Datasets:

Modalities:
Text
Formats:
parquet
Libraries:
Datasets
pandas
ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
65.5k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
10
772
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_0
Finance
ใจความสำคัญของการลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานแบบเน้นคุณค่า คืออะไร ระหว่าง Good Stock and Good Price หรือ Dividend discount model
null
Good Stock and Good Price เพราะใจความสำคัญของการลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานแบบเน้นคุณค่า คือ Good Stock and Good Price ซื้อหุ้นดี ที่ราคาถูก ด้วย ในส่วนของหุ้นดี (Good Stock) ดูจากปัจจัยเชิงคุณภาพของหุ้น เช่น อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต มีแนวโน้มความต้องการสินค้าและบริการของบริษัทที่เพิ่มขึ้น และมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ยั่งยืน การดูหุ้นปันผลก็ไม่ต่างกัน เพราะที่มาของเงินปันผลคือกำไร ที่มาของกำไรคือความสามารถในการสร้างรายได้และบริหารต้นทุนของกิจการ และที่มาของความสามารถที่ดีของกิจการคือปัจจัยเชิงคุณภาพที่กล่าวข้างต้นนั่นเอง และในส่วนของราคาดี (Good Price) หลักการคือ ต้องลงทุนกับหุ้นที่ “Undervalue” หรือ หุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ส่วน Dividend discount model คือ ความสามารถใช้เงินปันผลมาคิดลด ซึ่งวิธีที่ถูกต้องตามทฤษฎีทางการเงินคือ วิธี Discounted Cashflow สามารถคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cashflow) ซึ่งสามารถใช้กระแสเงินสดอิสระ (Free Cashflow) มาคิดลด หรือสามารถใช้เงินปันผลมาคิดลดก็ได้เช่นกัน ซึ่งเรียกว่า Dividend discount model นั่นหมายความว่าเงินปันผลก็สามารถกำหนดมูลค่าหุ้นได้เช่นเดียวกัน และเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้วัดมูลค่าหุ้นปันผล รวมทั้งกองรีทที่จ่ายปันผลในหลายกรณีด้วย นี่คือหนึ่งในทางเลือกของสายการลงทุนแบบเน้นคุณค่า โดยมุ่งเน้นที่การลงทุนหุ้นปันผลดีนั่นเอง
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1
Finance
งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง ได้แก่อะไรบ้าง
วิเคราะห์การบริหารเงินใช้หลังเกษียณ ด้วยงบกระแสเงินสด* ไม่ว่าจะหยุดทำงานตามอายุเกษียณที่ 60 ปี หรือหยุดทำงานจากการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) เช่น อายุ 55 ปี จำเป็นต้องวางแผนการใช้เงินหลังเกษียณอย่างดียิ่ง นี่คือสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ของวัยเกษียณ ที่อาจจะสำคัญไม่แพ้เรื่องสุขภาพและความรักในครอบครัว เงินก้อนสุดท้ายมักจะเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ได้จากการทำงานและเก็บออมในหลากหลายรูปแบบ เช่น กองทุนสำรองลี้ยงชีพ กบข. กองทุนประหยัดภาษี LTF RMF ที่ครบอายุ เงินฝากสหกรณ์หน่วยงาน ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ครบอายุ ฯลฯ การบริหารจัดการเงินก้อนสุดท้ายนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องมั่นใจว่ามันจะเพียงพอต่อการใช้จ่ายแบบไม่ลดคุณภาพชีวิต ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 20 ปีที่จะไม่ได้ทำงาน ดังนั้นการบริหารจัดการเงิน ควบคุมดูแลแบบใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องจำเป็น เหมือนเราเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน(Chief Finance Officer) ของชีวิตเราเอง สิ่งที่พบเจอบ่อยๆ คือคนวัยเกษียณมักจะใช้ “งบกำไรขาดทุน” ในการติดตามข้อมูลการเงิน ซึ่งก็คือ มองจากเงินก้อนที่ได้จัดสรรงบรายเดือนไว้ใช้จ่ายจำนวนนึง แล้วนำมาใช้จ่ายรายเดือนต่างๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าไฟฟ้าประปาโทรศัพท์อินเตอร์เน็ต ค่าเดินทาง ค่าแชมพูสบู่ยาสีฟัน ค่าท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ ฯลฯ ถ้ารวมสุทธิแล้วยังอยู่ในงบรายเดือน ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ในความเป็นจริงคิดว่าควรใช้หลักการของ “งบกระแสเงินสด” ซึ่งมีหลายมิติกว่า ในการติดตามข้อมูลการเงินมากกว่า สมมติว่าตัวเราคือบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง คือ 1. กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (CFO : Cashflow From Operating Activities) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFO คือเงินสดสุทธิที่คงเหลือจากงบประมาณใช้จ่ายประจำปี (รวมถึงรายรับอื่นๆ ที่อาจจะมีเงินสดไหลเข้ามา เช่น เงินปันผล ค่าเช่า) หักด้วย ค่าใช้จ่ายประจำวันทั้งหมดที่ใช้จ่ายออกไป เช่น ตั้งใจใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท งบปี คือ 360,000 บาท หักออกด้วยค่าใช้จ่ายประจำวันต่างๆ ตลอดทั้งปี สมมติเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนั้น CFO ยังเป็นบวก (คงเหลือ = +60,000 บาท) ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ารอดแล้ว อันที่จริงต้องดูที่ข้อ 2 ต่อ 2. กระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุน (CFI : Cashflow From Investing Activities) กรณีงบบริษัท ส่วนนี้คือกระแสเงินสดที่แสดงการใช้เงินสดออกไปลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขยายสาขา ขยายโครงข่าย ฯลฯ ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานระยะยาวเพื่อให้เกิดดอกผลจากการลงทุน ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFI คือเงินสดลงทุนซื้อของที่ใช้ในระยะยาว(เช่น เกิน 3 ปี) เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถยนต์ ฯลฯ หรือในบางกรณีอาจจะต้องซ่อมบ้านครั้งใหญ่ หรือซื้อคอนโดใหม่ หรืออาจจะเป็นค่ารักษาสุขภาพก้อนใหญ่ก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้นับเป็นรายจ่ายลงทุน ซึ่งนับเป็นเงินสดไหลออกทั้งสิ้น 3. กระแสเงินสดสุทธิจากการจัดหาเงิน (CFF : Cashflow From Financing Activities) ในกรณีงบบริษัท ถ้าเป็นลบ แสดงว่าใช้เงินสดจ่ายปันผลหรือชำระหนี้ (จ่ายเงินออก) แต่ถ้าส่วนนี้เป็นบวกแปลว่ามีการกู้เงินหรือเรียกเพิ่มทุนเข้ามา (รับเงินเข้า) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFF เงินสดจ่ายออก คือ การให้อั่งเปาลูกหลานประจำปี (เหมือนเงินปันผล) แต่ถ้ากรณีฉุกเฉินใดๆ หากก่อหนี้หยิบยืมเงิน ก็จะเป็นเงินสดไหลเข้าจากการกู้เงินก่อหนี้ กรณีที่ 1 : มีเงินใช้หลังเกษียณอย่างแท้จริง ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO เป็นบวก 2) CFI ติดลบ 3) CFF ติดลบ แปลว่าชีวิตเกษียณสามารถใช้จ่ายเงินได้ตามงบประมาณที่ตั้งไว้รายปี สามารถซื้อของใช้ที่เป็นงบลงทุนได้ อีกทั้งยังสามารถให้อั่งเปาลูกหลานทุกปี ทำได้แบบนี้คือสุดยอด กรณีที่ 2 : มีเงินใช้หลังเกษียณ แต่อาจจะต้องระมัดระวังการซื้อของชิ้นใหญ่ ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO เป็นบวก 2) CFI ติดลบ 3) CFF เป็น 0 แปลว่าชีวิตเกษียณสามารถใช้จ่ายเงินได้ตามงบประมาณที่ตั้งไว้รายปี แต่ไม่สามารถซื้อของใช้ที่เป็นงบลงทุนก้อนใหญ่ๆ ตามใจได้ทุกอย่าง ต้องบริหารเงินลงทุนข้อ 2) CFI ให้ดี ก็จะผ่านได้ ข้อ 3) CFF ถึงแม้ไม่ได้ให้อั่งเปาลูกหลาน (อันที่จริงควรเป็นลูกๆ ที่นำเงินอั่งเปามาให้ผู้สูงวัย) แต่ถือว่ามีเงินใช้เป็นของตนเอง ไม่ต้องกู้ยืมใคร กรณีที่ 3 : มีเงินใช้ไม่พอหลังเกษียณ แม้แต่รายเดือนยังติดลบ ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO ติดลบ และ 2) CFI ติดลบ อีก นั่นแปลว่าชีวิตเกษียณมีเงินออมไม่พอใช้ ต้องลดคุณภาพชีวิตการใช้จ่ายลงเพื่อให้ 1) CFO และ 2) CFI ติดลบน้อยที่สุด ซึ่งอาจจะต้องอาศัยเงินสดไหลเข้าจากข้อ 3) CFF ด้วยการพึ่งพาลูกหลานในการดำรงชีพ หรือแม้กระทั่งหยิบยืมก่อหนี้ ซึ่งอันตรายและจะไม่สบายใจ
งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง คือ 1. กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (CFO : Cashflow From Operating Activities) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFO คือ เงินสดสุทธิที่คงเหลือจากงบประมาณใช้จ่ายประจำปี (รวมถึงรายรับอื่นๆ ที่อาจจะมีเงินสดไหลเข้ามา เช่น เงินปันผล ค่าเช่า) หักด้วย ค่าใช้จ่ายประจำวันทั้งหมดที่ใช้จ่ายออกไป เช่น ตั้งใจใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท งบปี คือ 360,000 บาท หักออกด้วยค่าใช้จ่ายประจำวันต่างๆ ตลอดทั้งปี สมมติเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนั้น CFO ยังเป็นบวก (คงเหลือ = +60,000 บาท) ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ารอดแล้ว อันที่จริงต้องดูที่ข้อ 2 ต่อ 2. กระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุน (CFI : Cashflow From Investing Activities) กรณีงบบริษัท ส่วนนี้คือกระแสเงินสดที่แสดงการใช้เงินสดออกไปลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขยายสาขา ขยายโครงข่าย ฯลฯ ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานระยะยาวเพื่อให้เกิดดอกผลจากการลงทุน ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFI คือเงินสดลงทุนซื้อของที่ใช้ในระยะยาว (เช่น เกิน 3 ปี) เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถยนต์ ฯลฯ หรือในบางกรณีอาจจะต้องซ่อมบ้านครั้งใหญ่ หรือซื้อคอนโดใหม่ หรืออาจจะเป็นค่ารักษาสุขภาพก้อนใหญ่ก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้นับเป็นรายจ่ายลงทุน ซึ่งนับเป็นเงินสดไหลออกทั้งสิ้น 3. กระแสเงินสดสุทธิจากการจัดหาเงิน (CFF : Cashflow From Financing Activities) ในกรณีงบบริษัท ถ้าเป็นลบ แสดงว่าใช้เงินสดจ่ายปันผลหรือชำระหนี้ (จ่ายเงินออก) แต่ถ้าส่วนนี้เป็นบวกแปลว่ามีการกู้เงินหรือเรียกเพิ่มทุนเข้ามา (รับเงินเข้า) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFF เงินสดจ่ายออก คือ การให้อั่งเปาลูกหลานประจำปี (เหมือนเงินปันผล) แต่ถ้ากรณีฉุกเฉินใดๆ หากก่อหนี้หยิบยืมเงิน ก็จะเป็นเงินสดไหลเข้าจากการกู้เงินก่อหนี้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_100
Finance
วิธีการจัดการหนี้ มีอะไรบ้าง
null
