mercalli) ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวชาวอิตาลี เมื่อ พ.ศ. 2445 โดยแบ่งไว้ 10 อันดับ ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 แฮร์รี โอ. วูด และแฟรงก์ นิวแมนน์ นักวิทยาแผ่นดินไหวชาวอเมริกันได้นำมาตราเมร์กัลลีมาปรับปรุงทำให้มาตรานี้เพิ่มเป็น 12 อันดับ เรียกว่า Modified Mercalli Intensity Scale อักษรย่อ MM ปัจจุบันมาตราเมร์กัลลีไม่ค่อยเป็นที่นิยม ระดับความรุนแรงตามมาตราเมร์กัลลีเปรียบเทียบกับแมกนิจูดของแผ่นดินไหว แมกนิจูดมาตราเมร์กัลลี1.0 - 3.0I3.0 - 3.9II - III4.0 - 4.9IV - V5.0 - 5.9VI - VII6.0 – 6.9VII – X7.0 – 9.9VIII หรือสูงกว่า10.0 หรือสูงกว่าX หรือสูงกว่า ระดับความรุนแรงตามมาตราเมร์กัลลี มาตราเมร์กัลลีบ่งบอกว่าบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวได้รับผลกระทบและเกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด โดยจัดระดับความรุนแรงเป็น 12 ระดับ ด้วยเลขโรมันตั้งแต่ I ถึง XII ดังนี้ I. ไม่รู้สึกได้ตรวจวัดได้โดยเครื่องมือวัดความสั่นสะเทือนเท่านั้น ไม่สามารถรู้สึกได้นอกจากจะอยู่ในกรณีแวดล้อมที่เหมาะสมโดยเฉพาะบริเวณที่อ่อนไหวต่อความสั่นสะเทือน บางครั้งอาจสังเกตได้จากอาการผิดปกติของนกและสัตว์ต่าง ๆ บางครั้งรู้สึกมึนงงหรือคลื่นเหียนอาเจียน บางครั้งต้นไม้ สิ่งก่อสร้าง ของเหลวและน้ำอาจแกว่งไกว ประตูอาจแกว่งช้ามากII. อ่อนรู้สึกได้เป็นบางคน โดยเฉพาะที่อยู่บนอาคารสูง ๆ หรือเป็นผู้ที่มีประสาทไว เหตุการณ์ต่าง ๆ จะคล้ายกับอันดับ I แต่สังเกตได้ง่ายกว่า บางครั้งวัตถุห้อยแขวนอาจแกว่งไกวIII. อ่อนรู้สึกได้หลาย ๆ คนสำหรับผู้ที่อยู่ในตัวอาคาร การสั่นไหวโดยปกติจะสิ้นสุดโดยเร็ว จนบางครั้งอาจไม่รู้สึกว่าเป็นแผ่นดินไหว การสั่นไหวคล้ายกับมีรถบรรทุกหนักแล่นผ่านในระยะไกล ๆ วัตถุห้อยแขวนแกว่งไกวเล็กน้อยและมากขึ้นในชั้นบนของอาคารสูง ๆ รถยนต์ที่จอดอยู่อาจสั่นไหวบ้างเล็กน้อยIV. เบาผู้ที่อยู่ในบ้านจะรู้สึกกันทั่ว ส่วนผู้ที่อยู่นอกบ้านจะไม่ค่อยรู้สึก ถ้าเป็นเวลากลางคืนอาจทำให้บางคนตื่นจากหลับ ข้าวของในบ้าน เช่น ถ้วยชาม หน้าต่าง บานประตู สั่นไหวหรือลั่นปึงปัง รถยนต์ที่จอดอยู่สั่นไหวโคลงเคลงเห็นได้ชัดV. ปานกลางผู้ที่อยู่ในอาคารจะรู้สึกกันได้เกือบทุกคน ส่วนผู้ที่อยู่นอกอาคารก็รู้สึกได้เป็นส่วนใหญ่...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความรุนแรงของแผ่นดินไหววัดได้ด้วยเครื่องมือชนิดใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: แผ่นดินไหว Article: แผ่นดินไหว เป็นปรากฏการณ์สั่นสะเทือนหรือเขย่าของพื้นผิวโลก เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล ซึ่งแผ่นดินไหวสามารถก่อให้เกิดความเสียหายและภัยพิบัติต่อบ้านเมือง ที่อยู่อาศัย สิ่งมีชีวิต ส่วนสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวนั้นส่วนใหญ่เกิดจากธรรมชาติ โดยแผ่นดินไหวบางลักษณะสามารถเกิดจากการกระทำของมนุษย์ได้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ นักธรณีวิทยาประมาณกันว่าในวันหนึ่ง ๆ จะเกิดแผ่นดินไหวประมาณ 1,000 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแผ่นดินไหวที่มีการสั่นสะเทือนเพียงเบา ๆ เท่านั้น คนทั่วไปจะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (แนวระหว่างรอยต่อธรณีภาค) ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นหินขนาดใหญ่เลื่อน เคลื่อนที่ หรือแตกหักและเกิดการโอนถ่ายพลังงานศักย์ ผ่านในชั้นหินที่อยู่ติดกัน พลังงานศักย์นี้อยู่ในรูปคลื่นไหวสะเทือน ศูนย์เกิดแผ่นดินไหวมักเกิดตามรอยเลื่อน อยู่ในระดับความลึกต่าง ๆ ของผิวโลก เท่าที่เคยวัดได้ลึกสุดอยู่ในชั้นแมนเทิล ส่วนจุดที่อยู่ในระดับสูงกว่า ณ ตำแหน่งผิวโลก เรียกว่า จุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว โดยการศึกษาเรื่องแผ่นดินไหวและคลื่นสั่นสะเทือนที่ถูกส่งออกมา เรียกว่า วิทยาแผ่นดินไหว เมื่อจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่อยู่นอกชายฝั่ง อาจเกิดคลื่นสึนามิตามมาได้ นอกจากนี้ แผ่นดินไหวยังอาจก่อให้เกิดดินถล่ม และบางครั้งกิจกรรมภูเขาไฟตามมาได้ แผ่นดินไหววัดโดยใช้การสังเกตจากไซสโมมิเตอร์ (seismometer) มาตราขนาดโมเมนต์เป็นมาตราที่ใช้มากที่สุดซึ่งทั่วโลกรายงานแผ่นดินไหวที่มีขนาดมากกว่าประมาณ 5 สำหรับแผ่นดินไหวอีกจำนวนมากที่ขนาดเล็กกว่า 5 แมกนิจูด สำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหวแต่ละประเทศจะวัดด้วยมาตราขนาดท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ หรือเรียก มาตราริกเตอร์ สองมาตรานี้มีพิสัยความถูกต้องคล้ายกันในเชิงตัวเลข แผ่นดินไหวขนาด 3 หรือต่ำกว่าส่วนใหญ่แทบไม่รู้สึกหรือรู้สึกได้เบามาก ขณะที่แผ่นดินไหวตั้งแต่ขนาด 7 อาจก่อความเสียหายรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง ขึ้นอยู่กับความลึก แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มีขนาดมากกว่า 9 เล็กน้อย แม้จะไม่มีขีดจำกัดว่าขนาดจะมีได้ถึงเท่าใด แผ่นดินไหวใหญ่ล่าสุดที่มีขนาด 9.0 หรือมากกว่า คือ แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2554 และเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกในญี่ปุ่น...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความรู้สึกของมนุษย์เกิดจากอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความรู้สึก Article: ความรู้สึก</b>นั้นถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ ทั้งระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ผ่านอย่างน้อย 30 ประสาทเคมี ซึ่งทำปฏิกิริยาเดี่ยวหรือร่วมกันอย่างซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่นความรู้สึกกลัว แปลอย่างกว้างๆ ความกลัวเป็นการคาดการณ์ถึงอันตรายหรือความเจ็บปวด ความกลัวเพิ่มสารเคมีในสมองเช่น adrenalin และ cortisol ความกลัวนั้นมีประโยชน์ เพราะมันเกิดจากสิ่งรอบกายซึ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่ออันตรายหรือ การประเชิญกับอันตรายโดยตรง ถึงกระนั้นก็ดี บางครั้งในสถานการณ์ที่ไม่มีภัย ความนึกคิด จิตใต้สำนึก และ จินตนาการ ก็สามารถก็ให้เกิดความกลัวได้ การหยั่งรู้ถึงสิ่งรอบกายนั้นไม่จำเป็นว่าผู้เห็นต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ในวิธีที่ผู้เห็นจัดการกับสถานการณ์ การเกี่ยวเนื่องของสถานการณ์กันอดีตของผู้เห็น และ อีกหลากหลายปัจจัย ความคิดและความรู้สึกนั้น ส่วนใหญ่จะมาด้วยกัน ความคิดเป็นการเปรียบเทียบข้อมูลของของบางอย่าง ในระหว่างที่ความรู้สึกเป็นการวิเคราะห์ความแตกต่างของของจากภายใน เมื่อความคิดเชื่อมโยงถึงสาเหตุของความแตกต่างของของบางอย่าง ความหยั่งรู้จึงเชื่อมกับลักษณะชึ่งถูกเลือกโดยประสบการณ์ในอดีต สิ่งนี้เรียกว่าอารมณ์ ดูเพิ่ม อารมณ์ สัมผัส หมวดหมู่:ความรู้สึก
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความรู้สึกง่วงเกิดจากอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความง่วง Article: ความง่วง</b>หรือ<b data-parsoid='{"dsr":[124,142,3,3]}'>อาการง่วงซึม (English: somnolence, sleepiness, หรือ drowsiness) เป็นภาวะที่ร่างกายต้องการหลับอย่างแรง หรือหลับเป็นเวลานานผิดปกติ (เทียบกับอาการนอนมาก) ความง่วงมีความหมายและสาเหตุแยกกัน สามารถหมายถึงภาวะปกติก่อนหลับ[1] สภาพที่อยู่ในภาวะง่วงเนื่องจากความผิดปกติของจังหวะรอบวัน หรือกลุ่มอาการของปัญหาสุขภาพอื่น ความง่วงสามารถเกิดร่วมกับภาวะง่วงงุน (lethargy) ความอ่อนเปลี้ยและการขาดความคล่องทางจิต (lack of mental agility)[2] มักมองว่าความง่วงเป็นอาการมากกว่าโรคด้วยตัวมันเอง ทว่า มโนทัศน์ความง่วงเกิดซ้ำในบางเวลาจากสาเหตุบางอย่างประกอบเป็นความผิดปกติต่าง ๆ เช่น ความง่วงกลางวันมากเกิน (excessive daytime sleepiness) โรคหลับงานกะ (shift work sleep disorder) ฯลฯ และมีรหัสการแพทย์สำหรับความง่วงที่ถือเป็นโรค ความง่วงอาจเป็นอันตรายเมื่อดำเนินงานที่ต้องอาศัยสมาธิต่อเนื่อง เช่น การขับยานพาหนะ เมื่อบุคคลรู้สึกล้าระดับหนึ่ง อาจประสบการหลับเล็ก (microsleep) ได้ อ้างอิง หมวดหมู่:การนอน หมวดหมู่:อาการ หมวดหมู่:กระบวนการทางจิต
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความรู้สึกทางกายบางครั้งเรียกว่าอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ระบบรับความรู้สึกทางกาย Article: ระบบรับความรู้สึกทางกาย[1] (English: somatosensory system) เป็นส่วนของระบบรับความรู้สึกที่สามารถรับรู้อย่างหลายหลาก ประกอบด้วยตัวรับความรู้สึก/ปลายประสาทรับความรู้สึก (sensory receptor) ที่ระบบประสาทนอกส่วนกลาง และศูนย์ประมวลผลต่าง ๆ ที่ระบบประสาทกลางมากมาย ทำให้รับรู้ตัวกระตุ้นได้หลายแบบรวมทั้งสัมผัส อุณหภูมิ อากัปกิริยา และโนซิเซ็ปชั่น (ซึ่งอาจให้เกิดความเจ็บปวด) ตัวรับความรู้สึกมีอยู่ที่ผิวหนัง เนื้อเยื่อบุผิว กล้ามเนื้อโครงร่าง กระดูก ข้อต่อ อวัยวะภายใน และระบบหัวใจและหลอดเลือด ถึงแม้จะสืบทอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณว่า สัมผัสเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งในทวารทั้ง 5 (เช่น "โผฏฐัพพะ" ในพระพุทธศาสนา) แต่ความจริงแล้ว "สัมผัส" เป็นความรู้สึกต่าง ๆ หลายแบบ ดังนั้น การแพทย์จึงมักจะใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า "somatic senses (ความรู้สึกทางกาย)" แทนศัพท์ว่า "touch (สัมผัส)" เพื่อให้ครอบคลุมกลไกความรู้สึกทางกายทั้งหมด ความรู้สึกทางกายบางครั้งเรียกว่า "somesthetic senses" โดยที่คำว่า "somesthesis" นั้น รวมการรับรู้สัมผัส (touch) การรับรู้อากัปกิริยา และในบางที่ การรับรู้วัตถุโดยสัมผัส (haptic perception [upper-alpha 1])[2] ระบบรับความรู้สึกทางกายมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้ามากมายหลายแบบ โดยอาศัยตัวรับความรู้สึกประเภทต่าง ๆ รวมทั้งตัวรับอุณหภูมิ โนซิเซ็ปเตอร์ ตัวรับแรงกล และตัวรับรู้สารเคมี ข้อมูลความรู้สึกจะส่งไปจากตัวรับความรู้สึกผ่านเส้นประสาทรับความรู้สึก (sensory nerve) ผ่านลำเส้นใยประสาทในไขสันหลัง ตรงเข้าไปยังสมอง การประมวลผลโดยหลักเกิดขึ้นที่คอร์เทกซ์รับความรู้สึกทางกายปฐมภูมิ (primary somatosensory cortex) ในสมองกลีบข้าง กล่าวอย่างง่าย ๆ ที่สุด ระบบรับความรู้สึกทางกายจะเริ่มทำงานเมื่อตัวรับความรู้สึกที่กายเขตหนึ่งเริ่มทำงาน โดยถ่ายโอนคุณสมบัติของตัวกระตุ้นบางอย่างเช่นความร้อนไปเป็นสัญญาณประสาท ซึ่งในที่สุดก็จะเดินทางไปถึงเขตสมองที่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจงต่อเขตกายนั้น และเพราะเฉพาะเจาะจงอย่างนี้ จึงสามารถระบุเขตกายที่เกิดความรู้สึกโดยเฉพาะซึ่งเป็นผลแปลของสมอง ความสัมพันธ์จุดต่อจุดเช่นนี้ปรากฏเป็นแผนที่ผิวกายในสมองที่เรียกว่า homunculus แปลว่า "มนุษย์ตัวเล็ก ๆ" และเป็นส่วนสำคัญในการรับรู้ความรู้สึกที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่แผนที่ในสมองเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และจริง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างน่าทึ่งใจ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความลับของ Superstar ออกอากาศครั้งแรกปีอะไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความลับของ Superstar Article: ความลับของ Superstar ออกอากาศครั้งแรกทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 20.25 - 21.25 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 และในปี พ.ศ. 2559 ทางช่องวันได้นำละครเรื่องนี้กลับมาออกอากาศรีรันให้ชมอีกครั้งทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 13.00 - 14.30 น. เริ่มตอนแรกวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เนื้อเรื่อง กันต์ พระเอกซูเปอร์สตาร์ ได้เล่นละครคู่กับ เนตรดาว นางเอกสาวดาวรุ่ง บี ผู้จัดการส่วนตัวของเนตรดาว เลยยุให้เนตรดาวเป็นแฟนกับกันย์ หวังทำให้เนตรดาวดังขึ้นไปอีก เนตรดาวจึงโปรยเสน่ห์ใส่กันย์เต็มที่ ทำให้ เป้ เกย์รุ่นใหญ่ผู้จัดการส่วนตัวของกันย์เป็นห่วง คอยเตือนให้กันย์ระวังเนตรดาว เพราะสิ่งที่กันย์และทุกคนไม่รู้คือ เนตรดาวมีความสัมพันธ์อยู่กับ ธีร์ อดีตเพื่อนสนิทของกันย์สมัยเพิ่งเข้าวงการ ธีร์มีข่าวพัวพันยาเสพติดจนชื่อเสียงตกต่ำ กันย์ได้รับเลือกให้เป็นพระเอกหนังแทนธีร์ และกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ไปจากหนังเรื่องนั้น ทำให้ธีร์โกรธอาฆาตและโทษว่ากันย์แย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากเขา และกำลังแย่งเนตรดาวไปอีก อัปสร แม่ของกันย์เป็นแม่ค้าขายขนม ที่เลี้ยงดูกันย์มาตามลำพัง อัปสรบอกลูกว่าพ่อทิ้งไปตอนที่เธอท้อง แต่ความจริงแล้วพ่อของกันย์คือ บัญชา พระเอกรุ่นเก่าในอดีต บัญชาไม่กล้าเปิดเผยว่าเป็นพ่อของลูกในท้องอัปสร เพราะกลัวว่าจะสูญเสียชื่อเสียง ทำให้อัปสรตัดขาดจากบัญชาตั้งแต่นั้น และบอกบัญชาว่าทำแท้งไปแล้ว บัญชาจึงไม่รู้ว่าเขามีลูกและกันย์เองก็ไม่เคยรู้ว่าพ่อที่แท้จริงเป็นใคร ด้วยความเจ้าอารมณ์ของกันย์ทำให้แม่บ้านอยู่ได้ไม่นาน อัปสรจึงขอให้ ป่าน ลูกสาวเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาช่วยเป็นแม่บ้านให้ พร้อมๆ กับเรียนหนังสือไปด้วย ป่านเป็นคนซุ่มซ่ามเลยโดนกันย์ดุด่าเสมอ แต่ป่านก็ยังแอบชอบกันย์ไม่เปลี่ยนแปลง วันหนึ่งกันย์ไปส่งเนตรดาวที่บ้านได้เจอกับธีร์ ความลับเรื่องเนตรดาวเป็นแฟนกับธีร์จึงเปิดเผย กันย์เลี่ยงไม่ใกล้ชิดเนตรดาวอีก ขณะที่เนตรดาวบอกว่าตนพยายามเลิกกับธีร์นานแล้ว แต่ธีร์ไม่ยอมเลิก เนตรดาวแกล้งป่วยให้กันย์ขับรถไปส่ง ธีร์เห็นเข้าก็โมโหขับรถไล่ตาม คืนนั้นกันย์เลยพาเนตรดาวหลบไปพักที่บ้านของตัวเอง แล้วมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ป่านตกใจมากที่เห็นเนตรดาวออกมาจากห้องกันย์ กันต์ขู่ไม่ให้ป่านพูดอะไร เนตรดาวเห็นป่านก็รู้ว่าป่านชอบกันย์ บัญชาได้เล่นละครเรื่องเดียวกับกันย์ โดยรับบทเป็นพ่อของกันย์...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความลับของ Superstar เป็นละครหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความลับของ Superstar Article: ความลับของ Superstar ออกอากาศครั้งแรกทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 20.25 - 21.25 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 และในปี พ.ศ. 2559 ทางช่องวันได้นำละครเรื่องนี้กลับมาออกอากาศรีรันให้ชมอีกครั้งทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 13.00 - 14.30 น. เริ่มตอนแรกวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เนื้อเรื่อง กันต์ พระเอกซูเปอร์สตาร์ ได้เล่นละครคู่กับ เนตรดาว นางเอกสาวดาวรุ่ง บี ผู้จัดการส่วนตัวของเนตรดาว เลยยุให้เนตรดาวเป็นแฟนกับกันย์ หวังทำให้เนตรดาวดังขึ้นไปอีก เนตรดาวจึงโปรยเสน่ห์ใส่กันย์เต็มที่ ทำให้ เป้ เกย์รุ่นใหญ่ผู้จัดการส่วนตัวของกันย์เป็นห่วง คอยเตือนให้กันย์ระวังเนตรดาว เพราะสิ่งที่กันย์และทุกคนไม่รู้คือ เนตรดาวมีความสัมพันธ์อยู่กับ ธีร์ อดีตเพื่อนสนิทของกันย์สมัยเพิ่งเข้าวงการ ธีร์มีข่าวพัวพันยาเสพติดจนชื่อเสียงตกต่ำ กันย์ได้รับเลือกให้เป็นพระเอกหนังแทนธีร์ และกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ไปจากหนังเรื่องนั้น ทำให้ธีร์โกรธอาฆาตและโทษว่ากันย์แย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากเขา และกำลังแย่งเนตรดาวไปอีก อัปสร แม่ของกันย์เป็นแม่ค้าขายขนม ที่เลี้ยงดูกันย์มาตามลำพัง อัปสรบอกลูกว่าพ่อทิ้งไปตอนที่เธอท้อง แต่ความจริงแล้วพ่อของกันย์คือ บัญชา พระเอกรุ่นเก่าในอดีต บัญชาไม่กล้าเปิดเผยว่าเป็นพ่อของลูกในท้องอัปสร เพราะกลัวว่าจะสูญเสียชื่อเสียง ทำให้อัปสรตัดขาดจากบัญชาตั้งแต่นั้น และบอกบัญชาว่าทำแท้งไปแล้ว บัญชาจึงไม่รู้ว่าเขามีลูกและกันย์เองก็ไม่เคยรู้ว่าพ่อที่แท้จริงเป็นใคร ด้วยความเจ้าอารมณ์ของกันย์ทำให้แม่บ้านอยู่ได้ไม่นาน อัปสรจึงขอให้ ป่าน ลูกสาวเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาช่วยเป็นแม่บ้านให้ พร้อมๆ กับเรียนหนังสือไปด้วย ป่านเป็นคนซุ่มซ่ามเลยโดนกันย์ดุด่าเสมอ แต่ป่านก็ยังแอบชอบกันย์ไม่เปลี่ยนแปลง วันหนึ่งกันย์ไปส่งเนตรดาวที่บ้านได้เจอกับธีร์ ความลับเรื่องเนตรดาวเป็นแฟนกับธีร์จึงเปิดเผย กันย์เลี่ยงไม่ใกล้ชิดเนตรดาวอีก ขณะที่เนตรดาวบอกว่าตนพยายามเลิกกับธีร์นานแล้ว แต่ธีร์ไม่ยอมเลิก เนตรดาวแกล้งป่วยให้กันย์ขับรถไปส่ง ธีร์เห็นเข้าก็โมโหขับรถไล่ตาม คืนนั้นกันย์เลยพาเนตรดาวหลบไปพักที่บ้านของตัวเอง แล้วมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ป่านตกใจมากที่เห็นเนตรดาวออกมาจากห้องกันย์ กันต์ขู่ไม่ให้ป่านพูดอะไร เนตรดาวเห็นป่านก็รู้ว่าป่านชอบกันย์ บัญชาได้เล่นละครเรื่องเดียวกับกันย์ โดยรับบทเป็นพ่อของกันย์...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความสัมพันธ์ คืออะไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความสัมพันธ์ Article: ความสัมพันธ์ อาจหมายถึง == ผูกพัน เกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ทางสังคม ในสังคมศาสตร์ เป็นความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างบุคคลที่มากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นกลยุทธ์ของแต่ละรัฐเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยนโยบายทางการต่างประเทศ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ (ฐานข้อมูล) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตารางในการออกแบบฐานข้อมูล คณิตศาสตร์ ความสัมพันธ์ทวิภาค เป็นความสัมพันธ์กันของวัตถุคณิตศาสตร์สองชุด เช่น การเท่ากัน (=) หรือการน้อยกว่า (<) ตัวอย่างเช่น "5 < 6" และ "2 + 2 = 4"
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความสำคัญหลักของฟังก์ชันเลขชี้กำลังในคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เกิดจากสมบัติของอนุพันธ์ของมัน ใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ฟังก์ชันเลขชี้กำลัง Article: ฟังก์ชันเลขชี้กำลัง หรือ ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล (English: exponential function) หมายถึงฟังก์ชัน ex เมื่อ e คือจำนวนที่ทำให้ฟังก์ชัน ex เท่ากับอนุพันธ์ของมันเอง (ซึ่ง e มีค่าประมาณ 2.718281828) [1][2] ฟังก์ชันเลขชี้กำลังถูกใช้เพื่อจำลองความสัมพันธ์ เมื่อการเปลี่ยนแปลงคงตัวในตัวแปรอิสระ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามสัดส่วนเดียวกันในตัวแปรตาม (เช่นการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอัตราร้อยละ) ฟังก์ชันนี้มักเขียนเป็น exp(x) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวแปรอิสระเขียนเป็นตัวยกไม่ได้ กราฟของฟังก์ชัน y = ex มีลักษณะตั้งชันขึ้นและมีอัตราเพิ่มค่าเร็วยิ่งขึ้นเมื่อ x เพิ่มขึ้น กราฟจะวางตัวอยู่เหนือแกน x เสมอ แต่เมื่อ x เป็นลบกราฟจะลู่เข้าแกน x ดังนั้นแกน x จึงเป็นเส้นกำกับแนวนอน (horizontal asymptote) เส้นหนึ่งของกราฟนี้ ความชันของกราฟแต่ละจุดมีค่าเท่ากับพิกัด y ของจุดนั้น ฟังก์ชันผกผันของฟังก์ชันเลขชี้กำลังคือลอการิทึมธรรมชาติ ln(x) ด้วยเหตุนี้ตำราบางเล่มจึงอ้างถึงฟังก์ชันเลขชี้กำลังว่าเป็น แอนติลอการิทึม (antilogarithm) [3] ในบางกรณีคำว่า ฟังก์ชันเลขชี้กำลัง ก็มีใช้ในความหมายทั่วไปยิ่งขึ้น สำหรับฟังก์ชันต่าง ๆ ที่อยู่ในรูปแบบ cbx เมื่อ b คือฐานที่เป็นจำนวนจริงบวก ไม่จำเป็นต้องเป็น e ดูเพิ่มที่การเติบโตแบบเลขชี้กำลังสำหรับความหมายนี้ โดยทั่วไปตัวแปร x สามารถเป็นจำนวนจริง จำนวนเชิงซ้อน หรือแม้แต่วัตถุทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ที่ต่างชนิดกันอย่างสิ้นเชิงก็ได้ ดูรายละเอียดที่ นิยามเชิงรูปนัย ภาพรวม ฟังก์ชันเลขชี้กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ปริมาณอย่างหนึ่งเติบโตหรือเสื่อมสลายในอัตราที่ได้สัดส่วนกับค่าปัจจุบัน ตัวอย่างสถานการณ์นี้เช่นดอกเบี้ยทบต้นต่อเนื่อง เมื่อ ค.ศ. 1683 ยาคอบ แบร์นูลลี (Jocob Bernoulli) พบว่ามันเป็นเช่นนั้นโดยข้อเท็จจริง [4] และนำไปสู่จำนวน e ที่ไม่ทราบค่าดังนี้ lim n → ∞ ( 1 + 1 n ) n {\displaystyle \lim _{n\to \infty }\left(1+{\frac {1}{n}}\right)^{n}} ต่อมา ค.ศ. 1697 โยฮันน์ แบร์นูลลี (Johann Bernoulli) ก็ได้ศึกษาแคลคูลัสของฟังก์ชันเลขชี้กำลังดังกล่าว [4] ถ้ามีเงินต้นจำนวน 1 และได้รับดอกเบี้ยในอัตรารายปี x โดยทบต้นรายเดือน ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับต่อเดือนจึงเป็น x/12 เท่าของมูลค่าปัจจุบัน แต่ละเดือนจึงมียอดรวมของเดือนก่อนหน้าคูณด้วย (1+x/12) ในที่สุดมูลค่าที่ได้เมื่อสิ้นปีจึงเท่ากับ...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความหมายของธงชาติไทยคืออะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ธงชาติไทย Article: ธงชาติไทย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธงไตรรงค์ มีลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้สีหลักในธง 3 สี คือ สีแดง สีขาว และสีน้ำเงินขาบ ภายในแบ่งเป็นแถบ 5 แถบ แถบในสุดสีน้ำเงิน ถัดมาด้านนอกทั้งด้านบนและล่างเป็นสีขาวและสีแดงตามลำดับ แถบสีน้ำเงินมีขนาดใหญ่กว่าแถบสีอื่นเป็น 2 เท่า ความหมายสำคัญของธงไตรรงค์นั้นหมายถึงสถาบันหลักทั้งสามของประเทศไทย คือ ชาติ (สีแดง) ศาสนา (สีขาว) และพระมหากษัตริย์ (สีน้ำเงิน) สีทั้งสามนี้เองคือที่มาของการเรียกชื่อธงนี้ว่าธงไตรรงค์ (ไตร = สาม, รงค์ = สี) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธงนี้เป็นธงชาติไทย[1] (ขณะนั้นยังเรียกชื่อประเทศว่าสยาม) เมื่อช่วงปลายปี พ.