ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Retail_57037 | Retail | กลยุทธ์ CRC Retailligence ของเซ็นทรัล รีเทล มีอะไรน่าสนใจบ้าง? | null | กลยุทธ์ CRC Retailligence ของเซ็นทรัล รีเทล มีความน่าสนใจหลายประการ ดังนี้
1. เน้นการยกระดับแพลตฟอร์มออมนิแชแนล
-เซ็นทรัล รีเทล ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลใหม่ ๆ ในทุกกลุ่มธุรกิจ
มุ่งเน้นพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกช่องทาง
-ตัวอย่างการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การใช้ Chatbot ตอบคำถามลูกค้า การใช้ AR/VR เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง
2. เร่งการขับเคลื่อนธุรกิจหลัก
-เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการขยายธุรกิจหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ
-มีแผนเปิดศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ 3 แห่ง และเพิ่มร้านค้าใหม่ ๆ ในปี 2565
-ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เช่น เวียดนาม อินเดีย และมาเลเซีย
3. สร้างธุรกิจใหม่
-เซ็นทรัล รีเทล มองหาโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ
-เน้นธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกและความต้องการของผู้บริโภค
-ตัวอย่างธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจ Health & Wellness ธุรกิจ EdTech ธุรกิจ Fintech
4. ขยายธุรกิจภายใต้แนวคิด Inclusive Growth
-เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการสร้างความสำเร็จร่วมกันกับพาร์ทเนอร์
-มองหาโอกาสในการร่วมทุนกับธุรกิจอื่น ๆ
-ตัวอย่างความร่วมมือ เช่น การร่วมทุนกับ LINE MAN เปิดตัว Foodpanda Mart
โดยสรุป
กลยุทธ์ CRC Retailligence ของเซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ พัฒนาธุรกิจหลัก สร้างธุรกิจใหม่ และขยายธุรกิจร่วมกับพาร์ทเนอร์ กลยุทธ์เหล่านี้ น่าจะช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้าน Omni-Centric Retailer ของเอเชียได้
คำแนะนำ
-เซ็นทรัล รีเทล ควรติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ
-ควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
-ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพาร์ทเนอร์ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57038 | Retail | การขยายสาขาของ 7-Eleven ในอินเดีย จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศนี้อย่างไร? | ถ้าหากพูดถึงร้านสะดวกซื้อ เชื่อว่าคนไทยคงจะคงคุ้นเคยกับ 7-Eleven เป็นอย่างดี
เรียกได้ว่า ถ้าอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เพียงก้าวออกจากบ้านไม่กี่ก้าว
ก็จะเจอ 7-Eleven อย่างน้อย 1 สาขา เพราะปัจจุบันร้านสะดวกซื้อแบรนด์นี้ มีมากกว่า 12,700 สาขาทั่วประเทศ อย่างไรก็ดี มีอยู่ประเทศหนึ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เพราะไม่เคยมี 7-Eleven ไปเปิดมาก่อน ประเทศนั้นคือ “อินเดีย” แต่ล่าสุด เมื่อวานนี้ มีข่าวออกมาว่า “อินเดีย” ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย
กำลังจะมี 7-Eleven “สาขาแรก” แล้ว ซึ่งตั้งอยู่ที่มหานครมุมไบ โดยมีกำหนดเปิดร้านวันที่ 9 ตุลาคม นี้ การบุกตลาดในอินเดียของแบรนด์ 7-Eleven ครั้งนี้ จะดำเนินการโดยบริษัท 7-India Convenience Retail
โดยเป็นการทำสัญญาแฟรนไชส์กับ Seven & i Holdings Co., Ltd. บริษัทค้าปลีกจากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ซึ่งบริษัท 7-India Convenience Retail อยู่ภายใต้การลงทุนของ Reliance Retail Ventures Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยด้านการลงทุนของ Reliance Industries Limited ทั้งนี้ Reliance Industries Limited เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากสุดในอินเดีย (มีมูลค่า 7.9 ล้านล้านบาท)
ดำเนินธุรกิจหลากหลายอย่าง อาทิ พลังงาน, โทรคมนาคม, ค้าปลีก, มีเดีย และอื่น ๆ
โดยมีเจ้าของคือคุณ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีที่รวยสุดในอินเดียและในเอเชีย (มีทรัพย์สิน 3.4 ล้านล้านบาท) นั่นเอง และแน่นอนว่า 7-Eleven ก็จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจค้าปลีก ที่ช่วยเสริมทัพให้กับ Reliance Industries Limited ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ สำหรับร้าน 7-Eleven ที่จะเปิดในอินเดียนี้ จะมีการนำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ให้กับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน ตลอดจนผลิตภัณฑ์และอาหารที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อตลาดท้องถิ่นโดยเฉพาะ
โดยจะเป็นร้านค้าปลีก 2 ชั้น พื้นที่กว่า 1,700 ตารางฟุต และมีร้านกาแฟด้วย ส่วนในด้านสถานที่ตั้ง คือชั้นแรกของอะพาร์ตเมนต์ Atul Blue Fortuna
บนถนน Military ซึ่งนับเป็นสถานที่ที่อยู่ท่ามกลางความเจริญ เพราะมีทั้งสถานีรถไฟ และเป็นศูนย์กลางความบันเทิงของอินเดีย โดยคาดว่าในปลายปีนี้ จะสามารถขยายสาขาของ 7–Eleven ไปได้อีกหลายแห่งในมหานครมุมไบ ทั้งนี้ ทางคุณ Isha Ambani ผู้บริหารของ Reliance Ventures Limited ได้เปิดเผยว่า
ทางบริษัทมีความภาคภูมิใจที่จะนำร้านสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง 7-Eleven มาเปิดในอินเดียมาก เพราะนอกจากที่จะมีสินค้าคุณภาพดีที่เป็นที่รู้จักระดับโลก
ก็ยังมีสินค้าพร้อมทานที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้เหมาะสมกับคนท้องถิ่นอีกด้วย Close Ad Close Ad โดยประเทศอินเดีย จะเป็นประเทศ/ภูมิภาคลำดับที่ 18 ที่ 7–Eleven เข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบัน 7-Eleven เปิดให้บริการแล้วในหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก, ญี่ปุ่น, ไทย, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, จีน, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, ออสเตรเลีย, นอร์เวย์, สวีเดน และเดนมาร์ก และปัจจุบัน จำนวนร้าน 7-Eleven มีมากกว่า 77,000 สาขาทั่วโลก สำหรับผู้ที่ได้สิทธิแฟรนไชส์ 7-Eleven นั้น ในแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันออกไป
ส่วนในประเทศไทยนั้น ผู้ที่ได้รับสิทธิบริหารแฟรนไชส์ 7-Eleven ในประเทศ คือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL อ้างอิง :
-
-
-
| การขยายสาขาของ 7-Eleven ในอินเดีย คาดว่าจะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศนี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้:
1. เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค:
ปัจจุบัน ร้านค้าปลีกในอินเดียมีรูปแบบหลากหลาย ตั้งแต่ร้านค้าแบบดั้งเดิม ร้านโชห่วย ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ การเข้ามาของ 7-Eleven จะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในเขตเมือง ที่ผู้คนต้องการความสะดวกรวดเร็ว
2. ยกระดับมาตรฐานการบริการ:
7-Eleven เป็นที่รู้จักในเรื่องมาตรฐานการบริการที่ดี พนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี สินค้าที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และบรรยากาศร้านค้าที่สะอาด การเข้ามาของ 7-Eleven จะช่วยยกระดับมาตรฐานการบริการในธุรกิจค้าปลีกของอินเดีย
3. กระตุ้นการแข่งขัน:
การเข้ามาของ 7-Eleven จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในธุรกิจค้าปลีก ต้องพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาด
4. สร้างโอกาสทางธุรกิจ:
7-Eleven ต้องการซัพพลายเออร์ท้องถิ่น เพื่อจัดหาสินค้าให้กับร้านค้า การเข้ามาของ 7-Eleven จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น
5. สร้างงาน:
7-Eleven คาดว่าจะสร้างงานใหม่หลายพันตำแหน่ง ในอินเดีย
อย่างไรก็ตาม การขยายสาขาของ 7-Eleven ในอินเดีย ยังมีอุปสรรคบางประการ ดังนี้:
ความคุ้นเคยของผู้บริโภค: ผู้บริโภคชาวอินเดีย คุ้นเคยกับร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับร้านสะดวกซื้อ
การแข่งขัน: ธุรกิจค้าปลีกในอินเดีย มีการแข่งขันสูง 7-Eleven ต้องเผชิญกับคู่แข่งรายใหญ่ เช่น DMart และ Reliance Retail
กฎระเบียบ: รัฐบาลอินเดีย มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับการค้าปลีกต่างชาติ 7-Eleven อาจจะต้องเผชิญกับอุปสรรคทางกฎหมาย | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57043 | Retail | ธนาคารกสิกรไทยต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในธุรกิจของธนาคารประเทศใดและใช้กลยุทธ์อะไรบ้างในการดำเนินธุรกิจ | ธนาคารกสิกรไทยส่งกสิกรวิชั่น ไฟแนนเชียล ดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารแมสเปี้ยน ประเทศอินโดนีเซียด้วยมูลค่าการลงทุน 186.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6.5 พันล้านบาท ส่งผลให้กสิกรไทยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นรวมในธนาคารแมสเปี้ยน เป็น 67.5% เดินหน้านำจุดแข็งบริการและเทคโนโลยีพัฒนาบริการให้ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจเข้าถึงโอกาสทางการเงินสะดวกยิ่งขึ้น พร้อมเชื่อมโยงฐานลูกค้าธุรกิจ เสริมแกร่งการเป็นธนาคารแห่งภูมิภาค นายภัทรพงศ์ กันหสุวรรณ ประธานกรรมการ บริษัท กสิกร วิชั่น ไฟแนนเชียล จำกัด เปิดเผยว่า ธนาคารเดินหน้ากลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่การเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดที่มีศัยกภาพสูง ล่าสุดบริษัท กสิกร วิชั่น ไฟแนนเชียล จำกัด ได้รับอนุมัติจากธนาคารกลางประเทศอินโดนีเซียและดำเนินการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในธนาคารแมสเปี้ยน ประเทศอินโดนีเซีย จากเดิมมีสัดส่วนสัดส่วนอยู่ที่ 9.99% เพิ่มเป็น 67.5% ด้วยมูลค่าการลงทุน 186.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6,500 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้บริษัทของธนาคารกสิกรไทยกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (Controlling Shareholder)ของธนาคารแมสเปี้ยน การเข้าซื้อกิจการของธนาคารแมสเปี้ยน ซึ่งเป็นธนาคารมีขนาดสินทรัพย์ 888 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 31,100 ล้านบาท และมีสาขาจำนวน 50 แห่งทั่วประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นการควบรวมกิจการ (M&A) ครั้งแรกของธนาคารกสิกรไทยภายใต้กลยุทธ์การขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้นับว่าเกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่เหมาะสม ทั้งในแง่ความต้องการสินเชื่อที่กำลังเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอินโดนีเซียในช่วงการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และในแง่ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเกิดจากการหลั่งไหลของการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยมีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกภาคส่วนของประเทศอินโดนีเซีย โดยจะนำประสบการณ์ ความพร้อมและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจธนาคารที่มีมายาวนานกว่า 77 ปี มาประยุกต์ ต่อยอด และเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมทางการเงินของ KASIKORN Business Technology Group (KBTG) มาสู่ธนาคารแมสเปี้ยน เพื่อผลักดันให้ธนาคารแมสเปี้ยน เติบโตเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดใน East Java และพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในระยะยาวต่อไป ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มองค์กร/ธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Commercial) และกลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) กลุ่มองค์กร/ธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) ธนาคารจะเพิ่มศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อและให้บริการด้านธนาคารที่ครบวงจร