วิธีการจัดการหนี้ มีดังนี้ 1) สำรวจรายจ่าย แล้วลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น : ดูรายจ่ายในแต่ละเดือนว่ามีอะไรบ้าง แล้วให้ลิสต์รายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกมาทั้งหมด เช่น ค่าดูหนัง ค่าทานอาหารนอกบ้าน และค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่าง ๆ 2) จัดลำดับการจ่ายหนี้ : จัดลำดับหนี้ ด้วยการให้หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดอยู่ลำดับแรก แล้วไล่ระดับลงมาเรื่อยๆ จากนั้นให้เคลียร์หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงๆ ให้หมดก่อน เช่น หนี้นอกระบบ หนี้บัตรกดเงินสด และหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น 3) หยุดก่อหนี้ใหม่ : อาจจะใช้วิธีการแบบหักดิบเลย ซึ่งต้องสัญญากับตัวเองว่าถ้าหนี้ก้อนนี้ไม่หมด จะไม่ก่อหนี้ก้อนใหม่เป็นอันขาด 4) ขายสินทรัพย์บางอย่างไปจ่ายหนี้ : หลังจากที่หยุดก่อหนี้ใหม่ ประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็แล้วแต่ภาระนี้ก็ลดลงเพียงเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ต้องสำรวจละว่าตัวเองมีสินทรัพย์อะไรบ้างที่พอจะขายเป็นเงินแล้วนำไปจ่ายหนี้ได้บ้าง 5) รวมหนี้ : การแก้ปัญหาด้วยการรวมหนี้นี้ ส่วนใหญ่ที่ดำเนินการแล้วประสบความสำเร็จจะเป็นผู้ที่มีหนี้สินไม่สูงมาก และเป็นหนี้สินประเภทเดียวกัน เช่น หนี้บัตรเครดิต 5 ใบ สามารถนำหนี้ทุกใบมารวมกันไว้ที่เดียว เพื่อลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิตหลายๆ ใบให้เหลือเพียงที่เดียว ซึ่งวิธีการนี้ต้องเจรจากับผู้ที่ออกบัตรเครดิตให้ก่อนว่าสามารถรวมได้อย่างไรรวมถึงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเดรดิต เช่น ขอสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งผู้กู้สามารถขอกู้ได้วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้และดอกเบี้ยต่ำถัดจากนั้นก็นำเงินส่วนนี้ไปใช้หนี้บัตรเครดิต 6) เจรจาต่อรองเจ้าหนี้ : เมื่อจัดการแบ่งทรัพย์สินหนี้สินว่ามีอยู่เท่าไหร่และมีเงินสดเหลือเท่าไหร่ให้คุยเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้จะจ่ายเงินก้อนก้อนเดียวแล้วจบหนี้ก้อนนั้น ( Hair Cut ) ค่อยๆ จัดการหนี้ไปทีละก้อน สุดท้ายนี้ การมีหนี้สินนั้นไม่ทำให้มีความสุขแน่นอน ดังนั้นหากไม่ต้องการอยู่กับหนี้สินไปตลอดชีวิต ทางออกง่ายๆ คือ มีวินัยทางด้านการเงินรู้จักเก็บ รู้จักใช้ รู้จักพอดี ถ้าทำได้ชีวิตจะปลอดหนี้และมีความสุข
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1000
Finance
สิ่งที่ไปกระตุ้นในช่วงแรกแก่นักลงทุนที่ถือครอง stETH ให้แห่เทขาย คืออะไร
1. เหรียญของแพลตฟอร์ม Celsius 2. กลไก Mint & Burn 3. แพลตฟอร์ม FTX 4. กองทุน Almeda
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 4. เพราะว่า สิ่งที่ไปกระตุ้นในช่วงแรกแก่นักลงทุนที่ถือครอง stETH ให้แห่เทขาย คือกองทุน Almeda (กองทุนของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์คริปโตฯ FTX ) ได้เทขาย stETH /ETH เป็นจำนวนประมาณ 50,000 เหรียญบนแพลตฟอร์ม Curve ในราคาขาดทุน ส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุนที่มองว่า Smart Money อาจเห็นอะไรบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่าจึงเป็นเหตุให้ขายออกมาก่อน ถือเป็นการจุดชนวนให้นักลงทุนเริ่มเทขาย stETH ตามออกมาเป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้น จนทำให้ราคา stETH เกิดหลุดมูลค่าอ้างอิงกับ ETH อย่างมีนัยสำคัญขึ้น หลังจากกระแสการขาย stETH ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ก็ส่งผลต่อราคา stETH บนแพลตฟอร์ม DeFi ที่รองรับการใช้งานเหรียญ โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์ม Celsius ที่เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการฝากและกู้ยืมคริปโตฯ รูปแบบ Centralized Finance (CeFi) ที่ให้ผลตอบแทนสูงเกือบ 20 % ต่อปี จึงทำให้มีนักลงทุนเป็นจำนวนมากเข้ามาฝากเพื่อให้ Celsius นำเอาเหรียญต่าง ๆ เป็นไปสร้างผลตอบแทน ซึ่งเหรียญ stETH ก็เป็นหนึ่งในนั้น
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1001
Finance
ลักษณะการลงทุนของ Thematic คืออะไร
null
ลักษณะการลงทุนของ Thematic คือ การคัดเลือกบริษัทที่มี Story Line อันเป็นธีมเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น Short – term Themes เช่น Inflation / การป้องกันสงคราม และ Long – term Themes ซึ่งมีอยู่ 6 ธีมด้วยกัน ดังนี้ - Consumer Evolution เช่น การลงทุนในธุรกิจเกมหรือ Digital World ซึ่งสถานการณ์เงินเฟ้อสูงก่อให้เกิดความกดดันสำหรับการลงทุนธีมนี้ เนื่องจากกลุ่ม Digital World เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในปัจจุบัน - Industrial Revolution คือการเปลี่ยนแปลงเชิงอุตสาหกรรมในการย้ายฐานการผลิต ซึ่งเป็นธีม Robotics & AI ที่อยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีการปรับตัว หรือในกลุ่ม Disruptor/ Innovator โดยบริษัทเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้เจาะจงว่าจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใด แต่มีความพิเศษในการสร้าง Efficiency ของธุรกิจให้เพิ่มมากขึ้น - Energy and Sustainability ภาครัฐจะพยายามผลักดันกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานให้กลายเป็นพลังงานสะอาดมากขึ้นในอนาคต - Fintech and Security การปรับลงของคริปโตเคอเรนซีทำให้เกิดกฎเกณฑ์การประกอบธุรกิจมากขึ้น ภาครัฐอาจเข้ามาช่วยควบคุม อย่างไรก็ตาม โลกเสมือนหรือ Digital Worldยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต - Disruptive Technology เงินเฟ้อทำให้เกิดต้นทุนการเงินสูง อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนภายใน 1 – 2 ปี - Healthcare Innovation ต้นทุนการเงินสูง อย่างไรก็ตาม เทรนด์การรักษาสุขภาพยังคงเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1003
Finance
เพราะเหตุใด เศรษฐกิจญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว ยังคงอยู่ในโหมดการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเต็มตัว
ฮารุอิโกะ คูโรด้า ได้ให้คำตอบว่า มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. GDP: ขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังเล็กกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 2.7 สภาพถือว่าใกล้เคียงกับบ้านเราในขณะนี้ ส่วนขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปใหญ่กว่าตอนก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 3.7 และ 0.6 ตามลำดับ ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตรรกะในการคิดออกจะคล้ายกับแบงก์ชาติบ้านเราคือควรผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจไปก่อน 2. Terms of Trade: แม้ว่าอัตราการเติบโต GDP ของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 2.1 เมื่อวัดในปีแบบงบประมาณ 2021 ทว่าหากพิจารณาจาก ตัววัด GNI (Gross National Income) ซึ่งทำการเพิ่มปัจจัยอื่น ๆ อาทิ รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ และ รายได้จากกำไร หรือขาดทุนจากการค้า ซึ่งมีค่าเป็นลบจากการที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์ แม้ว่าค่าเงินเยนจะช่วยให้การส่งออกสินค้าและบริการ มีราคาในประเทศปลายทางที่ถูกลง ทว่าไม่ได้ช่วยด้านการนำเข้าแต่อย่างใด ดังนั้นการผ่อนคลายนโยบายการเงินต้องมาช่วยชดเชยในส่วนการนำเข้าที่สูงขึ้นด้วย 3. Inflation: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสด ในเดือนเมษายน 2022 จะเท่ากับร้อยละ 2.1 ทว่าเมื่อนำปัจจัยราคาจากด้านพลังงานออกไปจากการคิดเงินเฟ้อ ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในเดือนเมษายน 2022 จะเหลือร้อยละ 0.8 ในขณะที่ทางการญี่ปุ่นได้ประมาณการ อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสดในปี 2022 ว่าเท่ากับร้อยละ 1.9 ทว่าในปี 2023 จะเหลือเพียงร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับเข้าเป้าหมายควรจะใกล้เคียงระดับร้อยละ 2 เมื่อคิดแบบเฉลี่ยตลอดวัฏจักรเศรษฐกิจ จึงทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นควรจะดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีก นั่นคือ น่าจะกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินไปอีกพักใหญ่
ฮารุอิโกะ คูโรด้า ได้ให้คำตอบว่า มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. GDP: ขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังเล็กกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 2.7 สภาพถือว่าใกล้เคียงกับบ้านเราในขณะนี้ ส่วนขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปใหญ่กว่าตอนก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 3.7 และ 0.6 ตามลำดับ ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตรรกะในการคิดออกจะคล้ายกับแบงก์ชาติบ้านเราคือควรผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจไปก่อน 2. Terms of Trade: แม้ว่าอัตราการเติบโต GDP ของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 2.1 เมื่อวัดในปีแบบงบประมาณ 2021 ทว่าหากพิจารณาจาก ตัววัด GNI (Gross National Income) ซึ่งทำการเพิ่มปัจจัยอื่น ๆ อาทิ รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ และ รายได้จากกำไร หรือขาดทุนจากการค้า ซึ่งมีค่าเป็นลบจากการที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์ แม้ว่าค่าเงินเยนจะช่วยให้การส่งออกสินค้าและบริการ มีราคาในประเทศปลายทางที่ถูกลง ทว่าไม่ได้ช่วยด้านการนำเข้าแต่อย่างใด ดังนั้นการผ่อนคลายนโยบายการเงินต้องมาช่วยชดเชยในส่วนการนำเข้าที่สูงขึ้นด้วย 3. Inflation: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสด ในเดือนเมษายน 2022 จะเท่ากับร้อยละ 2.1 ทว่าเมื่อนำปัจจัยราคาจากด้านพลังงานออกไปจากการคิดเงินเฟ้อ ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในเดือนเมษายน 2022 จะเหลือร้อยละ 0.8 ในขณะที่ทางการญี่ปุ่นได้ประมาณการ อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสดในปี 2022 ว่าเท่ากับร้อยละ 1.9 ทว่าในปี 2023 จะเหลือเพียงร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับเข้าเป้าหมายควรจะใกล้เคียงระดับร้อยละ 2 เมื่อคิดแบบเฉลี่ยตลอดวัฏจักรเศรษฐกิจ จึงทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นควรจะดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีก นั่นคือ น่าจะกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินไปอีกพักใหญ่
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1006
Finance