ศ. 2460 เพื่อแก้ไขปัญหาการทำธงช้างเผือก (ซึ่งใช้เป็นธงชาติมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4) ที่ทำตัวช้างเผือกไม่สวยงาม[2] และเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กับฝ่ายสัมพันธมิตร[3] ประวัติ กำเนิดธงสยาม ประวัติศาสตร์การใช้ธงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย สามารถสืบได้แต่เพียงความว่า มีการใช้ธงสำหรับเป็นเครื่องหมายของกองทัพกองละสีและใช้ธงสีแดงเป็นเครื่องสำหรับเรือกำปั่นเดินทะเลทั่วไปมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และยังไม่มีธงชาติไว้ใช้ดังที่เข้าใจในปัจจุบัน[4] ในพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวตามความในจดหมายเหตุต่างประเทศแห่งหนึ่งว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2231) เรือค้าขายของฝรั่งเศสลำหนึ่งได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ของไทยไว้ว่า ปกติคนต่างชาติที่ล่องมาทางเรือจะไปอยุธยา ต้องผ่านเจ้าพระยา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเกิดที่ป้อมวิไชยเยนทร์ หรือป้อมฝรั่ง เพราะพระยาวิชเยนทร์ เกณฑ์แรงงานฝรั่งมาสร้างไว้ ปัจจุบันคือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ตั้งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ ปกติเรือสินค้าสำคัญ เรือที่มากับราชทูตที่จะผ่านต้องมีธรรมเนียมประเพณีคือ ชักธงประเทศของเขาบนเรือ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่า มาถึงแล้ว เมื่อเรือฝรั่งเศสชักธงชาติของตัวเองขึ้น ฝ่ายสยามยิงสลุตคำนับตามธรรมเนียม ซึ่งขณะเดียวกันสยามเองต้องชักธงขึ้นด้วย เพื่อตอบกลับว่า ยินดีต้อนรับ แต่ตอนนั้นทหารประจำป้อมวิไชยเยนทร์ไม่เคยพบประเพณีแบบนี้ และสยามไม่มีธงสัญลักษณ์ที่ใช้เป็นธงชาติมาก่อน จึงคว้าผ้าที่วางอยู่แถวนั้น ซึ่งดันหยิบธงชาติฮอลันดาชักขึ้นเสาแบบส่งเดช...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความหมายของธงชาติไทยคืออะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: วันพระราชทานธงชาติไทย Article: วันพระราชทานธงชาติไทย (English: Thai National Flag Day) เป็นวันที่ระลึกถึงโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง พระพุทธศักราช ๒๔๖๐ โดยมีสาระสำคัญคือ การประกาศให้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการประกาศไว้ ณ วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2460[1] สำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จึงเสนอให้วันที่ 28 กันยายน ของทุกปีเป็นวันพระราชทานธงชาติไทย และในวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559 ในการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ ที่ประชุมซึ่งนำโดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ 28 กันยายน ของทุกปีเป็น วันพระราชทานธงชาติไทย โดยให้เริ่มในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นปีแรก เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ธงชาติไทย แต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ[2] รวมทั้งกำหนดให้มีการชักธงและประดับธงชาติไทยในวันดังกล่าวด้วย เพื่อเป็นการสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และถือเป็นประเทศที่ 54 ของโลกที่มีวันธงชาติ โดยการกำหนดวันธงชาติของต่างประเทศ ล้วนอิงกับภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ และการสร้างชาติของแต่ละประเทศ[3] กิจกรรม 100 ปี ธงชาติไทย ในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นปีแรกที่รัฐบาลประกาศให้มีกิจกรรมวันพระราชทานธงชาติไทยนั้น ถือเป็นปีที่มีการจัดกิจกรรมครบรอบ 100 ปี ธงชาติไทยด้วย ในวันที่ 28 กันยายน ที่ตึกไทยคู่ฟ้า และตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล จึงมีการจัดกิจกรรมครบรอบ 100 ปี ธงชาติไทย และมีนิทรรศการวันพระราชทานธงชาติไทย ชื่อว่า "100 ปี ธงชาติไทย ร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ" โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในกิจกรรมครั้งนี้ โดยมีส่วนราชการต่าง ๆ มาร่วมในพิธีนี้ด้วยตั้งแต่เวลา 07:45 น. โดย พล.อ.ประยุทธ์ รับการเคารพจากหมู่เชิญธง และมอบธงชาติไทยแก่หัวหน้าชุดหมู่เชิญธง จากนั้นชุดหมู่เชิญธงนำธงชาติไทยที่ได้รับมอบจากนายกรัฐมนตรี มายังบริเวณแท่นหน้าเสาธง ขณะที่นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี พร้อมกันยังจุดบริเวณแท่นหน้าเสาธง ตึกสันติไมตรี เพื่อยืนเคารพธงชาติไทย และร่วมร้องเพลงชาติไทยในเวลา 08:00 น. จากนั้นเปิดนิทรรศการวันพระราชทานธงชาติไทย พร้อมทั้งมอบตราสัญลักษณ์...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความหมายของผู้บริหาร คืออะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ผู้บริหาร Article: ผู้บริหาร (English: executive) มี 3 แบบด้วยกันคือ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับกลาง และผู้บริหารระดับล่าง ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับสูง หมายถึง ประธานกรรมการจนไปถึงกรรมการผู้จัดการ หรืออาจเรียกว่าผู้ริเร่มก่อตั้งองค์การ ผู้บริหารประเทศ (government administrator)หมายถึง ผู้นำของรัฐบาล มีอำนนาจหน้าที่ในการบริหารประเทศ หน้าที่ของผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้ตัดสินใจแผนการระยะยาวที่เกี่ยวกับทิศทางโดยรวมขององค์การ กำหนดวัตถุประสงค์ นโยบายและกลยุทธ์ แนะนำทางการจัดการในสิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กำหนดไว้ 2412 ผู้บริหารระดับกลาง ผู้บริหารระดับกลาง หมายถึง ผู้อำนวยการ หัวหน้าศูนย์ ผู้จัดการแผนก หรือหัวหน้าสายงาน หน้าที่ของผู้บริหารระดับกลาง ดำเนินงานตามนโยบายและแผนงานที่ได้กำหนดไว้ ประสานงานระหว่างผู้บริหารระดับสูง เพื่อกำหนดนโยบายให้ผู้จัดการระดับล่าง ได้นำแผนงานไปปฏิบัติ ผู้บริหารระดับล่าง ผู้บริหารระดับล่าง หมายถึงหัวหน้าแผนกหรือหัวหน้าคนงาน หน้าที่ของผู้บริหารระดับล่าง ทำตามนโยบายที่ผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารระดับกลางกำหนดไว้ ทำการตัดสินใจระยะสั้นในการดำเนินงาน ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับทีม สร้างแรงจูงใจและสามารถรับผิดชอบแทนผู้ที่อยู่ในแผนกของตนได้ ความหมายของผู้บริหาร ผู้บริหาร คือผู้ที่แบ่งงานให้ตามความสามารถของแต่ล่ะบุคคลและให้คำแนะนำการทำงานนั้นอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คำว่าบริหารตามพจนานุกรมหมายถึงการแบ่งงานกันทำโดยทั่วถึง การกระจายงาน ผู้ที่ทำหน้าที่ดำเนินการต่างๆ ผู้ที่ทำการปกครอง หรืออาจเป็นการออกกำลังกาย [1] หลักการของผู้บริหาร การวางแผน คือ การร่วมมือของบุคลากรกับผู้บริหารในการวางแบบโครงสร้างในอนาคตเพื่อจะได้กระทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การจัดระบบ คือ การกำหนดหน้าที่ให้กับบุคลากรในการรับผิดชอบในการกระทำการนั้นๆ และขึ้นตรงกับบุคคลใด และรายงานผลการปฏิบัติงานกับบุคคลใด การรับบุคลากรเข้าทำงาน คือ การจัดหรือเพิ่มจำนวนบุคลากรที่มีความสามารถมารับตำแหน่งในการทำงารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรให้มีปรัสิทธิภาพสูงสุด การอำนวยการ คือ การตัดสินใจ การสั่งการบุคลากร การสร้างแรงจูงใจให้แก่บุคลากร การติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานอื่นๆ การควบคุม คือ การจัดการงานให้เป็นไปตามแบบแผนที่ตั้งไว้ให้ไม่มีแนวโน้มว่าจะมีการเบี่ยงเบนออกจากแบบแผนเดิมซึ่งทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จ การประสานงาน คือ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเครียด เกิดขึ้นที่สมองส่วนไหน?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: การประมวลผลให้เป็นความกลัวในสมอง Article: การประมวลผลให้เป็นความกลัวในสมอง (English: Fear processing in the brain) เป็นกระบวนการที่สมองแปลผลจากสิ่งเร้า ไปเป็นพฤติกรรมในสัตว์โดยเป็น "การตอบสนองประกอบด้วยความกลัว (fear response)" มีการทดลองที่ได้ทำแล้วหลายอย่างเพื่อจะสืบหาว่า สมองแปลผลจากสิ่งเร้าได้อย่างไร และสัตว์มี การตอบสนองประกอบด้วยความกลัว</i>ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร จริง ๆ แล้ว ความรู้สึกหวาดกลัว เป็นสิ่งที่กำหนดไว้กระทั่งในยีนของมนุษย์ เพราะความกลัวนั้นจำเป็นต่อการมีชีวิตรอดอยู่ได้ของแต่ละคน นอกจากนั้นแล้ว นักวิจัยยังพบว่า ความกลัวก่อร่างสร้างตัวอย่างไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจ และเขตสมองชื่อว่า อะมิกดะลา มีบทบาทในการปรับสภาวะให้เกิดความกลัว (fear conditioning) ถ้าเข้าใจว่า ความหวาดกลัวเกิดขึ้นได้อย่างไรในบุคคลหนึ่ง ๆ ก็อาจสามารถที่จะรักษาความผิดปกติทางจิตประเภทต่าง ๆ เช่น ความวิตกกังวล โรคกลัว และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจได้ วิถีประสาทแห่งความกลัว ในกระบวนการปรับสภาวะให้เกิดความกลัว (fear conditioning) วงจรประสาทที่เกี่ยวข้องก็คือ เขตรับความรู้สึกต่าง ๆ ที่แปลผลของตัวกระตุ้นทั้งมีเงื่อนไข (conditioned stimuli[1]) และทั้งไม่มีเงื่อนไข (unconditioned stimuli[1]) บางส่วนของอะมิกดะลาที่มีความเปลี่ยนแปลงเมื่อผ่านการเรียนรู้ และ เขตที่ให้เกิดการแสดงออกในการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขบางอย่าง เนื่องจากว่า วิถีประสาทเหล่านี้ ไปรวมตัวลงที่อะมิกดะลาด้านข้าง และเพราะว่า กระบวน<b data-parsoid='{"dsr":[2224,2264,3,3]}'>การเสริมกำลังการส่งสัญญาณในระยะยาว (long-term potentiation, ตัวย่อ LTP[2]) และสภาพพลาสติกของไซแนปส์ที่เพิ่มระดับการตอบสนองของนิวรอนที่อะมิกดะลาด้านข้างต่อตัวกระตุ้นมีเงื่อนไข เกิดขึ้นที่อะมิกดะลาด้านข้าง ดังนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับตัวกระตุ้นมีเงื่อนไขจึงสามารถจะเดินทางไปจากอะมิกดะลาด้านข้าง ไปถึงนิวเคลียสกลางของอะมิกดะลา คือ ส่วนฐาน (basal) และ Intercalated cells[3] ของอะมิกดะลาเชื่อมอะมิกดะลาส่วนข้างไปยังนิวเคลียสกลางทั้งโดยตรงและโดยอ้อม วิถีประสาทจากนิวเคลียสกลางของอะมิกดะลาที่ดำเนินไปยังเขตต่อไปนั่นแหละ เป็นส่วนในสมองที่ควบคุมพฤติกรรมเพื่อป้องกันตน (เช่นการมีตัวแข็ง) ควบคุมการตอบสนองของระบบประสาทอัตโนวัติ (autonomic nervous system) และควบคุมการตอบสนองของระบบต่อมไร้ท่อ ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเครียดสามารถระงับได้ด้วยยาหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเครียด (จิตวิทยา) Article: ในสาขาจิตวิทยา ความเครียด เป็นความรู้สึกตึง/ล้าทางใจ หรือการเสียศูนย์/ความสมดุลทางใจที่มีมาก่อน เนื่องจากการได้รับสิ่งเร้า/ปัจจัยไม่ว่าทางกายหรือใจ ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจริง ๆ หรือไม่ เช่น อากาศร้อน ถูกติเตียนต่อหน้าสาธารณชน หรือได้รับสิ่งเร้า/ประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่น่าชอบใจ และโดยทั่วไปหมายถึงอารมณ์เชิงลบซึ่งบุคคลปกติพยายามจะหลีกเลี่ยง เป็นอารมณ์ที่เกิดพร้อมกับการปรับตัวทางสรีรภาพ ทางประชาน และทางพฤติกรรม[1] เป็นความทุกข์ทางใจอย่างหนึ่ง[2] ความเครียดเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องที่น่าต้องการ มีประโยชน์ และแม้แต่ดีต่อสุขภาพ เช่น ความเครียด "เชิงบวก" ที่ช่วยให้นักกีฬาเล่นกีฬาได้ดีขึ้น มันยังเป็นปัจจัยสร้างแรงจูงใจ การปรับตัว และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม แต่การเครียดมากอาจทำอันตรายต่อร่างกาย เพราะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตันในสมอง กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด แผลเปื่อย และโรคทางใจ เช่น โรคซึมเศร้า[3] ความเครียดอาจมาจากปัจจัยภายนอกและเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม[4] แต่ก็อาจมีเหตุจากการรับรู้ภายในที่ทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลหรือเกิดอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ เช่น รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ เป็นต้น แล้วทำให้เครียด[2] นักวิชาการจึงได้นิยามความเครียดไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมที่บุคคลจัดว่าสำคัญต่อตน และรู้สึกหนักเกินกว่าที่ตนจะรับมือได้[5] การรวมความเครียดแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน มุมมองเกี่ยวกับความเครียดที่ไม่ค่อยพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือทำให้ปรับตัวได้ดี[6] คือ ความเครียดแบบดีจะเป็นแรงจูงใจและสร้างความท้าทายแทนที่จะทำให้วิตกกังวล ความเครียดแบบดี (eustress) จะต่างกับความเครียดที่ไม่ดี (distress) อย่างสำคัญ แม้จะเรียกรวม ๆ ว่าความเครียดเหมือนกัน แต่ก็ควรมองเป็นแนวคิดที่ต่างกัน รูปแบบต่าง ๆ แพทย์ชาวออสเตรีย-แคนาดา แฮนส์ เซ็ลเย (Hans Selye ผู้บางคนเรียกว่า "บิดาเรื่องความเครียด") เสนอว่า มีความเครียด 4 รูปแบบ[7] ในแนวหนึ่ง มีความเครียดแบบดี (eustress) และแบบไม่ดี (distress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อสร้างความเครียดแบบดีให้มากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกแนวหนึ่ง มีความเครียดเกิน (hyperstress) และความเครียดน้อยเกิน (hypostress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำให้สมดุลเท่าที่จะเป็นไปได้[8] แนวคิดเช่นนี้มีผลดีกับการทำประโยชน์ในชีวิตอย่างมาก...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเครียดเป็นสาเหตุหลักในการเกิดโรคทางจิตหรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเครียด (จิตวิทยา) Article: ในสาขาจิตวิทยา ความเครียด เป็นความรู้สึกตึง/ล้าทางใจ หรือการเสียศูนย์/ความสมดุลทางใจที่มีมาก่อน เนื่องจากการได้รับสิ่งเร้า/ปัจจัยไม่ว่าทางกายหรือใจ ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจริง ๆ หรือไม่ เช่น อากาศร้อน ถูกติเตียนต่อหน้าสาธารณชน หรือได้รับสิ่งเร้า/ประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่น่าชอบใจ และโดยทั่วไปหมายถึงอารมณ์เชิงลบซึ่งบุคคลปกติพยายามจะหลีกเลี่ยง เป็นอารมณ์ที่เกิดพร้อมกับการปรับตัวทางสรีรภาพ ทางประชาน และทางพฤติกรรม[1] เป็นความทุกข์ทางใจอย่างหนึ่ง[2] ความเครียดเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องที่น่าต้องการ มีประโยชน์ และแม้แต่ดีต่อสุขภาพ เช่น ความเครียด "เชิงบวก" ที่ช่วยให้นักกีฬาเล่นกีฬาได้ดีขึ้น มันยังเป็นปัจจัยสร้างแรงจูงใจ การปรับตัว และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม แต่การเครียดมากอาจทำอันตรายต่อร่างกาย เพราะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตันในสมอง กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด แผลเปื่อย และโรคทางใจ เช่น โรคซึมเศร้า[3] ความเครียดอาจมาจากปัจจัยภายนอกและเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม[4] แต่ก็อาจมีเหตุจากการรับรู้ภายในที่ทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลหรือเกิดอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ เช่น รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ เป็นต้น แล้วทำให้เครียด[2] นักวิชาการจึงได้นิยามความเครียดไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมที่บุคคลจัดว่าสำคัญต่อตน และรู้สึกหนักเกินกว่าที่ตนจะรับมือได้[5] การรวมความเครียดแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน มุมมองเกี่ยวกับความเครียดที่ไม่ค่อยพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือทำให้ปรับตัวได้ดี[6] คือ ความเครียดแบบดีจะเป็นแรงจูงใจและสร้างความท้าทายแทนที่จะทำให้วิตกกังวล ความเครียดแบบดี (eustress) จะต่างกับความเครียดที่ไม่ดี (distress) อย่างสำคัญ แม้จะเรียกรวม ๆ ว่าความเครียดเหมือนกัน แต่ก็ควรมองเป็นแนวคิดที่ต่างกัน รูปแบบต่าง ๆ แพทย์ชาวออสเตรีย-แคนาดา แฮนส์ เซ็ลเย (Hans Selye ผู้บางคนเรียกว่า "บิดาเรื่องความเครียด") เสนอว่า มีความเครียด 4 รูปแบบ[7] ในแนวหนึ่ง มีความเครียดแบบดี (eustress) และแบบไม่ดี (distress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อสร้างความเครียดแบบดีให้มากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกแนวหนึ่ง มีความเครียดเกิน (hyperstress) และความเครียดน้อยเกิน (hypostress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำให้สมดุลเท่าที่จะเป็นไปได้[8] แนวคิดเช่นนี้มีผลดีกับการทำประโยชน์ในชีวิตอย่างมาก...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อการนอนหลับหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเครียด (จิตวิทยา) Article: ในสาขาจิตวิทยา ความเครียด เป็นความรู้สึกตึง/ล้าทางใจ หรือการเสียศูนย์/ความสมดุลทางใจที่มีมาก่อน เนื่องจากการได้รับสิ่งเร้า/ปัจจัยไม่ว่าทางกายหรือใจ ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจริง ๆ หรือไม่ เช่น อากาศร้อน ถูกติเตียนต่อหน้าสาธารณชน หรือได้รับสิ่งเร้า/ประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่น่าชอบใจ และโดยทั่วไปหมายถึงอารมณ์เชิงลบซึ่งบุคคลปกติพยายามจะหลีกเลี่ยง เป็นอารมณ์ที่เกิดพร้อมกับการปรับตัวทางสรีรภาพ ทางประชาน และทางพฤติกรรม[1] เป็นความทุกข์ทางใจอย่างหนึ่ง[2] ความเครียดเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องที่น่าต้องการ มีประโยชน์ และแม้แต่ดีต่อสุขภาพ เช่น ความเครียด "เชิงบวก" ที่ช่วยให้นักกีฬาเล่นกีฬาได้ดีขึ้น มันยังเป็นปัจจัยสร้างแรงจูงใจ การปรับตัว และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม แต่การเครียดมากอาจทำอันตรายต่อร่างกาย เพราะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตันในสมอง กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด แผลเปื่อย และโรคทางใจ เช่น โรคซึมเศร้า[3] ความเครียดอาจมาจากปัจจัยภายนอกและเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม[4] แต่ก็อาจมีเหตุจากการรับรู้ภายในที่ทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลหรือเกิดอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ เช่น รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ เป็นต้น แล้วทำให้เครียด[2] นักวิชาการจึงได้นิยามความเครียดไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมที่บุคคลจัดว่าสำคัญต่อตน และรู้สึกหนักเกินกว่าที่ตนจะรับมือได้[5] การรวมความเครียดแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน มุมมองเกี่ยวกับความเครียดที่ไม่ค่อยพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือทำให้ปรับตัวได้ดี[6] คือ ความเครียดแบบดีจะเป็นแรงจูงใจและสร้างความท้าทายแทนที่จะทำให้วิตกกังวล ความเครียดแบบดี (eustress) จะต่างกับความเครียดที่ไม่ดี (distress) อย่างสำคัญ แม้จะเรียกรวม ๆ ว่าความเครียดเหมือนกัน แต่ก็ควรมองเป็นแนวคิดที่ต่างกัน รูปแบบต่าง ๆ แพทย์ชาวออสเตรีย-แคนาดา แฮนส์ เซ็ลเย (Hans Selye ผู้บางคนเรียกว่า "บิดาเรื่องความเครียด") เสนอว่า มีความเครียด 4 รูปแบบ[7] ในแนวหนึ่ง มีความเครียดแบบดี (eustress) และแบบไม่ดี (distress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อสร้างความเครียดแบบดีให้มากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกแนวหนึ่ง มีความเครียดเกิน (hyperstress) และความเครียดน้อยเกิน (hypostress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำให้สมดุลเท่าที่จะเป็นไปได้[8] แนวคิดเช่นนี้มีผลดีกับการทำประโยชน์ในชีวิตอย่างมาก...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเชื่อนี้ปรากฏหลายครั้งในบทแปลของพันธสัญญาเดิม ใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: พันธสัญญาเดิม Article: พันธสัญญาเดิม (English: Old Testament) เป็นศัพท์ศาสนาคริสต์ใช้เรียกคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งเป็นชุดคัมภีร์ของชาววงศ์วานอิสราเอลโบราณ[1] ที่รวมกันเป็นส่วนแรกของคัมภีร์ไบเบิลในศาสนาคริสต์ จำนวนหนังสือในพันธสัญญาเดิมจะแตกต่างกันตามแต่ละนิกายในศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ยอมรับเฉพาะหนังสือ 24 เล่มในคัมภีร์ทานัคว่าเป็นพันธสัญญาเดิม แต่แบ่งใหม่เป็น 39 เล่ม ส่วนนิกายโรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ คอปติกออร์ทอดอกซ์ และคริสตจักรแห่งเอธิโอเปีย มีจำนวนหนังสือที่รับเข้าในสารบบพันธสัญญาเดิมของตนมากกว่า[2] รายชื่อหนังสือในภาคพันธสัญญาเดิม คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม แบ่งหนังสือออกเป็น 5 หมวดใหญ่ ได้แก่ หมวดเบญจบรรณ (Pentateuch) มี 5 เล่ม ประกอบด้วย ปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี และเฉลยธรรมบัญญัติ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างทรงสร้างของพระเจ้า บรรพชนของชนชาติอิสราเอล เรื่องของพระบัญญัติ และพิธีการต่าง ๆ ของชาวอิสราเอล เป็นสำคัญ ศาสนายูดาห์เรียกคัมภีร์ในหมวดนี้ว่า โทราห์ (Torah) หมวดประวัติศาสตร์ (Historical books) มี 12 เล่ม ประกอบด้วย โยชูวา ผู้วินิจฉัย นางรูธ 1-2ซามูเอล 1-2พงศ์กษัตริย์ 1-2พงศาวดาร เอสรา เนหะมีย์ และเอสเธอร์ ว่าด้วย พงศาวดารของชนชาติอิสราเอล ตั้งแต่การตั้งรกราก จนถึงก่อนพระเยซูประสูติ หมวดปรีชาญาณ (Wisdom books) มี 5 เล่ม ประกอบด้วย โยบ สดุดี สุภาษิต ปัญญาจารย์ และบทเพลงซาโลมอน ว่าด้วย บทสรรเสริญพระเจ้าและหนุนใจอิสราเอล ในรูปแบบโคลงกลอนสมัยก่อนคริสตกาล หมวดผู้เผยพระวจนะใหญ่ (Major prophets) มี 5 เล่ม ประกอบด้วย อิสยาห์ เยเรมีห์ บทเพลงคร่ำครวญ เอเสเคียล และดาเนียล ว่าด้วย ข้อเขียนของผู้เผยพระวจนะที่ศาสนายูดาห์นับถือเป็นผู้เผยพระวจนะคนสำคัญและมักอ้างถึงบ่อย หมวดผู้เผยพระวจนะน้อย (Minor prophets) มี 12 เล่ม ประกอบด้วยโฮเชยา โยเอล อาโมส โอบาดีย์ โยนาห์ มีคา นาฮูม ฮาบากุก เศฟันยาห์ ฮักกัย เศคาริยาห์ และมาลาคี ว่าด้วย ข้อเขียนของผู้เผยพระวจนะที่มีการบันทึกไม่มากเท่ากับผู้เผยพระวจนะใหญ่ มีข้อน่าสังเกตว่าคัมภีร์ไบเบิลในภาคพันธสัญญาเดิม ต้นฉบับเขียนด้วยภาษาฮีบรูเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นชื่อของบุคคลหรือสถานที่ในพันธสัญญาเดิมที่ปรากฏในฉบับแปลตรงหรือฉบับแปลต่อ มักอ้างภาษาฮีบรูบ่อยครั้ง เพื่อให้สามารถเข้าใจความหมายของเนื้อหาในพระคัมภีร์ชัดเจนยิ่งขึ้น โทราห์ ในม้วนผ้าขนาดใหญ่...