เพื่อเป็นหนึ่งในแหล่งเงินทุนที่ตอบสนองความต้องการของ ธุรกิจท้องถิ่นขนาดใหญ่ (Local Large Corporate) เนื่องจากธนาคารเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ ซึ่งกระจายอยู่ในหลากหลายสาขาธุรกิจของประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะผู้นำทางธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ และจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงตลาดภายในประเทศของอินโดนีเซียให้เป็นหนึ่งเดียว ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (National Development Plan) ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งธนาคารเชื่อว่าแผนนี้จะสามารถผลักดันให้ประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในปลายทางการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างดี โดยธนาคารพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งจากธุรกิจไทย (TDI) และธุรกิจต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ (กลุ่มประเทศ AEC+3) กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Commercial) ธนาคารให้การสนับสนุนด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจขนาดกลางที่มีจำนวนมาก เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเทคโนโลยีทางการเงินที่จะช่วยปรับปรุงระบบการชำระเงินแก่ผู้ประกอบการ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการขับเคลื่อนธุรกิจแบบรอบด้าน ช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางกลุ่มนี้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และพร้อมขยายไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ในอนาคต กลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) ธนาคารมุ่งขยายฐานลูกค้ารายย่อยในอินโดนีเซียผ่านการให้บริการโมบายแบงก์กิ้งหรือบริการธุรกรรมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้ารายย่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก (MSME) ที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างจำกัด แต่มีความสามารถในการใช้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้มากขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารได้ออกแบบผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ มีฟีเจอร์ที่มีความหลากหลาย พร้อมทั้งพัฒนาระบบโมบายแบงก์กิ้งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีแนวโน้มการใช้งานผ่านช่องทางนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งด้านบริการทางการเงินและศักยภาพทางเทคโนโลยีของกสิกรไทย ผสานกับความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานในท้องถิ่นของธนาคารแมสเปี้ยนจะสามารถพัฒนาบริการที่ช่วยให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการท้องถิ่นในอินโดนีเซียเข้าถึงสินเชื่อและบริการทางการเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น เพื่อสามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยจะมีการต่อยอดความสัมพันธ์จากฐานลูกค้าธุรกิจของธนาคารมีอยู่ในไทยและประเทศในภูมิภาค สร้างการเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งด้านห่วงโซ่การผลิต การลงทุนและการค้า ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจในไทย อินโดนีเซียและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปในอนาคต การเข้าซื้อกิจการธนาคารมาสเปี้ยนของธนาคารกสิกรไทย ในปี 2565 ครั้งนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของการยกระดับธนาคารกสิกรไทยในฐานะธนาคารระดับภูมิภาค AEC+3 ครั้งล่าสุด หลังจากได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจธนาคารท้องถิ่นใน สปป.ลาว ปี 2557 และได้ใบอนุญาตการประกอบธุรกิจธนาคารท้องถิ่นในประเทศจีนในปี 2559 และประสบความสำเร็จจากการเปิดสาขาพนมเปญ ในประเทศกัมพูชาปี 2560 และสาขาโฮจิมินห์ซิตี้ ในประเทศเวียดนามในปี 2564 | ธนาคารกสิกรไทย มีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกภาคส่วนของประเทศอินโดนีเซีย โดยจะนำประสบการณ์ ความพร้อมและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจธนาคารที่มีมายาวนานกว่า 77 ปี มาประยุกต์ ต่อยอดและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมทางการเงินของ KASIKORN Business Technology Group (KBTG) มาสู่ธนาคารแมสเปี้ยน เพื่อผลักดันให้ธนาคารแมสเปี้ยน เติบโตเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดใน East Java และพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในระยะยาวต่อไป
ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มองค์กร/ธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Commercial) และกลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) กลุ่มองค์กร/ธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) ธนาคารจะเพิ่มศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อและให้บริการด้านธนาคารที่ครบวงจร เพื่อเป็นหนึ่งในแหล่งเงินทุนที่ตอบสนองความต้องการของ ธุรกิจท้องถิ่นขนาดใหญ่ (Local Large Corporate) เนื่องจากธนาคารเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ ซึ่งกระจายอยู่ในหลากหลายสาขาธุรกิจของประเทศอินโดนีเซีย
ในฐานะผู้นำทางธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่และจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงตลาดภายในประเทศของอินโดนีเซียให้เป็นหนึ่งเดียว ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (National Development Plan) ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งธนาคารเชื่อว่าแผนนี้จะสามารถผลักดันให้ประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในปลายทางการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างดี โดยธนาคารพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งจากธุรกิจไทย (TDI) และธุรกิจต่างชาติ
โดยเฉพาะจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ (กลุ่มประเทศ AEC+3) กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Commercial) ธนาคารให้การสนับสนุนด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจขนาดกลางที่มีจำนวนมาก เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเทคโนโลยีทางการเงินที่จะช่วยปรับปรุงระบบการชำระเงินแก่ผู้ประกอบการ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการขับเคลื่อนธุรกิจแบบรอบด้าน ช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางกลุ่มนี้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และพร้อมขยายไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ในอนาคต
กลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) ธนาคารมุ่งขยายฐานลูกค้ารายย่อยในอินโดนีเซียผ่านการให้บริการ โมบายแบงก์กิ้ง หรือ บริการธุรกรรมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้ารายย่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก (MSME) ที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างจำกัด แต่มีความสามารถในการใช้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้มากขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารได้ออกแบบผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ มีฟีเจอร์ที่มีความหลากหลาย พร้อมทั้งพัฒนาระบบโมบายแบงก์กิ้งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีแนวโน้มการใช้งานผ่านช่องทางนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57045 | Retail | จากข้อมูล SCB EIC พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างตื่นตัวกับกระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหตุใด | 1. การสนับสนุนสินเชื่อสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
2. การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก
3. เทรนด์การใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่มาแรง
4. การส่งเสริมความยั่งยืนและเป็นอยู่ที่ดีของสังคม | คำตอบที่ถูกต้องคือ 3. เนื่องจาก จากข้อมูล SCB EIC พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างตื่นตัวกับกระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเทรนด์การใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่มาแรง และคาดว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับความสนใจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จํากัด ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายสำหรับกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ซึ่งธนาคารเข้าร่วมเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อสำหรับลูกค้าที่สนใจในรถยนต์ BYD ทั้งรุ่น ATTO 3 และ รุ่น Dolphin ด้วยข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเพียง 1.88% ต่อปี เพิ่มตามจากแผนประกันภัยชั้น 1 ที่ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด มอบให้แก่ลูกค้าเพื่อให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมตลอดเส้นทางการขับขี่ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2566 หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ความร่วมมือระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จํากัด ในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และการส่งเสริมความยั่งยืนและเป็นอยู่ที่ดีของสังคม อีกทั้งยังเป็นอีกก้าวสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในการสนับสนุนสินเชื่อสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในครั้งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถร่วมทดลองขับและสัมผัสประสบการณ์รถยนต์ไฟฟ้า BYD ได้ที่งาน BYD Test Drive ระหว่างวันที่ 21 – 25 สิงหาคม 2566 ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ รัชโยธิน | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57046 | Retail | ในฐานะผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดเล็ก คุณคิดว่าการใช้ "มณี โซเชียล คอมเมิร์ซ" นั้น มีประโยชน์อย่างไร? | ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งมั่นเดินหน้าเคียงข้างผู้ประกอบการรายย่อย (SSME) พร้อมนำขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือให้ธุรกิจของลูกค้าสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และเตรียมเดินหน้าสู่โลกอีคอมเมิร์ซ ล่าสุดยกระดับพัฒนาฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชัน แม่มณี “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์มืออาชีพ แอปฯ เดียวครบตอบโจทย์ทุกความต้องการ มุ่งแก้ปัญหาร้านค้าออนไลน์ ช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโต ด้วยโซลูชันครอบคลุม 3 แกนหลัก ได้แก่ 1.ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ (Manee Social Commerce) 2. รองรับการชำระเงินครบวงจรกับบิลแม่มณี (Payment Fulfillment) และ 3. คอร์สเรียนออนไลน์เสริมทักษะ สะสมคะแนนแลกของรางวัล (Merchant Engagement) นอกจากนี้ยังได้เตรียมวงเงินสินเชื่อดิจิทัลเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและต่อยอดธุรกิจให้กับผู้ประกอบการอีกด้วย ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2565 มีร้านค้าใช้งานแอปฯ 5 แสนราย นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “เทรนด์การขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เปลี่ยนไปในยุค new normal และมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งนี้วิกฤตโควิด-19 ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่ง ให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และตลาดอีคอมเมิร์ซ คือ หนึ่งในทางรอดของผู้ประกอบการ SMEs ในยุคดิจิทัล เราในฐานะธนาคารมุ่งมั่นช่วยเหลือพร้อมสนับสนุนให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อยสามารถปรับตัวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จากการพูดคุยกับกลุ่มคนขายของออนไลน์อย่างใกล้ชิดพบว่าปัญหาหลักที่พบเจอบ่อยครั้ง คือ ปัญหาจากการขายของออนไลน์บนหลายแพลตฟอร์ม ผู้ขายตอบคำถามลูกค้าไม่ทันเพราะขายหลายช่องทาง การจัดการสินค้าและสต๊อกสินค้าที่ไม่เป็นระบบ หรือปัญหาด้านระบบชำระเงิน และขนส่ง เป็นต้น เราจึงนำเอา Pain Point เหล่านี้ และความเข้าใจลูกค้าผู้ประกอบการ มาผสานเข้ากับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีการเงินอันนำสมัย พัฒนาต่อยอดฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชัน แม่มณี ผู้ช่วยจัดการร้านออนไลน์ตัวจริง ด้วยโซลูชันครอบคลุม 3 แกนหลักที่ตอบโจทย์การขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในทุกมิติ พร้อมเสริมกลยุทธ์ สร้างทักษะที่จำเป็นในการเพิ่มยอดขายที่มากขึ้นให้แก่ร้านค้า นอกจากนี้ลูกค้าที่ใช้บริการ “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” สามารถได้รับวงเงินสินเชื่อดิจิทัลเพื่อต่อยอดธุรกิจได้อีกด้วย ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2565 มีร้านค้าใช้งานแอปฯ 5 แสนราย” 3 โซลูชันหลัก “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” 1)ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ (Manee Social Commerce): บริหารจัดการร้านค้ากับ “มณี โซเชียลคอมเมิร์ช” บริการจัดการ สต๊อกสินค้า และออเดอร์ได้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่รับคำสั่งซื้อ/ส่งสินค้า/รอรับเงิน ให้ร้านค้าสามารถตอบแชทลูกค้าจากหลากหลายช่องทางทั้ง Marketplace และ Social Media Platform ได้ในที่เดียวจบ พร้อมเพิ่มยอดขายด้วยการเชื่อมต่อระบบ Facebook Live และเชื่อมต่อบริษัทขนส่งชั้นนำ 2)ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ (Payment Fulfillment): รองรับการชำระเงินครบวงจรกับบิลแม่มณี รับชำระค่าสินค้าผ่าน QR Code รองรับทั้งบัตรเครดิต เดบิต และการผ่อนชำระ 3)คอร์สเรียนออนไลน์เสริมทักษะ และคะแนนแลกของรางวัล (Merchant Engagement): -Manee Academy คอร์สให้ความรู้การทำธุรกิจแบบอัดแน่นจากกูรูด้านการขายของออนไลน์ เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเดินหน้าทำธุรกิจบนอีคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพ -Manee Rewards สะสมคะแนนและของรางวัล ร้านค้ารับคะแนนสะสมทุกการรับชำระเงินผ่านแอปแม่มณี สำหรับผู้ที่สนใจฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชันแม่มณี “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” สามารถดาวน์โหลดได้ที่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Call Center โทร 02 777 7777 และสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ | มณี โซเชียล คอมเมิร์ซ นำเสนอโซลูชันครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดเล็ก ช่วยให้สามารถบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มยอดขาย และต่อยอดธุรกิจ ดังนี้:
1. บริหารจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ:
- ระบบจัดการร้านค้า: ช่วยให้จัดการร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Shopee, Lazada ฯลฯ รวมไปถึงเว็บไซต์ร้านค้าของตัวเอง
- ระบบจัดการสินค้าและสต็อก: ติดตามสินค้าคงคลัง ควบคุมสต็อก ปรับราคาสินค้า จัดการโปรโมชัน สร้างใบแจ้งหนี้ ออกใบเสร็จรับเงิน
- ระบบการจัดการออเดอร์: รับออเดอร์จากทุกช่องทาง จัดการออเดอร์ แพ็คสินค้า จัดส่งสินค้า ติดตามสถานะการจัดส่ง
- ระบบตอบแชทลูกค้า: ตอบคำถามลูกค้าจากทุกช่องทางในแชทเดียว ช่วยให้ประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า
- การเชื่อมต่อระบบ Facebook Live: ไลฟ์สดขายสินค้าบน Facebook รับออเดอร์และชำระเงินผ่านระบบมณี โซเชียล คอมเมิร์ซได้ทันที
- การเชื่อมต่อบริษัทขนส่งชั้นนำ: เปรียบเทียบราคา จองการจัดส่ง ติดตามสถานะการจัดส่ง
2. รองรับการชำระเงินครบวงจร:
- บิลแม่มณี: ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าผ่าน QR Code บนบิลแม่มณี รองรับการชำระด้วยบัตรเครดิต บัตรเดบิต และการผ่อนชำระ
- ระบบ PromptPay: รับชำระเงินผ่านระบบ PromptPay
3. เสริมทักษะและโอกาสทางธุรกิจ:
- Manee Academy: คอร์สเรียนออนไลน์จากกูรูด้านการขายของออนไลน์
- Manee Rewards: สะสมคะแนนจากยอดขาย แลกของรางวัล
โดยรวมแล้ว มณี โซเชียล คอมเมิร์ซ มอบโซลูชันครบวงจรที่ช่วยให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดเล็กสามารถ:
1. ประหยัดเวลา: จัดการร้านค้าออนไลน์ รับออเดอร์ จัดส่งสินค้า และตอบแชทลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เพิ่มประสิทธิภาพ: บริหารจัดการสินค้าและสต็อก ติดตามยอดขาย วิเคราะห์ข้อมูล
3. เพิ่มยอดขาย: เชื่อมต่อกับลูกค้าใหม่ๆ ขยายช่องทางการขาย กระตุ้นยอดขายด้วยโปรโมชัน
4. ลดต้นทุน: ประหยัดค่าธรรมเนียมการรับชำระเงิน ค่าธรรมเนียมการจัดส่ง
5. ต่อยอดธุรกิจ: เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมทักษะความรู้ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57055 | Retail | การสร้าง Customer Experience สไตล์ Crocs ทำอย่างไรต่างจากBrandอื่นอย่างไร | กรณีศึกษา สร้าง Customer Experience สไตล์ Crocs พลิกขาดทุนหลายพันล้าน สู่กำไร 20,000 ล้าน