5 อันดับกองทุนยอดนิยมที่ผู้คนค้นหาในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) มีอะไรบ้าง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มิ.ย. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มิ.ย. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 5 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดีประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
กองทุนยอดนิยม 5 อันดับที่ผู้คนคนหาในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) 1. KAB22B – กองทุนเปิดเค ฟิกซ์เดท เอเชียน บอนด์ 2022B 2. CHINA – กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์ 3. TMBCHEQ – กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index 4. SCBCHAA - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ 5. SCBFST - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1009
Finance
ในช่วงปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยตกลงไปแรงมาก เหลือเพียงกี่จุด
ก. 373 จุด ข. 832 จุด ค. 1,281 จุด ง. 215 จุด
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เพราะว่า ในช่วงปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยตกลงไปแรงมากถึง 53% จาก 832 จุด เหลือเพียง 373 จุด ซึ่งนักลงทุนต่างก็รู้สึกเสมือนว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นได้ “ตาย” และถูก “เผา” ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีนักลงทุนที่ “กล้าหาญ” ซึ่งมีจำนวนน้อยมากบางคนคิดว่ามันเป็น “โอกาสสุดยอด” ใน “วิกฤติ” ที่จะต้องเข้าไปช้อนซื้อหุ้นซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขารู้ว่ามีความเสี่ยงรออยู่ แต่โอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นเหนือกว่ามาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาคิดว่า “ถ้าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ” ประวัติศาสตร์ที่ตามมาบอกว่าพวกเขา “คิดผิด” อย่างน้อยก็ในระยะสั้นอีกเกือบ 1 ปี หลังจากนั้น เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลังจากสิ้นปี 2540 ตกลงไปอีกมากและเหลือแค่ 215 จุด เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2541 เป็นการตกลงอีกถึง 42% ใน 8 เดือน “วิกฤติ” กลายเป็น “หายนะ” ซ้ำ ว่าที่จริงดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2539 ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ 1 ปี ก็ตกลงมาแรงเป็น “วิกฤติ” อยู่แล้ว คือ ดัชนีลดลงจาก 1,281 จุดเหลือเพียง 832 จุด หรือลดลงถึง 35% เพียงแต่เหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นตกลงมานั้นยังไม่ชัด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในปี 2539 GDP ของไทยยังโตถึง 5% แต่ “ไส้ใน” ของเศรษฐกิจไทยกำลัง “เน่า” เกิดการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินอย่างหนัก สินค้าส่งออกไม่สามารถแข่งขันได้เพราะค่าเงินบาทที่แข็งกว่าความเป็นจริง เหตุการณ์ในช่วงปีต้มยำกุ้งนั้น ต่อมาถูกเรียกโดยนักลงทุนไทยว่าเป็นปี “เผาหลอก” คนคิดว่า “งาน” หรือพิธีส่งศพจบแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าการ “เผาจริง” กำลังจะเริ่ม และมันจะรุนแรงกว่า ดังนั้น คนที่คิดว่าการเข้าไป “ช้อนซื้อหุ้น” หรือเข้าไปเก็บหุ้นที่ตกระเนระนาดและไม่มีใครต้องการนั้น จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีหรือเป็นโอกาสมหาศาล
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_101
Finance
จงเสนอไอเดียแนะนำขั้นตอนการออมเพื่อวางแผนเกษียณ
null
1. ถามตัวเองว่า เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน ? การวางแผนมักจะออกแบบตามไลฟ์สไตล์ของเรา ลองถามตัวเองดูว่าหลังเกษียณแล้ว เราอยากจะใช้ชีวิตแบบไหน? มีวิธีประเมินเงินอยู่เกษียณแบบง่ายๆอยู่ 2 วิธี สูตรที่ 1 : คิดจากรายได้ก่อนเกษียณ คำนวณจาก 70 % ของเงินเดือนปีสุดท้ายก่อนเกษียณ สูตรที่ 2 : คิดจากรายจ่ายก่อนเกษียณ คำนวณจาก 70 % ของรายจ่ายปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เมื่อได้จำนวนเงินแล้วนำไปคูณด้วยจำนวนเดือนที่ตั้งเป้าหมายว่าต้องใช้อีกกี่ปี 2. ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ รู้จักประมาณตัวเอง เมื่อรู้เป้าหมายว่าเราต้องการเงินเท่าไหร่ เพื่อใช้ตอนเกษียณแล้ว แต่เงินส่วนนี้มันสามารถงอกเงยต่อไปได้เป็น “อัตราผลตอบแทน” ถ้าเรามีความรู้ในการลงทุน วางเงินไว้ถูกที่ เงินก็จะเติบโตได้มากขึ้น ซึ่งการลงทุนที่จะแนะนำสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็คือให้ออมเงินเต็มอัตรา 15% แม้ว่าปัจจุบันผลตอบแทนอาจจะไม่ถึง 5% แต่เมื่อมองระยะยาวแล้วถือว่าคุ้มค่า หรืออย่างน้อยก็สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ทันที หรือถ้าเป้าหมายเกษียณฟังดูไกลเกินเอื้อม ก็มี 2 ทางเลือก คือ “ขยายระยะเวลาทำงานให้ยาวขึ้น” เพื่อให้มีเวลาสะสมเงินมากขึ้น หรือ “ปรับลดเป้าหมาย” จากที่ตั้งเป้าใช้เงินเดือนละ 50,000 ก็เหลือ 30,000 บาท ให้เหมาะสมกับตัวเรา 3. ทำงบดุลชีวิต เพื่อเช็คความมั่งคั่ง การทำงบดุลชีวิตนี้จะทำให้เราสามารถเช็กได้ว่าตอนนี้เรากำลังรวย หรือจน จะทำได้โดยการแจกแจง “สินทรัพย์” และ “หนี้สิน” ตามรายละเอียด ดังนี้ สินทรัพย์ = แบ่งบัญชีทรัพย์สินเพื่อจะได้ทราบว่ามีทรัพย์สินพอใช้เกษียณไหม หนี้สิน = ซึ้งจะวางแผนเกษียณแล้วไม่ควรมีหนี้สินค้างชำระแล้วไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตเกษียณอาจจะไม่สุข 4. ขั้นตอนสุดท้ายเราจะมาเช็กความมั่งคั่งว่าเป็นอย่างไร โดยจะเช็กได้จากสูตร “สินทรัพย์ - หนี้สิน = ความมั่งคั่ง
5.ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_1011
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับความหมายของ LUNA (Terra)
null
LUNA (Terra) คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลัง UST (Terra USD) ที่ทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้สมดุลอยู่เสมอ มีกลไกคือ ถ้า UST สูงกว่า 1 ระบบจะซื้อ LUNA คืนเพื่อแลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่ม Supply UST และกดระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้ลดลง แต่ในทางกลับกัน ถ้า UST น้อยกว่า 1 ระบบ จะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ เป็นการลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้นนั่นเอง โดย Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน และยังมีการใช้เงินจากคลัง ในการสนับสนุนอัดฉีด Decentralized Application ที่มีคุณภาพอีกด้วย บทเรียนจากย่อหน้าข้างต้น LUNA คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลังอย่าง UST (Terra USD) ซึ่งทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้เสถียรสมดุลดั่งใจหวังอยู่เสมอ โดยอธิบายเป็นกลไกง่าย ๆ ก็คือ ถ้า UST มีมูลค่าสูงกว่า 1 ระบบจะทำการซื้อคืน LUNA แลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน (เป็นการเพิ่ม Supply UST และกดให้ระดับอตราแลกเปลี่ยนที่เฟ้อลดลง) ในทางกลับกันหาก UST มีมูลค่าน้อยกว่า 1 ระบบจะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ (ลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้น) นอกจากนี้เหรียญ LUNA ยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ อย่างระบบที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนอันต่อเนื่องกับผู้ขุดเหรียญอีกด้วย ความผันผวนทางด้านราคาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ และกลายเป็นอุปสรรคของการนำสกุลเงินมาปรับใช้ เพราะหากคิดภาพง่าย ๆ คงไม่มีใครอยากใช้เงินที่จู่ ๆ วันนึงราคาเพิ่มเป็นสองเท่า และวันดีคืนดีอาจลดลงมาอีก 2 เท่ากันเป็นแน่ เงินอะไรถือทีเดิมพันเหมือนเข้าคาซิโน ซึ่งปัญหาดังกล่าวก็จะยิ่งสร้างอุปสรรคให้กับธุรกรรมที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เช่น การผ่อนหรือแบ่งจ่ายที่ต้องจ่ายเป็นงวด ๆ หลายเดือนหรืออาจจำหลายปี การจำนองบ้าน รวมไปถึงสัญญาค่าจ้างต่าง ๆ เพราะ คงไม่มีใครอยู่ดี ๆ เป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาเท่าตัวใน 5 วัน หรือเจ้าหนี้ได้รับเงินน้อยลงกว่าตอนปล่อยกู้จากค่าเงินที่ผันผวนอย่างหนัก Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ว่าในคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน คล้ายกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่หรือ Fixed rate ที่ไทยก็เคยใช้มาก่อนในการเข้ามาแก้ปัญหาความผันผวนของค่าเงิน นอกจากนั้น Terra จะมีการใช้เงินจากคลัง (Treasury) ในการสนับสนุนอัดฉีดแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ App หรือ Decentralized Application ที่มีคุณภาพ มีผลการดำเนินงานดีและได้การอนุมัติโดยผู้มีสิทธิโหวต
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-sa-4.0
Finance_1013
Finance
Meme coin คืออะไร
null
Meme coin เป็นสกุลคริปโตฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุก บางครั้งเพื่อการล้อเลียน แซว เสียดสี โดยมีแรงบันดาลจากมาจากมีมต่างๆ ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ meme coin ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวบุกเบิก คือ เหรียญคริปโตฯ Dogecoin ที่เปิดตัวในปี 2013 โดย Jackson Palmer และ Billy Markus เป็นผู้ริเริ่ม มีจุดประสงค์ในการสร้างเหรียญเพื่อความสนุก ใช้รูปสุนัขพันธุ์ชิบะอินุเป็นโลโก้ของเหรียญ ก่อนที่ภายหลัง Elon Musk มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัท Tesla จะทำการทวีตถึงเหรียญนี้ และก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนรุนแรงในช่วงเวลาหนึ่ง หลังจาก Dogecoin ก็มี meme coin อื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมา เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งกับ Dogecoin หรือ Dogelon Mars ที่ตั้งใจตั้งชื่อให้คล้ายกับ Elon Musk ที่หลายคนยกให้เป็นเสด็จพ่อเหรียญ Dogecoin ในช่วงหนึ่ง และหากไปดูโลโก้ของเหรียญในตระกูล meme coin ส่วนใหญ่ จะพบว่ามักจะมีลักษณะเป็นรูปการ์ตูนสุนัขตลกๆ ค่อนข้างเยอะ ข้อมูลจาก coinmarketcap พบว่ามี meme coin กว่า 250 เหรียญ หากแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ ที่เลือกใช้ มีเหรียญประเภทนี้ให้ซื้อขาย ก็เท่ากับว่าสามารถลงทุนใน meme coin ได้ไม่ต่างกับเหรียญคริปโตฯ อื่น ในบางครั้งเหรียญประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงมหาศาล เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่หากซื้อได้ในราคา ณ วันที่ 1 ม.ค. 2021 และถือมาจนวันที่ 29 ธันวาคม ของปี 2021 จะคิดเป็นผลตอบแทนมหาศาลถึง 49,000,000 % (แน่นอนว่าคงไม่น่ามีใครที่ซื้อและขายได้พอดีขนาดนี้)