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเชื่อเรื่อง นัยน์ตาปีศาจ แพร่หลายในเอเชียหรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: นัยน์ตาปีศาจ Article: นัยน์ตาปีศาจ (English: Evil eye) เป็นการมองที่เชื่อกันในหลายวัฒนธรรมว่าสามารถทำให้ผู้ถูกมองได้รับการบาดเจ็บหรือโชคร้าย อันเกิดจากการจ้องมองด้วยความอิจฉาหรือความเดียดฉันท์ คำนี้มักจะหมายถึงอำนาจของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในการก่อให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายได้ด้วยการมองอย่างประสงค์ร้าย ความเชื่อดังกล่าวทำให้วัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมพยายามหาทางป้องกันก่อนที่จะเกิดสิ่งที่เลวร้ายขึ้น ความคิดและความสำคัญของนัยน์ตาปีศาจก็แตกต่างกันออกไปเป็นอันมากระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ ความเชื่อนี้ปรากฏหลายครั้งในบทแปลของพันธสัญญาเดิม[1] และแพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางในบรรดาอารยธรรมของกลุ่มชนต่าง ๆ ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน กรีซคลาสสิกอาจจะเรียนรู้จากอียิปต์โบราณ และต่อมาก็ผ่านความเชื่อนี้ต่อไปยังโรมันโบราณ[2][3] ลักษณะของความเชื่อ แนวความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจเชื่อว่าคนบางคนสามารถนำอันตรายมายังผู้อื่นได้ด้วยการจ้องด้วยตาที่มีเวทมนตร์ที่ประสงค์ร้าย แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นการจ้องด้วยความอิจฉา และความรุนแรงของอันตรายต่อผู้ที่ถูกจ้องก็ต่างกันออกไป ในบางวัฒนธรรมก็กล่าวว่าผู้ถูกจ้องจะประสบกับโชคร้าย หรือในกรณีอื่นก็เชื่อว่าการจ้องจะทำให้ผู้ถูกจ้องป่วย และบางครั้งอาจจะมีอาการหนักถึงเสียชีวิตได้ ในวัฒนธรรมเกือบทุกวัฒนธรรมเหยื่อของเวทมนตร์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าจะเป็นเด็กหรือทารก เพราะเด็กมักจะได้รับการเยินยอสรรเสริญจากคนแปลกหน้า หรือ จากสตรีที่ไม่มีบุตร แอแลน ดันด์สศาสตราจารย์สาขาวิชาตำนานพื้นบ้านแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ผู้ทำการศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อนี้ในวัฒนธรรมต่างๆ และพบว่ามีพื้นฐานร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งที่ว่าการแก้เคล็ดจะเกี่ยวกับการทำให้ชื้น และ การป้องกันจากภัยของการถูกมนต์ขลังของนัยน์ตาปีศาจ ที่ทำได้ด้วยปลาในบางวัฒนธรรมมีความเกี่ยวโยงกับปลาจะเปียกอยู่ตลอดเวลา[4] ดันด์สข้อสังเกตตังกล่าวใน “Wet and Dry: The Evil Eye” ความเชื่อเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจในรูปแบบหนึ่งกล่าวว่า ผู้หนึ่งตามปกติแล้วจะมิได้เป็นผู้มีความประสงค์ร้ายต่อผู้ใดอาจจะมีอำนาจในการทำร้ายผู้ใหญ่, เด็ก, สัตว์เลี้ยง หรือ สิ่งของได้โดยเพียงแต่จ้องด้วยความอิจฉา คำว่า “Evil” อาจจะเป็นคำที่ทำให้เข้าใจผิดในบริบทนี้ เพราะเป็นคำที่มีนัยยะว่าบุคคลดังกล่าวจงใจที่จะ “แช่ง” ผู้โชคร้าย ความเข้าใจในความคิดเกี่ยวกับ “evil eye”...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเชื่อเรื่อง นัยน์ตาปีศาจกำเนิดจากที่ใด?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: นัยน์ตาปีศาจ Article: นัยน์ตาปีศาจ (English: Evil eye) เป็นการมองที่เชื่อกันในหลายวัฒนธรรมว่าสามารถทำให้ผู้ถูกมองได้รับการบาดเจ็บหรือโชคร้าย อันเกิดจากการจ้องมองด้วยความอิจฉาหรือความเดียดฉันท์ คำนี้มักจะหมายถึงอำนาจของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในการก่อให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายได้ด้วยการมองอย่างประสงค์ร้าย ความเชื่อดังกล่าวทำให้วัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมพยายามหาทางป้องกันก่อนที่จะเกิดสิ่งที่เลวร้ายขึ้น ความคิดและความสำคัญของนัยน์ตาปีศาจก็แตกต่างกันออกไปเป็นอันมากระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ ความเชื่อนี้ปรากฏหลายครั้งในบทแปลของพันธสัญญาเดิม[1] และแพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางในบรรดาอารยธรรมของกลุ่มชนต่าง ๆ ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน กรีซคลาสสิกอาจจะเรียนรู้จากอียิปต์โบราณ และต่อมาก็ผ่านความเชื่อนี้ต่อไปยังโรมันโบราณ[2][3] ลักษณะของความเชื่อ แนวความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจเชื่อว่าคนบางคนสามารถนำอันตรายมายังผู้อื่นได้ด้วยการจ้องด้วยตาที่มีเวทมนตร์ที่ประสงค์ร้าย แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นการจ้องด้วยความอิจฉา และความรุนแรงของอันตรายต่อผู้ที่ถูกจ้องก็ต่างกันออกไป ในบางวัฒนธรรมก็กล่าวว่าผู้ถูกจ้องจะประสบกับโชคร้าย หรือในกรณีอื่นก็เชื่อว่าการจ้องจะทำให้ผู้ถูกจ้องป่วย และบางครั้งอาจจะมีอาการหนักถึงเสียชีวิตได้ ในวัฒนธรรมเกือบทุกวัฒนธรรมเหยื่อของเวทมนตร์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าจะเป็นเด็กหรือทารก เพราะเด็กมักจะได้รับการเยินยอสรรเสริญจากคนแปลกหน้า หรือ จากสตรีที่ไม่มีบุตร แอแลน ดันด์สศาสตราจารย์สาขาวิชาตำนานพื้นบ้านแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ผู้ทำการศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อนี้ในวัฒนธรรมต่างๆ และพบว่ามีพื้นฐานร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งที่ว่าการแก้เคล็ดจะเกี่ยวกับการทำให้ชื้น และ การป้องกันจากภัยของการถูกมนต์ขลังของนัยน์ตาปีศาจ ที่ทำได้ด้วยปลาในบางวัฒนธรรมมีความเกี่ยวโยงกับปลาจะเปียกอยู่ตลอดเวลา[4] ดันด์สข้อสังเกตตังกล่าวใน “Wet and Dry: The Evil Eye” ความเชื่อเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจในรูปแบบหนึ่งกล่าวว่า ผู้หนึ่งตามปกติแล้วจะมิได้เป็นผู้มีความประสงค์ร้ายต่อผู้ใดอาจจะมีอำนาจในการทำร้ายผู้ใหญ่, เด็ก, สัตว์เลี้ยง หรือ สิ่งของได้โดยเพียงแต่จ้องด้วยความอิจฉา คำว่า “Evil” อาจจะเป็นคำที่ทำให้เข้าใจผิดในบริบทนี้ เพราะเป็นคำที่มีนัยยะว่าบุคคลดังกล่าวจงใจที่จะ “แช่ง” ผู้โชคร้าย ความเข้าใจในความคิดเกี่ยวกับ “evil eye”...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเร็วของการดำเนินการกับจำนวนจุดลอยตัว เป็นการวัดประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่งที่สำคัญในขอบเขตข่ายโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งมีหน่วยวัดเป็นอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: จำนวนจุดลอยตัว Article: ในทางคอมพิวเตอร์ จำนวนจุดลอยตัว (English: floating point) คือระบบแทนจำนวนชนิดหนึ่ง ซึ่งจำนวนนั้นอาจมีขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กเกินกว่าที่จะแทนด้วยจำนวนเต็ม เนื่องจากจำนวนต่าง ๆ สามารถเขียนแทนด้วยเลขนัยสำคัญ (mantissa) จำนวนหนึ่งโดยประมาณ และเปลี่ยนสเกลด้วยเลขชี้กำลัง (exponent) ฐานของสเกลปกติจะเป็น 2, 10 หรือ 16 เป็นต้น จำนวนทั่วไปจึงสามารถเขียนให้อยู่ในรูปแบบนี้ได้ เลขนัยสำคัญ × ฐาน เลขชี้กำลัง คำว่า จุดลอยตัว จึงหมายถึงจุดฐาน (จุดทศนิยม หรือในคอมพิวเตอร์คือ จุดทวินิยม[1]) ที่สามารถ "ลอยตัว" ได้ หมายความว่า จุดฐานสามารถวางไว้ที่ตำแหน่งใดก็ได้ที่สัมพันธ์กับเลขนัยสำคัญของจำนวนนั้น ตำแหน่งนี้แสดงไว้แยกต่างหากในข้อมูลภายใน และการแทนด้วยจำนวนจุดลอยตัวจึงอาจถือว่าเป็นสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ในบริบทของคอมพิวเตอร์ หลายปีที่ผ่านมา คอมพิวเตอร์ใช้งานจำนวนจุดลอยตัวในรูปแบบที่แตกต่างกัน เวลาต่อมาจึงทำให้เกิดมาตรฐาน IEEE 754 สำหรับจำนวนที่พบได้อย่างปกติสามัญชนิดนี้ ข้อดีของจำนวนจุดลอยตัวที่มีต่อจำนวนจุดตรึง (fixed point รวมทั้งจำนวนเต็ม) คือจำนวนจุดลอยตัวสามารถรองรับค่าได้ในขอบเขตที่กว้างกว่า ตัวอย่างเช่น จำนวนจุดตรึงที่มีตัวเลขเจ็ดหลัก และกำหนดให้สองหลักสุดท้ายอยู่หลังจุด สามารถแทนจำนวนเหล่านี้ได้ 12345.67, 123.45, 1.23 ในขณะที่จำนวนจุดลอยตัว (ตามเลขฐานสิบของมาตรฐาน IEEE 754) ที่มีตัวเลขเจ็ดหลักเช่นกัน สามารถแทนจำนวนเหล่านี้ได้อีกเพิ่มเติม 1.234567, 123456.7, 0.00001234567, 1234567000000000 เป็นต้น แต่ข้อเสียคือรูปแบบของจำนวนจุดลอยตัวจำเป็นต้องใช้หน่วยเก็บข้อมูลมากขึ้นอีกเล็กน้อย (สำหรับเข้ารหัสตำแหน่งของจุดฐาน) ดังนั้นเมื่อจำนวนทั้งสองประเภทเก็บบันทึกอยู่ในที่ที่เหมือนกัน จำนวนจุดลอยตัวจะใช้เนื้อที่มากกว่าเพื่อเพิ่มความเที่ยง (precision) ความเร็วของการดำเนินการกับจำนวนจุดลอยตัว เป็นการวัดประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่งที่สำคัญในขอบเขตข่ายโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งมีหน่วยวัดเป็นฟล็อปส์ (FLOPS - floating-point operations per second การประมวลผลจุดลอยตัวต่อวินาที) ภาพรวม การแทนจำนวน (หรือเรียกว่าระบบเลขในคณิตศาสตร์) เป็นการกำหนดวิธีการเก็บบันทึกจำนวนหนึ่ง ๆ ที่อาจถูกเข้ารหัสให้เป็นสายอักขระของเลขโดด เลขคณิตของจำนวนถูกนิยามให้เป็นกลุ่มของการปฏิบัติกับรูปแบบนั้น...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเร็วเสียงและแสงอะไรไวกว่ากัน ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: อัตราเร็วของแสง Article: อัตราเร็วของแสง (speed of light) ในสุญญากาศ มีนิยามว่าเท่ากับ 299,792,458 เมตรต่อวินาที (หรือ 1,080,000,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือประมาณ 186,000.000 ไมล์ต่อวินาที หรือ 671,000,000 ไมล์ต่อชั่วโมง) ค่านี้เขียนแทนด้วยตัว c ซึ่งมาจากภาษาละตินคำว่า celeritas (แปลว่า อัตราเร็ว) และเรียกว่าเป็นค่าคงที่ของไอน์สไตน์ แสงเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดนั่นคือไม่ว่าผู้สังเกตจะเคลื่อนที่หรือหยุดนิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใด ด้วยเงื่อนไขใด อัตราเร็วของแสงที่ผู้สังเกตคนนั้นวัดได้ จะเท่าเดิมเสมอ ซึ่งขัดกับความรู้สึกของคนทั่วไป แต่เป็นไปตาม ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สังเกตว่าอัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ เป็น นิยาม ไม่ใช่ การวัด ในหน่วยเอสไอกำหนดให้ เมตร มีนิยามว่าเป็นระยะทางที่แสงเดินทางในสุญญากาศในเวลา 1/299,792,458 วินาที แสงที่เดินทางผ่านตัวกลางโปร่งแสง (คือไม่เป็นสุญญากาศ) จะมีอัตราเร็วต่ำกว่า c อัตราส่วนของ c ต่ออัตราเร็วของแสงที่เดินทางผ่านในตัวกลาง เรียกว่า ดรรชนีหักเหของตัวกลางนั้น โดยเมื่อผ่านแก้ว จะมีดรรชนีหักเห 1.5-1.9 ผ่านน้ำจะมีดรรชีนีหักเห 1.3330 ผ่านเบนซินจะมีดรรชนีหักเห 1.5012 ผ่านคาร์บอนไดซัลไฟต์จะมีดรรชนีหักเห 1.6276 ผ่านเพชรจะมีดรรชนีหักเห 2.417 ผ่านน้ำแข็งจะมีดรรชนีหักเห 1.309 ภาพทั่วไป จากทฤษฎีทางฟิสิกส์ รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดรวมทั้งแสง จะแพร่ออกไป(เคลื่อนที่)ในสุญญากาศ ด้วยอัตราเร็วคงที่ค่าหนึ่ง เรียกว่า อัตราเร็วของแสง ซึ่งเป็นค่าคงที่เชิงกายภาค เขียนแทนด้วยตัว c ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ความโน้มถ่วงยังแพร่ออกไปในอัตราเร็ว c ด้วย จากกฎของแม่เหล็กไฟฟ้า (เช่น สมการของแมกซ์เวลล์) อัตราเร็ว c ของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า จะไม่ขึ้นอยู่กับความเร็วของวัตถุที่ปล่อยรังสี เช่น แสงที่ปล่อยออกมาจากวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จะมีอัตราเร็วเดียวกับ แสงที่ปล่อยออกมาจากวัตถุที่อยู่นิ่ง (แม้ว่า สี, ความถี่, พลังงาน, และโมเมนตัมของแสงจะไม่เท่ากัน เรียกว่า ปรากฏการณ์ Relativistic Doppler) การสื่อสาร อัตราเร็วของแสงมีผลต่อการสื่อสารมากทีเดียว ตัวอย่างเช่น การสื่อสารจากโลกอีกด้านหนึ่ง ไปยังอีกด้านหนึ่ง ตามทฤษฎี ต้องใช้เวลาไม่น้อยไปกว่า 0.67 วินาที เพราะว่าโลกมีเส้นศูนย์สูตรหรือเส้นรอบวงยาว 40,075 กิโลเมตร ในความเป็นจริง อาจต้องใช้เวลามากกว่านั้น เพราะว่าแสงที่เดินทางในใยแก้วนำแสงจะเดินทางช้าลงถึง 30%...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเร็วในฟิสิกส์ คืออะไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเร็ว Article: ในทางฟิสิกส์ ความเร็ว คืออัตราการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งต่อหน่วยเวลา มีหน่วยเป็นเมตรต่อวินาที (m/s) ในหน่วยเอสไอ ความเร็วเป็นปริมาณเวกเตอร์ซึ่งประกอบด้วยอัตราเร็วและทิศทาง ขนาดของความเร็วคืออัตราเร็วซึ่งเป็นปริมาณสเกลาร์ ตัวอย่างเช่น "5 เมตรต่อวินาที" เป็นอัตราเร็ว ในขณะที่ "5 เมตรต่อวินาทีไปทางทิศตะวันออก" เป็นความเร็ว ความเร็วเฉลี่ย v ของวัตถุที่เคลื่อนที่ไปด้วยการกระจัดขนาดหนึ่ง ∆x ในช่วงเวลาหนึ่ง ∆t สามารถอธิบายได้ด้วยสูตรนี้ v ¯ = Δ x Δ t {\displaystyle \mathbf {\bar {v}} ={\frac {\Delta \mathbf {x} }{\Delta t}}} อัตราการเปลี่ยนแปลงของความเร็วคือความเร่ง คือการอธิบายว่าอัตราเร็วและทิศทางของวัตถุเปลี่ยนไปอย่างไรในช่วงเวลาหนึ่ง และเปลี่ยนไปอย่างไร ณ เวลาหนึ่ง สมการการเคลื่อนที่ เวกเตอร์ความเร็วขณะหนึ่ง v ของวัตถุที่มีตำแหน่ง x (t) ณ เวลา t และตำแหน่ง x (t + ∆t) ณ เวลา t + ∆t สามารถคำนวณได้จากอนุพันธ์ของตำแหน่ง v = lim Δ t → 0 x ( t + Δ t ) − x ( t ) Δ t = d x d t {\displaystyle \mathbf {v} =\lim _{\Delta t\to 0}{{\mathbf {x} (t+\Delta t)-\mathbf {x} (t)} \over \Delta t}={\mathrm {d} \mathbf {x} \over \mathrm {d} t}} สมการของความเร็วของวัตถุยังสามารถหาได้จากปริพันธ์ของสมการของความเร่ง ที่วัตถุเคลื่อนที่ตั้งแต่เวลา t0 ไปยังเวลา tn วัตถุที่มีความเร็วเริ่มต้นเป็น u มีความเร็วสุดท้ายเป็น v และมีความเร่งคงตัว a ในช่วงเวลาหนึ่ง ∆t ความเร็วสุดท้ายหาได้จาก v = u + a Δ t {\displaystyle \mathbf {v} =\mathbf {u} +\mathbf {a} \Delta t} ความเร็วเฉลี่ยอันเกิดจากความความเร่งคงตัวจึงเป็น ( u + v ) 2 {\displaystyle {\tfrac {(\mathbf {u} +\mathbf {v} )}{2}}} ตำแหน่ง x ที่เปลี่ยนไปของวัตถุดังกล่าวในช่วงเวลานั้นหาได้จาก Δ x = ( u + v ) 2 Δ t {\displaystyle \Delta \mathbf {x} ={\frac {(\mathbf {u} +\mathbf {v} )}{2}}\Delta t} กรณีที่ทราบเพียงความเร็วเริ่มต้นของวัตถุเพียงอย่างเดียว คำนวณได้ดังนี้ Δ x = u Δ t + 1 2 a Δ t 2 {\displaystyle \Delta \mathbf {x} =\mathbf {u} \Delta t+{\frac {1}{2}}\mathbf {a} \Delta t^{2}} และเมื่อต้องการหาตำแหน่ง ณ เวลา t ใด ๆ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเสี่ยง คืออะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเสี่ยง Article: ความเสี่ยง (Risk) คือ การวัดความสามารถ ที่จะดำเนินการให้วัตถุประสงค์ของงานประสบความสำเร็จ ภายใต้การตัดสินใจ งบประมาณ กำหนดเวลา และข้อจำกัดด้านเทคนิคที่เผชิญอยู่ อย่างเช่น การจัดทำโครงการเป็นชุดของกิจกรรม ที่จะดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งในอนาคต โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด มาดำเนินการให้ประสบความสำเร็จ ภายใต้กรอบเวลาอันจำกัด ซึ่งเป็นกำหนดการปฏิบัติการในอนาคต ความเสี่ยงจึงอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอน และความจำกัดของทรัพยากรโครงการ ผู้บริหารโครงการจึงต้องจัดการความเสี่ยงของโครงการ เพื่อให้ปัญหาของโครงการลดน้อยลง และสามารถดำเนินการให้ประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ความเสี่ยงจากการลงทุน ความเสี่ยงจากการลงทุน คือ โอกาสที่จะสูญเสียเงินที่ลงทุน ประเภทของความเสี่ยง เราสามารถแบ่งความเสี่ยงออกได้เป็น 4 ประเภท คือ ความเสี่ยงทางธุรกิจ (Business Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความสามารถในทำกำไรของบริษัท อันเป็นเหตุให้ผู้ลงทุนต้องสูญเสียรายได้ หรือเงินลงทุน ประกอบด้วย ความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการ และความเสี่ยงในระดับอุตสาหกรรม ความเสี่ยงทางตลาด (Market Risk) คือ การสูญเสียเงินลงทุนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ลงทุน ซึ่งเป็นไปตามอุปสงค์ และอุปทานของตลาด ความเสี่ยงในอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยในตลาด ความเสี่ยงจากอำนาจซื้อ (Purchasing Power Risk) คือ ความเสี่ยงทีเกิดจากอำนาจซื้อของเงินที่ลดลง ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่ออำนาจซื้อ คือ ภาวะเงินเฟ้อ Business Risk Model Framework กรอบความเสี่ยงของธุรกิจ (Business Risk Model Framework) นั้นจะช่วยให้หน่วยงานทุกระดับภายในบริษัทสามารถระบุถึงความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น โดยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับบริษัทนั้นอาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ 1. ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) 2. ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ(Operational Risk) 3. ความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk) 4. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (Hazard Risk) ความเสี่ยงรวม ความเสี่ยง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ และความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเหนือกว่าเทียม ปรากฏการณ์นี้พบเมื่อบุคคลเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งในสถาบันการศึกษาใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเหนือกว่าเทียม Article: ความเหนือกว่าเทียม (English: Illusory superiority) เป็นความเอนเอียงทางประชาน ที่บุคคลประเมินคุณสมบัติหรือความสามารถของตนเทียบกับคนอื่นเกินจริง ซึ่งเห็นได้ชัดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเชาวน์ปัญญา ความสามารถในการทำงานหรือการสอบ หรือการมีคุณลักษณะหรือลักษณะบุคลิกภาพที่น่าชอบใจ เป็นการแปลสิ่งเร้าผิดเชิงบวก (positive illusion) ชนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับตนเอง เป็นปรากฏการณ์ที่ศึกษากันในสาขาจิตวิทยาสังคม มีคำภาษาอังกฤษอื่น ๆ ที่หมายถึงคำนี้รวมทั้ง above average effect (ปรากฏการณ์เหนือกว่าโดยเฉลี่ย) superiority bias (ความเอนเอียงว่าเหนือกว่า) leniency error (ความผิดพลาดแบบปรานี) sense of relative superiority (ความรู้สึกว่าเหนือกว่าโดยเปรียบเทียบ) หรือภาษาอังกฤษผสมภาษาละตินว่า primus inter pares effect[1] และ Lake Wobegon effect (ปรากฏการณ์ทะเลสาบโวบีกอน) ซึ่งเป็นทะเลสาบในเมืองนวนิยายที่ ๆ "หญิงทั้งหมดแข็งแรง ชายทุกคนรูปหล่อ และเด็กทั้งปวงเหนือกว่าเด็กธรรมดา"[2] ส่วนคำว่า "illusory superiority" ได้ใช้เป็นครั้งแรกโดยนักจิตวิทยาคู่หนึ่งในปี 1991[1] ในสถานการณ์ต่าง ๆ ปรากฏการณ์นี้พบเมื่อบุคคลเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งในสถาบันการศึกษา เช่นความสามารถในการเรียน การสอบ และระดับเชาวน์ปัญญาโดยทั่วไป ในสถานที่ทำงาน เช่น ความสามารถในการทำงาน ในสถานการณ์ทางสังคมต่าง ๆ เช่นการประเมินว่าตนเป็นที่นิยมขนาดไหน และมีลักษณะบุคลิกภาพที่น่าชอบใจต่าง ๆ เช่น ความซื่อสัตย์หรือความมั่นใจในตน มากน้อยแค่ไหน และแม้แต่ในเรื่องการเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน[1] เพื่อที่จะแสดงปรากฏการณ์เหนือกว่าเทียม โดยเปรียบเทียบกับกลุ่ม จะต้องกล่าวถึงปัญหาสองอย่างก่อน อย่างหนึ่งก็คือความไม่ชัดเจนของคำว่า คนปานกลาง (average) แม้ว่ามันจะเป็นไปได้โดยเหตุผลที่สมาชิกโดยมากของเซตจะมีค่าเหนือค่ามัชฌิม ถ้าการกระจายตัวของค่าต่าง ๆ เบ้มาก ยกตัวอย่างเช่น ค่ามัชฌิมของจำนวนขาต่อคนจะน้อยกว่า 2 เล็กน้อยถ้ามีบางคนที่มีขาน้อยกว่า และไม่มีใครเลยที่มีขามากกว่า ดังนั้น งานทดลองต่าง ๆ จะเปรียบเทียบผู้ร่วมการทดลองกับค่ามัธยฐาน (median) ของกลุ่มที่ใช้เปรียบเทียบ เพราะว่าโดยนิยามแล้ว เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่ค่าโดยมากในเซตจะมีค่าเหนือกว่าค่ามัธยฐาน อีกปัญหาหนึ่งก็คือ ผู้ร่วมการทดลองอาจจะตีความปัญหาไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเหนือกว่าเทียมคือการดูถูกคนอื่นว่าด้อยกว่าใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน Article: ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน (ความคิดฝ่ายตน)[1] หรือ ความลำเอียงเพื่อยืนยัน (English: Confirmation bias, confirmatory bias, myside bias) เป็นความลำเอียงในข้อมูลที่ยืนยันความคิดหรือทฤษฎีหรือสมมติฐานฝ่ายตน[upper-alpha 1][2] เรียกว่ามีความลำเอียงนี้เมื่อสะสมหรือกำหนดจดจำข้อมูลที่เลือกเฟ้น หรือว่าเมื่อมีการตีความหมายข้อมูลอย่างลำเอียง ความลำเอียงนี้มีอยู่ในระดับสูงในประเด็นที่ให้เกิดอารมณ์หรือเกี่ยวกับความเชื่อที่ฝังมั่น นอกจากนั้นแล้ว คนมักตีความหมายข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนว่าสนับสนุนความคิดเห็นของตนเอง มีการใช้การสืบหา การตีความหมาย และการทรงจำข้อมูลประกอบด้วยความลำเอียงเช่นนี้ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ รวมทั้ง ความเห็นที่สุดโต่งเพิ่มขึ้น (attitude polarization) คือเมื่อข้อขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้นแม้ว่าทุก ๆ ฝ่ายจะได้หลักฐานเดียวกัน ความยึดมั่นอยู่กับความเชื่อ (belief perseverance) แม้ว่าหลักฐานจะแสดงว่าเป็นความเชื่อผิด ๆ การให้น้ำหนักกับหลักฐานที่ได้ตอนต้น ๆ ที่ไร้เหตุผล (irrational primacy effect) เป็นการให้น้ำหนักกับหลักฐานที่ได้ในตอนต้นและตอนอื่น ๆ ที่ไม่เท่ากัน สหสัมพันธ์ลวง (illusory correlation) คือมีการเชื่อมเหตุการณ์หรือสถานการณ์สองอย่างเข้าด้วยกัน โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นจริง งานทดลองหลายงานในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 ส่อว่า มนุษย์มีความลำเอียงที่จะยืนยันความเชื่อที่มีอยู่ของตน ส่วนงานวิจัยต่อ ๆ มาตีความหมายของผลการทดลองเหล่านั้นใหม่ว่า เป็นความเอนเอียงที่จะทดสอบความคิดต่าง ๆ จากทางด้านเดียวเท่านั้น คือ ให้ความสนใจต่อข้อสันนิษฐานเพียงข้อเดียวโดยที่ไม่ใส่ใจข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ข้ออื่น ๆ ในบางกรณี ความลำเอียงนี้สามารถทำลายความเป็นกลางของข้อสรุป เหตุที่ใช้ในการอธิบายความลำเอียงเช่นนี้รวมทั้งความอยากที่จะให้เป็นอย่างนั้น (wishful thinking) และสมรรถภาพที่จำกัดในการประมวลข้อมูลของมนุษย์ ส่วนคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์มีความเอนเอียงเพื่อยืนยันความคิดฝ่ายตน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเสียไปถ้าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเป็นกลาง ๆ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ความลำเอียงนี้ทำให้เกิดความมั่นใจมากเกินไปในความเชื่อส่วนตัวของตนและสามารถรักษาหรือแม้แต่ทำให้ตั้งมั่นยิ่งขึ้นซึ่งความเชื่อผิด ๆ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเอนเอียง กับความลำเอียงเหมือนกันหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน Article: ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน (ความคิดฝ่ายตน)[1] หรือ ความลำเอียงเพื่อยืนยัน (English: Confirmation bias, confirmatory bias, myside bias) เป็นความลำเอียงในข้อมูลที่ยืนยันความคิดหรือทฤษฎีหรือสมมติฐานฝ่ายตน[upper-alpha 1][2] เรียกว่ามีความลำเอียงนี้เมื่อสะสมหรือกำหนดจดจำข้อมูลที่เลือกเฟ้น หรือว่าเมื่อมีการตีความหมายข้อมูลอย่างลำเอียง ความลำเอียงนี้มีอยู่ในระดับสูงในประเด็นที่ให้เกิดอารมณ์หรือเกี่ยวกับความเชื่อที่ฝังมั่น นอกจากนั้นแล้ว คนมักตีความหมายข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนว่าสนับสนุนความคิดเห็นของตนเอง มีการใช้การสืบหา การตีความหมาย และการทรงจำข้อมูลประกอบด้วยความลำเอียงเช่นนี้ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ รวมทั้ง ความเห็นที่สุดโต่งเพิ่มขึ้น (attitude polarization) คือเมื่อข้อขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้นแม้ว่าทุก ๆ ฝ่ายจะได้หลักฐานเดียวกัน ความยึดมั่นอยู่กับความเชื่อ (belief perseverance) แม้ว่าหลักฐานจะแสดงว่าเป็นความเชื่อผิด ๆ การให้น้ำหนักกับหลักฐานที่ได้ตอนต้น ๆ ที่ไร้เหตุผล (irrational primacy effect) เป็นการให้น้ำหนักกับหลักฐานที่ได้ในตอนต้นและตอนอื่น ๆ ที่ไม่เท่ากัน สหสัมพันธ์ลวง (illusory correlation) คือมีการเชื่อมเหตุการณ์หรือสถานการณ์สองอย่างเข้าด้วยกัน โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นจริง งานทดลองหลายงานในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 ส่อว่า มนุษย์มีความลำเอียงที่จะยืนยันความเชื่อที่มีอยู่ของตน ส่วนงานวิจัยต่อ ๆ มาตีความหมายของผลการทดลองเหล่านั้นใหม่ว่า เป็นความเอนเอียงที่จะทดสอบความคิดต่าง ๆ จากทางด้านเดียวเท่านั้น คือ ให้ความสนใจต่อข้อสันนิษฐานเพียงข้อเดียวโดยที่ไม่ใส่ใจข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ข้ออื่น ๆ ในบางกรณี ความลำเอียงนี้สามารถทำลายความเป็นกลางของข้อสรุป เหตุที่ใช้ในการอธิบายความลำเอียงเช่นนี้รวมทั้งความอยากที่จะให้เป็นอย่างนั้น (wishful thinking) และสมรรถภาพที่จำกัดในการประมวลข้อมูลของมนุษย์ ส่วนคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์มีความเอนเอียงเพื่อยืนยันความคิดฝ่ายตน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเสียไปถ้าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเป็นกลาง ๆ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ความลำเอียงนี้ทำให้เกิดความมั่นใจมากเกินไปในความเชื่อส่วนตัวของตนและสามารถรักษาหรือแม้แต่ทำให้ตั้งมั่นยิ่งขึ้นซึ่งความเชื่อผิด ๆ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเอนเอียง หมายถึงอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเอนเอียง Article: ความเอนเอียง (English: Bias) เป็นความโน้มไปของภาวะจิตใจหรือทัศนคติ ที่จะแสดงหรือยึดถือความคิดเห็นที่ไม่สมบูรณ์ บ่อยครั้งพร้อมกับการปฏิเสธที่จะแม้พิจารณาความเป็นไปได้ของความคิดเห็นที่ต่างออกไป เราอาจจะมีความเอนเอียงต่อบุคคล ต่อเชื้อชาติ ต่อศาสนา ต่อชนชั้นในสังคม หรือต่อพรรคการเมือง การมีความเอนเอียงหมายถึง เอนไปข้างเดียว ไม่มีความเป็นกลาง ไม่เปิดใจ ความเอนเอียงมาในหลายรูปแบบ และคำว่า Bias ในภาษาอังกฤษอาจใช้เป็นไวพจน์ของคำว่า prejudice (ความเดียดฉันท์) และ bigotry (ความหัวดื้อ ความมีทิฏฐิมานะ) ในสื่อ ความเอนเอียงในสื่อเป็นความเอนเอียงของผู้สื่อข่าวและผู้ผลิตข่าว (news producer) ในสื่อมวลชน โดยเลือกเหตุการณ์และเรื่องที่จะรายงาน และโดยวิธีการรายงาน คำภาษาอังกฤษว่า "media bias" (ความเอนเอียงของสื่อ) บ่งถึงความเอนเอียงที่เป็นไปอย่างกว้างขวางที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานและจริยธรรมของการสื่อข่าว ไม่ใช่หมายถึงความเอนเอียงที่มีเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบทความใดบทความหนึ่ง แต่ยังไม่มีความเห็นที่ตรงกันในเรื่อง media bias ที่มีในประเทศต่าง ๆ ทั้งในส่วนของฝักฝ่ายและระดับความเอนเอียง ข้อจำกัดที่มีอยู่จริง ๆ ในความเป็นกลางของสื่อก็คือ ผู้สื่อข่าวไม่สามารถรายงานข่าวได้ทั้งหมด ไม่สามารถรายงานข้อมูลความจริงได้ทั้งหมด และต้องนำข้อมูลที่เลือกมาเสนอเป็นเรื่องราวที่สืบต่อไม่ขัดแย้งกัน (Newton 1989) เพราะว่าไม่สามารถจะรายงานข่าวได้ทั้งหมด การเลือกข่าวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ อิทธิพลจากรัฐบาล รวมทั้งการตรวจพิจารณาข่าวสารทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย สามารถทำให้สื่อเกิดความเอนเอียงได้ในบางประเทศ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดความเอนเอียงได้รวมทั้ง ผู้เป็นเจ้าของสื่อ การที่สื่อมีเจ้าของไม่กี่คน การทำเป็นอาชีพของผู้สื่อข่าวประกอบกับการเลือกผู้สื่อข่าวในการบรรจุงาน ผู้ชมข่าวที่เป็นเป้าหมายของสื่อ และแรงกดดันจากผู้โฆษณา ความเอนเอียงทางการเมือง เป็นสิ่งที่มีมาพร้อมกับสื่อมวลชนตั้งแต่แรกแล้ว คือ ค่าลงทุนอุปกรณ์การพิมพ์ในยุคต้น ๆ เป็นตัวจำกัดบุคคลที่สามารถจะร่วมทำสื่อมวลชนได้ และนักประวัติศาสตร์พบว่า ผู้ผลิตข่าวมักจะอำนวยประโยชน์ให้กับกลุ่มอิทธิพลทางสังคมต่าง ๆ[1] จากมุมมองอื่น ๆ เศรษฐกิจ - เมื่อบุคคลหรือองค์กรของรัฐตีความหมายกฎหมายหรือสัญญาเข้าข้างตนเพราะผลประโยชน์ ความเอนเอียงโดยวัฒนธรรม...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเอนเอียงโดยการรายงาน มีชื่ออื่นว่าอย่างไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเอนเอียง Article: ความเอนเอียง (English: Bias) เป็นความโน้มไปของภาวะจิตใจหรือทัศนคติ ที่จะแสดงหรือยึดถือความคิดเห็นที่ไม่สมบูรณ์ บ่อยครั้งพร้อมกับการปฏิเสธที่จะแม้พิจารณาความเป็นไปได้ของความคิดเห็นที่ต่างออกไป เราอาจจะมีความเอนเอียงต่อบุคคล ต่อเชื้อชาติ ต่อศาสนา ต่อชนชั้นในสังคม หรือต่อพรรคการเมือง การมีความเอนเอียงหมายถึง เอนไปข้างเดียว ไม่มีความเป็นกลาง ไม่เปิดใจ ความเอนเอียงมาในหลายรูปแบบ และคำว่า Bias ในภาษาอังกฤษอาจใช้เป็นไวพจน์ของคำว่า prejudice (ความเดียดฉันท์) และ bigotry (ความหัวดื้อ ความมีทิฏฐิมานะ) ในสื่อ ความเอนเอียงในสื่อเป็นความเอนเอียงของผู้สื่อข่าวและผู้ผลิตข่าว (news producer) ในสื่อมวลชน โดยเลือกเหตุการณ์และเรื่องที่จะรายงาน และโดยวิธีการรายงาน คำภาษาอังกฤษว่า "media bias" (ความเอนเอียงของสื่อ) บ่งถึงความเอนเอียงที่เป็นไปอย่างกว้างขวางที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานและจริยธรรมของการสื่อข่าว ไม่ใช่หมายถึงความเอนเอียงที่มีเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบทความใดบทความหนึ่ง แต่ยังไม่มีความเห็นที่ตรงกันในเรื่อง media bias ที่มีในประเทศต่าง ๆ ทั้งในส่วนของฝักฝ่ายและระดับความเอนเอียง ข้อจำกัดที่มีอยู่จริง ๆ ในความเป็นกลางของสื่อก็คือ ผู้สื่อข่าวไม่สามารถรายงานข่าวได้ทั้งหมด ไม่สามารถรายงานข้อมูลความจริงได้ทั้งหมด และต้องนำข้อมูลที่เลือกมาเสนอเป็นเรื่องราวที่สืบต่อไม่ขัดแย้งกัน (Newton 1989) เพราะว่าไม่สามารถจะรายงานข่าวได้ทั้งหมด การเลือกข่าวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ อิทธิพลจากรัฐบาล รวมทั้งการตรวจพิจารณาข่าวสารทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย สามารถทำให้สื่อเกิดความเอนเอียงได้ในบางประเทศ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดความเอนเอียงได้รวมทั้ง ผู้เป็นเจ้าของสื่อ การที่สื่อมีเจ้าของไม่กี่คน การทำเป็นอาชีพของผู้สื่อข่าวประกอบกับการเลือกผู้สื่อข่าวในการบรรจุงาน ผู้ชมข่าวที่เป็นเป้าหมายของสื่อ และแรงกดดันจากผู้โฆษณา ความเอนเอียงทางการเมือง เป็นสิ่งที่มีมาพร้อมกับสื่อมวลชนตั้งแต่แรกแล้ว คือ ค่าลงทุนอุปกรณ์การพิมพ์ในยุคต้น ๆ เป็นตัวจำกัดบุคคลที่สามารถจะร่วมทำสื่อมวลชนได้ และนักประวัติศาสตร์พบว่า ผู้ผลิตข่าวมักจะอำนวยประโยชน์ให้กับกลุ่มอิทธิพลทางสังคมต่าง ๆ[1] จากมุมมองอื่น ๆ เศรษฐกิจ - เมื่อบุคคลหรือองค์กรของรัฐตีความหมายกฎหมายหรือสัญญาเข้าข้างตนเพราะผลประโยชน์ ความเอนเอียงโดยวัฒนธรรม...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเอนเอียงในการตีพิมพ์ สามารถเอาผิดทางกฎหมายได้หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ซาดีก Article: ซาดีก ([Zadig]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) หรือ ซาดีกูลาแด็สตีเน ([Zadig ou la destinée]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) หรือ ชะตาลิขิต เป็นนวนิยายเชิงปรัชญาซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของวอลแตร์ ผลงานชิ้นนี้มีชื่อเสียงมากพอกับนวนิยายปรัชญาเรื่องอื่น ๆ แห่งยุค วอลแตร์ได้อาศัยจินตนาการจากนวนิยายตะวันออก ทั้งนี้เพื่อง่ายต่อการเสียดสีและวิจารณ์สังคมฝรั่งเศสสมัยนั้น ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า นวนิยายปรัชญาเรื่องซาดีกนี้เขาได้แรงบันดาลใจจากชะตาชีวิตที่ผกผันของเขาในราชสำนักระหว่างปี พ.ศ. 2286 - 2290 ที่เกิดจากประสบการณ์อันขมขื่นของวอลแตร์ในราชสำนักแวร์ซาย (Versailles) ก็คงไม่ผิด เนื่องจากในเรื่องนี้วอลแตร์ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองผ่านตัวละครเอกของเรื่อง ซึ่งก็คือ ซาดีก ที่มาของเรื่อง วอลแตร์เริ่มเขียนงานชิ้นนี้ในปี พ.ศ. 2288 โดยเริ่มแรกใช้ชื่อว่า “เม็มนง” และตีพิมพ์ครั้งแรกที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพราะเรื่องนี้ไม่สามารถตีพิมพ์ในประเทศฝรั่งเศสได้ เนื่องจากมี เนื้อหาที่เสียดสีสังคมชั้นสูงคือชนชั้นพระและขุนนาง แม้จะเป็นการสมมติเรื่องว่าเกิดในตะวันออกก็ตาม อีก 2 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2290 "เม็มนง ซาดีก" เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในประเทศฝรั่งเศส และในปี พ.ศ. 2291 "ซาดีก หรือ ชะตาลิขิต" (Zadig ou la destinée) ก็ได้ออกเผยแพร่ต่อหน้าสาธารณชน โดย ตอนแรกวอลแตร์ไม่ยอมรับว่าเป็นผู้แต่ง แต่หลังจากที่ซาดีกประสบความสำเร็จ เขาจึงยอมรับว่าเป็นผู้แต่ง ภายหลังในปี พ.ศ. 2295 - พ.ศ. 2299 วอลแตร์ได้เขียนเพิ่มขึ้นอีก 2 บท คือการเต้นรำและนัยน์ตาสีฟ้า ซึ่งสองบทหลังนี้ตอนแรกไม่ได้นำมารวมกับเรื่องซาดีก เนื่องจากโครงสร้างเรื่องที่มีอยู่ 19 บทนี่ดีอยู่แล้ว แต่ภายหลังจากที่วอลแตร์ได้เสียชีวิตแล้ว สองบทหลังนี่ก็ได้ถูกนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2328 จุดประสงค์ในการแต่ง วอลแตร์เขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อต้องการตัดพ้อให้เห็นถึงความอยุติธรรม ความไร้เหตุผลของชะตาชีวิต หรือพระเจ้าซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องประสบและไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ลิขิตเอาไว้แล้ว โดยที่เขาต้องการสื่อให้เห็นความหมายของคำว่า “ชะตาลิขิต“ นอกจากนี้เขายังต้องการเสียดสี และวิพากษ์วิจารณ์สถาบันต่าง ๆ ในสังคม ในขณะนั้น ดังตัวอย่างเช่น สถาบันศาสนา วอลแตร์นั้นต่อต้านความงมงาย ความบ้าคลั่งทางศาสนา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเอนเอียงในการตีพิมพ์ทำให้เกิดการบิดเบือนข้อมูลใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเอนเอียง Article: ความเอนเอียง (English: Bias) เป็นความโน้มไปของภาวะจิตใจหรือทัศนคติ ที่จะแสดงหรือยึดถือความคิดเห็นที่ไม่สมบูรณ์ บ่อยครั้งพร้อมกับการปฏิเสธที่จะแม้พิจารณาความเป็นไปได้ของความคิดเห็นที่ต่างออกไป เราอาจจะมีความเอนเอียงต่อบุคคล ต่อเชื้อชาติ ต่อศาสนา ต่อชนชั้นในสังคม หรือต่อพรรคการเมือง การมีความเอนเอียงหมายถึง เอนไปข้างเดียว ไม่มีความเป็นกลาง ไม่เปิดใจ ความเอนเอียงมาในหลายรูปแบบ และคำว่า Bias ในภาษาอังกฤษอาจใช้เป็นไวพจน์ของคำว่า prejudice (ความเดียดฉันท์) และ bigotry (ความหัวดื้อ ความมีทิฏฐิมานะ) ในสื่อ ความเอนเอียงในสื่อเป็นความเอนเอียงของผู้สื่อข่าวและผู้ผลิตข่าว (news producer) ในสื่อมวลชน โดยเลือกเหตุการณ์และเรื่องที่จะรายงาน และโดยวิธีการรายงาน คำภาษาอังกฤษว่า "media bias" (ความเอนเอียงของสื่อ) บ่งถึงความเอนเอียงที่เป็นไปอย่างกว้างขวางที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานและจริยธรรมของการสื่อข่าว ไม่ใช่หมายถึงความเอนเอียงที่มีเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบทความใดบทความหนึ่ง แต่ยังไม่มีความเห็นที่ตรงกันในเรื่อง media bias ที่มีในประเทศต่าง ๆ ทั้งในส่วนของฝักฝ่ายและระดับความเอนเอียง ข้อจำกัดที่มีอยู่จริง ๆ ในความเป็นกลางของสื่อก็คือ ผู้สื่อข่าวไม่สามารถรายงานข่าวได้ทั้งหมด ไม่สามารถรายงานข้อมูลความจริงได้ทั้งหมด และต้องนำข้อมูลที่เลือกมาเสนอเป็นเรื่องราวที่สืบต่อไม่ขัดแย้งกัน (Newton 1989) เพราะว่าไม่สามารถจะรายงานข่าวได้ทั้งหมด การเลือกข่าวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ อิทธิพลจากรัฐบาล รวมทั้งการตรวจพิจารณาข่าวสารทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย สามารถทำให้สื่อเกิดความเอนเอียงได้ในบางประเทศ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดความเอนเอียงได้รวมทั้ง ผู้เป็นเจ้าของสื่อ การที่สื่อมีเจ้าของไม่กี่คน การทำเป็นอาชีพของผู้สื่อข่าวประกอบกับการเลือกผู้สื่อข่าวในการบรรจุงาน ผู้ชมข่าวที่เป็นเป้าหมายของสื่อ และแรงกดดันจากผู้โฆษณา ความเอนเอียงทางการเมือง เป็นสิ่งที่มีมาพร้อมกับสื่อมวลชนตั้งแต่แรกแล้ว คือ ค่าลงทุนอุปกรณ์การพิมพ์ในยุคต้น ๆ เป็นตัวจำกัดบุคคลที่สามารถจะร่วมทำสื่อมวลชนได้ และนักประวัติศาสตร์พบว่า ผู้ผลิตข่าวมักจะอำนวยประโยชน์ให้กับกลุ่มอิทธิพลทางสังคมต่าง ๆ[1] จากมุมมองอื่น ๆ เศรษฐกิจ - เมื่อบุคคลหรือองค์กรของรัฐตีความหมายกฎหมายหรือสัญญาเข้าข้างตนเพราะผลประโยชน์ ความเอนเอียงโดยวัฒนธรรม...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเอนเอียงในการตีพิมพ์ส่วนใหญ่จะเกิดกับสำนักพิมพ์ที่มีขนาดเล็กใช่หรือไม่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: อคติที่เกิดจากการเลือกตัวอย่าง Article: อคติที่เกิดจากการเลือกตัวอย่าง[1] หรือ ความเอนเอียงโดยการคัดเลือก[2] (English: Selection bias) คือความผิดพลาดทางสถิติ เนื่องมาจากวิธีการเลือกตัวอย่างหรือกลุ่มตัวอย่างในงานศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ที่โดยเฉพาะหมายถึงการคัดเลือกบุคคล กลุ่ม หรือข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์ โดยที่ไม่มีการสุ่ม (randomization) ที่สมควร และดังนั้นจึงทำให้ตัวอย่างที่ชัก ไม่สามารถเป็นตัวแทนประชากรที่ต้องการจะวิเคราะห์[3] ตัวอย่างเช่น[4] การสำรวจที่ได้ข้อมูลจากอาสาสมัคร หรือบุคคลเฉพาะสถานที่ ที่ใดที่หนึ่ง ในช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่ง งานศึกษาในคนไข้โรงพยาบาลที่อยู่ใต้การดูแลของหมอ โดยไม่ได้รวมบุคคลที่เสียชีวิตเพราะมีอาการรุนแรงจากโรคก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาล ไม่ได้รวมคนที่ยังไม่ป่วยพอที่จะเข้าโรงพยาบาล และไม่ได้รวมคนที่อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย การเดินทาง หรือปัญหาอื่น ๆ เป็นปรากฏการณ์ที่บางครั้งเรียกว่า selection effect (ปรากฏการณ์การคัดเลือก) และหากไม่พิจารณาผลของความเอนเอียงจากการคัดเลือก จะทำให้การสรุปผลจากตัวอย่างงานวิจัยนั้นผิดพลาด ประเภท ความเอนเอียงนี้มีหลายประเภท รวมทั้งหัวข้อย่อยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ความเอนเอียงโดยการสุ่มตัวอย่าง ความเอนเอียงโดยการสุ่มตัวอย่าง[5] (English: Sampling bias) เป็นความผิดพลาดอย่างเป็นระบบเนื่องจากการชักตัวอย่างที่ไม่ได้สุ่มจากกลุ่มประชากร[6] ทำให้ชักบุคคลแต่ละพวกโดยโอกาสที่ไม่เท่ากัน มีผลเป็นตัวอย่างที่ไม่สมดุล (biased sample) ซึ่งมีนิยามว่า เป็นการชักตัวอย่างทางสถิติจากกลุ่มประชากร (หรือองค์อย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับมนุษย์) ที่ไม่สมดุล ที่ไม่สามารถเป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรได้[7] ความเอนเอียงนี้ มักจะจำแนกว่าเป็นแบบย่อยของความเอนเอียงโดยการคัดเลือก[8] และบางครั้งจะเรียกอย่างเฉพาะเจาะจงว่า sample selection bias[9][10][11] แต่บางครั้งก็จัดเป็นความเอนเอียงต่างหากเช่นกัน[12] ตัวอย่างของความเอนเอียงโดยการสุ่มตัวอย่างก็คือ การที่ผู้ร่วมการทดลองจัดตัวเองเข้ากลุ่ม (เช่นเป็นอาสาสมัคร) การคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดลอง (pre-screening) การตัดข้อมูลผู้ป่วยหรือการตรวจสอบที่ไม่เสร็จบริบูรณ์ และการตัดข้อมูลผู้ป่วยที่ย้ายออกจากพื้นที่การศึกษา (migration bias) โดยหยุดการทดลองที่ยังไม่เสร็จ หยุดการทดลองที่ยังทำไม่สมบูรณ์ ในขณะที่ผลกำลังสนับสนุนสมมุติฐานที่ต้องการ หยุดการทดลองเพราะได้ค่าที่สุดโต่ง...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเอนเอียงในการอ้างเหตุผล คืออะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเอนเอียงรับใช้ตนเอง Article: ความเอนเอียงรับใช้ตนเอง[1] (English: self-serving bias) เป็นกระบวนการทางประชานหรือการรับรู้ที่มีการบิดเบือนเพื่อที่จะพิทักษ์รักษาหรือเพิ่มความภูมิใจของตน (self-esteem) เมื่อเราปฏิเสธคำวิจารณ์เชิงลบ เพ่งดูแต่ข้อดีและความสำเร็จของตน แต่มองข้ามข้อเสียและความล้มเหลว หรือให้เครดิตตนเองมากกว่าผู้อื่นในงานที่ทำเป็นกลุ่ม เรากำลังพิทักษ์รักษาอัตตาจากความคุกคามหรือความเสียหาย ความโน้มน้าวทางประชานและการรับรู้เช่นนี้ทำให้เกิดการแปลสิ่งเร้าผิดและความผิดพลาด แต่เป็นความจำเป็นในการรักษาความภูมิใจในตนเอง[2] ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนอาจจะอ้างความเฉลียวฉลาดและความขยันของตน ว่าเป็นเหตุของการได้เกรดดีในการสอบ แต่อ้างการสอนของคุณครูหรือคำถามที่ไม่ยุติธรรมว่า เป็นเหตุของการได้เกรดไม่ดี ซึ่งแสดงถึงพฤติกรรมที่มีความเอนเอียงเช่นนี้ งานวิจัยต่าง ๆ ได้แสดงแล้วว่า การอ้างเหตุผลอย่างเอนเอียงเช่นนี้ ก็มีในสถานการณ์อื่น ๆ ด้วย รวมทั้งในที่ทำงาน[3] ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล[4] ในการกีฬา[5] และในการตัดสินใจของผู้บริโภค[6] ทั้งกระบวนการแรงจูงใจ (เช่น การยกตนเอง [self-enhancement] การรักษาภาพพจน์ [self-presentation]) และกระบวนการทางประชาน (เช่น locus of control, ความภูมิใจในตน [self-esteem]) ล้วนแต่มีอิทธิพลต่อความเอนเอียงนี้[7] ความเอนเอียงมีความแตกต่างกันทั้งในวัฒนธรรมต่าง ๆ (เช่นความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบในวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง และวัฒนธรรมที่เน้นส่วนรวม) และในคนไข้บางโรค (เช่นผู้มีภาวะเศร้าซึม)[8][9] งานวิจัยโดยมากเกี่ยวกับความเอนเอียงนี้ ใช้การอ้างเหตุผลที่ผู้ร่วมการทดลองรายงาน (self-reports) ในการทดลองที่มีการปรับเปลี่ยนผลของงาน (ที่ไม่ใช่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ร่วมการทดลอง) และในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจริง ๆ[10] แต่ว่า งานวิจัยที่ทันสมัยกว่านั้น จะใช้การปรับเปลี่ยนทางกายภาพ เช่นการทำให้เกิดอารมณ์ หรือการกระตุ้นการทำงานในระบบประสาท เพื่อที่จะเข้าใจกลไกทางชีวภาพที่มีส่วนให้เกิดความเอนเอียงรับใช้ตนเองได้ดีขึ้น[11][12] ประวัติ ทฤษฎีความเอนเอียงรับใช้ตนเองเกิดขึ้นระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 และเมื่องานวิจัยในประเด็นนี้เริ่มมีเพิ่มขึ้น นักวิชาการบางท่านมีความวิตกกังวลว่า ทฤษฎีนี้จะกลายเป็นเรื่องล้มเหลวเหมือนกับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เคยมีอย่างหนึ่ง[13] แต่ว่า ในปัจจุบันนี้ ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความเอนเอียงในการอ้างเหตุผล คืออะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน Article: ความเอนเอียงเพื่อยืนยัน (ความคิดฝ่ายตน)[1] หรือ ความลำเอียงเพื่อยืนยัน (English: Confirmation bias, confirmatory bias, myside bias) เป็นความลำเอียงในข้อมูลที่ยืนยันความคิดหรือทฤษฎีหรือสมมติฐานฝ่ายตน[upper-alpha 1][2] เรียกว่ามีความลำเอียงนี้เมื่อสะสมหรือกำหนดจดจำข้อมูลที่เลือกเฟ้น หรือว่าเมื่อมีการตีความหมายข้อมูลอย่างลำเอียง ความลำเอียงนี้มีอยู่ในระดับสูงในประเด็นที่ให้เกิดอารมณ์หรือเกี่ยวกับความเชื่อที่ฝังมั่น นอกจากนั้นแล้ว คนมักตีความหมายข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนว่าสนับสนุนความคิดเห็นของตนเอง มีการใช้การสืบหา การตีความหมาย และการทรงจำข้อมูลประกอบด้วยความลำเอียงเช่นนี้ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ รวมทั้ง ความเห็นที่สุดโต่งเพิ่มขึ้น (attitude polarization) คือเมื่อข้อขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้นแม้ว่าทุก ๆ ฝ่ายจะได้หลักฐานเดียวกัน ความยึดมั่นอยู่กับความเชื่อ (belief perseverance) แม้ว่าหลักฐานจะแสดงว่าเป็นความเชื่อผิด ๆ การให้น้ำหนักกับหลักฐานที่ได้ตอนต้น ๆ ที่ไร้เหตุผล (irrational primacy effect) เป็นการให้น้ำหนักกับหลักฐานที่ได้ในตอนต้นและตอนอื่น ๆ ที่ไม่เท่ากัน สหสัมพันธ์ลวง (illusory correlation) คือมีการเชื่อมเหตุการณ์หรือสถานการณ์สองอย่างเข้าด้วยกัน โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นจริง งานทดลองหลายงานในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 ส่อว่า มนุษย์มีความลำเอียงที่จะยืนยันความเชื่อที่มีอยู่ของตน ส่วนงานวิจัยต่อ ๆ มาตีความหมายของผลการทดลองเหล่านั้นใหม่ว่า เป็นความเอนเอียงที่จะทดสอบความคิดต่าง ๆ จากทางด้านเดียวเท่านั้น คือ ให้ความสนใจต่อข้อสันนิษฐานเพียงข้อเดียวโดยที่ไม่ใส่ใจข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ข้ออื่น ๆ ในบางกรณี ความลำเอียงนี้สามารถทำลายความเป็นกลางของข้อสรุป เหตุที่ใช้ในการอธิบายความลำเอียงเช่นนี้รวมทั้งความอยากที่จะให้เป็นอย่างนั้น (wishful thinking) และสมรรถภาพที่จำกัดในการประมวลข้อมูลของมนุษย์ ส่วนคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือมนุษย์มีความเอนเอียงเพื่อยืนยันความคิดฝ่ายตน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเสียไปถ้าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเป็นกลาง ๆ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ความลำเอียงนี้ทำให้เกิดความมั่นใจมากเกินไปในความเชื่อส่วนตัวของตนและสามารถรักษาหรือแม้แต่ทำให้ตั้งมั่นยิ่งขึ้นซึ่งความเชื่อผิด ๆ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความแพร่หลายทั่วโลกของทารุณกรรมทางเพศต่อเด็กประเมินอยู่ที่เท่าไหร่ในเพศหญิง?