“รองเท้า Crocs หัวโต เป็นรองเท้าที่ฮอตที่สุดประจำปี 2021 ที่ผ่านมา” เชื่อว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ สายแฟชั่น หรือผู้ที่ชอบรองเท้าใส่สบาย คงจะไม่แปลกใจกับประโยคนี้
เพราะก็คงเคยเห็นรองเท้า Crocs ที่มี Charm ตกแต่งรองเท้า
ผ่าน Instagram ของเพื่อน ๆ ที่ออกมาโชว์รองเท้า Crocs ในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้ Crocs กลับมากลายเป็นรองเท้าที่ฮอตเป็นไฟในปีที่ผ่านมา.. และยังทำการตลาด ด้วยการส่งรองเท้าให้อินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลก ใส่แล้วถ่ายลงบนโซเชียลมีเดีย
ตั้งแต่ศิลปินชื่อดังอย่าง Justin Bieber, Post Malone ไปจนถึงอินฟลูเอนเซอร์รายเล็ก ๆ จนทำให้ในปี 2021 ที่ผ่านมา Crocs มีรายได้ถึง 75,347 ล้านบาท
และมีกำไรกว่า 22,249 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรถึง 219%.. แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือก่อนหน้านี้ สถานการณ์ของ Crocs ถือว่าไม่ค่อยสู้ดีนัก
เพราะขาดทุนมาหลายปีติด และเพิ่งจะกลับมาทำกำไรได้ในปี 2020 ปี 2017 มีรายได้ 33,335 ล้านบาท ขาดทุน 563 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 33,335 ล้านบาท ขาดทุน 2,049 ล้านบาท
ปี 2019 มีรายได้ 40,081 ล้านบาท ขาดทุน 4,189 ล้านบาท
ปี 2020 มีรายได้ 45,142 ล้านบาท กำไร 6,973 ล้านบาท พอเห็นแบบนี้ หลายคนคงคิดเชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 ที่เข้ามาในช่วงต้นปี 2020
ทำให้หลาย ๆ คน ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าผ้าใบ
แต่ต้องการหารองเท้าสบาย ๆ อย่าง Crocs มาใส่แทน ซึ่งก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผิดอะไร เพราะนั่นก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ Crocs พลิกกลับมาทำกำไรได้ในปี 2020 แต่อีกส่วนก็ต้องชมทีมการตลาด ที่สามารถหาวิธีเพิ่มการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งยังสามารถหาวิธีสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภค (Customer Experience) ได้อย่างสนุกสนาน และเข้ามาเติมสีสันให้กับรองเท้าหัวโต ที่บางคนมองว่าดีไซน์แปลกได้ แล้วกลยุทธ์ที่ Crocs ใช้ จนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามคืออะไร ? Close Ad Close Ad เดิมที รองเท้า Crocs ถือว่ามีจุดขายอยู่ที่ความเบาสบาย ใส่ได้นาน ไม่ลื่น และไม่เป็นรอยง่าย
ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะอย่าง “Croslite” แต่ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของ Crocs คือภาพจำที่เป็น Pain Point ของแบรนด์ ว่าเป็นรองเท้าของผู้สูงอายุ, บุคลากรทางการแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ หรือบางคน บอกว่ารองเท้า Crocs มีรูปร่างน่าเกลียด และมีภาพจำในเชิงลบ
ซึ่งหลาย ๆ ที่ก็บอกว่าเป็นการตลาดของ Crocs ที่ตั้งใจผลิตให้น่าเกลียด แล้วมาเดิมพันกับวัสดุที่ดีเลิศแทน อย่างไรก็ดี นั่นไม่มากพอที่จะทำให้ Crocs ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้
เพราะปัจจุบันทาง Crocs ได้เปลี่ยนแบรนด์ ให้เป็นที่รู้จักในทางแฟชั่นมากยิ่งขึ้น
เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง Gen Y, Gen Z และเด็ก ๆ ยุคใหม่ โดยการพยายามนำรองเท้าหัวโต มาปัดฝุ่น
แล้วนำเสนอคุณค่าใหม่ที่มากกว่าคอนเซปต์เดิม จากการเป็นรองเท้าที่ใส่สบายที่สุดในโลก
ให้กลายเป็น “รองเท้าที่ใส่สบาย และยังสามารถโชว์ความเป็นตัวเองได้อีกด้วย” อย่างที่รู้กันดีว่า Crocs มีของเล่นตกแต่งรองเท้าเป็น “Jibbitz Charms” ให้ลูกค้าตกแต่งรองเท้า ตามสไตล์ตัวเองมาพักใหญ่ แต่เพิ่งจะมาบุกตลาดหนัก ๆ เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์ “Customization” ที่หมายถึงการให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในตัวสินค้าหรือบริการด้วยตนเอง ตามความต้องการส่วนบุคคล โดย Crocs เริ่มขั้นตอนแรกด้วยกลยุทธ์สร้างการรับรู้ (Awareness)
ผ่านการส่งรองเท้าพร้อมกับ Jibbitz Charms ไปให้เหล่าคนดัง และอินฟลูเอนเซอร์ ใส่โชว์ไลฟ์สไตล์ของตัวเองผ่านรองเท้า Crocs เช่น Justin Bieber, Ariana Grande, Post Malone, The Weeknd, Priyanka Chopra แล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จ จน Crocs ได้ขึ้นชื่อว่า “เป็นแบรนด์รองเท้าที่ฮอตที่สุดในปี 2021” ที่เป็นแบบนั้นได้ ก็เพราะว่าเมื่อปกติที่เราเดินเข้าไปในร้านรองเท้าทั่วไป
เรามักจะต้องเจอกับแบบรองเท้าที่ร้านเตรียมไว้ให้ ประกอบกับเลือกไซซ์ และสีที่มีเท่านั้น แต่ไม่ใช่กับ Crocs เพราะนอกเหนือจากไซซ์ และสีแล้ว
เราสามารถที่จะตกแต่งรองเท้าของเราตามความชอบ หรือสไตล์การแต่งตัว หรือแม้แต่อยากจะซื้อ Jibbitz Charms ไปเก็บไว้เปลี่ยน
เพื่อจะได้แมตช์กับชุดอื่น ๆ ตามวันก็ยังสามารถทำได้ Close Ad Close Ad ทำให้เมื่อลูกค้าเดินเข้าไปในร้าน เขาไม่ได้เข้าไปซื้อเพียงรองเท้า
แต่เข้าไปซื้อประสบการณ์ความสนุก เพลิดเพลิน และเข้าไปสร้างงานศิลปะชิ้นเอกของตัวเอง ลงบนรองเท้าคู่ใหม่ ที่ทำได้ง่าย ๆ แถมมีแค่คู่เดียวบนโลกด้วย สิ่งนี้เองคือ Customer Experience หรือ ประสบการณ์ของลูกค้า
ที่ Crocs มอบประสบการณ์ใหม่ให้กับการช็อปปิงรองเท้า รวมถึงทางแบรนด์ยังมีการปรับโฉมหน้าร้านให้ดึงดูดขึ้น ด้วยการเอาแท่นวาง Jibbitz Charms ไปตั้งโชว์บริเวณทางเข้าร้าน และมีตัวอย่างการตกแต่งหลายสไตล์ให้ดู ซึ่งเป็นการเรียกสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทั้งคนที่บังเอิญผ่านมาเห็น และคนที่เคยเห็นเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดียใส่ แล้วอยากรู้ว่ามันคืออะไร เรียกได้ว่า เดิมทีลูกค้าอาจจะไม่ได้อยากได้รองเท้า
แต่จำต้องยอมจ่ายเงินให้กับความน่ารัก และงานอาร์ตบนรองเท้า ที่เขารังสรรค์มันขึ้นมาเองได้ตอนนั้นเลย.. นอกจาก Crocs จะเก่งในการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าแล้ว
ทางแบรนด์ยังเก่งเรื่องการ Collaboration อีกด้วย โดยการนำรองเท้า Crocs ไปร่วมกับแบรนด์ระดับโลก ซึ่งมีตั้งแต่แบรนด์หรูอย่าง Balenciaga ที่เป็นกระแสล่าสุดอย่าง Crocs ส้นเข็ม