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1015
Finance
ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนใดภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ระหว่าง กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing หรือ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health
null
แนะนำกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing เพราะธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health เป็นกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต แนะนำ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cyber Security ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งจะทวีความสำคัญในอนาคต ที่จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลสำคัญ 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนธุรกิจกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ และกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต เป็นหุ้น Defensive ซึ่งผลประกอบการไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก และได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด (outperform) ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุน 2 กลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ซึ่งเป็นธุรกิจวิจัยและพัฒนายา-วัคซีนรักษารวมถึงป้องกันโรค 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1016
Finance
จงบอกประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565
null
ประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565 1. กนง. มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี (กรรมการเสียงข้างน้อย 3 เสียงมองว่าต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ได้แล้ว) 2. เป็นครั้งแรกของปีที่คณะกรรมการเสียงแตก โดย 2 ครั้งก่อนมีเสียงเป็นเอกฉันท์ 3. คณะกรรมการมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยได้แรงบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ให้ กนง.ปรับคาดการณ์ การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2565 เป็น 3.3% จากเดิม 3.2% พร้อมปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็น 6.0 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4 แสนคนจากเป้าหมายเดิม 5.6 ล้านคน 4. คณะกรรมการยอมรับว่ามองเงินเฟ้อผิดพลาด จากที่มองเป็นแค่มองเป็นแค่เรื่องชั่วคราว กลับลำเป็นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอยู่นานกว่าที่ประเมินไว้เดิม จนต้องมีการปรับเป้าเงินเฟ้อในปี 2565 ขึ้นมา 6.2% จากเดิม 4.9% และปี 2566 เป็น 2.5% จากเดิม 1.7% 5. คณะกรรมการมองว่า ความจำเป็นการใช้นโยบายการเงินลดลง อย่างไรก็ตามเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องตามคาด จึงยังให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อไปก่อน 6. คณะกรรมการมีการย้ำในช่วงท้ายของรายงานการประชุมว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีความชัดเจนขึ้น จึงเห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินทีผ่อนคลายในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะลดลงในระยะข้างหน้า 7. คณะกรรมการจะพิจารณาเวลาที่เหมาะสมในการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสอดคล้องกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-sa-4.0
Finance_1018
Finance
เงินเฟ้อ หมายถึงอะไร
null
เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะเศรษฐกิจที่ระดับราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือถ้าพิจารณาจากค่าของเงิน เงินเฟ้อ คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ค่าเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจะซื้อของชิ้นเดิมนั้นต้องใช้เงินมากกว่าเดิม แปลง่าย ๆ อีกแบบก็คือ ของแพงขึ้นนั่นเอง ตัวอย่างแบบง่าย ๆ เลยคือ เมื่อก่อนมีเงิน 40 บาท ตอนเด็ก ๆ ก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวกินคนเดียวได้ตั้ง 4 ชาม แต่ตอนนี้ เรื่องมันเศร้าขอตังค์เยอะ ๆ ราคาก๋วยเตี๋ยวได้ขยับราคาขึ้นตามน้ำหนัก กลายเป็น 40 บาท ซื้อได้แค่ชามเดียว ถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไปอีก 30 ปีข้างหน้า ต้องอดกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท ราคามันจะต้องขยับขึ้นแซงน้ำหนักไปจนถึงชามละ 100 กว่าบาทแน่นอน เงินเฟ้อมันเกิดจากต้นทุนสินค้ามันแพงขึ้น และความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ต้นทุนในการผลิตสินค้าที่สูงขึ้น (Cost-Push Inflation) ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (Demand-Pull Inflation) เจ้า 2 ตัวนี้แหละที่เอาไว้มาวัดเงินเฟ้อว่าเท่าไหร่ ข้อดีของเงินเฟ้อ คือ ถ้าเงินเฟ้อนิดหน่อย ๆ ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี
5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1019
Finance
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) คืออะไร
null
ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ มีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่หลักคือ ดูแลเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ อย่างเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยร้อนแรงหรือซบเซาเกินไป แบงก์ชาติก็อาจกำหนดนโยบายการเงิน อย่างการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นต้น แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันก็คงเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายอยู่พอสมควร ที่แม้แต่อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติต่างก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงปัญหาเงินเฟ้อด้วยนั่นเอง ตัวอย่างประเด็นสำคัญจากมุมมองของอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ คุณชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติที่เคยอยู่ในฉากหน้าของวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งเรื่องภาระหนี้สูง การขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารนโยบายแบบประชานิยม และหากรัฐบาลไม่สามารถดูแลนโยบายการคลังได้ดีกว่านี้ ภาระจะตกที่นโยบายการเงินต่อไป ทั้งที่ปัญหาการเงินเป็นปัญหาปลายเหตุ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติผู้ซึ่งมีผลงานสำคัญในเรื่องการฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อแบงก์ชาติในยุคหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง แสดงทรรศนะไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือมีความกังวลต่อวินัยทางการคลังของรัฐบาล และมองว่านโยบายการคลังในเวลานี้ไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะดำเนิน คุณวิรไท สันติประภพ พูดถึงประเด็นที่มองว่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นระเบิดเวลา รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้เกินจำเป็น อย่างสินเชื่อเงินทอน ที่ให้วงเงินสูงเกินกว่าความจำเป็นในการขอสินเชื่อ เป็นต้น
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_102
Finance
ออมเงินเดือนละ 2000 จะได้ถึงล้านมั้ย ?
1. ยาก แต่ก็สู้ๆนะ 2. ไม่น่าได้ เงินต้องกินต้องใช้ยังไม่รู้ว่าจะพอมั้ย 3. ได้ แต่ออมแค่ 2000 บาทต่อเดือน จะให้ถึงล้านคงต้องเก็บจนถึงชาติหน้า 4. ไม่ได้ น้อยเกินไปต้องเก็บมากกว่านี้ 5. ได้ ถ้าหากเริ่มต้นเก็บออมตั้งแต่อายุยังน้อยและเพิ่มเติมเงินออมตามโอกาสที่เข้ามา เช่น มีรายได้เพิ่มจากโบนัส เงินเดือนเพิ่ม หรือมีรายได้จากช่องทางอื่นๆ รวมถึงมีวินัยการเงินเคร่งครัดมีการวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดมัธยัสถ์อดออม ตลอดจนสร้างนิสัยรักการออมให้เป็นปรกติวิสัย
คำตอบได้แก่ 5. เพราะว่า หากจะออมเงินเดือนละ 2000 แล้วจะให้ได้ถึงล้าน เราต้องมีวินัยการเงินและสร้างนิสัยเรื่องการออมได้ตั้งแต่วันนี้ โดยเริ่มต้นจากเงินเพียงเล็กน้อย แล้วพยายามสร้างวินัยเรื่องการออมที่ทำอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มต้นจากน้องๆนักเรียน นักศึกษา หรือนักศึกษาที่เพิ่งจบมาแล้วเข้าทำงานใหม่ๆและเริ่มต้นการออมเงิน จากเงินเดือนละ “ 2,000 “ บาทเท่านั้น จะเห็นว่าเงินเริ่มต้นเพียง2,000บาท ถ้าเริ่มเก็บตอนอายุ 23 ปี หลังจากจบการศึกษาและเริ่มทำงาน จากเงิน2,000 เป็นเงินเริ่มต้นที่ไม่ได้มากแต่ประสิทธิภาพคับแก้ว แตะเงินล้านได้เลย หากผลตอบแทนที่ 3% ตอนอายุ 50 ปี ก็สามารถเห็นเงินหลัก “ ล้าน “ ได้แล้ว หากผลตอบแทนที่ 5% ตอนอายุ 45 ปี ก็มีเงินล้านอยู่ในมือได้ หากผลตอบแทนที่ 8% ตอนอายุ 40 ต้นๆก็มีเงินล้านได้ แต่ทั้งนี้ จะหาผลตอบแทนที่ 8% จะต้องหาความรู้และประเมินความเสี่ยงที่เรารับได้ด้วย หากผลตอบแทนที่สูง หรือสูงมากจะต้องคำนึงถึงเรื่องความเสี่ยงด้วยว่าเป็นความเสี่ยงที่เรารับได้จริงๆ และต้องหาความรู้ทางการเงินประกอบด้วย อย่างเก็บออมและลงทุน อย่าลงทุนตามกระแส หรือหลงกับผลตอบแทนที่สวยหรูเกินจริง สิ่งสำคัญอีกประการคือ มีรายได้มากก็ควรเก็บและลงทุนเพิ่มเติมด้วย เช่น มีรายได้เพิ่มจากโบนัส เงินเดือนเพิ่ม หรือมีรายได้จากช่องทางอื่นๆก็ควรเก็บเพิ่ม แล้วเก็บเท่าไหร่ที่เหมาะสม ? การออมที่ดีคือการออมจากรายได้ที่มีอย่างน้อย 10-30% ของเงินได้ หากมีค่าใช้จ่ายน้อย หรือไม่มีหนี้สินก็จะเพิ่มการออมให้มากขึ้นกว่านี้ได้ ไม่มีบังคับว่าต้องเท่าไหร่ แต่ต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสม สัมพันธ์กับรายได้ ค่าใช้จ่าย หนี้สินที่เรามีด้วย ที่ไม่ทำให้เราอึดอัดจนไม่มีความสุข ขาดรสชาติของชีวิตไป ดังนั้นหากมีเงินมากขึ้น ออมและลงทุนมากขึ้น เราอาจจะได้สัมผัสเงิน “ ล้าน “ ได้ตั้งแต่อายุน้อยๆได้ เมื่อเราเรียนรู้การเก็บเงิน ล้านแรก ได้ เงินล้านต่อไปจะง่ายขึ้น เห็นไหมว่าการที่เราจะมีเงิน “ ล้าน “ ไม่ใช่เรื่องยาก หากเรามีความตั้งใจ วินัย และสร้างนิสัยเรื่องการออม หากต้องการความรู้ หรือช่องทางการออมที่เหมาะสมนอกจากหาความรู้เอง ก็สามารถ ปรึกษานักวางแผนการเงินมืออาชีพ ที่จะคอยแนะนำและประเมินความเสี่ยงที่เรารับได้อย่างมืออาชีพได้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_1022
Finance
จงสรุปบทความ "ความน่ากังวลของ QT เมื่อเทียบกับ Recession"
เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประเมินว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างค่อนข้างเข้มข้น โดยไม่ต้องกังวลถึงการชะลอตัวหรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐมากเท่าไรนัก เนื่องจากสิ่งที่เรียกว่าเส้นโค้งเบเวอร์ริดจ์ (Beveridge Curve) ดังรูป ซึ่งตั้งชื่อตามนักเศรษฐศาสตร์อังกฤษของพรรคเสรีนิยมที่มีชื่อว่า วิลเลียม เบเวอริดจ์ ซึ่งได้วางแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดสำคัญของแนวคิดเส้นโค้งเบเวอริดจ์ คือ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอุปสงค์ของแรงงานที่แข็งแรงอย่างเช่นในขณะนี้ ทำให้อัตราส่วนระหว่างการจ้างงาน (hires) ต่อตำแหน่งงานว่าง (Vacancies) มีค่าอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งสิ่งนี้ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐลดจำนวนการโพสต์การหาคนงาน (Vacancies) ลงค่อนข้างเยอะ ดังแกนตั้งในรูป โดยที่ไม่ได้ทำให้จำนวนการจ้างงานลดลงมามากนักแต่อย่างใด หรือระดับอัตราการว่างงาน (นั่นหมายถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย) ไม่ได้สูงขึ้นมากนัก ดังแกนนอนในรูป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของจีดีพีสหรัฐมากนัก อย่างน้อยในจุด ณ ตรงนี้ ในทางกลับกัน ณ จุดนี้ ต้นตอของแหล่งกำเนิดของเงินเฟ้อสหรัฐ โฟกัสเริ่มจะเปลี่ยนจากเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยระดับโลก อย่างปรากฏการณ์ ‘อุปทานติดขัด’ หรือ Supply Disruption หรือเงินเฟ้อที่เกิดจาก ‘สินค้า’ หรือ Good Inflation กลายมาเป็น เงินเฟ้อที่เกิดมาจาก ‘ภาคบริการ’ หรือ Bad Inflation ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตลาดแรงงานที่ร้อนแรง จนกระทั่งค่าจ้างเพิ่มขึ้นแบบหยุดไม่อยู่ โดยทั้งปัจจัยอัตราการว่างงานที่มองต่อไปในระยะสั้นไม่น่าจะมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง จีดีพีสหรัฐไม่น่าจะชะลอลงอย่างรวดเร็ว และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมาจาก Bad Inflation ในมุมมองของวอลเลอร์แล้ว เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยให้เพียงพอที่จะตัดวงจรค่าจ้างที่จะเร่งตัวขึ้นมาให้ได้ สำหรับปฏิบัติการ Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งหมายถึงการลดขนาดงบดุลของเฟดด้วยอัตราประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จะส่งผลให้สภาพคล่องของระบบการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้น โดยในประเด็นนี้ มีนักเศรษฐศาสตร์ด้านธนาคารกลางชั้นนำหลายท่านให้คำอธิบาย QT ไว้ ซึ่งผมขอนำคำอธิบายดังกล่าว มาพิจารณากลไกของ QT ของเฟด ว่าน่าจะเป็นดังนี้ ในช่วง QT เฟดได้ยอมให้พันธบัตรที่ตนเองถือครองครบอายุ โดยที่ไม่ได้ทำการซื้อพันธบัตรใหม่ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐจะจ่ายคืนเงินต้น ให้กับพันธบัตรแต่ละล็อตที่เฟดถือครองอยู่ ซึ่งเฟดจะทำการสลายเงินของตนเองที่ได้รับมา ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐต้องสร้างเงินตราใหม่เพื่อทดแทนเงินที่จ่ายคืนไป ด้วยการขายหนี้ใหม่ให้ต่อสาธารณชน เท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่อง (เงินสด เงินสำรองของแบงก์พาณิชย์ หรือเงินฝาก) ออกจากระบบการเงิน และทดแทนด้วยตั๋วพันธบัตร ในขณะเดียวกัน โครงการ “reverse repo programme” ของเฟด จะทำให้สภาพคล่องสูงขึ้นเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด ภายใต้โครงการนี้ นักลงทุนให้เงินสดต่อเฟดและได้รับพันธบัตร (พร้อมดอกเบี้ย) เป็นการตอบแทน ซึ่งเท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบการเงิน และทดแทนด้วยตั๋วพันธบัตร ในช่วงนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรหรือดอกเบี้ยสหรัฐมีการแกว่งตัวเป็นอย่างมากดังเช่นที่เห็นอยู่ น่าจะมีนักลงทุนน้อยรายมากที่จะถอนเงินจาก RRP เพื่อซื้อพันธบัตรใหม่ เนื่องจากได้ไม่คุ้มเสีย ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของตลาดพันธบัตรจึงลดลงเนื่องจาก กลไกที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องจะหนีไปหาการลงทุน ที่จะได้สภาพคล่องที่ปลอดภัยกว่าจากการขายหุ้นและตลาดเงินมากกว่า ซึ่งยิ่งขายมากเท่าไร ก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมากเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีแหล่งเงินอยู่หนึ่งประเภทที่น่าจะได้รับผลดีจากปรากฏการณ์ QT นั่นคือสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือการปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งในปีที่แล้วสามารถขยายตัวถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าร้อนแรงมากที่สุดหลังวิกฤตซับไพร์ม
เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประเมินว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างค่อนข้างเข้มข้น โดยไม่ต้องกังวลถึงการชะลอตัวหรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ จุดสำคัญของแนวคิดเส้นโค้งเบเวอริดจ์ คือ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอุปสงค์ของแรงงานที่แข็งแรง ทำให้อัตราส่วนระหว่างการจ้างงาน (hires) ต่อตำแหน่งงานว่าง (Vacancies) มีค่าอยู่ในระดับต่ำมาก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของจีดีพีสหรัฐมากนัก ต้นตอของแหล่งกำเนิดของเงินเฟ้อสหรัฐ ฟกัสเริ่มจะเปลี่ยนจากเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยระดับโลก อย่างปรากฏการณ์ ‘อุปทานติดขัด’ หรือ Supply Disruption หรือเงินเฟ้อที่เกิดจาก ‘สินค้า’ หรือ Good Inflation กลายมาเป็น เงินเฟ้อที่เกิดมาจาก ‘ภาคบริการ’ หรือ Bad Inflation สำหรับปฏิบัติการ Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งหมายถึงการลดขนาดงบดุลของเฟดด้วยอัตราประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จะส่งผลให้สภาพคล่องของระบบการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้น กลไกของ QT ของเฟด ว่าน่าจะเป็นดังนี้ 1. ในช่วง QT เฟดได้ยอมให้พันธบัตรที่ตนเองถือครองครบอายุ โดยที่ไม่ได้ทำการซื้อพันธบัตรใหม่ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐจะจ่ายคืนเงินต้น ให้กับพันธบัตรแต่ละล็อตที่เฟดถือครองอยู่ ซึ่งเฟดจะทำการสลายเงินของตนเองที่ได้รับมา 2.ในขณะเดียวกัน โครงการ “reverse repo programme” ของเฟด จะทำให้สภาพคล่องสูงขึ้นเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด 3.ในช่วงนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรหรือดอกเบี้ยสหรัฐมีการแกว่งตัวเป็นอย่างมากดังเช่นที่เห็นอยู่ น่าจะมีนักลงทุนน้อยรายมากที่จะถอนเงินจาก RRP เพื่อซื้อพันธบัตรใหม่ เนื่องจากได้ไม่คุ้มเสีย 4.ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของตลาดพันธบัตรจึงลดลงเนื่องจาก กลไกที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องจะหนีไปหาการลงทุน ที่จะได้สภาพคล่องที่ปลอดภัยกว่าจากการขายหุ้นและตลาดเงินมากกว่า แหล่งเงินอยู่หนึ่งประเภทที่น่าจะได้รับผลดีจากปรากฏการณ์ QT นั่นคือสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือการปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งในปีที่แล้วสามารถขยายตัวถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าร้อนแรงมากที่สุดหลังวิกฤตซับไพร์
3.ตลาดการเงิน,1.สถาบันการเงิน,2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1023
Finance
ตลาดอยู่ในช่วงฟองสบู่เมื่อมีปัจจัยต่าง ๆ รวมกันในอัตราที่สูง ปัจจัยที่ว่ามีอะไรบ้าง
null
Ray Dalio ได้ผ่านเหตุการณ์ฟองสบู่ในตลาดหุ้นมาอย่างมากมายภายใต้การลงทุนกว่า 50 ปี โดยเขาได้อธิบายสิ่งที่เขาคิดว่าอะไรคือปัจจัยที่ส่งผลให้เหตุผลให้เกิดฟองสบู่และใช้มันเพื่อสังเกตเหตุการณ์ในทุก ๆ ตลาด ไม่ใช่แค่ในตลาดหุ้น โดยเขาจะบอกว่า ตลาดอยู่ในช่วงฟองสบู่เมื่อมีปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้รวมกันในอัตราที่สูง 1. ราคาสินทรัพย์เกินมูลค่าไปมาก (เช่น วิธีเอามูลค่าในปัจจุบันคิดย้อนจากกระแสเงินสดเทียบกับอัตราดอกเบี้ย) 2. สถานการณ์ที่โตต่อยาก (เช่น อัตราการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทสูงมากแต่กำลังการผลิตที่เหลือมีจำกัดแล้ว จึงเป็นไปได้ยากที่จะโตต่อในอัตราเดิม) 3. มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์นั้นอย่างมาก สาเหตุจากราคาสินทรัพย์ที่ขึ้นมาเยอะ 4. คนส่วนใหญ่บอกว่าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น 5. มีเปอร์เซ็นต์การซื้อสินทรัพย์นั้นมาจากการกู้ยืมเป็นสัดส่วนที่เยอะ 6. มีการเก็งกำไรจากราคาสินทรัพย์นั้นมาก เช่น สัญญา Forward Ray Dalio จะใช้เกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อเป็นดูว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในช่วงฟองสบู่หรือไม่ ในเดือนมกราคม 2022 เกณฑ์การวัดฟองสบู่ได้บ่งบอกว่าตลาดทุนของสหรัฐได้อยู่ในช่วงฟองสบู่แล้ว แต่ไม่ถึงกับเป็นฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุด (คิดเป็นประมาณ 70% ของฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในอดีตในช่วง 1990s และ 1920s) โดยหุ้นเทคใหม่ (เช่น Tesla และ Roku) อยู่ในช่วงฟองสบู่ขนาดใหญ่อย่างชัดเจน รวมถึงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงฟองสบู่ที่เกิดขึ้น (เช่นจาก SPAC, การบูมของ IPO, การเล่น Options) หลังจากมีสภาพคล่องจำนวนมากในระบบจากสถานการณ์โควิด โดย Ray ได้เคยโชว์หุ้นที่อยู่ในช่วงฟองสบู่และสร้างดัชนีของหุ้นเหล่านี้ขึ้นมา ตั้งแต่นั้นมา หุ้นฟองสบู่ได้แตก ราคาหุ้นตกลงแรง ระหว่างที่ S&P 500 ค่อนข้างทรงตัว ซึ่งหุ้นเทคเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในช่วงฟองสบู่แล้ว แต่ราคากำลังตกลงอย่างหนักเพราะกลไกการเทขาย ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ดีที่จะซื้อหุ้นเหล่านั้น ฟองสบู่อาจจะใช้เวลานานในการคลี่คลาย (2 ปีสำหรับฟองสบู่ช่วง 1929 และ 1 ปีสำหรับฟองสบู่ช่วงในช่วงปลาย ’90s) ดังนั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ใช่ช่วงฟองสบู่ขนาดใหญ่แล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันปลอดภัยที่จะซื้อ ในความเป็นจริง หุ้นสหรัฐก็ยังคงดูเกินมูลค่าในการประเมินของ Ray
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1024
Finance
การที่จำนวน User ของ Meituan 692 ล้านคน แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ 1 User อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะเหตุใด?
เพราะว่าแม้จำนวน User ไม่โตแต่ Meituan สามารถทำให้ User เดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้นั้น ถึงแม้ว่า Meituan จะโดนผลกระทบจากรัฐบาลเหมือนกัน แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ Group-buying เพราะทั้ง Alibaba, Pinduoduo, DiDi เจอการคุมเข้มกว่ามาก อย่างในเคส DiDi โดนไปถึงให้ออกตลาดหุ้น แม้มาช้ากว่าใครแต่การเติบโต e-commerce ของ Meituan จัดว่าเร็วทีเดียว จากต้นปีที่ 2021 ที่รัฐบาลเริ่มทุบหุ้นเทคแต่ Meituan ยังโตได้ถึง 50% YoY ในส่วนธุรกิจ New initiatives ทางด้านแนวทางค่อนข้างคล้ายกับ Pinduoduo ในการให้ user รวมกลุ่มซื้อเพื่อกดราคาสินค้าให้ถูกลง โดย Meituan จะเน้นไปที่การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรง ตัดพ่อค้าคนกลางออกเพื่อลดต้นทุนนั่นเอง แต่ต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลเข้มงวดเรื่องการขยายธุรกิจเทคขาดทุนไปก่อน ซึ่งตัว Meituan ก็หนีไม่พ้นต้องลดการขายขาดทุนเพื่อเพิ่ม user และลดงบการตลาด ทำให้เริ่มกระทบการเติบโต ตัวธุรกิจต้องจับตาว่าหลังลดเผาเงินแล้ว e-commerce จะยังโตต่อได้ไหม ถ้าได้จะเป็นสัญญานบวกเพราะ Meituan ได้ user ใหม่เข้ามาเยอะมาก สามารถเข้ามาใช้บริการอื่นจากแอปได้อีก กลับกันถ้าลดเผาเงินแล้ว e-commerce ยอดตกแรงก็เป็นสัญญานลบ แสดงว่ายอดโตเพราะการลด แลก แจก แถม ไม่ได้ยั่งยืนในระยะยาว
การที่ User 692 ล้านคน ของ Meituan แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ user 1 คน อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะแม้จำนวน user ไม่โตแต่ Meituan สามารถทำให้ user เดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในแอป แม้ Meituan จะโดนผลกระทบจากรัฐบาลเหมือนกัน แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ Group-buying เพราะทั้ง Alibaba, Pinduoduo, DiDi เจอการคุมเข้มกว่ามาก อย่างในเคส DiDi โดนไปถึงให้ออกตลาดหุ้น แม้มาช้ากว่าใครแต่การเติบโต e-commerce ของ Meituan จัดว่าเร็วทีเดียว จากต้นปีที่ 2021 ที่รัฐบาลเริ่มทุบหุ้นเทคแต่ Meituan ยังโตได้ถึง 50% YoY ในส่วนธุรกิจ New initiatives ทางด้านแนวทางค่อนข้างคล้ายกับ Pinduoduo ในการให้ user รวมกลุ่มซื้อเพื่อกดราคาสินค้าให้ถูกลง โดย Meituan จะเน้นไปที่การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรง ตัดพ่อค้าคนกลางออกเพื่อลดต้นทุนนั่นเอง แต่ต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลเข้มงวดเรื่องการขยายธุรกิจเทคขาดทุนไปก่อน ซึ่งตัว Meituan ก็หนีไม่พ้นต้องลดการขายขาดทุนเพื่อเพิ่ม user และลดงบการตลาด ทำให้เริ่มกระทบการเติบโต ตัวธุรกิจต้องจับตาว่าหลังลดเผาเงินแล้ว e-commerce จะยังโตต่อได้ไหม ถ้าได้จะเป็นสัญญานบวกเพราะ Meituan ได้ user ใหม่เข้ามาเยอะมาก สามารถเข้ามาใช้บริการอื่นจากแอปได้อีก กลับกันถ้าลดเผาเงินแล้ว e-commerce ยอดตกแรงก็เป็นสัญญานลบ แสดงว่ายอดโตเพราะการลด แลก แจก แถม ไม่ได้ยั่งยืนในระยะยาว
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1025
Finance
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ควรจะยุติการทำ QE และเริ่มทำ QT เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือไม่?
null
ไม่ เพราะถึงแม้ว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันจะอยู่ในระดับสูง แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้ออาจเริ่มชะลอตัวลง ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 8.5% ซึ่งแม้จะสูง แต่ก็ลดลงจาก 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2566 การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 ในส่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น negatively ด้านเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ การระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง สำหรับนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันของนโยบายการเงิน ส่วนผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ negatively ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม: Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด Fed ควรประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ Fed ควรสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน สรุป: การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ และสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_1026
Finance
เหรียญ USDT ของ Tether คืออะไร
null
เหรียญ USDT เป็นเหรียญ Stablecoin ที่สร้างขึ้นโดย Tether และมีการตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราส่วน 1:1 กล่าวคือ 1 USDT มีมูลค่าเท่ากับ 1 USD ซึ่งได้รับการสำรองอย่างเต็มจำนวนจากเงินสำรองของ Tether นอกจากเหรียญ USDT ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว Tether ยังได้ออกเหรียญ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินอื่น ๆ อีกด้วย ได้แก่ EURT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินยูโร, CNHT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินหยวน, MXNT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินเปโซเม็กซิโก โดยในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ Tether มีการรองรับบนหลาย Blockchain ด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น Ethereum Blockchain, Polygon Blockchain, Solana Blockchain, Avalanche Blockchain เป็นต้น ด้วยความที่เหรียญ Stablecoin แต่ละเหรียญของ Tether มีความเชื่อมโยงกับเงินสำรองโดยตรง Tether จึงได้มีการให้บริษัทตรวจสอบบัญชี Moore Cayman เข้ามาตรวจสอบในทุก ๆ ไตรมาส และจะมีการประกาศรายงานการสำรองดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ Tether เพื่อทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจในเรื่องความโปร่งใสและมีการสำรองอย่างครบถ้วน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-sa-4.0
Finance_1027
Finance
ตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงตามสิ่งใด
เริ่มยุคทองหุ้นซุปเปอร์สต็อกเวียดนาม? ​ วิวัฒนาการการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมในช่วงประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านก็คือ ช่วงที่ 1 หรือช่วงแรก เป็นการรีบลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นไทยไปสู่เวียดนามที่ผมเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจสดใสและกำลังกลายเป็น “ดาราดวงใหม่” ของโลก แต่เพราะไม่รู้จักหุ้นรายตัวเลยและก็ไม่รู้ว่ามีกองทุนอิงดัชนีหรือไม่ ผมจึงใช้วิธีคัดกรองหุ้นด้วยหลักการแบบ “VI” เลือกหุ้นทุกตัวที่มีค่า P/E ไม่เกิน 10 เท่า P/B ไม่เกิน 1 เท่า ปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 5% และมีขนาดของหุ้นทั้งบริษัทหรือ Market Cap. ไม่ต่ำกว่าประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งทำให้ได้หุ้นมาร้อยกว่าตัวและหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดไม่เกิน 4-5 ล้านบาท เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ส่วนใหญ่แล้วผมไม่รู้เลยว่าบริษัทชื่ออะไรและทำอะไรจนถึงวันนี้ ต่อมาเมื่อเริ่มมีความรู้มากขึ้น ผมก็เริ่มเลือกหุ้นเป็นรายตัวโดยอาศัยคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และบางส่วนก็เลือกหุ้นแนว Defensive เช่นเขื่อนและโรงไฟฟ้า รวมถึงกิจการสาธารณูปโภคเช่น ทางด่วนและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่ผมคิดว่ามีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงพอสมควรอานิสงค์จากการที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนตาม ต้นทุนเงินทุนหรือ IRR ที่สูงกว่าของไทยมาก ขนาดของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควรแต่จำนวนหุ้นที่ลงทุนก็ยังค่อนข้างมากคือน่าจะประมาณ 30 ตัว ต่อมาเมื่อเริ่มมีความรู้มากขึ้น ผมก็เริ่มเลือกหุ้นเป็นรายตัวโดยอาศัยคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และบางส่วนก็เลือกหุ้นแนว Defensive เช่นเขื่อนและโรงไฟฟ้า รวมถึงกิจการสาธารณูปโภคเช่น ทางด่วนและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่ผมคิดว่ามีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงพอสมควรอานิสงค์จากการที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนตาม ต้นทุนเงินทุนหรือ IRR ที่สูงกว่าของไทยมาก ขนาดของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควรแต่จำนวนหุ้นที่ลงทุนก็ยังค่อนข้างมากคือน่าจะประมาณ 30 ตัว รอบที่สามนั้น น่าจะเรียกว่าเป็นการเริ่มลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนามที่เป็นหุ้นที่ผมชอบและลงทุนเป็นหลักในตลาดหุ้นไทยมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่เนื่องจากหุ้นที่ผมเห็นว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียดนามในอดีตหลายปีก่อนหน้านั้น มักจะเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจและเข้าไปซื้อหุ้นจนติดเพดานการลงทุนเช่น ถือหุ้นถึง 30% หรือ 50% ของบริษัทไปแล้ว ทำให้ไม่มีหุ้นซื้อขายในกระดาน ชาวต่างชาติรายใหม่ที่จะซื้อก็ต้องไปซื้อเป็นบิ๊กล็อตต่อจากคนที่ถืออยู่ และต้องจ่ายราคาที่มี Foreign Premium บางที 3-40% จากราคาตลาดซึ่งทำให้ผม “ไม่ยอมซื้อ” อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง หุ้นซุปเปอร์สต็อกเหล่านั้นบางตัวก็เริ่มมีพรีเมี่ยมลดลงเหลือเพียง 7-10% ผมจึงเริ่มลงทุนในหุ้นซุปเปอร็สต็อกมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญจนกระทั่งมีการจัดตั้ง “กองทุนซุปเปอร์สต็อก” ในตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นคือ “ETF ไดมอนด์” ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนท้องถิ่นของเวียดนามที่ชาวต่างชาติลงทุนได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีพรีเมียม ดังนั้น ผมจึงเข้าไปลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ รอบที่สามนั้น น่าจะเรียกว่าเป็นการเริ่มลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนามที่เป็นหุ้นที่ผมชอบและลงทุนเป็นหลักในตลาดหุ้นไทยมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่เนื่องจากหุ้นที่ผมเห็นว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียดนามในอดีตหลายปีก่อนหน้านั้น มักจะเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจและเข้าไปซื้อหุ้นจนติดเพดานการลงทุนเช่น ถือหุ้นถึง 30% หรือ 50% ของบริษัทไปแล้ว ทำให้ไม่มีหุ้นซื้อขายในกระดาน ชาวต่างชาติรายใหม่ที่จะซื้อก็ต้องไปซื้อเป็นบิ๊กล็อตต่อจากคนที่ถืออยู่ และต้องจ่ายราคาที่มี Foreign Premium บางที 3-40% จากราคาตลาดซึ่งทำให้ผม “ไม่ยอมซื้อ” อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง หุ้นซุปเปอร์สต็อกเหล่านั้นบางตัวก็เริ่มมีพรีเมี่ยมลดลงเหลือเพียง 7-10% ผมจึงเริ่มลงทุนในหุ้นซุปเปอร็สต็อกมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญจนกระทั่งมีการจัดตั้ง “กองทุนซุปเปอร์สต็อก” ในตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นคือ “ETF ไดมอนด์” ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนท้องถิ่นของเวียดนามที่ชาวต่างชาติลงทุนได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีพรีเมียม ดังนั้น ผมจึงเข้าไปลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ การลงทุนรอบที่ 4 และยังต่อเนื่องถึงปัจจุบันก็คือการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกเป็นหลักและเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หุ้นที่เลือกจะเป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติครบที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่จะเติบโตต่อเนื่องระยะยาว นั่นก็คือ อยู่ในเมกะเทรนด์ เป็นผู้ที่จะชนะและเหนือกว่าคู่แข่งมาก มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และราคาไม่แพง ซึ่งหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมเลือกนั้น ก็อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในประเทศไทยที่ผมลงทุนมานานเกือบ 20 ปี ผมยังต้องจ่ายพรีเมียมหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7% แต่บางตัวก็สามารถซื้อได้โดยไม่มีพรีเมียม และเหตุผลที่ผมเลิกซื้อ ETF ไดมอนด์นั้นเป็นเพราะ หุ้นในกองทุนนั้นมีหุ้นอื่นโดยเฉพาะหุ้นแบงก์ที่ผมไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกจำนวนมากรวมอยู่ด้วย ถึงวันนี้ พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมประกอบไปด้วยหุ้นหลัก ๆ ที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 6-7 ตัวรวมไดมอนด์ ทั้งหมดรวมกันน่าจะประมาณ 60% ของพอร์ต และหุ้น Defensive ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสเติบโตระยะยาวแบบช้า ๆ ได้ น่าจะซัก 15% รวมเป็น 75% ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กอีกร้อยกว่าตัวนั้นน่าจะมีสัดส่วนเหลือเพียง 25% การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมนั้น ฃไม่ใช่ “ตลาดหุ้นทางเลือก” อีกต่อไป มันเป็นตลาดหลักอีกแห่งหนึ่ง ปีที่แล้วทั้งปี เป็นปีที่ตลาดเวียดนามเติบโตขึ้นมากอานิสงส์ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คนเป็นล้าน ๆ ต่างเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น จำนวนมากใช้มาร์จินเต็มเพดาน พวกเขาเข้ามาซื้อ- ขายหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ และหุ้นแนวโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฎจักรรวมถึงหุ้นแบงก์กันอย่างหนักทำให้ดัชนีตลาดบวกเพิ่มขึ้นถึง 35% แต่หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมถืออยู่ประมาณ 6-7 ตัว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงประมาณ 12.5% อย่างไรก็ตาม พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็ก ๆ นับเป็นร้อยตัวมีการปรับตัวขึ้นมากจนทำให้พอร์ตเวียดนามของผมปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% กลายเป็นปีทองของพอร์ตหุ้นเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตาม “เทรนด์ของโลก” ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปีน่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต การลงทุนรอบที่ 4 และยังต่อเนื่องถึงปัจจุบันก็คือการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกเป็นหลักและเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หุ้นที่เลือกจะเป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติครบที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่จะเติบโตต่อเนื่องระยะยาว นั่นก็คือ อยู่ในเมกะเทรนด์ เป็นผู้ที่จะชนะและเหนือกว่าคู่แข่งมาก มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และราคาไม่แพง ซึ่งหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมเลือกนั้น ก็อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในประเทศไทยที่ผมลงทุนมานานเกือบ 20 ปี ผมยังต้องจ่ายพรีเมียมหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7% แต่บางตัวก็สามารถซื้อได้โดยไม่มีพรีเมียม และเหตุผลที่ผมเลิกซื้อ ETF ไดมอนด์นั้นเป็นเพราะ หุ้นในกองทุนนั้นมีหุ้นอื่นโดยเฉพาะหุ้นแบงก์ที่ผมไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกจำนวนมากรวมอยู่ด้วย ถึงวันนี้ พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมประกอบไปด้วยหุ้นหลัก ๆ ที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 6-7 ตัวรวมไดมอนด์ ทั้งหมดรวมกันน่าจะประมาณ 60% ของพอร์ต และหุ้น Defensive ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสเติบโตระยะยาวแบบช้า ๆ ได้ น่าจะซัก 15% รวมเป็น 75% ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กอีกร้อยกว่าตัวนั้นน่าจะมีสัดส่วนเหลือเพียง 25% การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมนั้น ฃไม่ใช่ “ตลาดหุ้นทางเลือก” อีกต่อไป มันเป็นตลาดหลักอีกแห่งหนึ่ง ปีที่แล้วทั้งปี เป็นปีที่ตลาดเวียดนามเติบโตขึ้นมากอานิสงส์ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คนเป็นล้าน ๆ ต่างเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น จำนวนมากใช้มาร์จินเต็มเพดาน พวกเขาเข้ามาซื้อ- ขายหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ และหุ้นแนวโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฎจักรรวมถึงหุ้นแบงก์กันอย่างหนักทำให้ดัชนีตลาดบวกเพิ่มขึ้นถึง 35% แต่หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมถืออยู่ประมาณ 6-7 ตัว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงประมาณ 12.5% อย่างไรก็ตาม พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็ก ๆ นับเป็นร้อยตัวมีการปรับตัวขึ้นมากจนทำให้พอร์ตเวียดนามของผมปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% กลายเป็นปีทองของพอร์ตหุ้นเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตาม “เทรนด์ของโลก” ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปีน่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
ตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตามเทรนด์ของโลก ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่เลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2565 ที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่คิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปี 2565 น่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น ความรู้สึกลึก ๆ ก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต
3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1028
Finance
การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะเหตุใด ระหว่าง แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน หรือ ให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ
null
แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะแต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน เช่น ช่วงกลางปี 2564 สหรัฐและยุโรปเปิดประเทศ แต่หลายประเทศในเอเชีย รวม ไทย ประกาศล็อกดาวน์ Demand จึงยิ่งฉีกห่างออกจาก Supply เงินเฟ้อมันถึงได้เร่งตัว ความจริงเงินเฟ้อมาตั้งแต่ต้นปี 2564 แล้ว เห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะพวกโลหะมีค่ามันพุ่งกระฉูดทะลุเพดานกันเป็นว่าเล่น และความที่เงินมันสะพัดมาก (จากการอัดเงินของ Fed) บรรดาพวกสินทรัพย์เสี่ยง ถึงได้ขึ้นกันเป็นสิบ ๆ เท่า ดังนั้นปัญหาเงินเฟ้อรอบนี้ ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ด้วยว่า ไม่ใช่เพราะเรื่อง supply bottleneck เหมือนอย่างที่ Fed หรือใครๆ บอกออกมา แต่มันเป็นเพราะตัว Fed ล้วน ๆ ส่วนการให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ เป็นเป้าหมายใหญ่ของการทำ QE Fed แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าจะทำให้โลกวุ่นวายขนาดไหน โอกาสที่ Fed ขึ้นดอก ทำ QT เพื่อการเพิ่มกระสุนให้ตัวเอง และเตรียมกลับมาทำ QE ในอนาคต กลไกนี้มันเกิดขึ้นแน่ ๆ อยู่แล้ว หากเศรษฐกิจมันตกต่ำมาก ๆ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของเงินเฟ้อต่ำด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ในตอนที่ Stagflation มันชัดเจนซะขนาดนี้ ภารกิจหลักจึงต้องจัดการเงินเฟ้อ ไม่ใช่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ
4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-sa-4.0
Finance_103
Finance
สรุปบทความเกี่ยวกับ วางแผนการเงินแบบ “RICH”
เรามีแผนที่จะโอบอุ้มโอกาสแน่นอน แต่โลกก็ไม่สวยงามเสมอไป คนส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวที่จะเจอกับปัญหาแน่นอน ดังนั้นเมื่อเราเจอปัญหาหรืออุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนไม่ชอบ แต่รู้ไหมว่า อุปสรรคนั้นคือประตูแห่งโอกาส ถ้าเราเข้าใจ อุปสรรคก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอีกต่อไป การวางแผนการเงินจึงเป็นพิมพ์เขียวที่เราจะวาดฝันสิ่งที่เราต้องการ และประเมินความเสี่ยงในหลายๆด้านที่จะเกิดขึ้น เชื่อไหมว่า ปัญหา และอุปสรรคเกิดขึ้นได้กับทุกคน คนที่ประสบผลสำเร็จนั้นมีวิธีการที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง วางแผนการเงินอย่างไรให้พร้อมรับกับทุกสถานะการณ์ Trick คำ4คำง่ายๆที่ทำให้เราจำพื้นฐานของการวางแผนทางการเงินได้อย่างสบายๆ แล้วเราจะ RICH ไปด้วยกัน R ( Rource of Revenue ) เห็นด้วยไหมว่า คนเราจะมีเงินได้ ต้องมีแหล่งของรายได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะเป็นเหมือนหัวเชื้อให้เรามีเงินได้ คือเราต้องมีแหล่งของรายได้ แล้วแหล่งรายได้ของเรามีความมั่นคงมากน้อยขนาดไหม งานบางงานมีรายได้ไม่มาก แต่ความมั่นคงสูง งานบางงานได้รายได้สูง แต่ความเสถียรของรายได้มีไม่มาก รวมถึงช่องทางของรายได้มีช่องทางเดียว หรือรายได้เรานั้นมีหลายช่องทาง คนในปัจจุบันจำนวนไม่น้อยเลยที่มีแหล่งของรายได้มากกว่า หนึ่งช่องทาง เช่น มีงานประจำอยู่ แล้วเปิดร้านในช่องทาง onlineขายของ บางคนมีงานอดิเรกที่สร้างรายได้ไปด้วยในตัวก็มีมากมาย รับสอนพิเศษ หรือรับงานเป็นที่ปรึกษาโดยเอาความรู้ความสามารถที่มีเพิ่มช่องทางของรายได้มากขึ้น I ( Interested on Investment) สนใจและให้ความสำคัญกับการลงทุน เชื่อไหมว่าถ้าเราเอาเงินที่เราหาได้มาฝังตุ่ม นอกจากเงินไม่งอกเงยแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการถูกปลวกกิน แล้วสิ่งที่เราต้องเจอแน่ๆคือเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้เงินที่มีอยู่ด้อยค่าลงไป ดังนั้นอย่ากลัวเรื่องการลงทุน หลายคนอาจจะเคยเจ็บตัวจากการลงทุนที่ผิดพลาด นั้นอาจจะเป็นเพราะเรายังไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน ที่สำคัญ ลงทุนเกินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ จากการเห็นผลตอบแทนที่มากเป็นตัวเร้าให้เรากระโดดรีบเข้าไปลงทุน การลงทุนที่ดี ต้องเข้าใจเรื่องการจัด Port Allocation และลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้จริงๆ ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามผลตอบแทนที่สูงเกินจริง C ( Calculate Expense ) อย่าลืมว่าเมื่อเรามีรายได้ เราก็มีรายจ่ายเช่นกัน การจัดสรรรายจ่ายให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่ากินอยู่ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่อนชำระต่างๆไม่ควรเกินความสามรถที่จ่ายได้ด้วย เช่นค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ หนี้สินต่างๆ ไม่ควรเกิน 40%ของรายได้ ไม่งั้นจะอึดอัดมาก ควรซื้อของที่จำเป็น อย่าหลวมตัวไปซื้อของที่ไม่จำเป็น ด้วยเงินที่ยังไม่มี เพื่ออวดคนที่เราไม่ชอบ เด็ดขาด รายจ่ายที่สำคัญอีกอันที่ควรจะกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยคือรายจ่ายเพื่อการออม คนส่วนใหญ่มักจะจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างหมดแล้ว เงินที่เหลือถึงจะออม เราลองกลับข้างดูสักนิดว่าการออมเป็นเรื่องสำคัญดังนั้น เก็บเงินออมก่อน รวยกว่า H ( Habit )สร้างนิสัยการมีวินัยการออมและการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเราขาดวินัยของการทำให้เป็นนิสัย ทุกอย่างที่เราวางแผนไว้ รับรองว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน เช่น การจดบันทึก รายรับ รายจ่าย ,มีรายได้มาต้องจัดเข้ากระเป๋าของการออมก่อนค่อยใช้ เป็นต้น เห็นด้วยไหมว่า เราจะ “ RICH “ นั้นไม่ยากเกินไป ลองเอาไปใช้ดู ยังมีอีกสิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ด้วย คือเรื่องบริหารความเสี่ยงต่างๆที่ไม่คาดฝัน ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความสูญเสีย เสียหายมาก ถ้าโอนย้ายความเสี่ยงเหล่านี้ได้ก็ควรจะจัดการ เพื่อไม่ให้แผนการเงินที่เราวางไว้เกิดผลกระทบ หรือไม่ตรงกับเป้าหมายที่ได้วางไว้
การวางแผนการเงินถือเป็นพิมพ์เขียวที่ช่วยให้เราสามารถวาดฝันและประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น มี Trick ให้จำง่ายๆ คือ R ( Rource of Revenue ) คือการมีแหล่งรายได้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน I (Interested on Investment) การสนใจและให้ความสำคัญกับการลงทุน C ( Calculate Expense ) การจัดสรรรายจ่ายให้เหมาะสม H ( Habit )สร้างนิสัยการมีวินัยการออมและการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ด้วย คือเรื่องบริหารความเสี่ยงต่างๆที่ไม่คาดฝัน ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความสูญเสีย เสียหายมาก
5.ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1031
Finance
DeFi มาจากการหยิบเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย โปร่งใส และไร้ตัวกลาง เข้ากับฟีเจอร์ Smart Contract ที่เริ่มต้นนำเสนอโดย Ethereum Blockchain ใช่หรือไม่
null
ใช่ จุดเริ่มต้นของ DeFi DeFi มาจากการหยิบเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย โปร่งใส และไร้ตัวกลาง เข้ากับฟีเจอร์ Smart Contract ที่เริ่มต้นนำเสนอโดย Ethereum Blockchain ทำให้ Blockchain สามารถนำมาใช้งานได้หลากหลาย รวมถึงการนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนา DeFi ที่ทำให้หลากหลายธุรกรรมเกิดขึ้นได้เมื่อเงื่อนไขครบถ้วนตามโค้ดที่ได้เขียนเอาไว้ใน Smart Contract เช่น ธุรกรรมกู้ยืมเงิน ที่หากไม่มีการคืนเงินกู้ตามกำหนดในสัญญา ระบบก็จะดึงสินทรัพย์ค้ำประกันคืนแก่ผู้กู้ได้อัตโนมัติ เป็นต้น Yield Farming…อีกหนึ่งธุรกรรมที่เกิดจากโลกของ DeFi Yield Farming นับว่าเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการเป็นผู้มอบสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์ม DeFi ที่เราใช้บริการอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนในรูปแบบของ Token หรือส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม ซึ่งมีกลไกคล้ายกับการรับดอกเบี้ยจากการฝากเงินในธนาคารในระบบการเงินแบบดั้งเดิม เพียงแต่การตัดตัวกลางออก ก็อาจทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากการฝากเงินที่มากกว่า สิ่งที่ควรศึกษา เมื่อใช้บริการ DeFi เมื่อการใช้บริการ DeFi มาจากความตั้งใจจะไม่พึ่งพาตัวกลาง ก็เท่ากับผู้ใช้บริการมีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น การศึกษาความรู้ก่อนเริ่มต้นใช้บริการหรือลงทุนใน DeFi จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุดโดยเฉพาะในประเด็นที่เป็นข้อจำกัดในการใช้บริการ เช่น การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม DeFi ที่อาจทำความเข้าใจได้ยากสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์ รายละเอียดการทำธุรกรรมบางอย่างที่มีความซับซ้อน และอาจเป็นปัญหาเมื่อเกิดข้อพิพาททางกฎหมาย ความเสี่ยงทางเทคนิคใหม่ ๆ เช่น Impermanet Loss ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของราคา Cryptocurrency ที่นำมาทำธุรกรรม หรือค่า Gas ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมในโลก DeFi ที่อาจมีราคาสูงมากในช่วงที่มีความต้องการทำธุรกรรมที่สูง ถึงแม้ DeFi จะยังใหม่และมีพื้นที่ให้ได้ปรับปรุงแก้ไขอีกมาก แต่โลกของ DeFi เองก็ยังไม่หยุดพัฒนาและยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมากเช่นกัน และในวันนี้ไม่ว่าเราจะเลือกใช้บริการ DeFi หรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่า DeFi ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับระบบการเงินของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_1032
Finance
ช่วยสรุปบทความ เจาะลึกกองทุน AFMOAT-H กองทุนป้อมปราการเหล็ก ทนทานทุกสภาวะตลาด” I สรุป LIVE Market Talk
สถานการณ์ของตลาดในฝั่งของ Growth Stock และ Value Stock ในมุมมองของ ทาลิส สถานการณ์ปีนี้ของตลาดโลกมีความเสี่ยงหลัก ๆ คือ ปัญหาในเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 และมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลกระทบกับราคาน้ำมัน ราคาพลังงาน และราคาสินค้าเกษตรเป็นหลัก ทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อยังคงอยู่ และผู้คนมีความกังวลว่า เงินเฟ้อจะยืดเยื้อต่อไปหรือไม่ ทางด้านสหรัฐฯ เอง เกรงว่า เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ไม่มีเสถียรภาพ ทางธนาคารกลางหรือ FED จึงออกนโยบายคุมเงินเฟ้อโดยการลดสภาพคล่องในระบบ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อันจะเป็นวิธีที่สามารถต่อกรกับเงินเฟ้อได้ ซึ่งมีผลกระทบกับหุ้น Growth ประการแรกคือ เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ Discount Rate สูงขึ้น ส่งผลให้การประเมินมูลค่าของบริษัทต่าง ๆ ลดลง ประการที่สองคือ ความคาดหวังในการเติบโตของหุ้น Growth ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันไม่แน่นอน ความคาดหวังที่หุ้นจะโตถึง 30% – 50% จึงลดลง ทำให้การเติบโตลดลงด้วย ส่งผลให้ราคาหุ้น Growth ถูก Valuation ที่ปรับตัวลงค่อนข้างมาก จึงทำให้นักลงทุนเริ่มย้ายไปลงทุนในกลุ่ม Value Stock มากขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Value มีผลตอบแทนจากเงินปันผล และค่อนข้างปลอดภัยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น Growth เพียงอย่างเดียว จึงเป็นเหตุผลว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้น Growth ถูกเทขาย ในขณะที่หุ้น Value อาจมีราคาลงบ้าง แต่ในระดับที่น้อยกว่าหุ้น Growth หรือหุ้นบางตัวอาจจะมีการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Value ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าจำเป็น เช่น กลุ่มอาหาร เป็นต้น เราจึงเห็นได้ว่า Growth Stock มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Value Stock นั่นเอง
ตลาด Growth Stock และ Value Stock ในมุมมองของ ทาลิส ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตลอด ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 ทำให้เป็นปัญหาหลักของตลาดโลกในปัจจุบัน สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนก็เพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน พลังงาน และสินค้าเกษตร ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อยังคงสูง ทางสหรัฐฯกังวลว่าการเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อต่อไปอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเข้ามีการควบคุมเงินเฟ้อ ทาง FED มีนโยบายลดสภาพคล่องในระบบและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ การเพิ่มดอกเบี้ยนี้มีผลต่อหุ้น Growth โดยทำให้ Discount Rate สูงขึ้น ส่งผลให้การประเมินมูลค่าของบริษัทลดลง ความคาดหวังในการเติบโตของหุ้น Growth ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่แน่นอน ทำให้การเติบโตของหุ้นนั้นลดลงถึง 30% - 50% และราคาหุ้น Growth ถูก Valuation ลดลงมาก นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะย้ายไปลงทุนในกลุ่ม Value Stock ที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลและค่อนข้างปลอดภัยกว่า หุ้น Value มีโอกาสปรับราคาขึ้น แม้ว่าหลายหุ้น Value อาจมีการลดลงบ้าง แต่มีบางตัวที่มีการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Value ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจำเป็น เช่น กลุ่มอาหาร หุ้น Growth มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Value Stock ทำให้มีการขายออกของหุ้น Growth และนักลงทุนมีความสนใจในหุ้น Value มากขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0
Finance_1037
Finance
จงสรุปบทความ กลยุทธ์แบบ Growth and Value Rotation
เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกลยุทธ์แบบ Sector Rotation ซึ่งใช้วิธีการปรับพอร์ตผ่านการสลับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมกันมาบ้าง เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกลยุทธ์แบบ Sector Rotation ซึ่งใช้วิธีการปรับพอร์ตผ่านการสลับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมกันมาบ้าง แต่มีอีก 1 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีคือ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) แต่มีอีก 1 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีคือ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่าง S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่าง S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) เป้าหมายของ S&P 500 Growth Value Rotator Index คือการใช้ประโยชน์จากกลุ่มหุ้นทั้งสองรูปแบบ โดยจะสลับไปมาระหว่างกลยุทธ์การเติบโตและมูลค่าตาม Momentum ผ่านคำนวณ Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน โดยจะมีการ Rebalance ทุกๆ เดือน เป้าหมายของ S&P 500 Growth Value Rotator Index คือการใช้ประโยชน์จากกลุ่มหุ้นทั้งสองรูปแบบ โดยจะสลับไปมาระหว่างกลยุทธ์การเติบโตและมูลค่าตาม Momentum ผ่านคำนวณ Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน โดยจะมีการ Rebalance ทุกๆ เดือน ถ้าสิ้นเดือน S&P500 Growth Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Value Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Growth Index ถ้าสิ้นเดือน S&P500 Growth Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Value Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Growth Index แต่ถ้า สิ้นเดือน S&P500 Value Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Growth Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Value Index แต่ถ้า สิ้นเดือน S&P500 Value Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Growth Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Value Index ดัชนี S&P 500 Growth Value Rotator มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า S&P500 อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1995 ถึงกรกฎาคม 2019 โดยสร้าง ดัชนี S&P 500 Growth Value Rotator มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า S&P500 อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1995 ถึงกรกฎาคม 2019 โดยสร้าง ดูได้จากรูปข้างล่าง โดยเอาชนะทั้ง S&P500 Value , S&P500 Growth และ S&P500 ดูได้จากรูปข้างล่าง โดยเอาชนะทั้ง S&P500 Value , S&P500 Growth และ S&P500 ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต จากรูปผลการดำเนินที่ผ่านมาให้อดีต S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด สามารถสรุปดังนี้ จากรูปผลการดำเนินที่ผ่านมาให้อดีต S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด สามารถสรุปดังนี้ ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา : www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 มาดูผลตอบแทนในอดีตมีดังนี้ มาดูผลตอบแทนในอดีตมีดังนี้ ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต
กลยุทธ์ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต
11.เทคโนโลยีทางการเงิน,2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Summarization
cc-by-sa-4.0

Note: We have moved this dataset repository to https://huggingface.co/datasets/airesearch/WangchanThaiInstruct

Downloads last month
77
Edit dataset card