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: การทารุณเด็กทางเพศ Article: การทารุณเด็กทางเพศ[1] (English: Child sexual abuse ตัวย่อ CSA, English: child molestation) หรือ การกระทำทารุณต่อเด็กทางเพศ[2] หรือ การทำร้ายเด็กทางเพศ[3] เป็นรูปแบบการกระทำทารุณต่อเด็กที่ผู้ใหญ่, หรือเยาวชนหรือวัยรุ่นที่มีอายุมากกว่าและต่างระดับพัฒนา[4] ใช้เด็กกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ[5][6] มีรูปแบบตั้งแต่การขอหรือบังคับให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเพศ (ไม่ว่าจะได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่), การแสดงสิ่งลามกอนาจารไม่ว่าจะเป็นอวัยวะเพศ หัวนมหญิง เป็นต้น เพื่อสนองความต้องการทางเพศของตน เพื่อขู่ขวัญเด็ก หรือเพื่อปะเหลาะประเล้าประโลมเตรียมเด็กเพื่อทารุณกรรม, การสัมผัสเด็กทางเพศ, หรือการใช้เด็กเพื่อผลิตสื่อลามกอนาจาร[5][7][8] ทารุณกรรมสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายที่หลายสถาน รวมทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือสำนักงานที่มีเด็กทำงานเป็นปกติ การจับเด็กแต่งงานเป็นรูปแบบการทารุณหลักอย่างหนึ่ง ที่กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ได้กล่าวไว้ว่า "อาจเป็นรูปแบบการทารุณและฉวยผลประโยชน์จากเด็กหญิงทางเพศที่แพร่หลายที่สุด"[9] ทารุณกรรมต่อเด็กส่งผลทางจิตใจ ให้เกิดความซึมเศร้า[10] ความวิตกกังวล[11] ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ[12] ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจแบบซับซ้อน (complex post-traumatic stress disorder)[13] ความโน้มเอียงที่จะตกเป็นเหยื่อทารุณกรรมอีกในวัยผู้ใหญ่[14] รวมทั้งการบาดเจ็บทางกาย และเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาทั้งหมด[15] ทารุณกรรมโดยสมาชิกครอบครัวซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการร่วมประเวณีกับญาติสนิท จะก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงยิ่งกว่าต่อเด็ก ส่งผลกระทบต่อจิตใจในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีที่ทำโดยผู้ปกครอง[16] ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง พ่อบุญธรรม แม่บุญธรรม ความแพร่หลายทั่วโลกของทารุณกรรมทางเพศต่อเด็กประเมินอยู่ที่ 19.7% ในหญิง และ 7.9% ในชาย[17] ผู้กระทำผิดส่วนมากรู้จักเหยื่อ ราว 30% เป็นญาติ บ่อยที่สุดเป็นพี่ชาย พ่อ ลุง หรือลูกพี่ลูกน้อง ราว 60% เป็นคนรู้จักอื่นอย่างเช่น "เพื่อน"ของคนในครอบครัว พี่เลี้ยงเด็ก หรือเพื่อนบ้าน และราว 10% เป็นคนแปลกหน้า[18] ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่เป็นชาย จากการศึกษาพบว่า หญิงทำผิดต่อ 14-40% ของเหยื่อเด็กชาย และ 6% ของเหยื่อเด็กหญิง[18][19][20](โดยที่เหลือของเหยื่อทำโดยผู้ทำผิดเพศชาย) ส่วนคำภาษาอังกฤษว่า pedophile (คนใคร่เด็ก) มักจะใช้อย่างไม่เลือกกับทุก ๆ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 จบลงอย่างไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 Article: ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 หรือ สงกรานต์เลือด เป็นเหตุการณ์การเดินขบวนทางการเมืองและความไม่สงบตามมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ถึง 24 เมษายน พ.ศ. 2552 ในกรุงเทพมหานครและพัทยาเพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและมีการสลายการชุมนุมด้วยทหารตามมา ช่วงที่การประท้วงถึงขีดสุด มีผู้ประท้วงมากถึง 100,000 คน ชุมนุมในกรุงเทพมหานครตอนกลาง การชุมนุมดังกล่าวยืดเยื้อและทวีความรุนแรงมากขึ้น จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันที่11 เมษายน พ.ศ. 2552ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และยกเลิกประกาศดังกล่าวในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552[1] ต่อมาในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552[2]รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอบางบ่อ อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ และมีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมกับบ่อยครั้ง จากนั้นเมื่อเหตุการณ์สงบลง รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552[3] เบื้องหลัง วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์ทางการเมือง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นเวลาห้าปี เดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรอ้างผ่านการแพร่ภาพวิดีโอว่า ประธานองคมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อยู่เบื้องหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 และว่า พล.อ. เปรม และองคมนตรี พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ และชาญชัย ลิขิตจิตถะ สมคบกับกองทัพเพื่อประกันให้อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แม้อภิสิทธิ์จะปฏิเสธการกล่าวหาดังกล่าว ก็มีผู้ประท้วงหลายพันคนในกรุงเทพมหานครเมื่อต้นเดือนเมษายน เรียกร้องให้อภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ พล.อ. เปรม พล.อ. สุรยุทธ์ และชาญชัย ลิขิตจิตถะลาออกจากการเป็นองคมนตรี[4] พ.ต.ท. ทักษิณเรียกร้อง "การปฏิวัติของประชาชน" เพื่อเอาชนะอิทธิพลอำมาตยาธิปไตยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ตามคำอ้าง การประท้วง นำโดย...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552มีใครเป็นแกนนำผู้ชุมนุม ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 Article: ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 หรือ สงกรานต์เลือด เป็นเหตุการณ์การเดินขบวนทางการเมืองและความไม่สงบตามมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ถึง 24 เมษายน พ.ศ. 2552 ในกรุงเทพมหานครและพัทยาเพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและมีการสลายการชุมนุมด้วยทหารตามมา ช่วงที่การประท้วงถึงขีดสุด มีผู้ประท้วงมากถึง 100,000 คน ชุมนุมในกรุงเทพมหานครตอนกลาง การชุมนุมดังกล่าวยืดเยื้อและทวีความรุนแรงมากขึ้น จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันที่11 เมษายน พ.ศ. 2552ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และยกเลิกประกาศดังกล่าวในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552[1] ต่อมาในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552[2]รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอบางบ่อ อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ และมีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมกับบ่อยครั้ง จากนั้นเมื่อเหตุการณ์สงบลง รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552[3] เบื้องหลัง วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์ทางการเมือง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นเวลาห้าปี เดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรอ้างผ่านการแพร่ภาพวิดีโอว่า ประธานองคมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อยู่เบื้องหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 และว่า พล.อ. เปรม และองคมนตรี พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ และชาญชัย ลิขิตจิตถะ สมคบกับกองทัพเพื่อประกันให้อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แม้อภิสิทธิ์จะปฏิเสธการกล่าวหาดังกล่าว ก็มีผู้ประท้วงหลายพันคนในกรุงเทพมหานครเมื่อต้นเดือนเมษายน เรียกร้องให้อภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ พล.อ. เปรม พล.อ. สุรยุทธ์ และชาญชัย ลิขิตจิตถะลาออกจากการเป็นองคมนตรี[4] พ.ต.ท. ทักษิณเรียกร้อง "การปฏิวัติของประชาชน" เพื่อเอาชนะอิทธิพลอำมาตยาธิปไตยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ตามคำอ้าง การประท้วง นำโดย...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์ มีชื่อภาษาไทยว่าอย่างไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ Article: คอมพิวเตอร์ (English: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4] คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์ เครื่องแรกถูกประดิษฐ์โดยใคร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ Article: คอมพิวเตอร์ (English: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4] คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์คิดค้นโดยใคร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ Article: คอมพิวเตอร์ (English: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4] คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้งานครั้งแรกที่ใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต Article: ประวัติอินเทอร์เน็ต เป็นการศึกษาความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต ความคิดเรื่องเครือข่ายคอมพิวเตอร์เครือข่ายเดียวที่สามารถให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ต่างระบบกันสามารถสื่อสารกันได้นั้นได้มีการพัฒนาผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอนด้วยกัน การหลอมรวมกันของการพัฒนาเหล่านั้นได้นำไปสู่เครือข่ายของเครือข่ายทั้งหลายที่รู้จักกันในชื่อว่า อินเทอร์เน็ต การพัฒนาเหล่านั้นมีทั้งในแง่การพัฒนาเทคโนโลยี และการรวมโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายและระบบโทรคมนาคมที่มีอยู่เดิมเข้าด้วยกัน ความคิดเรื่องนี้ในครั้งแรก ๆ ปรากฏขึ้นในปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 หากแต่การนำแนวคิดเหล่านี้ไปปฏิบัติได้จริงนั้นเริ่มขึ้นในปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 เทคโนโลยีซึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่นั้นได้เริ่มแพร่หลายออกไปทั่วโลก ในคริสต์ทศวรรษ 1990 การมาถึงของเวิลด์ไวด์เว็บได้ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ก่อนอินเทอร์เน็ต ในคริสต์ทศวรรษ 1950 ถึง 1960 ก่อนการแพร่หลายของการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายจนเป็นอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน เครือข่ายการสื่อสารส่วนมากยังคงมีข้อจำกัดเนื่องด้วยธรรมชาติของตัวเครือข่ายเอง ซึ่งทำให้การสื่อสารสามารถกระทำได้ระหว่างสถานีในเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น ข่ายงานบางแห่งมีเกตเวย์หรือบริดจ์ต่อระหว่างกัน หากแต่เกตเวย์หรือบริดจ์เหล่านั้นยังมีข้อจำกัดหรือมิฉะนั้นก็สร้างขึ้นเพื่อใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น วิธีเชื่อมต่อเครือข่ายที่ใช้กันในขณะนั้นวิธีหนึ่งมีพื้นฐานจากวิธีที่ใช้กับคอมพิวเตอร์เมนเฟรม ซึ่งคือการยินยอมให้เครื่องปลายทาง (เทอร์มินัล) ที่อยู่ห่างไกลออกไปสามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ผ่านทางสายเช่า วิธีนี้ใช้กันในคริสต์ทศวรรษ 1950 โดยโครงการแรนด์ เพื่อสนับสนุนการติดต่อกันระหว่างนักวิจัยที่อยู่ห่างไกลกัน ตัวอย่างเช่น เฮอร์เบิร์ต ไซมอน ในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนน์ซิลเวเนีย สามารถดำเนินงานวิจัยในเรื่องการพิสูจน์ทฤษฎีอัตโนมัติหรือปัญญาประดิษฐ์ ร่วมกับเหล่านักวิจัยซึ่งอยู่อีกฝั่งของทวีปในเมืองแซนทามอนิกา รัฐแคลิฟอร์เนียได้ ผ่านทางเครื่องปลายทางและสายเช่า เครื่องปลายทางสามเครื่องและอาร์พา เจ.ซี.อาร์. ลิกไลเดอร์ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในการเรียกร้องการพัฒนาเครือข่ายระดับโลกคนหนึ่ง ได้เสนอความคิดของเขาไว้ในบทความวิชาการชื่อ "Man-Computer Symbiosis" ตีพิมพ์เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1960 ดังนี้ "A network of...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ตัวแรกของโลกสร้างขึ้นที่ใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Article: วามหมายอื่น|PC แก้ความ ไฟล์:ashton 01.svg|thumbภาพวาดของgmail.com lang-en|Personal computer หรือ พีซี (English: PC) สำหรับใช้ส่วนบุคคล แต่ในปัจจุบันยังหมายรวมถึง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (desktop computer) คอมพิวเตอร์แบบพกพา (laptop computer) และคอมพิวเตอร์แบda up yet u r up u u UT UT u Yaz u guys UT u do u I try d968_;___66866_6____50th ____98_56_6_686666__6__;6___686_6___96665_6__68_69__86__6_9_66_dry do ydddddy dry I dip dry ddyyd dry diary dry UT day do ft do ydddddy up dd9__86 _7__6__6_6_9_6__7 บรับข้อมูลด้วยการเขียนบนจอภาพ (tablet computer) โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (operating systems) ที่นิยมใช้ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Windows, โปรแกรม Mac OS X และ Linux โดยหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) นิยมใช้ไมโครโปรเซสเซอร์ตระกูล x86 (x86-compatible CPUs) , ARM architecture CPUs และ PowerPC CPUs โปรแกรมประยุกต์ (application software) ได้แก่ โปรแกรมประมวลผลคำ (word processing) โปรแกรมตารางคำนวณ (spreadsheets) โปรแกรมฐานข้อมูล (databases) โปรแกรมเกมส์ และโปรแกรมสนับสนุนการทำงานส่วนบุคคลอีกมากมาย เครื่องพ๊ซีที่ทันสมัยจะมาพร้อมกับอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (high-speed internet) หรือ โมเด็ม ให้ผู้ใช้ได้เข้าถึง World Wide Web และแหล่งข้อมูลมหาศาล เครื่องพีซีอาจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ประจำบ้าน (home computer) หรืออาจพบใช้ในงานสำนักงานที่มักจะเชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายท้องถิ่น (local area network) ลักษณะเด่นจะเป็นเครื่องที่ถูกใช้งานโดยคนเพียงคนเดียว ซึ่งต่างจากระบบประมวลผลแบบ batch processing หรือ time-sharing ที่มีความซับซ้อน ราคาแพง มีการใช้งานจากคนหมู่มากพร้อม ๆ กัน หรือระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการทีมทำงานเต็มเวลาคอยควบคุมการทำงาน ผู้ใช้ "PC" ในยุคแรกต้องเขียนโปรแกรมขึ้นใช้งานเอง แต่มาในปัจจุบัน ผู้ใช้มีโปรแกรมให้เลือกใช้ที่หลากหลายทั้งแบบที่ซื้อขายเชิงพาณิชย์และไม่เชิงพาณิชย์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ติดตั้งได้ง่าย คำว่า "คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล" เริ่มมีใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) สำหรับกล่าวถึงเครื่อง Xerox PARC ของบริษัท Xerox Alto อย่างไรก็ตามจากความประสบความสำเร็จของไอบีเอ็มพีซี ทำให้การใช้คำว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหมายถึง เครื่องไอบีเอ็มพีซี เครื่องใรุ่นพีซี ของซึ่งเป็นที่มาของคำดังกล่าว - คำสามัญ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เครื่องแรกของโลกสร้างขึ้นที่ใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ Article: คอมพิวเตอร์ (English: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4] คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกจัดเก็บไว้ที่ใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ Article: คอมพิวเตอร์ (English: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4] คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกจัดเก็บไว้ที่ใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ประวัติฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ Article: ประวัติฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ วิวัฒนาการก่อนจะมาเป็นคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์นั้นมีวิวัฒนาการที่รวดเร็วมาก ตั้งแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์เป็นต้นมา มนุษย์เรามีความพยายามที่จะคิดค้นเครื่องมือให้มาช่วยในการคำนวณและการนับ ตั้งแต่เริ่มต้นใช้นิ้วมือนับ จนมาใช้ก้อนกรวด หิน มนุษย์จึงคิดค้นวิธีการที่ง่ายกว่านี้ จนกลายมาเป็นกลไกที่ใช้ในการคำนวณ จนวิวัฒนาการมาเป็นคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน โดยแบ่งเป็น 4 ยุค ดังนี้ ยุคก่อนเครื่องจักรกล (Premachanical) (พ.ศ. 2497-2501) คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศ (Vacuum tube) เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องยังมีขนาดใหญ่มาก ใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนมาก ทำให้เครื่องมีความร้อนสูงจึงมักเกิดข้อผิดพลาดง่าย คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ได้แก่ UNIVAC I , IBM 600 ยุคเครื่องจักรกล (Mechanical) (พ.ศ. 2502-2507) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์ (Transistor) เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และใช้วงแหวนแม่เหล็กเป็นหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กกว่ายุคแรก ต้นทุนต่ำกว่า ใช้กระแสไฟฟ้าน้อยกว่า และมีความแม่นยำ ยุคเครื่องจักรกลระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electromechanical) (พ.ศ. 2508-2513) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจรไอซี (Integrated Circuit) เป็นสารกึ่งตัวนำที่สามารถบรรจุวงจรทางตรรกะไว้แล้วพิมพ์บนแผ่นซิลิกอน (Silicon) เรียกว่า "ชิป" ยุคเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic) (พ.ศ. 2514-2523) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจร LSI (Large-Scale Integrated Circuit) เป็นการรวมวงจรไอซีจำนวนมากลงในแผ่นซิลิกอนชิป 1 แผ่น สามารถบรรจุได้มากกว่า 1 ล้านวงจร ด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ทำให้เกิดแนวคิดในการบรรจุวงจรที่สำคัญสำหรับการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์นั่นคือ CPU ลงชิปตัวเดียว เรียกว่า "ไมโครโปรเชสเซอร์" คอมพิวเตอร์ในยุคเริ่มแรก คอมพิวเตอร์ในยุคเริ่มแรกยังไม่มีชิปประมวลผลหรือระบบปฏิบัติการในปัจจุบัน โดยถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 400 กว่าปีที่แล้วส่วนใหญ่ คอมพิวเตอร์เหล่านี้มักใช้ในการคำนวณมากกว่า อุปกรณ์ชนิดแรกของโลกที่เป็นเครื่องมือในการคำนวณก็คือลูกคิดนั่นเอง ซึ่งถือได้ว่า เป็นอุปกรณ์ใช้ช่วยการคำนวณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและคงยังใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2158 นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้สร้างอุปกรณ์ใช้ ช่วยการคำนวณขึ้นมา เรียกว่า Napier's Bones มีรูปร่างคล้ายสูตรคูณในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2185 นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Blaise Pascal...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกถูกผลิตโดยบริษัทอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: แอปเปิล (บริษัท) Article: Coordinates: บริษัทแอปเปิล (English: Apple Inc.) หรือในชื่อเดิม บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer Inc.) เป็นบริษัทในซิลิคอนแวลลีย์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แอปเปิลปฏิวัติคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 ด้วยเครื่องแอปเปิล I และแอปเปิล II และแมคอินทอช ในยุค 80 ปัจจุบันแอปเปิลมีชื่อเสียงด้านฮาร์ดแวร์ เช่น ไอแมค ไอพอด ไอโฟน ไอแพด และร้านขายเพลงออนไลน์ไอทูนส์ ประวัติ จุดเริ่มต้นในปี 1976–2010 บริษัท Apple Computer Inc. ได้เกิดขึ้นจากการร่วมกันก่อตั้งของ สตีฟ จ็อบส์ และ สตีฟ วอซเนียก[5] ทำการปฏิวัติธุรกิจคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 โดยการนำเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขาย ในชื่อ Apple I[6][7] ที่ราคาจำหน่าย 666.66 เหรียญ[8][9][10][11][12] ในจำนวนและระยะเวลาจำกัด ภายในปีถัดมาก็ได้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำยอดจำหน่ายสูงสุดให้กับบริษัท ณ ขณะนั้นคือ แอปเปิล II ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐานให้กับไมโครคอมพิวเตอร์ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด (อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าว ทางบริษัทจะมุ่งเน้นการขายระบบปฏิบัติการมากกว่าที่จะขายผลิตภัณฑ์ไมโครคอมพิวเตอร์ เนื่องจากประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จากบริษัท Intel และ IBM ทำงานได้ดีกว่า) ก่อตั้งเมื่อ 1 เมษายน 1976 ใน Cupertino, California, และมีผู้ร่วมถือหุ้นในวันที่ 3 มกราคม 1977 บริษัท ฯ ได้ตั้งชื่อไว้ก่อนหน้านี้ Apple Computer, Inc. และมีการใช้ชื่อนี้มากว่า 30 ปี แต่ภายหลังได้ตัดคำว่า"Computer"ออกเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2007 เพื่อสะท้อนให้เห็น การขยายตัวต่อเนื่องของบริษัท ที่ก้าวเข้าสู่ตลาดอิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่สำหรับผู้บริโภคนอกเหนือจากการมุ่งเน้นดั้งเดิมบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2010 แอปเปิลมีจำนวนพนักงานเต็มเวลา 46,600 คน และ 2,800 คนแบบชั่วคราวมียอดขายทั่วโลกประจำปีของ $ 65,230,000,000 เพื่อความเป็นต่างๆเป็นปรัชญาของการออกแบบที่ครบวงจรเพื่อความสวยงามที่โดดเด่นของแคมเปญการโฆษณา, แอปเปิลได้มีชื่อเสียงโดดเด่นในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงฐานลูกค้าที่อุทิศให้กับบริษัท และตราสินค้าของตนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา นิตยสารฟอร์จูนมอบตำแหน่งแอปเปิลชื่นชมมากที่สุดของ บริษัททั้งหมดในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2008 และในโลกในปี 2008, 2009, และ 2010 บริษัท ฯ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกผลิตที่ประเทศใด?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ Article: คอมพิวเตอร์ (English: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4] คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์เครื่องแรกสร้างขึ้นที่ประเทศใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ Article: คอมพิวเตอร์ (English: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4] คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอมพิวเตอร์เครื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อไหร่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอมพิวเตอร์ Article: คอมพิวเตอร์ (English: computer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4] คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับ และของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ประวัติของการคำนวณโดยใช้คอมพิวเตอร์ มีการบันทึกไว้ว่า ครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า "คอมพิวเตอร์" คือเมื่อ ค.ศ. 1613 ซึ่งหมายถึงบุคคลที่ทำหน้าที่คาดการณ์ หรือคิดคำนวณ และมีความหมายเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มา...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอลด์เวลล์ เบลกแมน เอสเซลเตน จูเนียร์ จบการศึกษาสูงสุดจากที่ไหน ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ธีโอดอร์ โรสเวลต์ Article: ธีโอดอร์ รูสเวลต์ (English: Theodore Roosevelt) (27 ตุลาคม พ.ศ. 2401 - 6 มกราคม พ.ศ. 2462) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา ผู้คนนิยมเรียกเขาว่า เท็ดดี้ ซึ่งรูสเวลต์นั้นคือแรงบรรดาลใจให้ก่อให้เกิดตุ๊กตาหมีในตำนานอย่าง หมีเท็ดดี้ ซึ่งหลายๆคนรู้จักดี แต่ในด้านการบริหารประเทศ รูสเวลต์ก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร เขาได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันถึง 2 สมัย 8 ปี และใบหน้าของเขาก็ได้ถูกสลักไว้ในอนุสรณ์สถานแห่งชาติเมานต์รัชมอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เขาหรือรูสเวลต์เป็นประธานาธิบดีที่มีความสามารถมากคนหนึ่งของอเมริกา มีบทบาทและทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ที่สำคัญเขายังได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดในปี ค.ศ. 1905 อีกด้วย วัยเด็ก ธีโอดอร์ รูสเวลต์ เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2401 ที่รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เขาเป็นบุตรคนที่ 2 ของ ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ซีเนียร์ (หรือผู้พ่อ) กับนางมิทที บูลลอช เขามีพี่น้องไม่รวมตัวเขา 3 คนคือ แอนนา โควเลส รูสเวลต์ (พี่สาว) เอลเลียท บูลลอช รูสเวลต์ (น้องชาย) คอรินี รูสเวลต์ โรบินสัน (น้องสาว) ในวัยเด็กนั้น รูสเวลต์เป็นเด็กที่มีร่างกายอ่อนแอ และป่วยเป็นโรคหอบหืด ซึ่งในวัยเด็กรูสเวลต์ ซีเนียร์ พ่อของเขาได้มีอิทธิพลต่อตัวเขามาก ซึ่งเป็นแรงพลักดันและแรงบรรดาลใจของเขาในเวลาต่อมา รูสเวลต์เรียนจบจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ด้วยคะแนนที่ดีมาก เขาได้จบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 รูสเวลต์นับว่าเป็นนักอ่านตัวยง เขาชอบอ่านหนังสือแนวประวัติศาสตร์ อัตชีวประวัติ ปรัชญา วาทศิลป์ รวมถึงจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ภายในหนังสือ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่มากกว่าตำราเรียนที่มีอยู่ เขาชื่นชอบการเล่นกีฬามาก โดยเฉพาะการชกมวย ซึ่งรูสเวลต์ได้รับรางวัลรองชนะเลิศในการแข่งชกมวยของฮาวาร์ด รูสเวลต์ได้พยายามหัดเล่นกีฬาหลายๆอย่าง เพื่อลบปมด้อยเรื่องสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอในวัยเด็ก นอกจากนี้แล้ว เขายังชื่นชอบการล่าสัตว์อีกด้วย เช่น เสือ สิงห์ กระทิง แรด เป็นต้น เค้ามีปืน.357 อีกด้วย ครอบครัว รูลเวลท์แต่งงานครั้งแรกกับ แอไลส์ ฮาธาเวย์ ลี (29 กรกฎาคม ค.ศ. 1861 – 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1884) ในปี ค.ศ. 1880 ซึ่งเธอเสียชีวิตในอีก 4 ปีต่อมา รูสเวลต์และลีมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คนชื่อ แอไลส์ ลี รูสเวลต์ ลองวอร์ธ รูสเวลต์แต่งงานอีกครั้งในปี ค.ศ. 1886 กับ เอดิธ เคอร์มิท คาโรว รูสเวลต์กับคาโรวมีบุตรด้วยกัน 5 คน เป็นบุตรชาย 4...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอลด์เวลล์ เบลกแมน เอสเซลเตน จูเนียร์ เป็นผู้รับเหรียญทองโอลิมปิกในกีฬาพายเรือปีใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คอลด์เวลล์ เอสเซลเตน Article: คอลด์เวลล์ เบลกแมน เอสเซลเตน จูเนียร์ (English: Caldwell Blakeman Esselstyn Jr.)[1] เป็นศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน และเป็นผู้รับเหรียญทองโอลิมปิกในกีฬาพายเรือ เขาเป็น "ผู้สนับสนุนระดับผู้นำ" เกี่ยวกับ "อาหารจากพืช"[2] และเป็นนักแสดงในภาพยนตร์สารคดีอเมริกันเรื่อง ใช้ซ่อมดีกว่าโดนมีด (Forks Over Knives) ในปี ค.ศ. 2011 หนังสือของคุณหมอเอสเซลเตน การป้องกันและการรักษาโรคหัวใจ (Prevent and Reverse Heart Disease) (ค.ศ. 2007) มีอิทธิพลให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐบิล คลินตันเปลี่ยนวิถีการบริโภคอาหาร[3] พื้นเพประวัติ คุณหมอเอสเซลเตนเกิดที่นครนิยอร์ก, มลรัฐนิวยอร์กในปี ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476)[1] และเติบโตขึ้นในฟารม์เลี้ยงวัวในเขตด้านเหนือของรัฐนิวยอร์ก โดยได้รับการศึกษาในโรงเรียนรัฐ ในระดับมัธยมปลาย เขาได้เข้าเรียนที่เอเคเดมีเดียร์ฟิลด์[4] และจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยลในปี ค.ศ. 1956[5] ซึ่งในช่วงที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย เขาเป็นสมาชิกของสมาคมลับ Skull and Bones (ที่ประธานาธิบดีบุชทั้งพ่อทั้งลูกเป็นสมาชิกด้วย)[6] เขายังได้แข่งขันในกีฬาโอลิมปิกในปี ค.ศ. 2499 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และได้รับเหรียญทองในกีฬาพายเรือทีม 8 คนซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศสหรัฐ[7] คุณหมอเอสเซลเตนรับปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตจากโรงเรียนการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟในปี ค.ศ. 1961 (ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้พบภรรยาในอนาคตของเขาคือแอนน์)[4] เป็นแพทย์ฝึกหัด (ค.ศ. 1961–62) และแพทย์ฝึกหัดเฉพาะทาง (ค.ศ. 1962–66) ีที่คลินิกคลีฟแลนด์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลดีที่สุด 1 ใน 4 ของประเทศสหรัฐอเมริกา[1] หลังจากกลับมาจากการทำหน้าที่เป็นศัลยแพทย์ของกองทัพบกในสงครามเวียดนาม เขาก็เริ่มทำงานที่คลินิกคลีฟแลนด์ จนกระทั่งได้รับตำแหน่งเป็น President of the Staff และเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล เขาได้รับตำแหน่งเป็นประธานของสมาคมศัลย์แพทย์ต่อมไร้ท่ออเมริกัน (American Association of Endocrine Surgeons) ในปี ค.ศ. 1991 ในปี ค.ศ. 2000 คุณหมอลาออกจากตำแหน่งในคลินิกคลีฟแลนด์ ในปี ค.ศ. 2005 คุณหมอได้รับรางวัลเบ็นจามินสป็อกสำหรับความกรุณาในการแพทย์ (Benjamin Spock Award for Compassion in Medicine) เป็นคนแรก ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น (Distinguished Alumnus Award) จากสมาคมศิษย์เก่าคลินิกคลีฟแลนด์ในปี ค.ศ. 2009 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอลด์เวลล์ เบลกแมน เอสเซลเตน จูเนียร์ เป็นหญิงหรือชาย ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ธีโอดอร์ โรสเวลต์ Article: ธีโอดอร์ รูสเวลต์ (English: Theodore Roosevelt) (27 ตุลาคม พ.ศ. 2401 - 6 มกราคม พ.ศ. 2462) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา ผู้คนนิยมเรียกเขาว่า เท็ดดี้ ซึ่งรูสเวลต์นั้นคือแรงบรรดาลใจให้ก่อให้เกิดตุ๊กตาหมีในตำนานอย่าง หมีเท็ดดี้ ซึ่งหลายๆคนรู้จักดี แต่ในด้านการบริหารประเทศ รูสเวลต์ก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร เขาได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันถึง 2 สมัย 8 ปี และใบหน้าของเขาก็ได้ถูกสลักไว้ในอนุสรณ์สถานแห่งชาติเมานต์รัชมอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เขาหรือรูสเวลต์เป็นประธานาธิบดีที่มีความสามารถมากคนหนึ่งของอเมริกา มีบทบาทและทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ที่สำคัญเขายังได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดในปี ค.ศ. 1905 อีกด้วย วัยเด็ก ธีโอดอร์ รูสเวลต์ เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2401 ที่รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เขาเป็นบุตรคนที่ 2 ของ ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ซีเนียร์ (หรือผู้พ่อ) กับนางมิทที บูลลอช เขามีพี่น้องไม่รวมตัวเขา 3 คนคือ แอนนา โควเลส รูสเวลต์ (พี่สาว) เอลเลียท บูลลอช รูสเวลต์ (น้องชาย) คอรินี รูสเวลต์ โรบินสัน (น้องสาว) ในวัยเด็กนั้น รูสเวลต์เป็นเด็กที่มีร่างกายอ่อนแอ และป่วยเป็นโรคหอบหืด ซึ่งในวัยเด็กรูสเวลต์ ซีเนียร์ พ่อของเขาได้มีอิทธิพลต่อตัวเขามาก ซึ่งเป็นแรงพลักดันและแรงบรรดาลใจของเขาในเวลาต่อมา รูสเวลต์เรียนจบจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ด้วยคะแนนที่ดีมาก เขาได้จบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 รูสเวลต์นับว่าเป็นนักอ่านตัวยง เขาชอบอ่านหนังสือแนวประวัติศาสตร์ อัตชีวประวัติ ปรัชญา วาทศิลป์ รวมถึงจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ภายในหนังสือ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่มากกว่าตำราเรียนที่มีอยู่ เขาชื่นชอบการเล่นกีฬามาก โดยเฉพาะการชกมวย ซึ่งรูสเวลต์ได้รับรางวัลรองชนะเลิศในการแข่งชกมวยของฮาวาร์ด รูสเวลต์ได้พยายามหัดเล่นกีฬาหลายๆอย่าง เพื่อลบปมด้อยเรื่องสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอในวัยเด็ก นอกจากนี้แล้ว เขายังชื่นชอบการล่าสัตว์อีกด้วย เช่น เสือ สิงห์ กระทิง แรด เป็นต้น เค้ามีปืน.357 อีกด้วย ครอบครัว รูลเวลท์แต่งงานครั้งแรกกับ แอไลส์ ฮาธาเวย์ ลี (29 กรกฎาคม ค.ศ. 1861 – 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1884) ในปี ค.ศ. 1880 ซึ่งเธอเสียชีวิตในอีก 4 ปีต่อมา รูสเวลต์และลีมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คนชื่อ แอไลส์ ลี รูสเวลต์ ลองวอร์ธ รูสเวลต์แต่งงานอีกครั้งในปี ค.ศ. 1886 กับ เอดิธ เคอร์มิท คาโรว รูสเวลต์กับคาโรวมีบุตรด้วยกัน 5 คน เป็นบุตรชาย 4...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอเคลีย เป็นสัตว์ประเภทใด?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: หูชั้นในรูปหอยโข่ง Article: หูชั้นในรูปหอยโข่ง[1] หรือ อวัยวะรูปหอยโข่ง[1] หรือ คอเคลีย (English: cochlea, /ˈkɒk.liə/, จาก Ancient Greek: κοχλίας , kōhlias, แปลว่า หมุนเป็นวงก้นหอย หรือเปลือกหอยทาก) เป็นอวัยวะรับเสียงในหูชั้นใน เป็นช่องกลวงมีรูปร่างเป็นก้นหอยโข่งอยู่ในกระดูกห้องหูชั้นใน (bony labyrinth) โดยในมนุษย์จะหมุน 2.5 ครั้งรอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus[2][3] และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9 มม.[4] โครงสร้างหลักของคอเคลียก็คืออวัยวะของคอร์ติ ซึ่งเป็นอวัยวะรับประสาทสัมผัสคือการได้ยินเสียง และอยู่กระจายไปตามผนังที่กั้นโพรงสองโพรงที่เต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งวิ่งไปตามก้นหอยที่ค่อย ๆ แคบลง ส่วนคำว่าคอเคลียมาจากคำในภาษาละตินซึ่งแปลได้ว่า "เปลือกหอยทาก" และก็มาจากคำภาษากรีกว่า κοχλίας, kokhlias ซึ่งแปลว่า หอยทาก หรือเกลียว ซึ่งมาจากคำว่า κόχλος, kokhlos ซึ่งแปลว่า เปลือกวนเป็นก้นหอย[5] คอเคลียในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดยกเว้นของโมโนทรีมมีรูปร่างเช่นนี้ โครงสร้าง คอเคลียเป็นโพรงกระดูกรูปกรวยวนเป็นรูปก้นหอย ที่คลื่นความดันเสียงจะแพร่กระจายไปจากส่วนฐาน (base) ใกล้หูชั้นกลางที่ช่องรูปไข่ (oval window) ไปยังส่วนยอด (apex) คือที่ส่วนปลายหรือตรงกลางของก้นหอย โพรงที่วนเป็นก้นหอยเรียกว่า Rosenthal's canal หรือ spiral canal of the cochlea โดยยาวประมาณ 30มม. และหมุน 2¾ รอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus โดยมีโครงสร้างรวมทั้ง มีโพรง 3 โพรงที่เรียกว่า scalae vestibular duct หรือ scala vestibuli บรรจุน้ำที่เรียกว่า perilymph และอยู่ด้านบนของโพรงกระดูกและชิดกับช่องรูปไข่ tympanic duct หรือ scala tympani บรรจุ perilymph และอยู่ด้านล่างของโพรงกระดูกและไปสุดที่ช่องรูปกลม (round window) cochlear duct/partition หรือ scala media บรรจุน้ำที่เรียกว่า endolymph เป็นเขตที่ไอออนโพแทสเซียมมีความเข้มข้นสูง และที่มัดขนที่เรียกว่า stereocilia ของเซลล์ขน (hair cell) จะจุ่มอยู่ helicotrema เป็นจุดที่ tympanic duct และ vestibular duct มาบรรจบกันที่ยอด (apex) ของคอเคลีย เยื่อ Reissner's membrane ซึ่งแยก vestibular duct จาก cochlear duct เยื่อฐาน (basilar membrane) เป็นโครงสร้างหลักที่แยก cochlear duct จาก tympanic duct และเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติกระจายคลื่นกลของส่วนกั้นคอเคลีย อวัยวะของคอร์ติ เป็นเยื่อบุผิวรับเสียง (sensory epithelium) คือชั้นของเซลล์ที่บุเยื่อฐาน...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอเคลียมาจากคำในภาษาอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: หูชั้นในรูปหอยโข่ง Article: หูชั้นในรูปหอยโข่ง[1] หรือ อวัยวะรูปหอยโข่ง[1] หรือ คอเคลีย (English: cochlea, /ˈkɒk.liə/, จาก Ancient Greek: κοχλίας , kōhlias, แปลว่า หมุนเป็นวงก้นหอย หรือเปลือกหอยทาก) เป็นอวัยวะรับเสียงในหูชั้นใน เป็นช่องกลวงมีรูปร่างเป็นก้นหอยโข่งอยู่ในกระดูกห้องหูชั้นใน (bony labyrinth) โดยในมนุษย์จะหมุน 2.5 ครั้งรอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus[2][3] และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9 มม.[4] โครงสร้างหลักของคอเคลียก็คืออวัยวะของคอร์ติ ซึ่งเป็นอวัยวะรับประสาทสัมผัสคือการได้ยินเสียง และอยู่กระจายไปตามผนังที่กั้นโพรงสองโพรงที่เต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งวิ่งไปตามก้นหอยที่ค่อย ๆ แคบลง ส่วนคำว่าคอเคลียมาจากคำในภาษาละตินซึ่งแปลได้ว่า "เปลือกหอยทาก" และก็มาจากคำภาษากรีกว่า κοχλίας, kokhlias ซึ่งแปลว่า หอยทาก หรือเกลียว ซึ่งมาจากคำว่า κόχλος, kokhlos ซึ่งแปลว่า เปลือกวนเป็นก้นหอย[5] คอเคลียในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดยกเว้นของโมโนทรีมมีรูปร่างเช่นนี้ โครงสร้าง คอเคลียเป็นโพรงกระดูกรูปกรวยวนเป็นรูปก้นหอย ที่คลื่นความดันเสียงจะแพร่กระจายไปจากส่วนฐาน (base) ใกล้หูชั้นกลางที่ช่องรูปไข่ (oval window) ไปยังส่วนยอด (apex) คือที่ส่วนปลายหรือตรงกลางของก้นหอย โพรงที่วนเป็นก้นหอยเรียกว่า Rosenthal's canal หรือ spiral canal of the cochlea โดยยาวประมาณ 30มม. และหมุน 2¾ รอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus โดยมีโครงสร้างรวมทั้ง มีโพรง 3 โพรงที่เรียกว่า scalae vestibular duct หรือ scala vestibuli บรรจุน้ำที่เรียกว่า perilymph และอยู่ด้านบนของโพรงกระดูกและชิดกับช่องรูปไข่ tympanic duct หรือ scala tympani บรรจุ perilymph และอยู่ด้านล่างของโพรงกระดูกและไปสุดที่ช่องรูปกลม (round window) cochlear duct/partition หรือ scala media บรรจุน้ำที่เรียกว่า endolymph เป็นเขตที่ไอออนโพแทสเซียมมีความเข้มข้นสูง และที่มัดขนที่เรียกว่า stereocilia ของเซลล์ขน (hair cell) จะจุ่มอยู่ helicotrema เป็นจุดที่ tympanic duct และ vestibular duct มาบรรจบกันที่ยอด (apex) ของคอเคลีย เยื่อ Reissner's membrane ซึ่งแยก vestibular duct จาก cochlear duct เยื่อฐาน (basilar membrane) เป็นโครงสร้างหลักที่แยก cochlear duct จาก tympanic duct และเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติกระจายคลื่นกลของส่วนกั้นคอเคลีย อวัยวะของคอร์ติ เป็นเยื่อบุผิวรับเสียง (sensory epithelium) คือชั้นของเซลล์ที่บุเยื่อฐาน...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอเคลียเต็มไปด้วยน้ำที่เรียกว่าอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: หูชั้นใน Article: หูชั้นใน[1] (English: inner ear, internal ear, Latin: auris interna) เป็นหูชั้นในสุดของสัตว์มีกระดูกสันหลัง มีหน้าที่ตรวจจับเสียงและการทรงตัว[2] ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มันจะประกอบด้วยกระดูกห้องหูชั้นใน (bony labyrinth) ซึ่งเป็นช่อง ๆ หนึ่งในกระดูกขมับของกะโหลกศีรษะ เป็นระบบท่อที่มีส่วนสำคัญสองส่วน คือ[3] หูชั้นในรูปหอยโข่ง (หรือคอเคลีย) ที่มีหน้าที่ได้ยิน คือแปลแรงสั่นเสียงที่เข้ามาจากหูชั้นนอกให้เป็นสัญญาณเคมี-ไฟฟ้า แล้วส่งไปยังสมองผ่านโสตประสาท (auditory nerve) ระบบการทรงตัว (vestibular system) ซึ่งจำเป็นในการทรงตัว สัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิดมีหูชั้นใน โดยอาจมีลักษณะและหน้าที่แตกต่างกันไปบ้าง และจะเชื่อมกับระบบประสาทกลางผ่านเส้นประสาทสมอง (cranial nerve) คู่ที่ 8 ทั้งหมด โครงสร้าง ห้องหูชั้นในสามารถแบ่งเป็นชั้น ๆ หรือเป็นเขต ๆ กระดูกและเนื้อเยื่อ กระดูกห้องหูชั้นใน (bony labyrinth, osseous labyrinth) เป็นเครือข่ายช่องกระดูกที่มีกำแพงบุด้วยเยื่อหุ้มกระดูก (periosteum) เนื้อเยื่อห้องหูชั้นใน (membranous labyrinth) จะอยู่ในกระดูกห้องหูชั้นใน โดยมีน้ำ perilymph อยู่ในระหว่าง ๆ องค์ประกอบ 3 อย่างในกระดูกห้องหูชั้นในก็คือช่องหู (vestibule of the ear), หลอดกึ่งวงกลม (semicircular canals), และคอเคลีย ระบบการทรงตัวกับคอเคลีย ในหูชั้นกลาง พลังงานเสียงจะแปลเป็นแรงสั่นกลโดยกระดูกหู (ossicles) 3 ท่อน โดยคลื่นเสียงจากหูชั้นนอกจะขยับแก้วหู (tympanic membrane) แล้วเขย่ากระดูกค้อน ที่เป็นกระดูกท่อนแรกของหูชั้นกลาง กระดูกค้อนก็จะเชื่อมกับกระดูกทั่ง ซึ่งเชื่อมกับกระดูกโกลน ส่วนที่เป็น "ที่เหยียบ" คือฐานของกระดูกโกลน จะเชื่อมปิดช่องรูปไข่ (oval window) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของหูชั้นใน (และคอเคลีย) เมื่อกระดูกโกลนดันเข้าที่ช่องรูปไข่ ก็จะทำให้น้ำ perilymph ในกระดูกชั้นในเคลื่อน ดังนั้น หูชั้นกลางจึงทำงานเป็นตัวแปลพลังงานคลื่นเสียงให้เป็นแรงกลที่วิ่งผ่านน้ำ perilymph ของหูชั้นใน ช่องรูปไข่มีพื้นที่เพียง 1/18 ของแก้วหู และดังนั้น จึงได้แรงดันที่สูงกว่าที่แก้วหู คอเคลียจะส่งสัญญาณกลนี้ต่อไปเป็นคลื่นในน้ำและในเยื่อ แล้วแปลเป็นกระแสประสาทซึ่งก็จะส่งต่อไปยังสมอง[4] ส่วนระบบการทรงตัว (vestibular system) เป็นเขตในหูชั้นในที่หลอดกึ่งวงกลม (semicircular canal) รวมตัวกันใกล้ ๆ...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอเคลียเต็มไปด้วยน้ำที่เรียกว่าอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: หูชั้นในรูปหอยโข่ง Article: หูชั้นในรูปหอยโข่ง[1] หรือ อวัยวะรูปหอยโข่ง[1] หรือ คอเคลีย (English: cochlea, /ˈkɒk.liə/, จาก Ancient Greek: κοχλίας , kōhlias, แปลว่า หมุนเป็นวงก้นหอย หรือเปลือกหอยทาก) เป็นอวัยวะรับเสียงในหูชั้นใน เป็นช่องกลวงมีรูปร่างเป็นก้นหอยโข่งอยู่ในกระดูกห้องหูชั้นใน (bony labyrinth) โดยในมนุษย์จะหมุน 2.5 ครั้งรอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus[2][3] และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9 มม.[4] โครงสร้างหลักของคอเคลียก็คืออวัยวะของคอร์ติ ซึ่งเป็นอวัยวะรับประสาทสัมผัสคือการได้ยินเสียง และอยู่กระจายไปตามผนังที่กั้นโพรงสองโพรงที่เต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งวิ่งไปตามก้นหอยที่ค่อย ๆ แคบลง ส่วนคำว่าคอเคลียมาจากคำในภาษาละตินซึ่งแปลได้ว่า "เปลือกหอยทาก" และก็มาจากคำภาษากรีกว่า κοχλίας, kokhlias ซึ่งแปลว่า หอยทาก หรือเกลียว ซึ่งมาจากคำว่า κόχλος, kokhlos ซึ่งแปลว่า เปลือกวนเป็นก้นหอย[5] คอเคลียในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดยกเว้นของโมโนทรีมมีรูปร่างเช่นนี้ โครงสร้าง คอเคลียเป็นโพรงกระดูกรูปกรวยวนเป็นรูปก้นหอย ที่คลื่นความดันเสียงจะแพร่กระจายไปจากส่วนฐาน (base) ใกล้หูชั้นกลางที่ช่องรูปไข่ (oval window) ไปยังส่วนยอด (apex) คือที่ส่วนปลายหรือตรงกลางของก้นหอย โพรงที่วนเป็นก้นหอยเรียกว่า Rosenthal's canal หรือ spiral canal of the cochlea โดยยาวประมาณ 30มม. และหมุน 2¾ รอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus โดยมีโครงสร้างรวมทั้ง มีโพรง 3 โพรงที่เรียกว่า scalae vestibular duct หรือ scala vestibuli บรรจุน้ำที่เรียกว่า perilymph และอยู่ด้านบนของโพรงกระดูกและชิดกับช่องรูปไข่ tympanic duct หรือ scala tympani บรรจุ perilymph และอยู่ด้านล่างของโพรงกระดูกและไปสุดที่ช่องรูปกลม (round window) cochlear duct/partition หรือ scala media บรรจุน้ำที่เรียกว่า endolymph เป็นเขตที่ไอออนโพแทสเซียมมีความเข้มข้นสูง และที่มัดขนที่เรียกว่า stereocilia ของเซลล์ขน (hair cell) จะจุ่มอยู่ helicotrema เป็นจุดที่ tympanic duct และ vestibular duct มาบรรจบกันที่ยอด (apex) ของคอเคลีย เยื่อ Reissner's membrane ซึ่งแยก vestibular duct จาก cochlear duct เยื่อฐาน (basilar membrane) เป็นโครงสร้างหลักที่แยก cochlear duct จาก tympanic duct และเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติกระจายคลื่นกลของส่วนกั้นคอเคลีย อวัยวะของคอร์ติ เป็นเยื่อบุผิวรับเสียง (sensory epithelium) คือชั้นของเซลล์ที่บุเยื่อฐาน...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอเคลียเป็นโพรงกระดูกรูปอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: หูชั้นในรูปหอยโข่ง Article: หูชั้นในรูปหอยโข่ง[1] หรือ อวัยวะรูปหอยโข่ง[1] หรือ คอเคลีย (English: cochlea, /ˈkɒk.liə/, จาก Ancient Greek: κοχλίας , kōhlias, แปลว่า หมุนเป็นวงก้นหอย หรือเปลือกหอยทาก) เป็นอวัยวะรับเสียงในหูชั้นใน เป็นช่องกลวงมีรูปร่างเป็นก้นหอยโข่งอยู่ในกระดูกห้องหูชั้นใน (bony labyrinth) โดยในมนุษย์จะหมุน 2.5 ครั้งรอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus[2][3] และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9 มม.[4] โครงสร้างหลักของคอเคลียก็คืออวัยวะของคอร์ติ ซึ่งเป็นอวัยวะรับประสาทสัมผัสคือการได้ยินเสียง และอยู่กระจายไปตามผนังที่กั้นโพรงสองโพรงที่เต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งวิ่งไปตามก้นหอยที่ค่อย ๆ แคบลง ส่วนคำว่าคอเคลียมาจากคำในภาษาละตินซึ่งแปลได้ว่า "เปลือกหอยทาก" และก็มาจากคำภาษากรีกว่า κοχλίας, kokhlias ซึ่งแปลว่า หอยทาก หรือเกลียว ซึ่งมาจากคำว่า κόχλος, kokhlos ซึ่งแปลว่า เปลือกวนเป็นก้นหอย[5] คอเคลียในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดยกเว้นของโมโนทรีมมีรูปร่างเช่นนี้ โครงสร้าง คอเคลียเป็นโพรงกระดูกรูปกรวยวนเป็นรูปก้นหอย ที่คลื่นความดันเสียงจะแพร่กระจายไปจากส่วนฐาน (base) ใกล้หูชั้นกลางที่ช่องรูปไข่ (oval window) ไปยังส่วนยอด (apex) คือที่ส่วนปลายหรือตรงกลางของก้นหอย โพรงที่วนเป็นก้นหอยเรียกว่า Rosenthal's canal หรือ spiral canal of the cochlea โดยยาวประมาณ 30มม. และหมุน 2¾ รอบ ๆ แกนที่เรียกว่า modiolus โดยมีโครงสร้างรวมทั้ง มีโพรง 3 โพรงที่เรียกว่า scalae vestibular duct หรือ scala vestibuli บรรจุน้ำที่เรียกว่า perilymph และอยู่ด้านบนของโพรงกระดูกและชิดกับช่องรูปไข่ tympanic duct หรือ scala tympani บรรจุ perilymph และอยู่ด้านล่างของโพรงกระดูกและไปสุดที่ช่องรูปกลม (round window) cochlear duct/partition หรือ scala media บรรจุน้ำที่เรียกว่า endolymph เป็นเขตที่ไอออนโพแทสเซียมมีความเข้มข้นสูง และที่มัดขนที่เรียกว่า stereocilia ของเซลล์ขน (hair cell) จะจุ่มอยู่ helicotrema เป็นจุดที่ tympanic duct และ vestibular duct มาบรรจบกันที่ยอด (apex) ของคอเคลีย เยื่อ Reissner's membrane ซึ่งแยก vestibular duct จาก cochlear duct เยื่อฐาน (basilar membrane) เป็นโครงสร้างหลักที่แยก cochlear duct จาก tympanic duct และเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติกระจายคลื่นกลของส่วนกั้นคอเคลีย อวัยวะของคอร์ติ เป็นเยื่อบุผิวรับเสียง (sensory epithelium) คือชั้นของเซลล์ที่บุเยื่อฐาน...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คอเลสไตรามีน ถูกคิดค้นโดยใคร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ Article: อัลแบร์ท ไอน์ชไตน์ (German: Albert Einstein) หรือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักฟิสิกส์ทฤษฎี ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม กลศาสตร์สถิติ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ใน พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก"การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี" หลังจากที่ไอน์ชไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ในปี พ.ศ. 2458 เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยธรรมดานักสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ในปีต่อ ๆ มา ชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ ไอน์ชไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะความนิยมในตัวของเขาทำให้มีการใช้ชื่อไอน์ชไตน์ในการโฆษณา หรือแม้แต่การจดทะเบียนชื่อ "อัลแบร์ท ไอน์ชไตน์" ให้เป็นเครื่องหมายการค้า ตัวไอน์ชไตน์เองมีความระลึกถึงผลกระทบทางสังคม ซึ่งมีผลมาจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่เขาได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งความบรรลุทางปัญญา เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน ทุกการสร้างสรรค์ของเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งในความเชื่อในความสง่า ความงาม และความรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล (คือแหล่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่) เป็นสูงสุด ความชาญฉลาดเชิงโครงสร้างของเขาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของจักรวาล ซึ่งงานเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านผลงานและหลักปรัชญาของเขา ในทุกวันนี้ ไอน์ชไตน์ยังคงเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และนอกวงการ ผลงานของไอน์ชไตน์ในสาขาฟิสิกส์มีมากมาย ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่ง: ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ซึ่งนำกลศาสตร์มาประยุกต์รวมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นไปตามหลักแห่งความสมมูล วางรากฐานของจักรวาลเชิงสัมพัทธ์ และค่าคงที่จักรวาล ขยายแนวความคิดยุคหลังนิวตัน...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คะงะมิ โยะชิมิซุ เกิดเมื่อไหร่?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: อะชิกะงะ โยะชิโนะริ Article: อะชิกะงะ โยะชิโนะริ () โชกุน ลำดับที่ 6 แห่ง รัฐบาลโชกุนอะชิกะงะ ดำรงตำแหน่งช่วงปี ค.ศ. 1428 ถึง ค.ศ. 1441 ประวัติ อะชิกะงะ โยะชิโนะริ เกิดเมื่อค.ศ. 1394 เป็นบุตรชายของโชกุนอะชิกะงะ โยะชิมิสึ () กับภรรยาน้อยคือนางฟุจิวะระ โนะ โยะชิโกะ () มีพี่ชายร่วมมารดาคืออะชิกะงะ โยะชิโมะชิ () ในปีเดียวกันกับที่โยะชิโนะริเกิดขึ้น โชกุนโยะชิมิสึผู้เป็นบิดาได้สละตำแหน่งโชกุนให้แก่โยะชิโมะพี่ชาย ขึ้นครองตำแหน่งโชกุนต่อจากบิดา เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง โยะชิโนะริจึงบรรพชาเป็นพระภิกษุได้รับฉายาว่า พระภิกษุกิเอ็ง () ในค.ศ. 1408 ในค.ศ. 1423 โชกุนโยะชิโมะชิ สละตำแหน่งให้แก่บุตรชายของตนเองคือ อะชิกะงะ โยะชิกะซุ () ขึ้นเป็นโชกุนคนต่อมา แต่ทว่าโชกุนโยะชิกะซุดำรงตำแหน่งโชกุนได้เพียงสองปีก็ถึงแก่อสัญกรรมในค.ศ. 1425 จากนั้นอีกสามปีโชกุนโยะชิโมะชิก็ถึงแก่อสัญกรรมในค.ศ. 1428 โดยปราศจากทายาท บรรดาผู้แทนของรัฐบาลโชกุนอะชิกะงะเดินทางไปยังศาลเจ้าฮะชิมัง อิวะชิมิซุ () ในเมืองเคียวโตะเพื่อทำการเสี่ยงทายหาผู้สืบทอดตำแหน่งโชกุนต่อไป ผลการเสี่ยงทายปรากฏว่า พระภิกษุกิเอ็งได้รับเลือกให้เป็นโชกุนคนต่อมา พระภิกษุกิเอ็งจึงสึกออกจากบรรพชิตมาเพื่อดำรงตำแหน่งโชกุน ในสมัยของโชกุนโยะชิโนะริมีเหตุการณ์สำคัญสองอย่างได้แก่ การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีนราชวงศ์หมิง และสงครามกับ<i data-parsoid='{"dsr":[2002,2015,2,2]}'>คันโตคุโบ () แม้ว่าโชกุนโยะชิมิสึผู้เป็นบิดาได้เริ่มนำรัฐบาลโชกุนฯสร้างความสัมพันธ์กับราชสำนักจีนราชวงศ์หมิงตั้งแต่ค.ศ. 1402 แต่ในสมัยของโชกุนโยะชิโมะชิผู้เป็นพี่ชายได้ตัดความสัมพันธ์กับจีน ในสมัยของโชกุนโยะชิโนะริค.ศ. 1433 โยะชิโนะริได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับราชสำนักจีนอีกครั้งโดยการส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรียังนครปักกิ่งตรงกับรัชสมัยของจักรพรรดิเซฺวียนเต๋อ นำประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ระบอบบรรณาการจิ้มก้องอีกครั้ง และจัดตั้ง<i data-parsoid='{"dsr":[2478,2496,2,2]}'>โทเซ็ง-บุเงียว ( ) ขึ้นในค.ศ. 1434เพื่อดูแลเรื่องงานการทูตกับจีน ในภูมิภาคคันโต มีผู้สำเร็จราชการแทนโชกุนเรียกว่า คันโตคุโบ ซึ่งพำนักอยู่ที่เมืองคะมะกุระและมีอำนาจเหนือซะมุไรในภูมิภาคคันโตและภาคตะวันออกทั้งมวล ด้วยอำนาจอันมหาศาลของ<i data-parsoid='{"dsr":[2759,2772,2,2]}'>คันโตคุโบ ทำให้<i...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คัง อิเคดะมีผลงานเขียนชิ้นแรกคือเรื่องอะไร ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: ทาเกดะ ชิงเง็ง Article: ทาเคดะ ชิงเก็น () ไดเมียวแห่งแคว้นคาอิ () ผู้นำตระกูลทาเคดะ เป็นไดเมียวคนสำคัญในยุคเซ็งโงกุ ได้รับยกย่องว่าเป็นไดเมียวที่ยิ่งใหญ่และกล้าหาญที่สุดคนหนึ่ง และเป็นคู่แข่งคนสำคัญของอูเอซูงิ เค็นชิงในแถบภาคตะวันออกของญี่ปุ่น ได้รับฉายาว่า "พยัคฆ์แห่งคาอิ" () วัยเด็ก ทาเคดะ ชิงเก็นเกิดเมื่อ ค.ศ. 1521 ที่ปราสาทโคฟุ () แคว้นคาอิ จังหวัดยามานาชิในปัจจุบัน เป็นบุตรชายคนโตของทาเคดะ โนบูโตระ () ไดเมียวแห่งแคว้นคาอิ กับนางโออิ () ภรรยาเอกของโนบูโตระ ในปีเดียวกันนั้นเองโนบูโตระผู้เป็นบิดามีชัยชนะเหนือตระกูลอิมางาวะ[1] () เมื่อเสร็จสิ้นการรบจึงได้ตั้งชื่อให้บุตรชายว่า คัตสึจิโยะ () ในค.ศ. 1534 คัตสึจิโยะได้แต่งงานกับบุตรสาวของอูเอซูงิ โทโมโอกิ () แต่ทว่าภรรยาคนแรกของคัตสึจิโยะได้เสียชีวิตลงในปีเดียวกัน ในค.ศ. 1535 คัตสึจิโยะจึงแต่งงานใหม่อีกครั้งกับบุตรสาวของซันโจ คินโยริ () ซึ่งเป็นขุนนางในราชสำนักเกียวโต เนื่องด้วยความสัมพันธ์อันดีกับเมืองเกียวโต ทำให้ในพิธี<i data-parsoid='{"dsr":[1852,1864,2,2]}'>เง็นปุกุ</i>ของคัตสึโยริในปีเดียวกันนั้น คัตสึโยริได้รับชื่อ "ฮารุ" จากโชกุนอาชิกางะ โยชิฮารุ () รวมทั้งได้คำว่า "โนบุ" จากโนบูโตระบิดาของตน รวมกันได้ชื่อใหม่ว่า ทาเคดะ ฮารูโนบุ () แต่ทว่าโนบูโตระ บิดาของฮารูโนบุ หมายจะให้บุตรชายคนโปรดของตน คือ ทาเคดะ โนบูชิเงะ () ให้เป็นทายาทสืบทอดตระกูลทาเคดะ ในค.ศ. 1541 ด้วยความช่วยเหลือของซามูไรใต้บังคับบัญชาของบิดา[2] และความช่วยเหลือจากอิมางาวะ โยชิโมโตะ () ผู้ซึ่งเป็นพี่เขย (อิมางาวะ โยชิโมโตะได้สมรสกับนางจิวเก-อิน ซึ่งเป็นพี่สาวของฮารูโนบุ) ฮารูโนบุได้ก่อการยึดอำนาจจากโนบูโตระบิดาของตน และเนรเทศบิดาของตนไปเป็นตัวประกันที่แคว้นซูรูงะ () ซึ่งปกครองโดยตระกูลอิมางาวะ การขยายอำนาจในแถบคันโต เมื่อได้ขึ้นปกครองตระกูลทาเคดะแล้ว ฮารูโนบุจึงได้เริ่มทำการขยายอำนาจไปยังแคว้นชินาโนะ () ทางตอนเหนือจังหวัดนางาโนะในปัจจุบัน ซึ่งประกอบไปด้วยซามูไรหลายตระกูล ฮารูโนบุเอาชนะทัพของตระกูลต่าง ๆ ในแคว้นชินาโนะได้ ในยุทธการเซซาวะ (Sezawa) ในค.ศ. 1542 และยุทธการโอตาอิฮาระ () ใน ค.ศ. 1547 แต่พ่ายแพ้อย่างราบคาบแก่มูรากามิ โยชิกิโยะ () ในยุทธการอูเอดาฮาระ () ในค.ศ. 1548 ในค.ศ. 1551 ทาเคดะ ฮารูโนบุได้บวชเป็นพระภิกษุมีชื่อว่า ชิงเก็น () แม้จะบวชเป็นพระภิกษุแต่ยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลทาเคดะและทำสงครามต่อไป...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คันจิ เป็นอักษรจีนที่คิดค้นขึ้นตั้งแต่สมัยใด ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คันจิ Article: คันจิ () เป็นอักษรจีนที่ใช้ในระบบการเขียนภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทอักษรคำ (Logograms) ใช้ร่วมกับตัวอักษร อีก 4 ประเภท ได้แก่ ฮิรางานะ (ひらがな, 平仮名 Hiragana) คะตาคานะ (カタカナ, 片仮名 Katakana) โรมะจิ (ローマ字 Rōmaji) และตัวเลขอารบิก คำว่า "คันจิ" หากอ่านตามเสียงภาษาจีนกลางจะอ่านว่า "ฮั่นจื้อ" มีความหมายว่า ตัวอักษรของชาวฮั่น อันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศจีน คำว่าภาษาจีนในภาษาจีนเอง ก็เรียกว่า ภาษาฮั่น (ภาษาจีนกลาง: 漢語 (จีนตัวเต็ม),汉语 (จีนตัวย่อ) hànyǔ) เช่นกัน ประวัติ ตัวอักษรจีน เผยแพร่มาสู่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านหนังสือต่างๆ จากประเทศจีน หลักฐานอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น คือ ตราประทับทองคำที่ได้รับจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกในพ.ศ. 600 ชาวญี่ปุ่นเริ่มเรียนรู้ภาษาจีนโบราณด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด เอกสารลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของญี่ปุ่นนั้น คือ หนังสือตอบกลับทางการทูตจากกษัตริย์ทั้งห้าแห่งวา (倭の五王 Wa no go-ō) (วา (倭,和 [Wa]) เป็นชื่อแรกของประเทศญี่ปุ่นที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์) ถึง ซุ่นฮ่องเต้ ((劉) 宋順帝) แห่งราชวงศ์หลิวซ่ง (劉宋) ของจีน ซึ่งเขียนขึ้นโดยชาวจีนที่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น เมื่อพ.ศ. 1021 และได้รับการยกย่องว่าใช้สำนวนอุปมาอุปมัยได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อมา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นทรงก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า “ฟุฮิโตะ” ขึ้นเพื่ออ่านและเขียนภาษาจีนโบราณ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา เอกสารภาษาจีนที่เขียนในญี่ปุ่นมักจะได้รับอิทธิพลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแสดงว่าอักษรจีนได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในญี่ปุ่น ในสมัยที่อักษรจีนเผยแพร่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ภาษาญี่ปุ่นเองยังไม่มีตัวอักษรไว้เขียน อักษรจีนหรือคันจิจะถูกเขียนเป็นภาษาจีน และอ่านเป็นเสียงภาษาจีนทั้งหมด ต่อมาจึงเริ่มมีการใช้ระบบคัมบุน (漢文 kanbun) คือ การใช้อักษรจีนร่วมกับเครื่องหมายแสดงการออกเสียง (Diacritic) เพื่อช่วยให้ชาวญี่ปุ่นสามารถออกเสียงตัวอักษรจีนนั้นๆได้ เมื่ออ่านออกเสียงได้แล้ว ชาวญี่ปุ่นก็จะสามารถเรียงประโยคใหม่ และเติมคำช่วยตามหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นที่ตนเองเข้าใจ และสามารถเข้าใจประโยคภาษาจีนนั้นได้ในที่สุด ในยุคต่อมา เริ่มมีการนำตัวอักษรจีนมาเขียนเป็นประโยคภาษาญี่ปุ่น โดยใช้ระบบที่เรียกว่า มันโยงะนะ (万葉仮名, まんようがな Man'yōgana) คือ การใช้ตัวอักษรจีนหนึ่งตัวเขียนแทนภาษาญี่ปุ่นหนึ่งพยางค์...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คันจิ เป็นอักษรจีนที่มีทั้งหมดกี่ตัว ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คันจิ Article: คันจิ () เป็นอักษรจีนที่ใช้ในระบบการเขียนภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทอักษรคำ (Logograms) ใช้ร่วมกับตัวอักษร อีก 4 ประเภท ได้แก่ ฮิรางานะ (ひらがな, 平仮名 Hiragana) คะตาคานะ (カタカナ, 片仮名 Katakana) โรมะจิ (ローマ字 Rōmaji) และตัวเลขอารบิก คำว่า "คันจิ" หากอ่านตามเสียงภาษาจีนกลางจะอ่านว่า "ฮั่นจื้อ" มีความหมายว่า ตัวอักษรของชาวฮั่น อันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศจีน คำว่าภาษาจีนในภาษาจีนเอง ก็เรียกว่า ภาษาฮั่น (ภาษาจีนกลาง: 漢語 (จีนตัวเต็ม),汉语 (จีนตัวย่อ) hànyǔ) เช่นกัน ประวัติ ตัวอักษรจีน เผยแพร่มาสู่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านหนังสือต่างๆ จากประเทศจีน หลักฐานอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น คือ ตราประทับทองคำที่ได้รับจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกในพ.ศ. 600 ชาวญี่ปุ่นเริ่มเรียนรู้ภาษาจีนโบราณด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด เอกสารลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของญี่ปุ่นนั้น คือ หนังสือตอบกลับทางการทูตจากกษัตริย์ทั้งห้าแห่งวา (倭の五王 Wa no go-ō) (วา (倭,和 [Wa]) เป็นชื่อแรกของประเทศญี่ปุ่นที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์) ถึง ซุ่นฮ่องเต้ ((劉) 宋順帝) แห่งราชวงศ์หลิวซ่ง (劉宋) ของจีน ซึ่งเขียนขึ้นโดยชาวจีนที่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น เมื่อพ.ศ. 1021 และได้รับการยกย่องว่าใช้สำนวนอุปมาอุปมัยได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อมา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นทรงก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า “ฟุฮิโตะ” ขึ้นเพื่ออ่านและเขียนภาษาจีนโบราณ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา เอกสารภาษาจีนที่เขียนในญี่ปุ่นมักจะได้รับอิทธิพลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแสดงว่าอักษรจีนได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในญี่ปุ่น ในสมัยที่อักษรจีนเผยแพร่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ภาษาญี่ปุ่นเองยังไม่มีตัวอักษรไว้เขียน อักษรจีนหรือคันจิจะถูกเขียนเป็นภาษาจีน และอ่านเป็นเสียงภาษาจีนทั้งหมด ต่อมาจึงเริ่มมีการใช้ระบบคัมบุน (漢文 kanbun) คือ การใช้อักษรจีนร่วมกับเครื่องหมายแสดงการออกเสียง (Diacritic) เพื่อช่วยให้ชาวญี่ปุ่นสามารถออกเสียงตัวอักษรจีนนั้นๆได้ เมื่ออ่านออกเสียงได้แล้ว ชาวญี่ปุ่นก็จะสามารถเรียงประโยคใหม่ และเติมคำช่วยตามหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นที่ตนเองเข้าใจ และสามารถเข้าใจประโยคภาษาจีนนั้นได้ในที่สุด ในยุคต่อมา เริ่มมีการนำตัวอักษรจีนมาเขียนเป็นประโยคภาษาญี่ปุ่น โดยใช้ระบบที่เรียกว่า มันโยงะนะ (万葉仮名, まんようがな Man'yōgana) คือ การใช้ตัวอักษรจีนหนึ่งตัวเขียนแทนภาษาญี่ปุ่นหนึ่งพยางค์...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คันจิ เป็นอักษรจีนที่มีสละหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คันจิ Article: คันจิ () เป็นอักษรจีนที่ใช้ในระบบการเขียนภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทอักษรคำ (Logograms) ใช้ร่วมกับตัวอักษร อีก 4 ประเภท ได้แก่ ฮิรางานะ (ひらがな, 平仮名 Hiragana) คะตาคานะ (カタカナ, 片仮名 Katakana) โรมะจิ (ローマ字 Rōmaji) และตัวเลขอารบิก คำว่า "คันจิ" หากอ่านตามเสียงภาษาจีนกลางจะอ่านว่า "ฮั่นจื้อ" มีความหมายว่า ตัวอักษรของชาวฮั่น อันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศจีน คำว่าภาษาจีนในภาษาจีนเอง ก็เรียกว่า ภาษาฮั่น (ภาษาจีนกลาง: 漢語 (จีนตัวเต็ม),汉语 (จีนตัวย่อ) hànyǔ) เช่นกัน ประวัติ ตัวอักษรจีน เผยแพร่มาสู่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านหนังสือต่างๆ จากประเทศจีน หลักฐานอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น คือ ตราประทับทองคำที่ได้รับจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกในพ.ศ. 600 ชาวญี่ปุ่นเริ่มเรียนรู้ภาษาจีนโบราณด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด เอกสารลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของญี่ปุ่นนั้น คือ หนังสือตอบกลับทางการทูตจากกษัตริย์ทั้งห้าแห่งวา (倭の五王 Wa no go-ō) (วา (倭,和 [Wa]) เป็นชื่อแรกของประเทศญี่ปุ่นที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์) ถึง ซุ่นฮ่องเต้ ((劉) 宋順帝) แห่งราชวงศ์หลิวซ่ง (劉宋) ของจีน ซึ่งเขียนขึ้นโดยชาวจีนที่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น เมื่อพ.ศ. 1021 และได้รับการยกย่องว่าใช้สำนวนอุปมาอุปมัยได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อมา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นทรงก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า “ฟุฮิโตะ” ขึ้นเพื่ออ่านและเขียนภาษาจีนโบราณ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา เอกสารภาษาจีนที่เขียนในญี่ปุ่นมักจะได้รับอิทธิพลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแสดงว่าอักษรจีนได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในญี่ปุ่น ในสมัยที่อักษรจีนเผยแพร่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ภาษาญี่ปุ่นเองยังไม่มีตัวอักษรไว้เขียน อักษรจีนหรือคันจิจะถูกเขียนเป็นภาษาจีน และอ่านเป็นเสียงภาษาจีนทั้งหมด ต่อมาจึงเริ่มมีการใช้ระบบคัมบุน (漢文 kanbun) คือ การใช้อักษรจีนร่วมกับเครื่องหมายแสดงการออกเสียง (Diacritic) เพื่อช่วยให้ชาวญี่ปุ่นสามารถออกเสียงตัวอักษรจีนนั้นๆได้ เมื่ออ่านออกเสียงได้แล้ว ชาวญี่ปุ่นก็จะสามารถเรียงประโยคใหม่ และเติมคำช่วยตามหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นที่ตนเองเข้าใจ และสามารถเข้าใจประโยคภาษาจีนนั้นได้ในที่สุด ในยุคต่อมา เริ่มมีการนำตัวอักษรจีนมาเขียนเป็นประโยคภาษาญี่ปุ่น โดยใช้ระบบที่เรียกว่า มันโยงะนะ (万葉仮名, まんようがな Man'yōgana) คือ การใช้ตัวอักษรจีนหนึ่งตัวเขียนแทนภาษาญี่ปุ่นหนึ่งพยางค์...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คันจิ เป็นอักษรจีนที่ใช้มาจนถึงปัจจุบันหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คันจิ Article: คันจิ () เป็นอักษรจีนที่ใช้ในระบบการเขียนภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทอักษรคำ (Logograms) ใช้ร่วมกับตัวอักษร อีก 4 ประเภท ได้แก่ ฮิรางานะ (ひらがな, 平仮名 Hiragana) คะตาคานะ (カタカナ, 片仮名 Katakana) โรมะจิ (ローマ字 Rōmaji) และตัวเลขอารบิก คำว่า "คันจิ" หากอ่านตามเสียงภาษาจีนกลางจะอ่านว่า "ฮั่นจื้อ" มีความหมายว่า ตัวอักษรของชาวฮั่น อันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศจีน คำว่าภาษาจีนในภาษาจีนเอง ก็เรียกว่า ภาษาฮั่น (ภาษาจีนกลาง: 漢語 (จีนตัวเต็ม),汉语 (จีนตัวย่อ) hànyǔ) เช่นกัน ประวัติ ตัวอักษรจีน เผยแพร่มาสู่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านหนังสือต่างๆ จากประเทศจีน หลักฐานอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น คือ ตราประทับทองคำที่ได้รับจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกในพ.ศ. 600 ชาวญี่ปุ่นเริ่มเรียนรู้ภาษาจีนโบราณด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด เอกสารลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของญี่ปุ่นนั้น คือ หนังสือตอบกลับทางการทูตจากกษัตริย์ทั้งห้าแห่งวา (倭の五王 Wa no go-ō) (วา (倭,和 [Wa]) เป็นชื่อแรกของประเทศญี่ปุ่นที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์) ถึง ซุ่นฮ่องเต้ ((劉) 宋順帝) แห่งราชวงศ์หลิวซ่ง (劉宋) ของจีน ซึ่งเขียนขึ้นโดยชาวจีนที่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น เมื่อพ.ศ. 1021 และได้รับการยกย่องว่าใช้สำนวนอุปมาอุปมัยได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อมา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นทรงก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า “ฟุฮิโตะ” ขึ้นเพื่ออ่านและเขียนภาษาจีนโบราณ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา เอกสารภาษาจีนที่เขียนในญี่ปุ่นมักจะได้รับอิทธิพลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแสดงว่าอักษรจีนได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในญี่ปุ่น ในสมัยที่อักษรจีนเผยแพร่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ภาษาญี่ปุ่นเองยังไม่มีตัวอักษรไว้เขียน อักษรจีนหรือคันจิจะถูกเขียนเป็นภาษาจีน และอ่านเป็นเสียงภาษาจีนทั้งหมด ต่อมาจึงเริ่มมีการใช้ระบบคัมบุน (漢文 kanbun) คือ การใช้อักษรจีนร่วมกับเครื่องหมายแสดงการออกเสียง (Diacritic) เพื่อช่วยให้ชาวญี่ปุ่นสามารถออกเสียงตัวอักษรจีนนั้นๆได้ เมื่ออ่านออกเสียงได้แล้ว ชาวญี่ปุ่นก็จะสามารถเรียงประโยคใหม่ และเติมคำช่วยตามหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นที่ตนเองเข้าใจ และสามารถเข้าใจประโยคภาษาจีนนั้นได้ในที่สุด ในยุคต่อมา เริ่มมีการนำตัวอักษรจีนมาเขียนเป็นประโยคภาษาญี่ปุ่น โดยใช้ระบบที่เรียกว่า มันโยงะนะ (万葉仮名, まんようがな Man'yōgana) คือ การใช้ตัวอักษรจีนหนึ่งตัวเขียนแทนภาษาญี่ปุ่นหนึ่งพยางค์...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คัมภีร์ของศาสนาคริสต์มีชื่อว่าอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คัมภีร์ไบเบิล Article: คัมภีร์ไบเบิล[1] หรือ พระคัมภีร์ (English: Bible; Hebrew: ביבליה‎; Aramaic: ܟܬܒܐ ܩܕܝܫܐ‎; Greek: Αγία Γραφή) (มาจากภาษากรีกโบราณว่า Βίβλος บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ (Holy Bible) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ มนุษย์ บาป และแผนการของพระยาห์เวห์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture) คริสตชนทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกบททุกข้อนั้นมนุษย์เขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 หรือ 73 หรือ 78 เล่ม (แล้วแต่นิกาย) ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ทั้งหมดเขียนเป็นภาษาฮีบรู ยกเว้นส่วนที่เป็นคัมภีร์อธิกธรรม (ยอมรับเฉพาะชาวคาทอลิก) ถูกเขียนด้วยภาษากรีกและภาษาอียิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมาน และการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซู การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังอัครทูต ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว การเบียดเบียนคริสตจักรในรูปแบบต่าง ๆ พระคัมภีร์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของเวลาทั้งหมดที่มียอดขายต่อปีประมาณ 100 ล้านเล่มและได้รับอิทธิพลสำคัญในวรรณคดีและประวัติศาสตร์[2][3][4] สารบบของคัมภีร์ คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือเล่มเดียว แต่เป็นชุดหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้เขียนหลายคนและหลายช่วงเวลา แล้วได้รวมกันเป็นสารบบจึงเรียกว่า<b data-parsoid='{"dsr":[2607,2628,3,3]}'>สารบบของคัมภีร์ (Canon of Scripture) ในปัจจุบันคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ยึดคัมภีร์ฮีบรูต่างสารบบกัน ทำให้คัมภีร์ไบเบิลของทั้งสองนิกายมีเนื้อหาไม่เท่ากัน คริสตจักรโรมันคาทอลิกยึดคัมภีร์ฮีบรูสารบบเซปตัวจินต์ที่มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คัมภีร์ของศาสนาคริสต์เรียกว่าอะไร?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คัมภีร์ไบเบิล Article: คัมภีร์ไบเบิล[1] หรือ พระคัมภีร์ (English: Bible; Hebrew: ביבליה‎; Aramaic: ܟܬܒܐ ܩܕܝܫܐ‎; Greek: Αγία Γραφή) (มาจากภาษากรีกโบราณว่า Βίβλος บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ (Holy Bible) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ มนุษย์ บาป และแผนการของพระยาห์เวห์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture) คริสตชนทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกบททุกข้อนั้นมนุษย์เขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 หรือ 73 หรือ 78 เล่ม (แล้วแต่นิกาย) ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ทั้งหมดเขียนเป็นภาษาฮีบรู ยกเว้นส่วนที่เป็นคัมภีร์อธิกธรรม (ยอมรับเฉพาะชาวคาทอลิก) ถูกเขียนด้วยภาษากรีกและภาษาอียิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมาน และการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซู การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังอัครทูต ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว การเบียดเบียนคริสตจักรในรูปแบบต่าง ๆ พระคัมภีร์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของเวลาทั้งหมดที่มียอดขายต่อปีประมาณ 100 ล้านเล่มและได้รับอิทธิพลสำคัญในวรรณคดีและประวัติศาสตร์[2][3][4] สารบบของคัมภีร์ คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือเล่มเดียว แต่เป็นชุดหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้เขียนหลายคนและหลายช่วงเวลา แล้วได้รวมกันเป็นสารบบจึงเรียกว่า<b data-parsoid='{"dsr":[2607,2628,3,3]}'>สารบบของคัมภีร์ (Canon of Scripture) ในปัจจุบันคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ยึดคัมภีร์ฮีบรูต่างสารบบกัน ทำให้คัมภีร์ไบเบิลของทั้งสองนิกายมีเนื้อหาไม่เท่ากัน คริสตจักรโรมันคาทอลิกยึดคัมภีร์ฮีบรูสารบบเซปตัวจินต์ที่มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คัมภีร์อัลกุรอาน เคยได้รับการแก้ไขหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: อัลกุรอาน Article: อัลกุรอาน บ้างเรียก โกหร่าน หรือ โก้หร่าน[1] (Arabic: الْقُرآن‎) เป็นคัมภีร์ในศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นพระวจนะของอัลลอฮ์ที่ประทานผ่านทางเทวทูตญิบรีล มาสู่นบีมุฮัมมัด คำว่า กุรอาน มาจากรากศัพท์ในภาษาอาหรับแปลว่า การอ่าน หรือ อาขยาน อัลลอฮ์ได้ประทานคัมภีร์อัลกรุอานแก่นบีมุฮัมมัดซึ่งชาวมุสลิมถือว่าเป็นศาสนทูตคนสุดท้าย และคัมภีร์นี้ก็เป็นคัมภีร์สุดท้ายที่อัลลอฮ์ได้ส่งมาให้แก่มวลมนุษยชาติ หลังจากนี้แล้วจะไม่มีคัมภีร์ใด ๆ จากพระเป็นเจ้าอีก คัมภีร์กรุอานนี้ได้ประทานมาเพื่อยกเลิกคัมภีร์เก่า ๆ ที่เคยได้ทรงประทานมาในอดีตนั่นคือคัมภีร์เตารอต ที่เคยทรงประทานมาแก่นบีมูซา คัมภีร์ซะบูร ที่เคยทรงประทานมาแก่นบีดาวูด (ดาวิด) และคัมภีร์อินญีลที่เคยทรงประทานมาแก่นบีอีซา (พระเยซู) เป็นคัมภีร์ที่บริบูรณ์ไม่มีการเพี้ยนเปลี่ยนแปลง ภาษาของคัมภีร์อัลกุรอานนั้นคือภาษาอาหรับ ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน การศรัทธาในคัมภีร์อัลกุรอานทั้งเล่มเป็นหลักการหนึ่งที่มุสลิมทุกคนต้องศรัทธา นั่นก็หมายความว่าหากไม่ศรัทธาในอัลกุรอาน หรือศรัทธาเพียงบางส่วนก็จะเป็นมุสลิมไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ต้องศรัทธาว่าคัมภีร์อัลกุรอานนี้มีความบริบูรณ์ภายใต้การพิทักษ์ของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการสังคายนาคัมภีร์อัลกุรอานเลย ตั้งแต่วันที่ท่านศาสดาเสียชีวิตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยมีความเหมือนกันในทุกฉบับบนโลก และภาษาอาหรับในคัมภีร์จึงเป็นภาษาโบราณภาษาเดียว ที่มีใช้อย่างคงเดิมอยู่จนกระทั่งวันนี้ได้ และได้กลายเป็นภาษามาตรฐานของประเทศอาหรับทั้งหลาย เป็นภาษาวิชาการของอิสลาม และเป็นภาษาที่ใช้ในการปฏิบัติศาสนพิธีของมุสลิมทุกคนทั่วโลก การประทานคัมภีร์ ในราวปี ค.ศ.610 เมื่อมุฮัมมัดนั่งบำเพ็ญตนอยู่ในถ้ำบนยอดเขาฮิรออ์อย่างที่เคยทำเป็นประจำ ญิบรีลก็ปรากฏตนขึ้น และนำพระโองการแรกจากพระผู้เป็นเจ้ามีความว่า "อ่าน! ด้วยพระนามแห่งผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่าน และพระเจ้าของเธอนั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ ..." (บทที่ 96 อัลอะลัก) ตั้งแต่นั้นมามุฮัมมัดก็ได้กลายเป็นศาสนทูตของพระเจ้า ที่ต้องรับหน้าที่ประกาศศาสนาของพระเจ้า นั่นคือศาสนาอิสลาม ที่ตั้งอยู่บนหลักการไม่บูชาสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้าองค์เดียว การวิวรณ์ การรับสาส์น หรือโองการจากพระเจ้านั้นเรียกในภาษาอาหรับว่าวะฮีย์...
No
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คัมภีร์ไบเบิล มีกี่หน้า ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คัมภีร์ไบเบิล Article: คัมภีร์ไบเบิล[1] หรือ พระคัมภีร์ (English: Bible; Hebrew: ביבליה‎; Aramaic: ܟܬܒܐ ܩܕܝܫܐ‎; Greek: Αγία Γραφή) (มาจากภาษากรีกโบราณว่า Βίβλος บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ (Holy Bible) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ มนุษย์ บาป และแผนการของพระยาห์เวห์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture) คริสตชนทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกบททุกข้อนั้นมนุษย์เขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 หรือ 73 หรือ 78 เล่ม (แล้วแต่นิกาย) ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ทั้งหมดเขียนเป็นภาษาฮีบรู ยกเว้นส่วนที่เป็นคัมภีร์อธิกธรรม (ยอมรับเฉพาะชาวคาทอลิก) ถูกเขียนด้วยภาษากรีกและภาษาอียิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมาน และการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซู การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังอัครทูต ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว การเบียดเบียนคริสตจักรในรูปแบบต่าง ๆ พระคัมภีร์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของเวลาทั้งหมดที่มียอดขายต่อปีประมาณ 100 ล้านเล่มและได้รับอิทธิพลสำคัญในวรรณคดีและประวัติศาสตร์[2][3][4] สารบบของคัมภีร์ คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือเล่มเดียว แต่เป็นชุดหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้เขียนหลายคนและหลายช่วงเวลา แล้วได้รวมกันเป็นสารบบจึงเรียกว่า<b data-parsoid='{"dsr":[2607,2628,3,3]}'>สารบบของคัมภีร์ (Canon of Scripture) ในปัจจุบันคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ยึดคัมภีร์ฮีบรูต่างสารบบกัน ทำให้คัมภีร์ไบเบิลของทั้งสองนิกายมีเนื้อหาไม่เท่ากัน คริสตจักรโรมันคาทอลิกยึดคัมภีร์ฮีบรูสารบบเซปตัวจินต์ที่มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คัมภีร์ไบเบิลมีการแก้ไขจากเดิมหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คัมภีร์ไบเบิล Article: คัมภีร์ไบเบิล[1] หรือ พระคัมภีร์ (English: Bible; Hebrew: ביבליה‎; Aramaic: ܟܬܒܐ ܩܕܝܫܐ‎; Greek: Αγία Γραφή) (มาจากภาษากรีกโบราณว่า Βίβλος บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ (Holy Bible) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ มนุษย์ บาป และแผนการของพระยาห์เวห์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture) คริสตชนทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกบททุกข้อนั้นมนุษย์เขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 หรือ 73 หรือ 78 เล่ม (แล้วแต่นิกาย) ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ทั้งหมดเขียนเป็นภาษาฮีบรู ยกเว้นส่วนที่เป็นคัมภีร์อธิกธรรม (ยอมรับเฉพาะชาวคาทอลิก) ถูกเขียนด้วยภาษากรีกและภาษาอียิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมาน และการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซู การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังอัครทูต ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว การเบียดเบียนคริสตจักรในรูปแบบต่าง ๆ พระคัมภีร์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของเวลาทั้งหมดที่มียอดขายต่อปีประมาณ 100 ล้านเล่มและได้รับอิทธิพลสำคัญในวรรณคดีและประวัติศาสตร์[2][3][4] สารบบของคัมภีร์ คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือเล่มเดียว แต่เป็นชุดหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้เขียนหลายคนและหลายช่วงเวลา แล้วได้รวมกันเป็นสารบบจึงเรียกว่า<b data-parsoid='{"dsr":[2607,2628,3,3]}'>สารบบของคัมภีร์ (Canon of Scripture) ในปัจจุบันคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ยึดคัมภีร์ฮีบรูต่างสารบบกัน ทำให้คัมภีร์ไบเบิลของทั้งสองนิกายมีเนื้อหาไม่เท่ากัน คริสตจักรโรมันคาทอลิกยึดคัมภีร์ฮีบรูสารบบเซปตัวจินต์ที่มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล...
Yes
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คัมภีร์ไบเบิลมีกี่หน้า ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คัมภีร์ไบเบิล Article: คัมภีร์ไบเบิล[1] หรือ พระคัมภีร์ (English: Bible; Hebrew: ביבליה‎; Aramaic: ܟܬܒܐ ܩܕܝܫܐ‎; Greek: Αγία Γραφή) (มาจากภาษากรีกโบราณว่า Βίβλος บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ (Holy Bible) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ มนุษย์ บาป และแผนการของพระยาห์เวห์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture) คริสตชนทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกบททุกข้อนั้นมนุษย์เขียนขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 หรือ 73 หรือ 78 เล่ม (แล้วแต่นิกาย) ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ทั้งหมดเขียนเป็นภาษาฮีบรู ยกเว้นส่วนที่เป็นคัมภีร์อธิกธรรม (ยอมรับเฉพาะชาวคาทอลิก) ถูกเขียนด้วยภาษากรีกและภาษาอียิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมาน และการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซู การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังอัครทูต ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว การเบียดเบียนคริสตจักรในรูปแบบต่าง ๆ พระคัมภีร์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของเวลาทั้งหมดที่มียอดขายต่อปีประมาณ 100 ล้านเล่มและได้รับอิทธิพลสำคัญในวรรณคดีและประวัติศาสตร์[2][3][4] สารบบของคัมภีร์ คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือเล่มเดียว แต่เป็นชุดหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้เขียนหลายคนและหลายช่วงเวลา แล้วได้รวมกันเป็นสารบบจึงเรียกว่า<b data-parsoid='{"dsr":[2607,2628,3,3]}'>สารบบของคัมภีร์ (Canon of Scripture) ในปัจจุบันคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ยึดคัมภีร์ฮีบรูต่างสารบบกัน ทำให้คัมภีร์ไบเบิลของทั้งสองนิกายมีเนื้อหาไม่เท่ากัน คริสตจักรโรมันคาทอลิกยึดคัมภีร์ฮีบรูสารบบเซปตัวจินต์ที่มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คาคิฟลาย เป็นชาวญี่ปุ่นหรือไม่ ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: อากิยามะ มิโอะ Article: รูปลักษณ์และอุปนิสัย มิโอะมีผมสีดำ ยาว และตรง ซึ่งไว้เป็นทรงเจ้าหญิง หรือฮิเมะคัต (Hime cut) เธอมีดวงตาสีเทาเข้มที่กลมโตกว่าตัวละครตัวอื่น ๆ สูงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร หนักห้าสิบสี่กิโลกรัม และมีหน้าอกใหญ่กว่าไทนากะ ริทสึ (Ritsu Tainaka) และฮิราซาวะ ยุย (Yui Hirasawa) เพื่อนร่วมวงดนตรี[1] มิโอะเขินอายง่าย ไม่มั่นใจในตนเอง และไม่ชอบเรื่องน่ากลัวบรรดามี โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับภูตผี, เพรียง หรือเลือดตกยางออก หรือเมื่อถูกจ้อง ถูกตะโกนใส่ หรือถูกสัตว์เกาะ เธอมักถูกริทสึ ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก และยามานากะ ซาวาโกะ (Sawako Yamanaka) อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเค-อง กระเซ้าเย้าแหย่ โดยเฉพาะด้วยการเล่าเรื่องผีให้ฟัง มิโอะยังกลัวผู้คนและไม่ชอบเป็นจุดเด่น แต่เพราะมีรูปร่างอันสูง หน้าตาน่ารัก และทรงผมที่แปลกกว่าใครเพื่อน เธอจึงเป็นที่สังเกต และต่อมาก็ได้รับความนิยมเป็นอันมากในหมู่นักเรียนร่วมโรงเรียน ถึงขนาดมีการตั้งชมรมผู้คลั่งไคล้มิโอะขึ้น ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ในคราวจำเป็น มิโอะสามารถรวบรวมกำลังใจและความกล้าเข้าแก้ไขสถานการณ์ได้เสมอไป เช่น เมื่อยุยลืมเนื้อร้องเพลงกลางเวที เธอก็เข้าร้องแทนอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ มิโอะเรียนเก่ง ขยัน เอาจริงเอาจังกับชีวิต มีผลการเรียนดีเยี่ยม และมีความสามารถด้านดนตรีเป็นเลิศ เธอเป็นที่พึ่งพาให้แก่ผู้อื่นได้ทั้งในเรื่องเรียนและเรื่องอื่น ริทสึและยุยจึงร้องขอให้เธอช่วยสอนหนังสือและสอนดนตรีให้เป็นครั้งคราว มิโอะถนัดซ้าย และคลั่งไคล้เครื่องดนตรีที่ออกแบบมาเพื่อคนถนัดซ้ายโดยเฉพาะ ด้วยเห็นว่าหายากมิใช่น้อย[2] อนึ่ง มิโอะยังชอบชมกีฬาไม่เลือกชนิดด้วย บทบาท จำเดิม มิโอะต้องการเข้าชมรมอักษรศาสตร์ (Literature Club) แต่ริทสึเกลี้ยกล่อมให้เข้าชมรมเค-อง เมื่อตั้งวงดนตรีของชมรมแล้ว มิโอะมีตำแหน่งเบส และร้องแทนยุยในบางโอกาส[2] ในมังงะปรากฏว่า มิโอะเล่นเฟนเดอร์พรีซิชันเบสลายลำแสงสุริยะสามสี (3-Color Sunburst Fender Precision Bass) ขณะที่ในอนิเมะ เธอเล่นเฟนเดอร์แจสเบส (Fender Jazz Bass), ใช้พิกการ์ดทรงกระดองเต่า (tortoiseshell pickguard) และใช้สายเบส ยี่ห้อดัดดาริโอ รุ่นอีเอกซ์แอลหนึ่งร้อยหกสิบเอ็ม ขนาดกลาง (D'Addario EXL160M medium)[2][3] ยุยตั้งชื่อเบสของมิโอะให้ว่า "อิลิซะเบธ" (Elizabeth) ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า "อิลิซะเบส" (エリザベス) อันเป็นการเล่นสำนวนกับคำว่า "เบส"...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai
I wonder คาซูโร อิโนอุเอะ เกิดที่ไหน ?. Help me answer this question with "Yes" or "No" or "None" if none of the first two answers apply. Here's what I found on the internet: Topic: คาซูโตะ อิโอกะ Article: คาซูโตะ อิโอกะ () เป็นนักมวยสากลชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1989 ที่เมืองซาไก จังหวัดโอซากะ ประเทศญี่ปุ่น จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โตเกียว คาซูโตะ อิโอกะ เป็นบุตรชายของคัตสึโนริ อิโอกะ ผู้เป็นพี่ชายของฮิโรกิ อิโอกะ อดีตแชมป์โลกในรุ่นสตอร์วเวท ของสภามวยโลก (WBC) และรุ่นไลท์ฟลายเวท ของสมาคมมวยโลก (WBA) เริ่มชกมวยอาชีพในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 ด้วยการเอาชนะ ทองไทเล็ก ส.ธนะภิญโญ นักมวยชาวไทยไปได้ จากนั้นทำการชกเคลื่อนไหวอีกทั้งหมด 5 ครั้ง เป็นการชนะทั้งหมด ไม่มีแพ้หรือเสมอ ซึ่งก่อนหน้านั้นคาซูโตะได้เคยชกมวยสากลสมัครเล่นมาก่อน[1]อย่างโชกโชน โดยมีสถิติการชกถึง 100 ครั้ง ชนะ 95 แพ้ 10 ครั้ง จากนั้น คาซูโตะ อิโอกะ ได้มีโอกาสชิงแชมป์โลกในรุ่นสตอร์วเวท ของ WBC กับ โอเล่ห์ดง ศักดิ์เสมอชัย แชมป์โลกชาวไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ที่โกเบ ซึ่งถ้าหากทำได้ คาซูโตะ จะกลายเป็นนักมวยสากลชาวญี่ปุ่นที่ทำสถิติการชกน้อยที่สุดแล้วได้เป็นแชมป์โลก โดยทำลายสถิติของโจอิจิโร ทัตสึโยชิ[2] ซึ่งคาซูโตะเป็นฝ่ายเอาชนะทีเคโอ โอเล่ห์ดงที่ลดน้ำหนักมาก ไปได้ในยกที่ 5[3] (ปัจจุบันสถิตินี้ถูกทำลายลงโดย นาโอยะ อิโนอูเอะ ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2014 เมื่อเป็นฝ่ายชนะทีเคโอยก 6 อาเดรียน เอร์นันเดซ ได้แชมป์โลกในรุ่นไลท์ฟลายเวท WBC ด้วยการชกเพียง 6 ครั้ง[4]) หลังจากที่ได้เดิมพันตำแหน่งแชมป์โลกกับแชมป์โลก ของ WBA ในรุ่นเดียวกันกับอากิระ ยาเองาชิ นักมวยชาวญี่ปุ่นด้วยกัน และเลื่อนรุ่นไปได้แชมป์โลกในรุ่นไลท์ฟลายเวท ของ WBA และป้องกันตำแหน่งได้ 3 ครั้งแล้ว อิโอกะตัดสินใจที่จะเลื่อนรุ่นขึ้นไปชกในรุ่นฟลายเวท และเซ็นสัญญาชิงแชมป์โลกกับ อำนาจ รื่นเริง แชมป์โลกในรุ่นนี้ของสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ชาวไทย ในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซึ่งอิโอกะเมื่อครั้งยังชกมวยสากลสมัครเล่นเคยพ่ายแพ้ต่ออำนาจมาแล้ว 7-1 หมัด ในการคัดเลือกตัวไปสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งถ้าหากอิโอกะสามารถเอาชนะได้ ก็จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์โลก 3 รุ่นเป็นคนแรกของญี่ปุ่นทันที หลังจากที่ฮิโรกิ อิโอกะ ผู้เป็นอา ทำไม่สำเร็จมาแล้วในอดีต เมื่อขึ้นชิงแชมป์โลกในรุ่นเดียวกันนี้ของ WBA แต่เป็นฝ่ายแพ้ทีเคโอยก 10 ต่อ แสน ส.เพลินจิต เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1995[5] ซึ่งในการชกจริงอิโอกะไม่สามารถอะไรอำนาจได้เป็นชิ้นเป็นอันตลอดการชกทั้ง 12 ยก...
None
tha_Thai
train
en_heres_what_I_found
khalidalt/tydiqa-primary
thai