และที่ผ่านมาอย่าง Crocs บูต และ Crocs ส้นตึก ไปจนถึงแบรนด์ของกินอย่างการยกไก่ KFC ปลอมไปไว้บนรองเท้า
หรือลิขสิทธิ์ลาย Baby Shark สำหรับเด็ก ๆ และอีกมากมาย อีกทั้งทาง Crocs ก็ยังไม่พลาดการนำร้านไปไว้บนโลกออนไลน์ โดยเมื่อปี 2020 ข้อมูลจาก Statista บอกว่า
ยอดขายของ Crocs มาจากช่องทางอีคอมเมิร์ซกว่า 25.9%
มาจากการขายส่ง 50% และมาจากการขายปลีก 24.1% และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทาง Crocs ก็ออกมาบอกว่า
คาดว่าในปี 2026 จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 167,000 ล้านบาท และตามมาด้วยการประกาศเข้าซื้อแบรนด์รองเท้าผ้าใบ Hey Dude
เพื่อขยายฐานลูกค้าในช่วงหลังวิกฤติโควิด 19 ด้วยมูลค่า 83,800 ล้านบาท Close Ad Close Ad ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่า Crocs แบรนด์รองเท้าหัวโตกำไรหมื่นล้าน | สร้าง Customer Experience สไตล์ Crocs พลิกขาดทุนหลายพันล้าน สู่กำไร 20,000 ล้าน “รองเท้า Crocs หัวโต เป็นรองเท้าที่ฮอตที่สุดประจำปี 2021 ที่ผ่านมา” เชื่อว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ สายแฟชั่น หรือผู้ที่ชอบรองเท้าใส่สบาย คงจะไม่แปลกใจกับประโยคนี้ เพราะก็คงเคยเห็นรองเท้า Crocs ที่มี Charm ตกแต่งรองเท้า ผ่าน Instagram ของเพื่อน ๆ ที่ออกมาโชว์รองเท้า Crocs ในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้ Crocs กลับมากลายเป็นรองเท้าที่ฮอตเป็นไฟในปีที่ผ่านมา.. และยังทำการตลาด ด้วยการส่งรองเท้าให้อินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลก ใส่แล้วถ่ายลงบนโซเชียลมีเดีย
ตั้งแต่ศิลปินชื่อดังอย่าง Justin Bieber, Post Malone ไปจนถึงอินฟลูเอนเซอร์รายเล็ก ๆ จนทำให้ในปี 2021 ที่ผ่านมา Crocs มีรายได้ถึง 75,347 ล้านบาท และมีกำไรกว่า 22,249 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรถึง 219%.. แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือก่อนหน้านี้ สถานการณ์ของ Crocs ถือว่าไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะขาดทุนมาหลายปีติด และเพิ่งจะกลับมาทำกำไรได้ในปี 2020 ปี 2017 มีรายได้ 33,335 ล้านบาท ขาดทุน 563 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 33,335 ล้านบาท ขาดทุน 2,049 ล้านบาท
ปี 2019 มีรายได้ 40,081 ล้านบาท ขาดทุน 4,189 ล้านบาท
ปี 2020 มีรายได้ 45,142 ล้านบาท กำไร 6,973 ล้านบาท
พอเห็นแบบนี้ หลายคนคงคิดเชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 ที่เข้ามาในช่วงต้นปี 2020
ทำให้หลาย ๆ คน ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าผ้าใบ แต่ต้องการหารองเท้าสบาย ๆ อย่าง Crocs มาใส่แทน ซึ่งก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผิดอะไร เพราะนั่นก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ Crocs พลิกกลับมาทำกำไรได้ในปี 2020 แต่อีกส่วนก็ต้องชมทีมการตลาด ที่สามารถหาวิธีเพิ่มการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งยังสามารถหาวิธีสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภค (Customer Experience) ได้อย่างสนุกสนาน และเข้ามาเติมสีสันให้กับรองเท้าหัวโต ที่บางคนมองว่าดีไซน์แปลกได้ แล้วกลยุทธ์ที่ Crocs ใช้ จนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามคืออะไร ? Close Ad Close Ad เดิมที รองเท้า Crocs ถือว่ามีจุดขายอยู่ที่ความเบาสบาย ใส่ได้นาน ไม่ลื่น และไม่เป็นรอยง่าย
ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะอย่าง “Croslite” แต่ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของ Crocs คือภาพจำที่เป็น Pain Point ของแบรนด์ ว่าเป็นรองเท้าของผู้สูงอายุ, บุคลากรทางการแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ หรือบางคน บอกว่ารองเท้า Crocs มีรูปร่างน่าเกลียด และมีภาพจำในเชิงลบ ซึ่งหลาย ๆ ที่ก็บอกว่าเป็นการตลาดของ Crocs ที่ตั้งใจผลิตให้น่าเกลียด แล้วมาเดิมพันกับวัสดุที่ดีเลิศแทน อย่างไรก็ดี นั่นไม่มากพอที่จะทำให้ Crocs ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้
เพราะปัจจุบันทาง Crocs ได้เปลี่ยนแบรนด์ ให้เป็นที่รู้จักในทางแฟชั่นมากยิ่งขึ้น เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง Gen Y, Gen Z และเด็ก ๆ ยุคใหม่ โดยการพยายามนำรองเท้าหัวโต มาปัดฝุ่น
แล้วนำเสนอคุณค่าใหม่ที่มากกว่าคอนเซปต์เดิม จากการเป็นรองเท้าที่ใส่สบายที่สุดในโลก
ให้กลายเป็น “รองเท้าที่ใส่สบาย และยังสามารถโชว์ความเป็นตัวเองได้อีกด้วย”
อย่างที่รู้กันดีว่า Crocs มีของเล่นตกแต่งรองเท้าเป็น “Jibbitz Charms” ให้ลูกค้าตกแต่งรองเท้า ตามสไตล์ตัวเองมาพักใหญ่ แต่เพิ่งจะมาบุกตลาดหนัก ๆ เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์ “Customization” ที่หมายถึงการให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในตัวสินค้าหรือบริการด้วยตนเอง ตามความต้องการส่วนบุคคล โดย Crocs เริ่มขั้นตอนแรกด้วยกลยุทธ์สร้างการรับรู้ (Awareness) ผ่านการส่งรองเท้าพร้อมกับ Jibbitz Charms ไปให้เหล่าคนดัง และอินฟลูเอนเซอร์ ใส่โชว์ไลฟ์สไตล์ของตัวเองผ่านรองเท้า Crocs เช่น Justin Bieber, Ariana Grande, Post Malone, The Weeknd, Priyanka Chopra แล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จ จน Crocs ได้ขึ้นชื่อว่า “เป็นแบรนด์รองเท้าที่ฮอตที่สุดในปี 2021” ที่เป็นแบบนั้นได้ ก็เพราะว่าเมื่อปกติที่เราเดินเข้าไปในร้านรองเท้าทั่วไป เรามักจะต้องเจอกับแบบรองเท้าที่ร้านเตรียมไว้ให้ ประกอบกับเลือกไซซ์ และสีที่มีเท่านั้น แต่ไม่ใช่กับ Crocs เพราะนอกเหนือจากไซซ์ และสีแล้ว เราสามารถที่จะตกแต่งรองเท้าของเราตามความชอบ หรือสไตล์การแต่งตัว หรือแม้แต่อยากจะซื้อ Jibbitz Charms ไปเก็บไว้เปลี่ยน เพื่อจะได้แมตช์กับชุดอื่น ๆ ตามวันก็ยังสามารถทำได้ Close Ad Close Ad ทำให้เมื่อลูกค้าเดินเข้าไปในร้าน เขาไม่ได้เข้าไปซื้อเพียงรองเท้า แต่เข้าไปซื้อประสบการณ์ความสนุก เพลิดเพลิน และเข้าไปสร้างงานศิลปะชิ้นเอกของตัวเอง ลงบนรองเท้าคู่ใหม่ ที่ทำได้ง่าย ๆ แถมมีแค่คู่เดียวบนโลกด้วย สิ่งนี้เองคือ Customer Experience หรือ ประสบการณ์ของลูกค้า | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57067 | Retail | ฟีเจอร์ "Twitter Shops" ของ Twitter มีประสิทธิภาพอย่างไร ในการดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี สำหรับธุรกิจค้าปลีก (Retail) อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ | null | 1. ดึงดูดลูกค้า:
เพิ่มการเข้าถึง: Twitter Shops ช่วยให้ร้านค้าเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ บนแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
ค้นพบสินค้า: ลูกค้าสามารถค้นพบสินค้าใหม่ จากแบรนด์ที่ชื่นชอบ ได้ง่ายขึ้น
ดึงดูดด้วยภาพ: ร้านค้าสามารถนำเสนอสินค้า ผ่านรูปภาพ วิดีโอ ดึงดูดความสนใจ
ตัวอย่าง: ร้านขายเสื้อผ้า สามารถใช้ Twitter Shops นำเสนอรูปภาพ วิดีโอ สินค้าใหม่ ดึงดูดลูกค้า
2. กระตุ้นยอดขาย:
กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ: ลูกค้าสามารถดูสินค้า เปรียบเทียบราคา ตัดสินใจซื้อ ได้ง่าย
กระตุ้นการซื้อซ้ำ: ร้านค้าสามารถติดต่อสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์ กับลูกค้า กระตุ้นการซื้อซ้ำ
เพิ่มช่องทางการขาย: Twitter Shops เพิ่มช่องทางการขาย ให้กับธุรกิจ
ตัวอย่าง: ร้านขายเครื่องสำอาง สามารถใช้ Twitter Shops นำเสนอสินค้า โปรโมชัน กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
3. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี:
สะดวก รวดเร็ว: ลูกค้าสามารถดูสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
ข้อมูลครบถ้วน: ร้านค้าสามารถนำเสนอข้อมูลสินค้า รายละเอียด ครบถ้วน
ประสบการณ์ที่ราบรื่น: Twitter Shops ออกแบบมาใช้งานง่าย ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี
ตัวอย่าง: ร้านขายของชำ สามารถใช้ Twitter Shops นำเสนอรายการสินค้า ราคา ลูกค้าสามารถสั่งซื้อ ผ่าน Twitter สะดวก รวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม Twitter Shops ยังมีข้อจำกัด ดังนี้:
การสั่งซื้อ: ลูกค้าต้องไปที่เว็บไซต์ของร้านค้า เพื่อทำการสั่งซื้อ
การแข่งขัน: มีร้านค้าจำนวนมากบน Twitter ลูกค้าอาจมองข้าม
การรับรู้: ผู้ใช้ Twitter อาจยังไม่คุ้นเคยกับฟีเจอร์นี้
ข้อเสนอแนะ:
เนื้อหาที่ดึงดูด: ร้านค้าควรนำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูด น่าสนใจ บน Twitter Shops
โปรโมชัน: ร้านค้าควรนำเสนอโปรโมชัน ส่วนลด ดึงดูดลูกค้า
การบริการลูกค้า: ร้านค้าควรตอบคำถาม ให้คำปรึกษา ลูกค้า อย่างรวดเร็ว
สรุป:
ฟีเจอร์ "Twitter Shops" ของ Twitter มีศักยภาพในการดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี สำหรับธุรกิจค้าปลีก แต่ร้านค้าต้องปรับกลยุทธ์ นำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูด โปรโมชัน และบริการลูกค้าที่ดี เพื่อให้ประสบความสำเร็จ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57073 | Retail | กลยุทธ์ทางการตลาดแบบใด ที่แบรนด์มักใช้ในเทศกาลช็อปปิง และส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไร | null | กลยุทธ์ทางการตลาดแบบใด ที่แบรนด์มักใช้ในเทศกาลช็อปปิง และส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไร
กลยุทธ์ทางการตลาดที่แบรนด์มักใช้ในเทศกาลช็อปปิง
-ลดราคาสินค้า แบรนด์มักลดราคาสินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่ได้รับความนิยม เพื่อดึงดูดลูกค้า
-โปรโมชันพิเศษ แบรนด์อาจเสนอโปรโมชันพิเศษ เช่น ซื้อ 1 แถม 1, ส่วนลดค่าจัดส่ง ของสมนาคุณ ฯลฯ
-กลยุทธ์ "Loss Leader" แบรนด์อาจลดราคาสินค้าบางชนิดอย่างมาก (บางครั้งอาจถึงขั้นขาดทุน) เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าร้าน
-สร้างบรรยากาศ แบรนด์อาจตกแต่งร้านค้าหรือเว็บไซต์ให้ดูมีสีสันและน่าตื่นเต้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อของ
-การโฆษณา แบรนด์อาจโฆษณาโปรโมชันต่างๆ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และโทรทัศน์
ผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค
-กระตุ้นให้ซื้อของ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อของมากขึ้นในช่วงเทศกาลช็อปปิง เพราะรู้สึกว่าได้สินค้าในราคาที่คุ้มค่า
-ซื้อของที่ไม่จำเป็น ผู้บริโภคอาจซื้อของที่ไม่จำเป็นจริงๆ เพราะถูกกระตุ้นด้วยโปรโมชันต่างๆ
-ซื้อของ impulsively ผู้บริโภคอาจตัดสินใจซื้อของ impulsively โดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
-เปรียบเทียบราคา ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเปรียบเทียบราคาสินค้าจากหลายๆ แบรนด์
-ใช้จ่ายมากขึ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินมากขึ้นในช่วงเทศกาลช็อปปิง
ตัวอย่าง
-ในช่วง Black Friday แบรนด์อิเล็กทรอนิกส์มักลดราคาสินค้าอย่างมาก เช่น ทีวี สมาร์ทโฟน และแล็ปท็อป สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ใหม่
-แพลตฟอร์ม E-Commerce มักจัด Flash Sale ในช่วงเทศกาลช็อปปิง สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อของ impulsively
-แบรนด์เสื้อผ้ามักเสนอโปรโมชัน ซื้อ 1 แถม 1 ในช่วงเทศกาลช็อปปิง สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อเสื้อผ้ามากขึ้น
สรุป
กลยุทธ์ทางการตลาดที่แบรนด์ใช้ในเทศกาลช็อปปิง ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค significantly ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อของมากขึ้น ซื้อของ impulsively และใช้จ่ายเงินมากขึ้น | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |