ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
894
| Input
stringlengths 19
65.5k
⌀ | Output
stringlengths 36
31.6k
| Tags
stringlengths 10
772
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Finance_0 | Finance | ใจความสำคัญของการลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานแบบเน้นคุณค่า คืออะไร ระหว่าง Good Stock and Good Price หรือ Dividend discount model | null | Good Stock and Good Price เพราะใจความสำคัญของการลงทุนสายปัจจัยพื้นฐานแบบเน้นคุณค่า คือ Good Stock and Good Price ซื้อหุ้นดี ที่ราคาถูก ด้วย ในส่วนของหุ้นดี (Good Stock) ดูจากปัจจัยเชิงคุณภาพของหุ้น เช่น อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต มีแนวโน้มความต้องการสินค้าและบริการของบริษัทที่เพิ่มขึ้น และมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ยั่งยืน การดูหุ้นปันผลก็ไม่ต่างกัน เพราะที่มาของเงินปันผลคือกำไร ที่มาของกำไรคือความสามารถในการสร้างรายได้และบริหารต้นทุนของกิจการ และที่มาของความสามารถที่ดีของกิจการคือปัจจัยเชิงคุณภาพที่กล่าวข้างต้นนั่นเอง และในส่วนของราคาดี (Good Price) หลักการคือ ต้องลงทุนกับหุ้นที่ “Undervalue” หรือ หุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ส่วน Dividend discount model คือ ความสามารถใช้เงินปันผลมาคิดลด ซึ่งวิธีที่ถูกต้องตามทฤษฎีทางการเงินคือ วิธี Discounted Cashflow สามารถคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cashflow) ซึ่งสามารถใช้กระแสเงินสดอิสระ (Free Cashflow) มาคิดลด หรือสามารถใช้เงินปันผลมาคิดลดก็ได้เช่นกัน ซึ่งเรียกว่า Dividend discount model นั่นหมายความว่าเงินปันผลก็สามารถกำหนดมูลค่าหุ้นได้เช่นเดียวกัน และเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้วัดมูลค่าหุ้นปันผล รวมทั้งกองรีทที่จ่ายปันผลในหลายกรณีด้วย นี่คือหนึ่งในทางเลือกของสายการลงทุนแบบเน้นคุณค่า โดยมุ่งเน้นที่การลงทุนหุ้นปันผลดีนั่นเอง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1 | Finance | งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง ได้แก่อะไรบ้าง | วิเคราะห์การบริหารเงินใช้หลังเกษียณ ด้วยงบกระแสเงินสด* ไม่ว่าจะหยุดทำงานตามอายุเกษียณที่ 60 ปี หรือหยุดทำงานจากการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) เช่น อายุ 55 ปี จำเป็นต้องวางแผนการใช้เงินหลังเกษียณอย่างดียิ่ง นี่คือสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ของวัยเกษียณ ที่อาจจะสำคัญไม่แพ้เรื่องสุขภาพและความรักในครอบครัว เงินก้อนสุดท้ายมักจะเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ได้จากการทำงานและเก็บออมในหลากหลายรูปแบบ เช่น กองทุนสำรองลี้ยงชีพ กบข. กองทุนประหยัดภาษี LTF RMF ที่ครบอายุ เงินฝากสหกรณ์หน่วยงาน ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ครบอายุ ฯลฯ การบริหารจัดการเงินก้อนสุดท้ายนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องมั่นใจว่ามันจะเพียงพอต่อการใช้จ่ายแบบไม่ลดคุณภาพชีวิต ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 20 ปีที่จะไม่ได้ทำงาน ดังนั้นการบริหารจัดการเงิน ควบคุมดูแลแบบใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องจำเป็น เหมือนเราเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน(Chief Finance Officer) ของชีวิตเราเอง สิ่งที่พบเจอบ่อยๆ คือคนวัยเกษียณมักจะใช้ “งบกำไรขาดทุน” ในการติดตามข้อมูลการเงิน ซึ่งก็คือ มองจากเงินก้อนที่ได้จัดสรรงบรายเดือนไว้ใช้จ่ายจำนวนนึง แล้วนำมาใช้จ่ายรายเดือนต่างๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าไฟฟ้าประปาโทรศัพท์อินเตอร์เน็ต ค่าเดินทาง ค่าแชมพูสบู่ยาสีฟัน ค่าท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่างๆ ฯลฯ ถ้ารวมสุทธิแล้วยังอยู่ในงบรายเดือน ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ในความเป็นจริงคิดว่าควรใช้หลักการของ “งบกระแสเงินสด” ซึ่งมีหลายมิติกว่า ในการติดตามข้อมูลการเงินมากกว่า สมมติว่าตัวเราคือบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง คือ
1. กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (CFO : Cashflow From Operating Activities) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFO คือเงินสดสุทธิที่คงเหลือจากงบประมาณใช้จ่ายประจำปี (รวมถึงรายรับอื่นๆ ที่อาจจะมีเงินสดไหลเข้ามา เช่น เงินปันผล ค่าเช่า) หักด้วย ค่าใช้จ่ายประจำวันทั้งหมดที่ใช้จ่ายออกไป เช่น ตั้งใจใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท งบปี คือ 360,000 บาท หักออกด้วยค่าใช้จ่ายประจำวันต่างๆ ตลอดทั้งปี สมมติเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนั้น CFO ยังเป็นบวก (คงเหลือ = +60,000 บาท) ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ารอดแล้ว อันที่จริงต้องดูที่ข้อ 2 ต่อ
2. กระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุน (CFI : Cashflow From Investing Activities) กรณีงบบริษัท ส่วนนี้คือกระแสเงินสดที่แสดงการใช้เงินสดออกไปลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขยายสาขา ขยายโครงข่าย ฯลฯ ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานระยะยาวเพื่อให้เกิดดอกผลจากการลงทุน ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFI คือเงินสดลงทุนซื้อของที่ใช้ในระยะยาว(เช่น เกิน 3 ปี) เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถยนต์ ฯลฯ หรือในบางกรณีอาจจะต้องซ่อมบ้านครั้งใหญ่ หรือซื้อคอนโดใหม่ หรืออาจจะเป็นค่ารักษาสุขภาพก้อนใหญ่ก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้นับเป็นรายจ่ายลงทุน ซึ่งนับเป็นเงินสดไหลออกทั้งสิ้น
3. กระแสเงินสดสุทธิจากการจัดหาเงิน (CFF : Cashflow From Financing Activities) ในกรณีงบบริษัท ถ้าเป็นลบ แสดงว่าใช้เงินสดจ่ายปันผลหรือชำระหนี้ (จ่ายเงินออก) แต่ถ้าส่วนนี้เป็นบวกแปลว่ามีการกู้เงินหรือเรียกเพิ่มทุนเข้ามา (รับเงินเข้า) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFF เงินสดจ่ายออก คือ การให้อั่งเปาลูกหลานประจำปี (เหมือนเงินปันผล) แต่ถ้ากรณีฉุกเฉินใดๆ หากก่อหนี้หยิบยืมเงิน ก็จะเป็นเงินสดไหลเข้าจากการกู้เงินก่อหนี้ กรณีที่ 1 : มีเงินใช้หลังเกษียณอย่างแท้จริง
ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO เป็นบวก 2) CFI ติดลบ 3) CFF ติดลบ แปลว่าชีวิตเกษียณสามารถใช้จ่ายเงินได้ตามงบประมาณที่ตั้งไว้รายปี สามารถซื้อของใช้ที่เป็นงบลงทุนได้ อีกทั้งยังสามารถให้อั่งเปาลูกหลานทุกปี ทำได้แบบนี้คือสุดยอด กรณีที่ 2 : มีเงินใช้หลังเกษียณ แต่อาจจะต้องระมัดระวังการซื้อของชิ้นใหญ่
ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO เป็นบวก 2) CFI ติดลบ 3) CFF เป็น 0 แปลว่าชีวิตเกษียณสามารถใช้จ่ายเงินได้ตามงบประมาณที่ตั้งไว้รายปี แต่ไม่สามารถซื้อของใช้ที่เป็นงบลงทุนก้อนใหญ่ๆ ตามใจได้ทุกอย่าง ต้องบริหารเงินลงทุนข้อ 2) CFI ให้ดี ก็จะผ่านได้ ข้อ 3) CFF ถึงแม้ไม่ได้ให้อั่งเปาลูกหลาน (อันที่จริงควรเป็นลูกๆ ที่นำเงินอั่งเปามาให้ผู้สูงวัย) แต่ถือว่ามีเงินใช้เป็นของตนเอง ไม่ต้องกู้ยืมใคร
กรณีที่ 3 : มีเงินใช้ไม่พอหลังเกษียณ แม้แต่รายเดือนยังติดลบ ถ้ากระแสเงินสดในข้อ 1) CFO ติดลบ และ 2) CFI ติดลบ อีก นั่นแปลว่าชีวิตเกษียณมีเงินออมไม่พอใช้ ต้องลดคุณภาพชีวิตการใช้จ่ายลงเพื่อให้ 1) CFO และ 2) CFI ติดลบน้อยที่สุด ซึ่งอาจจะต้องอาศัยเงินสดไหลเข้าจากข้อ 3) CFF ด้วยการพึ่งพาลูกหลานในการดำรงชีพ หรือแม้กระทั่งหยิบยืมก่อหนี้ ซึ่งอันตรายและจะไม่สบายใจ | งบกระแสเงินสดจะมี 3 ส่วนสำคัญที่จะมอง คือ
1. กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (CFO : Cashflow From Operating Activities) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFO คือ เงินสดสุทธิที่คงเหลือจากงบประมาณใช้จ่ายประจำปี (รวมถึงรายรับอื่นๆ ที่อาจจะมีเงินสดไหลเข้ามา เช่น เงินปันผล ค่าเช่า) หักด้วย ค่าใช้จ่ายประจำวันทั้งหมดที่ใช้จ่ายออกไป เช่น ตั้งใจใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท งบปี คือ 360,000 บาท หักออกด้วยค่าใช้จ่ายประจำวันต่างๆ ตลอดทั้งปี สมมติเป็นเงิน 300,000 บาท ดังนั้น CFO ยังเป็นบวก (คงเหลือ = +60,000 บาท) ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ารอดแล้ว อันที่จริงต้องดูที่ข้อ 2 ต่อ
2. กระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุน (CFI : Cashflow From Investing Activities) กรณีงบบริษัท ส่วนนี้คือกระแสเงินสดที่แสดงการใช้เงินสดออกไปลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขยายสาขา ขยายโครงข่าย ฯลฯ ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานระยะยาวเพื่อให้เกิดดอกผลจากการลงทุน ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFI คือเงินสดลงทุนซื้อของที่ใช้ในระยะยาว (เช่น เกิน 3 ปี) เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า รถยนต์ ฯลฯ หรือในบางกรณีอาจจะต้องซ่อมบ้านครั้งใหญ่ หรือซื้อคอนโดใหม่ หรืออาจจะเป็นค่ารักษาสุขภาพก้อนใหญ่ก็เป็นได้ ทั้งหมดนี้นับเป็นรายจ่ายลงทุน ซึ่งนับเป็นเงินสดไหลออกทั้งสิ้น
3. กระแสเงินสดสุทธิจากการจัดหาเงิน (CFF : Cashflow From Financing Activities) ในกรณีงบบริษัท ถ้าเป็นลบ แสดงว่าใช้เงินสดจ่ายปันผลหรือชำระหนี้ (จ่ายเงินออก) แต่ถ้าส่วนนี้เป็นบวกแปลว่ามีการกู้เงินหรือเรียกเพิ่มทุนเข้ามา (รับเงินเข้า) ในกรณีที่ใช้ติดตามข้อมูลการเงินวัยเกษียณ CFF เงินสดจ่ายออก คือ การให้อั่งเปาลูกหลานประจำปี (เหมือนเงินปันผล) แต่ถ้ากรณีฉุกเฉินใดๆ หากก่อหนี้หยิบยืมเงิน ก็จะเป็นเงินสดไหลเข้าจากการกู้เงินก่อหนี้ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_100 | Finance | วิธีการจัดการหนี้ มีอะไรบ้าง | null | วิธีการจัดการหนี้ มีดังนี้
1) สำรวจรายจ่าย แล้วลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น : ดูรายจ่ายในแต่ละเดือนว่ามีอะไรบ้าง แล้วให้ลิสต์รายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกมาทั้งหมด เช่น ค่าดูหนัง ค่าทานอาหารนอกบ้าน และค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่าง ๆ
2) จัดลำดับการจ่ายหนี้ : จัดลำดับหนี้ ด้วยการให้หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดอยู่ลำดับแรก แล้วไล่ระดับลงมาเรื่อยๆ จากนั้นให้เคลียร์หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงๆ ให้หมดก่อน เช่น หนี้นอกระบบ หนี้บัตรกดเงินสด และหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น
3) หยุดก่อหนี้ใหม่ : อาจจะใช้วิธีการแบบหักดิบเลย ซึ่งต้องสัญญากับตัวเองว่าถ้าหนี้ก้อนนี้ไม่หมด จะไม่ก่อหนี้ก้อนใหม่เป็นอันขาด
4) ขายสินทรัพย์บางอย่างไปจ่ายหนี้ : หลังจากที่หยุดก่อหนี้ใหม่ ประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็แล้วแต่ภาระนี้ก็ลดลงเพียงเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ต้องสำรวจละว่าตัวเองมีสินทรัพย์อะไรบ้างที่พอจะขายเป็นเงินแล้วนำไปจ่ายหนี้ได้บ้าง
5) รวมหนี้ : การแก้ปัญหาด้วยการรวมหนี้นี้ ส่วนใหญ่ที่ดำเนินการแล้วประสบความสำเร็จจะเป็นผู้ที่มีหนี้สินไม่สูงมาก และเป็นหนี้สินประเภทเดียวกัน เช่น หนี้บัตรเครดิต 5 ใบ สามารถนำหนี้ทุกใบมารวมกันไว้ที่เดียว เพื่อลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิตหลายๆ ใบให้เหลือเพียงที่เดียว ซึ่งวิธีการนี้ต้องเจรจากับผู้ที่ออกบัตรเครดิตให้ก่อนว่าสามารถรวมได้อย่างไรรวมถึงการรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเดรดิต เช่น ขอสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งผู้กู้สามารถขอกู้ได้วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้และดอกเบี้ยต่ำถัดจากนั้นก็นำเงินส่วนนี้ไปใช้หนี้บัตรเครดิต
6) เจรจาต่อรองเจ้าหนี้ : เมื่อจัดการแบ่งทรัพย์สินหนี้สินว่ามีอยู่เท่าไหร่และมีเงินสดเหลือเท่าไหร่ให้คุยเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้จะจ่ายเงินก้อนก้อนเดียวแล้วจบหนี้ก้อนนั้น ( Hair Cut ) ค่อยๆ จัดการหนี้ไปทีละก้อน
สุดท้ายนี้ การมีหนี้สินนั้นไม่ทำให้มีความสุขแน่นอน ดังนั้นหากไม่ต้องการอยู่กับหนี้สินไปตลอดชีวิต ทางออกง่ายๆ คือ มีวินัยทางด้านการเงินรู้จักเก็บ รู้จักใช้ รู้จักพอดี ถ้าทำได้ชีวิตจะปลอดหนี้และมีความสุข | 5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1000 | Finance | สิ่งที่ไปกระตุ้นในช่วงแรกแก่นักลงทุนที่ถือครอง stETH ให้แห่เทขาย คืออะไร | 1. เหรียญของแพลตฟอร์ม Celsius
2. กลไก Mint & Burn
3. แพลตฟอร์ม FTX
4. กองทุน Almeda | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 4. เพราะว่า สิ่งที่ไปกระตุ้นในช่วงแรกแก่นักลงทุนที่ถือครอง stETH ให้แห่เทขาย คือกองทุน Almeda (กองทุนของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์คริปโตฯ FTX ) ได้เทขาย stETH /ETH เป็นจำนวนประมาณ 50,000 เหรียญบนแพลตฟอร์ม Curve ในราคาขาดทุน
ส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุนที่มองว่า Smart Money อาจเห็นอะไรบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่าจึงเป็นเหตุให้ขายออกมาก่อน ถือเป็นการจุดชนวนให้นักลงทุนเริ่มเทขาย stETH ตามออกมาเป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้น จนทำให้ราคา stETH เกิดหลุดมูลค่าอ้างอิงกับ ETH อย่างมีนัยสำคัญขึ้น
หลังจากกระแสการขาย stETH ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ก็ส่งผลต่อราคา stETH บนแพลตฟอร์ม DeFi ที่รองรับการใช้งานเหรียญ โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์ม Celsius ที่เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการฝากและกู้ยืมคริปโตฯ รูปแบบ Centralized Finance (CeFi) ที่ให้ผลตอบแทนสูงเกือบ 20 % ต่อปี จึงทำให้มีนักลงทุนเป็นจำนวนมากเข้ามาฝากเพื่อให้ Celsius นำเอาเหรียญต่าง ๆ เป็นไปสร้างผลตอบแทน ซึ่งเหรียญ stETH ก็เป็นหนึ่งในนั้น | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1001 | Finance | ลักษณะการลงทุนของ Thematic คืออะไร | null | ลักษณะการลงทุนของ Thematic คือ การคัดเลือกบริษัทที่มี Story Line อันเป็นธีมเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น Short – term Themes เช่น Inflation / การป้องกันสงคราม และ Long – term Themes ซึ่งมีอยู่ 6 ธีมด้วยกัน ดังนี้
- Consumer Evolution เช่น การลงทุนในธุรกิจเกมหรือ Digital World ซึ่งสถานการณ์เงินเฟ้อสูงก่อให้เกิดความกดดันสำหรับการลงทุนธีมนี้ เนื่องจากกลุ่ม Digital World เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในปัจจุบัน
- Industrial Revolution คือการเปลี่ยนแปลงเชิงอุตสาหกรรมในการย้ายฐานการผลิต ซึ่งเป็นธีม Robotics & AI ที่อยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีการปรับตัว หรือในกลุ่ม Disruptor/ Innovator โดยบริษัทเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้เจาะจงว่าจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใด แต่มีความพิเศษในการสร้าง Efficiency ของธุรกิจให้เพิ่มมากขึ้น
- Energy and Sustainability ภาครัฐจะพยายามผลักดันกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานให้กลายเป็นพลังงานสะอาดมากขึ้นในอนาคต
- Fintech and Security การปรับลงของคริปโตเคอเรนซีทำให้เกิดกฎเกณฑ์การประกอบธุรกิจมากขึ้น ภาครัฐอาจเข้ามาช่วยควบคุม อย่างไรก็ตาม โลกเสมือนหรือ Digital Worldยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต
- Disruptive Technology เงินเฟ้อทำให้เกิดต้นทุนการเงินสูง อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนภายใน 1 – 2 ปี
- Healthcare Innovation ต้นทุนการเงินสูง อย่างไรก็ตาม เทรนด์การรักษาสุขภาพยังคงเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
| 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1003 | Finance | เพราะเหตุใด เศรษฐกิจญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว ยังคงอยู่ในโหมดการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเต็มตัว | ฮารุอิโกะ คูโรด้า ได้ให้คำตอบว่า มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1. GDP: ขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังเล็กกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 2.7 สภาพถือว่าใกล้เคียงกับบ้านเราในขณะนี้ ส่วนขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปใหญ่กว่าตอนก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 3.7 และ 0.6 ตามลำดับ ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตรรกะในการคิดออกจะคล้ายกับแบงก์ชาติบ้านเราคือควรผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจไปก่อน
2. Terms of Trade: แม้ว่าอัตราการเติบโต GDP ของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 2.1 เมื่อวัดในปีแบบงบประมาณ 2021 ทว่าหากพิจารณาจาก ตัววัด GNI (Gross National Income) ซึ่งทำการเพิ่มปัจจัยอื่น ๆ อาทิ รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ และ รายได้จากกำไร หรือขาดทุนจากการค้า ซึ่งมีค่าเป็นลบจากการที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์ แม้ว่าค่าเงินเยนจะช่วยให้การส่งออกสินค้าและบริการ มีราคาในประเทศปลายทางที่ถูกลง ทว่าไม่ได้ช่วยด้านการนำเข้าแต่อย่างใด ดังนั้นการผ่อนคลายนโยบายการเงินต้องมาช่วยชดเชยในส่วนการนำเข้าที่สูงขึ้นด้วย
3. Inflation: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสด ในเดือนเมษายน 2022 จะเท่ากับร้อยละ 2.1 ทว่าเมื่อนำปัจจัยราคาจากด้านพลังงานออกไปจากการคิดเงินเฟ้อ ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในเดือนเมษายน 2022 จะเหลือร้อยละ 0.8 ในขณะที่ทางการญี่ปุ่นได้ประมาณการ อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสดในปี 2022 ว่าเท่ากับร้อยละ 1.9 ทว่าในปี 2023 จะเหลือเพียงร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับเข้าเป้าหมายควรจะใกล้เคียงระดับร้อยละ 2 เมื่อคิดแบบเฉลี่ยตลอดวัฏจักรเศรษฐกิจ จึงทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นควรจะดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีก
นั่นคือ น่าจะกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินไปอีกพักใหญ่ | ฮารุอิโกะ คูโรด้า ได้ให้คำตอบว่า มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1. GDP: ขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังเล็กกว่าช่วงก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 2.7 สภาพถือว่าใกล้เคียงกับบ้านเราในขณะนี้ ส่วนขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปใหญ่กว่าตอนก่อนโควิดอยู่ร้อยละ 3.7 และ 0.6 ตามลำดับ ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตรรกะในการคิดออกจะคล้ายกับแบงก์ชาติบ้านเราคือควรผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจไปก่อน
2. Terms of Trade: แม้ว่าอัตราการเติบโต GDP ของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 2.1 เมื่อวัดในปีแบบงบประมาณ 2021 ทว่าหากพิจารณาจาก ตัววัด GNI (Gross National Income) ซึ่งทำการเพิ่มปัจจัยอื่น ๆ อาทิ รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ และ รายได้จากกำไร หรือขาดทุนจากการค้า ซึ่งมีค่าเป็นลบจากการที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเมื่อคิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์ แม้ว่าค่าเงินเยนจะช่วยให้การส่งออกสินค้าและบริการ มีราคาในประเทศปลายทางที่ถูกลง ทว่าไม่ได้ช่วยด้านการนำเข้าแต่อย่างใด ดังนั้นการผ่อนคลายนโยบายการเงินต้องมาช่วยชดเชยในส่วนการนำเข้าที่สูงขึ้นด้วย
3. Inflation: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสด ในเดือนเมษายน 2022 จะเท่ากับร้อยละ 2.1 ทว่าเมื่อนำปัจจัยราคาจากด้านพลังงานออกไปจากการคิดเงินเฟ้อ ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในเดือนเมษายน 2022 จะเหลือร้อยละ 0.8 ในขณะที่ทางการญี่ปุ่นได้ประมาณการ อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นแบบที่ไม่รวมอาหารสดในปี 2022 ว่าเท่ากับร้อยละ 1.9 ทว่าในปี 2023 จะเหลือเพียงร้อยละ 1.1 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับเข้าเป้าหมายควรจะใกล้เคียงระดับร้อยละ 2 เมื่อคิดแบบเฉลี่ยตลอดวัฏจักรเศรษฐกิจ จึงทำให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นควรจะดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีก
นั่นคือ น่าจะกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินไปอีกพักใหญ่ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1006 | Finance | 5 อันดับกองทุนยอดนิยมที่ผู้คนค้นหาในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65) มีอะไรบ้าง | ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มิ.ย. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11 – 17 มิ.ย. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 5 อันดับ กองทุนผลตอบแทนดีประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65)
ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) | กองทุนยอดนิยม 5 อันดับที่ผู้คนคนหาในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA ประจำสัปดาห์ (11 – 17 มิ.ย. 65)
1. KAB22B – กองทุนเปิดเค ฟิกซ์เดท เอเชียน บอนด์ 2022B
2. CHINA – กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์
3. TMBCHEQ – กองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index
4. SCBCHAA - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์
5. SCBFST - กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ
ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1009 | Finance | ในช่วงปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยตกลงไปแรงมาก เหลือเพียงกี่จุด | ก. 373 จุด
ข. 832 จุด
ค. 1,281 จุด
ง. 215 จุด | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เพราะว่า ในช่วงปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยตกลงไปแรงมากถึง 53% จาก 832 จุด เหลือเพียง 373 จุด ซึ่งนักลงทุนต่างก็รู้สึกเสมือนว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นได้ “ตาย” และถูก “เผา” ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็ยังมีนักลงทุนที่ “กล้าหาญ” ซึ่งมีจำนวนน้อยมากบางคนคิดว่ามันเป็น “โอกาสสุดยอด” ใน “วิกฤติ” ที่จะต้องเข้าไปช้อนซื้อหุ้นซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขารู้ว่ามีความเสี่ยงรออยู่
แต่โอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นเหนือกว่ามาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาคิดว่า “ถ้าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ” ประวัติศาสตร์ที่ตามมาบอกว่าพวกเขา “คิดผิด” อย่างน้อยก็ในระยะสั้นอีกเกือบ 1 ปี หลังจากนั้น
เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลังจากสิ้นปี 2540 ตกลงไปอีกมากและเหลือแค่ 215 จุด เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2541 เป็นการตกลงอีกถึง 42% ใน 8 เดือน “วิกฤติ” กลายเป็น “หายนะ” ซ้ำ ว่าที่จริงดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2539 ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ 1 ปี ก็ตกลงมาแรงเป็น “วิกฤติ” อยู่แล้ว คือ ดัชนีลดลงจาก 1,281 จุดเหลือเพียง 832 จุด หรือลดลงถึง 35% เพียงแต่เหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นตกลงมานั้นยังไม่ชัด
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในปี 2539 GDP ของไทยยังโตถึง 5% แต่ “ไส้ใน” ของเศรษฐกิจไทยกำลัง “เน่า” เกิดการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินอย่างหนัก สินค้าส่งออกไม่สามารถแข่งขันได้เพราะค่าเงินบาทที่แข็งกว่าความเป็นจริง
เหตุการณ์ในช่วงปีต้มยำกุ้งนั้น ต่อมาถูกเรียกโดยนักลงทุนไทยว่าเป็นปี “เผาหลอก” คนคิดว่า “งาน” หรือพิธีส่งศพจบแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าการ “เผาจริง” กำลังจะเริ่ม และมันจะรุนแรงกว่า ดังนั้น คนที่คิดว่าการเข้าไป “ช้อนซื้อหุ้น” หรือเข้าไปเก็บหุ้นที่ตกระเนระนาดและไม่มีใครต้องการนั้น จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีหรือเป็นโอกาสมหาศาล | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_101 | Finance | จงเสนอไอเดียแนะนำขั้นตอนการออมเพื่อวางแผนเกษียณ | null | 1. ถามตัวเองว่า เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน ?
การวางแผนมักจะออกแบบตามไลฟ์สไตล์ของเรา ลองถามตัวเองดูว่าหลังเกษียณแล้ว เราอยากจะใช้ชีวิตแบบไหน?
มีวิธีประเมินเงินอยู่เกษียณแบบง่ายๆอยู่ 2 วิธี
สูตรที่ 1 : คิดจากรายได้ก่อนเกษียณ คำนวณจาก 70 % ของเงินเดือนปีสุดท้ายก่อนเกษียณ
สูตรที่ 2 : คิดจากรายจ่ายก่อนเกษียณ คำนวณจาก 70 % ของรายจ่ายปีสุดท้ายก่อนเกษียณ
เมื่อได้จำนวนเงินแล้วนำไปคูณด้วยจำนวนเดือนที่ตั้งเป้าหมายว่าต้องใช้อีกกี่ปี
2. ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ รู้จักประมาณตัวเอง
เมื่อรู้เป้าหมายว่าเราต้องการเงินเท่าไหร่ เพื่อใช้ตอนเกษียณแล้ว แต่เงินส่วนนี้มันสามารถงอกเงยต่อไปได้เป็น “อัตราผลตอบแทน” ถ้าเรามีความรู้ในการลงทุน วางเงินไว้ถูกที่ เงินก็จะเติบโตได้มากขึ้น
ซึ่งการลงทุนที่จะแนะนำสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็คือให้ออมเงินเต็มอัตรา 15% แม้ว่าปัจจุบันผลตอบแทนอาจจะไม่ถึง 5% แต่เมื่อมองระยะยาวแล้วถือว่าคุ้มค่า หรืออย่างน้อยก็สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ทันที หรือถ้าเป้าหมายเกษียณฟังดูไกลเกินเอื้อม ก็มี 2 ทางเลือก คือ “ขยายระยะเวลาทำงานให้ยาวขึ้น” เพื่อให้มีเวลาสะสมเงินมากขึ้น หรือ “ปรับลดเป้าหมาย” จากที่ตั้งเป้าใช้เงินเดือนละ 50,000 ก็เหลือ 30,000 บาท ให้เหมาะสมกับตัวเรา
3. ทำงบดุลชีวิต เพื่อเช็คความมั่งคั่ง
การทำงบดุลชีวิตนี้จะทำให้เราสามารถเช็กได้ว่าตอนนี้เรากำลังรวย หรือจน จะทำได้โดยการแจกแจง “สินทรัพย์” และ “หนี้สิน” ตามรายละเอียด ดังนี้
สินทรัพย์ = แบ่งบัญชีทรัพย์สินเพื่อจะได้ทราบว่ามีทรัพย์สินพอใช้เกษียณไหม
หนี้สิน = ซึ้งจะวางแผนเกษียณแล้วไม่ควรมีหนี้สินค้างชำระแล้วไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตเกษียณอาจจะไม่สุข
4. ขั้นตอนสุดท้ายเราจะมาเช็กความมั่งคั่งว่าเป็นอย่างไร โดยจะเช็กได้จากสูตร “สินทรัพย์ - หนี้สิน = ความมั่งคั่ง | 5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1011 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับความหมายของ LUNA (Terra) | null | LUNA (Terra) คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลัง UST (Terra USD) ที่ทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้สมดุลอยู่เสมอ มีกลไกคือ ถ้า UST สูงกว่า 1 ระบบจะซื้อ LUNA คืนเพื่อแลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่ม Supply UST และกดระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้ลดลง แต่ในทางกลับกัน ถ้า UST น้อยกว่า 1 ระบบ จะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ เป็นการลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้นนั่นเอง โดย Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน และยังมีการใช้เงินจากคลัง ในการสนับสนุนอัดฉีด Decentralized Application ที่มีคุณภาพอีกด้วย
บทเรียนจากย่อหน้าข้างต้น
LUNA คือ เหรียญผู้อยู่เบื้องหลังอย่าง UST (Terra USD) ซึ่งทำหน้าที่รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของ UST ให้เสถียรสมดุลดั่งใจหวังอยู่เสมอ โดยอธิบายเป็นกลไกง่าย ๆ ก็คือ ถ้า UST มีมูลค่าสูงกว่า 1 ระบบจะทำการซื้อคืน LUNA แลกกับ UST ที่จะเข้าไปอยู่ในระบบแทน (เป็นการเพิ่ม Supply UST และกดให้ระดับอตราแลกเปลี่ยนที่เฟ้อลดลง) ในทางกลับกันหาก UST มีมูลค่าน้อยกว่า 1 ระบบจะทำการพิมพ์ LUNA ออกมาเพื่อซื้อคืน UST ในระบบ (ลด Supply UST เพื่อดันระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้สูงขึ้น) นอกจากนี้เหรียญ LUNA ยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ อย่างระบบที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนอันต่อเนื่องกับผู้ขุดเหรียญอีกด้วย
ความผันผวนทางด้านราคาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ และกลายเป็นอุปสรรคของการนำสกุลเงินมาปรับใช้ เพราะหากคิดภาพง่าย ๆ คงไม่มีใครอยากใช้เงินที่จู่ ๆ วันนึงราคาเพิ่มเป็นสองเท่า และวันดีคืนดีอาจลดลงมาอีก 2 เท่ากันเป็นแน่ เงินอะไรถือทีเดิมพันเหมือนเข้าคาซิโน
ซึ่งปัญหาดังกล่าวก็จะยิ่งสร้างอุปสรรคให้กับธุรกรรมที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เช่น การผ่อนหรือแบ่งจ่ายที่ต้องจ่ายเป็นงวด ๆ หลายเดือนหรืออาจจำหลายปี การจำนองบ้าน รวมไปถึงสัญญาค่าจ้างต่าง ๆ เพราะ คงไม่มีใครอยู่ดี ๆ เป็นหนี้เพิ่มขึ้นมาเท่าตัวใน 5 วัน หรือเจ้าหนี้ได้รับเงินน้อยลงกว่าตอนปล่อยกู้จากค่าเงินที่ผันผวนอย่างหนัก
Terra เป็นระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ว่าในคริปโตเคอเรนซี ผ่านการควบคุม Demand Supply ของค่าเงิน คล้ายกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่หรือ Fixed rate ที่ไทยก็เคยใช้มาก่อนในการเข้ามาแก้ปัญหาความผันผวนของค่าเงิน
นอกจากนั้น Terra จะมีการใช้เงินจากคลัง (Treasury) ในการสนับสนุนอัดฉีดแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ App หรือ Decentralized Application ที่มีคุณภาพ มีผลการดำเนินงานดีและได้การอนุมัติโดยผู้มีสิทธิโหวต | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1013 | Finance | Meme coin คืออะไร | null | Meme coin เป็นสกุลคริปโตฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุก บางครั้งเพื่อการล้อเลียน แซว เสียดสี โดยมีแรงบันดาลจากมาจากมีมต่างๆ ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ meme coin ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวบุกเบิก คือ เหรียญคริปโตฯ Dogecoin ที่เปิดตัวในปี 2013 โดย Jackson Palmer และ Billy Markus เป็นผู้ริเริ่ม มีจุดประสงค์ในการสร้างเหรียญเพื่อความสนุก ใช้รูปสุนัขพันธุ์ชิบะอินุเป็นโลโก้ของเหรียญ ก่อนที่ภายหลัง Elon Musk มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัท Tesla จะทำการทวีตถึงเหรียญนี้ และก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนรุนแรงในช่วงเวลาหนึ่ง
หลังจาก Dogecoin ก็มี meme coin อื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมา เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งกับ Dogecoin หรือ Dogelon Mars ที่ตั้งใจตั้งชื่อให้คล้ายกับ Elon Musk ที่หลายคนยกให้เป็นเสด็จพ่อเหรียญ Dogecoin ในช่วงหนึ่ง และหากไปดูโลโก้ของเหรียญในตระกูล meme coin ส่วนใหญ่ จะพบว่ามักจะมีลักษณะเป็นรูปการ์ตูนสุนัขตลกๆ ค่อนข้างเยอะ ข้อมูลจาก coinmarketcap พบว่ามี meme coin กว่า 250 เหรียญ
หากแพลตฟอร์มการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ ที่เลือกใช้ มีเหรียญประเภทนี้ให้ซื้อขาย ก็เท่ากับว่าสามารถลงทุนใน meme coin ได้ไม่ต่างกับเหรียญคริปโตฯ อื่น ในบางครั้งเหรียญประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงมหาศาล เช่น เหรียญ Shiba Inu ที่หากซื้อได้ในราคา ณ วันที่ 1 ม.ค. 2021 และถือมาจนวันที่ 29 ธันวาคม ของปี 2021 จะคิดเป็นผลตอบแทนมหาศาลถึง 49,000,000 % (แน่นอนว่าคงไม่น่ามีใครที่ซื้อและขายได้พอดีขนาดนี้) | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1015 | Finance | ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนใดภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ระหว่าง กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing หรือ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health | null | แนะนำกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing เพราะธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service ส่วนกองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health เป็นกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต แนะนำ
1. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cyber Security ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ ซึ่งจะทวีความสำคัญในอนาคต ที่จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลสำคัญ
2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นธุรกิจที่รองรับการเก็บข้อมูลในระบบ Cloud ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service
ส่วนธุรกิจกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ และกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต เป็นหุ้น Defensive ซึ่งผลประกอบการไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก และได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด (outperform) ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุน 2 กลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่
1. กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ซึ่งเป็นธุรกิจวิจัยและพัฒนายา-วัคซีนรักษารวมถึงป้องกันโรค
2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1016 | Finance | จงบอกประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565 | null | ประเด็นสำคัญ ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565
1. กนง. มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี (กรรมการเสียงข้างน้อย 3 เสียงมองว่าต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ได้แล้ว)
2. เป็นครั้งแรกของปีที่คณะกรรมการเสียงแตก โดย 2 ครั้งก่อนมีเสียงเป็นเอกฉันท์
3. คณะกรรมการมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยได้แรงบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ให้ กนง.ปรับคาดการณ์ การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2565 เป็น 3.3% จากเดิม 3.2% พร้อมปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็น 6.0 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4 แสนคนจากเป้าหมายเดิม 5.6 ล้านคน
4. คณะกรรมการยอมรับว่ามองเงินเฟ้อผิดพลาด จากที่มองเป็นแค่มองเป็นแค่เรื่องชั่วคราว กลับลำเป็นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอยู่นานกว่าที่ประเมินไว้เดิม จนต้องมีการปรับเป้าเงินเฟ้อในปี 2565 ขึ้นมา 6.2% จากเดิม 4.9% และปี 2566 เป็น 2.5% จากเดิม 1.7%
5. คณะกรรมการมองว่า ความจำเป็นการใช้นโยบายการเงินลดลง อย่างไรก็ตามเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องตามคาด จึงยังให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ต่อไปก่อน
6. คณะกรรมการมีการย้ำในช่วงท้ายของรายงานการประชุมว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีความชัดเจนขึ้น จึงเห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินทีผ่อนคลายในปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะลดลงในระยะข้างหน้า
7. คณะกรรมการจะพิจารณาเวลาที่เหมาะสมในการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสอดคล้องกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1018 | Finance | เงินเฟ้อ หมายถึงอะไร | null | เงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะเศรษฐกิจที่ระดับราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือถ้าพิจารณาจากค่าของเงิน เงินเฟ้อ คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ค่าเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจะซื้อของชิ้นเดิมนั้นต้องใช้เงินมากกว่าเดิม แปลง่าย ๆ อีกแบบก็คือ ของแพงขึ้นนั่นเอง
ตัวอย่างแบบง่าย ๆ เลยคือ เมื่อก่อนมีเงิน 40 บาท ตอนเด็ก ๆ ก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวกินคนเดียวได้ตั้ง 4 ชาม แต่ตอนนี้ เรื่องมันเศร้าขอตังค์เยอะ ๆ ราคาก๋วยเตี๋ยวได้ขยับราคาขึ้นตามน้ำหนัก กลายเป็น 40 บาท ซื้อได้แค่ชามเดียว ถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไปอีก 30 ปีข้างหน้า ต้องอดกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท ราคามันจะต้องขยับขึ้นแซงน้ำหนักไปจนถึงชามละ 100 กว่าบาทแน่นอน
เงินเฟ้อมันเกิดจากต้นทุนสินค้ามันแพงขึ้น และความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ต้นทุนในการผลิตสินค้าที่สูงขึ้น (Cost-Push Inflation) ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (Demand-Pull Inflation) เจ้า 2 ตัวนี้แหละที่เอาไว้มาวัดเงินเฟ้อว่าเท่าไหร่
ข้อดีของเงินเฟ้อ คือ ถ้าเงินเฟ้อนิดหน่อย ๆ ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี | 5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1019 | Finance | ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) คืออะไร | null | ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ มีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่หลักคือ ดูแลเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ อย่างเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยร้อนแรงหรือซบเซาเกินไป แบงก์ชาติก็อาจกำหนดนโยบายการเงิน อย่างการเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นต้น แต่ปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันก็คงเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายอยู่พอสมควร ที่แม้แต่อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติต่างก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงปัญหาเงินเฟ้อด้วยนั่นเอง
ตัวอย่างประเด็นสำคัญจากมุมมองของอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ
คุณชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติที่เคยอยู่ในฉากหน้าของวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งเรื่องภาระหนี้สูง การขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารนโยบายแบบประชานิยม และหากรัฐบาลไม่สามารถดูแลนโยบายการคลังได้ดีกว่านี้ ภาระจะตกที่นโยบายการเงินต่อไป ทั้งที่ปัญหาการเงินเป็นปัญหาปลายเหตุ
ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติผู้ซึ่งมีผลงานสำคัญในเรื่องการฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อแบงก์ชาติในยุคหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง แสดงทรรศนะไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือมีความกังวลต่อวินัยทางการคลังของรัฐบาล และมองว่านโยบายการคลังในเวลานี้ไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่ควรจะดำเนิน
คุณวิรไท สันติประภพ พูดถึงประเด็นที่มองว่าหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นระเบิดเวลา รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้เกินจำเป็น อย่างสินเชื่อเงินทอน ที่ให้วงเงินสูงเกินกว่าความจำเป็นในการขอสินเชื่อ เป็นต้น | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_102 | Finance | ออมเงินเดือนละ 2000 จะได้ถึงล้านมั้ย ? | 1. ยาก แต่ก็สู้ๆนะ
2. ไม่น่าได้ เงินต้องกินต้องใช้ยังไม่รู้ว่าจะพอมั้ย
3. ได้ แต่ออมแค่ 2000 บาทต่อเดือน จะให้ถึงล้านคงต้องเก็บจนถึงชาติหน้า
4. ไม่ได้ น้อยเกินไปต้องเก็บมากกว่านี้
5. ได้ ถ้าหากเริ่มต้นเก็บออมตั้งแต่อายุยังน้อยและเพิ่มเติมเงินออมตามโอกาสที่เข้ามา เช่น มีรายได้เพิ่มจากโบนัส เงินเดือนเพิ่ม หรือมีรายได้จากช่องทางอื่นๆ รวมถึงมีวินัยการเงินเคร่งครัดมีการวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดมัธยัสถ์อดออม ตลอดจนสร้างนิสัยรักการออมให้เป็นปรกติวิสัย | คำตอบได้แก่ 5.
เพราะว่า หากจะออมเงินเดือนละ 2000 แล้วจะให้ได้ถึงล้าน เราต้องมีวินัยการเงินและสร้างนิสัยเรื่องการออมได้ตั้งแต่วันนี้ โดยเริ่มต้นจากเงินเพียงเล็กน้อย แล้วพยายามสร้างวินัยเรื่องการออมที่ทำอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มต้นจากน้องๆนักเรียน นักศึกษา หรือนักศึกษาที่เพิ่งจบมาแล้วเข้าทำงานใหม่ๆและเริ่มต้นการออมเงิน จากเงินเดือนละ “ 2,000 “ บาทเท่านั้น จะเห็นว่าเงินเริ่มต้นเพียง2,000บาท ถ้าเริ่มเก็บตอนอายุ 23 ปี หลังจากจบการศึกษาและเริ่มทำงาน จากเงิน2,000 เป็นเงินเริ่มต้นที่ไม่ได้มากแต่ประสิทธิภาพคับแก้ว แตะเงินล้านได้เลย หากผลตอบแทนที่ 3% ตอนอายุ 50 ปี ก็สามารถเห็นเงินหลัก “ ล้าน “ ได้แล้ว หากผลตอบแทนที่ 5% ตอนอายุ 45 ปี ก็มีเงินล้านอยู่ในมือได้ หากผลตอบแทนที่ 8% ตอนอายุ 40 ต้นๆก็มีเงินล้านได้ แต่ทั้งนี้ จะหาผลตอบแทนที่ 8% จะต้องหาความรู้และประเมินความเสี่ยงที่เรารับได้ด้วย หากผลตอบแทนที่สูง หรือสูงมากจะต้องคำนึงถึงเรื่องความเสี่ยงด้วยว่าเป็นความเสี่ยงที่เรารับได้จริงๆ และต้องหาความรู้ทางการเงินประกอบด้วย
อย่างเก็บออมและลงทุน อย่าลงทุนตามกระแส หรือหลงกับผลตอบแทนที่สวยหรูเกินจริง สิ่งสำคัญอีกประการคือ มีรายได้มากก็ควรเก็บและลงทุนเพิ่มเติมด้วย เช่น มีรายได้เพิ่มจากโบนัส เงินเดือนเพิ่ม หรือมีรายได้จากช่องทางอื่นๆก็ควรเก็บเพิ่ม แล้วเก็บเท่าไหร่ที่เหมาะสม ?
การออมที่ดีคือการออมจากรายได้ที่มีอย่างน้อย 10-30% ของเงินได้ หากมีค่าใช้จ่ายน้อย หรือไม่มีหนี้สินก็จะเพิ่มการออมให้มากขึ้นกว่านี้ได้ ไม่มีบังคับว่าต้องเท่าไหร่ แต่ต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสม สัมพันธ์กับรายได้ ค่าใช้จ่าย หนี้สินที่เรามีด้วย ที่ไม่ทำให้เราอึดอัดจนไม่มีความสุข ขาดรสชาติของชีวิตไป
ดังนั้นหากมีเงินมากขึ้น ออมและลงทุนมากขึ้น เราอาจจะได้สัมผัสเงิน “ ล้าน “ ได้ตั้งแต่อายุน้อยๆได้ เมื่อเราเรียนรู้การเก็บเงิน ล้านแรก ได้ เงินล้านต่อไปจะง่ายขึ้น เห็นไหมว่าการที่เราจะมีเงิน “ ล้าน “ ไม่ใช่เรื่องยาก หากเรามีความตั้งใจ วินัย และสร้างนิสัยเรื่องการออม หากต้องการความรู้ หรือช่องทางการออมที่เหมาะสมนอกจากหาความรู้เอง ก็สามารถ ปรึกษานักวางแผนการเงินมืออาชีพ ที่จะคอยแนะนำและประเมินความเสี่ยงที่เรารับได้อย่างมืออาชีพได้ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1022 | Finance | จงสรุปบทความ "ความน่ากังวลของ QT เมื่อเทียบกับ Recession" | เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประเมินว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างค่อนข้างเข้มข้น โดยไม่ต้องกังวลถึงการชะลอตัวหรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐมากเท่าไรนัก เนื่องจากสิ่งที่เรียกว่าเส้นโค้งเบเวอร์ริดจ์ (Beveridge Curve) ดังรูป ซึ่งตั้งชื่อตามนักเศรษฐศาสตร์อังกฤษของพรรคเสรีนิยมที่มีชื่อว่า วิลเลียม เบเวอริดจ์ ซึ่งได้วางแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดสำคัญของแนวคิดเส้นโค้งเบเวอริดจ์ คือ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอุปสงค์ของแรงงานที่แข็งแรงอย่างเช่นในขณะนี้ ทำให้อัตราส่วนระหว่างการจ้างงาน (hires) ต่อตำแหน่งงานว่าง (Vacancies) มีค่าอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งสิ่งนี้ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐลดจำนวนการโพสต์การหาคนงาน (Vacancies) ลงค่อนข้างเยอะ ดังแกนตั้งในรูป โดยที่ไม่ได้ทำให้จำนวนการจ้างงานลดลงมามากนักแต่อย่างใด หรือระดับอัตราการว่างงาน (นั่นหมายถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย) ไม่ได้สูงขึ้นมากนัก ดังแกนนอนในรูป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของจีดีพีสหรัฐมากนัก อย่างน้อยในจุด ณ ตรงนี้ ในทางกลับกัน ณ จุดนี้ ต้นตอของแหล่งกำเนิดของเงินเฟ้อสหรัฐ โฟกัสเริ่มจะเปลี่ยนจากเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยระดับโลก อย่างปรากฏการณ์ ‘อุปทานติดขัด’ หรือ Supply Disruption หรือเงินเฟ้อที่เกิดจาก ‘สินค้า’ หรือ Good Inflation กลายมาเป็น เงินเฟ้อที่เกิดมาจาก ‘ภาคบริการ’ หรือ Bad Inflation ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตลาดแรงงานที่ร้อนแรง จนกระทั่งค่าจ้างเพิ่มขึ้นแบบหยุดไม่อยู่ โดยทั้งปัจจัยอัตราการว่างงานที่มองต่อไปในระยะสั้นไม่น่าจะมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง จีดีพีสหรัฐไม่น่าจะชะลอลงอย่างรวดเร็ว และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมาจาก Bad Inflation ในมุมมองของวอลเลอร์แล้ว เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยให้เพียงพอที่จะตัดวงจรค่าจ้างที่จะเร่งตัวขึ้นมาให้ได้ สำหรับปฏิบัติการ Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งหมายถึงการลดขนาดงบดุลของเฟดด้วยอัตราประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จะส่งผลให้สภาพคล่องของระบบการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้น โดยในประเด็นนี้ มีนักเศรษฐศาสตร์ด้านธนาคารกลางชั้นนำหลายท่านให้คำอธิบาย QT ไว้ ซึ่งผมขอนำคำอธิบายดังกล่าว มาพิจารณากลไกของ QT ของเฟด ว่าน่าจะเป็นดังนี้ ในช่วง QT เฟดได้ยอมให้พันธบัตรที่ตนเองถือครองครบอายุ โดยที่ไม่ได้ทำการซื้อพันธบัตรใหม่ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐจะจ่ายคืนเงินต้น ให้กับพันธบัตรแต่ละล็อตที่เฟดถือครองอยู่ ซึ่งเฟดจะทำการสลายเงินของตนเองที่ได้รับมา ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐต้องสร้างเงินตราใหม่เพื่อทดแทนเงินที่จ่ายคืนไป ด้วยการขายหนี้ใหม่ให้ต่อสาธารณชน เท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่อง (เงินสด เงินสำรองของแบงก์พาณิชย์ หรือเงินฝาก) ออกจากระบบการเงิน และทดแทนด้วยตั๋วพันธบัตร
ในขณะเดียวกัน โครงการ “reverse repo programme” ของเฟด จะทำให้สภาพคล่องสูงขึ้นเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด ภายใต้โครงการนี้ นักลงทุนให้เงินสดต่อเฟดและได้รับพันธบัตร (พร้อมดอกเบี้ย) เป็นการตอบแทน ซึ่งเท่ากับเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบการเงิน และทดแทนด้วยตั๋วพันธบัตร
ในช่วงนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรหรือดอกเบี้ยสหรัฐมีการแกว่งตัวเป็นอย่างมากดังเช่นที่เห็นอยู่ น่าจะมีนักลงทุนน้อยรายมากที่จะถอนเงินจาก RRP เพื่อซื้อพันธบัตรใหม่ เนื่องจากได้ไม่คุ้มเสีย
ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของตลาดพันธบัตรจึงลดลงเนื่องจาก กลไกที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องจะหนีไปหาการลงทุน ที่จะได้สภาพคล่องที่ปลอดภัยกว่าจากการขายหุ้นและตลาดเงินมากกว่า ซึ่งยิ่งขายมากเท่าไร ก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมากเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีแหล่งเงินอยู่หนึ่งประเภทที่น่าจะได้รับผลดีจากปรากฏการณ์ QT นั่นคือสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือการปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งในปีที่แล้วสามารถขยายตัวถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าร้อนแรงมากที่สุดหลังวิกฤตซับไพร์ม | เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ประเมินว่าเฟดน่าจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างค่อนข้างเข้มข้น โดยไม่ต้องกังวลถึงการชะลอตัวหรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ
จุดสำคัญของแนวคิดเส้นโค้งเบเวอริดจ์ คือ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีอุปสงค์ของแรงงานที่แข็งแรง ทำให้อัตราส่วนระหว่างการจ้างงาน (hires) ต่อตำแหน่งงานว่าง (Vacancies) มีค่าอยู่ในระดับต่ำมาก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของจีดีพีสหรัฐมากนัก
ต้นตอของแหล่งกำเนิดของเงินเฟ้อสหรัฐ ฟกัสเริ่มจะเปลี่ยนจากเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยระดับโลก อย่างปรากฏการณ์ ‘อุปทานติดขัด’ หรือ Supply Disruption หรือเงินเฟ้อที่เกิดจาก ‘สินค้า’ หรือ Good Inflation กลายมาเป็น เงินเฟ้อที่เกิดมาจาก ‘ภาคบริการ’ หรือ Bad Inflation
สำหรับปฏิบัติการ Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งหมายถึงการลดขนาดงบดุลของเฟดด้วยอัตราประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จะส่งผลให้สภาพคล่องของระบบการเงินสหรัฐตึงตัวขึ้น กลไกของ QT ของเฟด ว่าน่าจะเป็นดังนี้
1. ในช่วง QT เฟดได้ยอมให้พันธบัตรที่ตนเองถือครองครบอายุ โดยที่ไม่ได้ทำการซื้อพันธบัตรใหม่ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐจะจ่ายคืนเงินต้น ให้กับพันธบัตรแต่ละล็อตที่เฟดถือครองอยู่ ซึ่งเฟดจะทำการสลายเงินของตนเองที่ได้รับมา
2.ในขณะเดียวกัน โครงการ “reverse repo programme” ของเฟด จะทำให้สภาพคล่องสูงขึ้นเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟด
3.ในช่วงนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรหรือดอกเบี้ยสหรัฐมีการแกว่งตัวเป็นอย่างมากดังเช่นที่เห็นอยู่ น่าจะมีนักลงทุนน้อยรายมากที่จะถอนเงินจาก RRP เพื่อซื้อพันธบัตรใหม่ เนื่องจากได้ไม่คุ้มเสีย
4.ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของตลาดพันธบัตรจึงลดลงเนื่องจาก กลไกที่กล่าวข้างต้น ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องจะหนีไปหาการลงทุน ที่จะได้สภาพคล่องที่ปลอดภัยกว่าจากการขายหุ้นและตลาดเงินมากกว่า
แหล่งเงินอยู่หนึ่งประเภทที่น่าจะได้รับผลดีจากปรากฏการณ์ QT นั่นคือสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือการปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการสร้างเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งในปีที่แล้วสามารถขยายตัวถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าร้อนแรงมากที่สุดหลังวิกฤตซับไพร์ | 3.ตลาดการเงิน,1.สถาบันการเงิน,2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1023 | Finance | ตลาดอยู่ในช่วงฟองสบู่เมื่อมีปัจจัยต่าง ๆ รวมกันในอัตราที่สูง ปัจจัยที่ว่ามีอะไรบ้าง | null | Ray Dalio ได้ผ่านเหตุการณ์ฟองสบู่ในตลาดหุ้นมาอย่างมากมายภายใต้การลงทุนกว่า 50 ปี โดยเขาได้อธิบายสิ่งที่เขาคิดว่าอะไรคือปัจจัยที่ส่งผลให้เหตุผลให้เกิดฟองสบู่และใช้มันเพื่อสังเกตเหตุการณ์ในทุก ๆ ตลาด ไม่ใช่แค่ในตลาดหุ้น โดยเขาจะบอกว่า ตลาดอยู่ในช่วงฟองสบู่เมื่อมีปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้รวมกันในอัตราที่สูง
1. ราคาสินทรัพย์เกินมูลค่าไปมาก (เช่น วิธีเอามูลค่าในปัจจุบันคิดย้อนจากกระแสเงินสดเทียบกับอัตราดอกเบี้ย)
2. สถานการณ์ที่โตต่อยาก (เช่น อัตราการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทสูงมากแต่กำลังการผลิตที่เหลือมีจำกัดแล้ว จึงเป็นไปได้ยากที่จะโตต่อในอัตราเดิม)
3. มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์นั้นอย่างมาก สาเหตุจากราคาสินทรัพย์ที่ขึ้นมาเยอะ
4. คนส่วนใหญ่บอกว่าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น
5. มีเปอร์เซ็นต์การซื้อสินทรัพย์นั้นมาจากการกู้ยืมเป็นสัดส่วนที่เยอะ
6. มีการเก็งกำไรจากราคาสินทรัพย์นั้นมาก เช่น สัญญา Forward
Ray Dalio จะใช้เกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อเป็นดูว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในช่วงฟองสบู่หรือไม่
ในเดือนมกราคม 2022 เกณฑ์การวัดฟองสบู่ได้บ่งบอกว่าตลาดทุนของสหรัฐได้อยู่ในช่วงฟองสบู่แล้ว แต่ไม่ถึงกับเป็นฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุด (คิดเป็นประมาณ 70% ของฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในอดีตในช่วง 1990s และ 1920s) โดยหุ้นเทคใหม่ (เช่น Tesla และ Roku) อยู่ในช่วงฟองสบู่ขนาดใหญ่อย่างชัดเจน รวมถึงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงฟองสบู่ที่เกิดขึ้น (เช่นจาก SPAC, การบูมของ IPO, การเล่น Options) หลังจากมีสภาพคล่องจำนวนมากในระบบจากสถานการณ์โควิด โดย Ray ได้เคยโชว์หุ้นที่อยู่ในช่วงฟองสบู่และสร้างดัชนีของหุ้นเหล่านี้ขึ้นมา ตั้งแต่นั้นมา หุ้นฟองสบู่ได้แตก ราคาหุ้นตกลงแรง ระหว่างที่ S&P 500 ค่อนข้างทรงตัว ซึ่งหุ้นเทคเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในช่วงฟองสบู่แล้ว แต่ราคากำลังตกลงอย่างหนักเพราะกลไกการเทขาย ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ดีที่จะซื้อหุ้นเหล่านั้น
ฟองสบู่อาจจะใช้เวลานานในการคลี่คลาย (2 ปีสำหรับฟองสบู่ช่วง 1929 และ 1 ปีสำหรับฟองสบู่ช่วงในช่วงปลาย ’90s) ดังนั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ใช่ช่วงฟองสบู่ขนาดใหญ่แล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันปลอดภัยที่จะซื้อ ในความเป็นจริง หุ้นสหรัฐก็ยังคงดูเกินมูลค่าในการประเมินของ Ray | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1024 | Finance | การที่จำนวน User ของ Meituan 692 ล้านคน แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ 1 User อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะเหตุใด? | เพราะว่าแม้จำนวน User ไม่โตแต่ Meituan สามารถทำให้ User เดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้นั้น
ถึงแม้ว่า Meituan จะโดนผลกระทบจากรัฐบาลเหมือนกัน แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ Group-buying เพราะทั้ง Alibaba, Pinduoduo, DiDi เจอการคุมเข้มกว่ามาก อย่างในเคส DiDi โดนไปถึงให้ออกตลาดหุ้น แม้มาช้ากว่าใครแต่การเติบโต e-commerce ของ Meituan จัดว่าเร็วทีเดียว จากต้นปีที่ 2021 ที่รัฐบาลเริ่มทุบหุ้นเทคแต่ Meituan ยังโตได้ถึง 50% YoY ในส่วนธุรกิจ New initiatives ทางด้านแนวทางค่อนข้างคล้ายกับ Pinduoduo ในการให้ user รวมกลุ่มซื้อเพื่อกดราคาสินค้าให้ถูกลง โดย Meituan จะเน้นไปที่การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรง ตัดพ่อค้าคนกลางออกเพื่อลดต้นทุนนั่นเอง แต่ต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลเข้มงวดเรื่องการขยายธุรกิจเทคขาดทุนไปก่อน ซึ่งตัว Meituan ก็หนีไม่พ้นต้องลดการขายขาดทุนเพื่อเพิ่ม user และลดงบการตลาด ทำให้เริ่มกระทบการเติบโต
ตัวธุรกิจต้องจับตาว่าหลังลดเผาเงินแล้ว e-commerce จะยังโตต่อได้ไหม ถ้าได้จะเป็นสัญญานบวกเพราะ Meituan ได้ user ใหม่เข้ามาเยอะมาก สามารถเข้ามาใช้บริการอื่นจากแอปได้อีก กลับกันถ้าลดเผาเงินแล้ว e-commerce ยอดตกแรงก็เป็นสัญญานลบ แสดงว่ายอดโตเพราะการลด แลก แจก แถม ไม่ได้ยั่งยืนในระยะยาว | การที่ User 692 ล้านคน ของ Meituan แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย และการใช้งานแอปต่อ user 1 คน อยู่ที่ 37.2 ครั้งต่อปี เป็นเรื่องที่ดีเพราะแม้จำนวน user ไม่โตแต่ Meituan สามารถทำให้ user เดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในแอป
แม้ Meituan จะโดนผลกระทบจากรัฐบาลเหมือนกัน แต่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ Group-buying เพราะทั้ง Alibaba, Pinduoduo, DiDi เจอการคุมเข้มกว่ามาก อย่างในเคส DiDi โดนไปถึงให้ออกตลาดหุ้น แม้มาช้ากว่าใครแต่การเติบโต e-commerce ของ Meituan จัดว่าเร็วทีเดียว จากต้นปีที่ 2021 ที่รัฐบาลเริ่มทุบหุ้นเทคแต่ Meituan ยังโตได้ถึง 50% YoY ในส่วนธุรกิจ New initiatives ทางด้านแนวทางค่อนข้างคล้ายกับ Pinduoduo ในการให้ user รวมกลุ่มซื้อเพื่อกดราคาสินค้าให้ถูกลง โดย Meituan จะเน้นไปที่การเจรจากับผู้ผลิตโดยตรง ตัดพ่อค้าคนกลางออกเพื่อลดต้นทุนนั่นเอง แต่ต่อจากนี้คงไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะรัฐบาลเข้มงวดเรื่องการขยายธุรกิจเทคขาดทุนไปก่อน ซึ่งตัว Meituan ก็หนีไม่พ้นต้องลดการขายขาดทุนเพื่อเพิ่ม user และลดงบการตลาด ทำให้เริ่มกระทบการเติบโต
ตัวธุรกิจต้องจับตาว่าหลังลดเผาเงินแล้ว e-commerce จะยังโตต่อได้ไหม ถ้าได้จะเป็นสัญญานบวกเพราะ Meituan ได้ user ใหม่เข้ามาเยอะมาก สามารถเข้ามาใช้บริการอื่นจากแอปได้อีก กลับกันถ้าลดเผาเงินแล้ว e-commerce ยอดตกแรงก็เป็นสัญญานลบ แสดงว่ายอดโตเพราะการลด แลก แจก แถม ไม่ได้ยั่งยืนในระยะยาว | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1025 | Finance | ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ควรจะยุติการทำ QE และเริ่มทำ QT เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือไม่? | null | ไม่ เพราะถึงแม้ว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันจะอยู่ในระดับสูง แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้ออาจเริ่มชะลอตัวลง ตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 8.5% ซึ่งแม้จะสูง แต่ก็ลดลงจาก 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2566 การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 ในส่วนของตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมา การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น negatively
ด้านเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงหลายประการ เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ การระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ การเริ่มทำ QT เร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง
สำหรับนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันของนโยบายการเงิน
ส่วนผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ negatively
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:
Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
Fed ควรประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ
Fed ควรสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน
สรุป:
การเริ่มทำ QT ของ Fed เร็วเกินไปอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี Fed ควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ประสานงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ และสื่อสารนโยบายการเงินอย่างชัดเจน | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1026 | Finance | เหรียญ USDT ของ Tether คืออะไร | null | เหรียญ USDT เป็นเหรียญ Stablecoin ที่สร้างขึ้นโดย Tether และมีการตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราส่วน 1:1 กล่าวคือ 1 USDT มีมูลค่าเท่ากับ 1 USD ซึ่งได้รับการสำรองอย่างเต็มจำนวนจากเงินสำรองของ Tether
นอกจากเหรียญ USDT ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว Tether ยังได้ออกเหรียญ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับสกุลเงินอื่น ๆ อีกด้วย ได้แก่ EURT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินยูโร, CNHT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินหยวน, MXNT ตรึงมูลค่ากับค่าเงินเปโซเม็กซิโก
โดยในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ Tether มีการรองรับบนหลาย Blockchain ด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น Ethereum Blockchain, Polygon Blockchain, Solana Blockchain, Avalanche Blockchain เป็นต้น
ด้วยความที่เหรียญ Stablecoin แต่ละเหรียญของ Tether มีความเชื่อมโยงกับเงินสำรองโดยตรง Tether จึงได้มีการให้บริษัทตรวจสอบบัญชี Moore Cayman เข้ามาตรวจสอบในทุก ๆ ไตรมาส และจะมีการประกาศรายงานการสำรองดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ Tether เพื่อทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจในเรื่องความโปร่งใสและมีการสำรองอย่างครบถ้วน
คำเตือน
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1027 | Finance | ตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงตามสิ่งใด | เริ่มยุคทองหุ้นซุปเปอร์สต็อกเวียดนาม?
วิวัฒนาการการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมในช่วงประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านก็คือ ช่วงที่ 1 หรือช่วงแรก เป็นการรีบลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นไทยไปสู่เวียดนามที่ผมเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจสดใสและกำลังกลายเป็น “ดาราดวงใหม่” ของโลก แต่เพราะไม่รู้จักหุ้นรายตัวเลยและก็ไม่รู้ว่ามีกองทุนอิงดัชนีหรือไม่ ผมจึงใช้วิธีคัดกรองหุ้นด้วยหลักการแบบ “VI” เลือกหุ้นทุกตัวที่มีค่า P/E ไม่เกิน 10 เท่า P/B ไม่เกิน 1 เท่า ปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 5% และมีขนาดของหุ้นทั้งบริษัทหรือ Market Cap. ไม่ต่ำกว่าประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งทำให้ได้หุ้นมาร้อยกว่าตัวและหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดไม่เกิน 4-5 ล้านบาท เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ส่วนใหญ่แล้วผมไม่รู้เลยว่าบริษัทชื่ออะไรและทำอะไรจนถึงวันนี้ ต่อมาเมื่อเริ่มมีความรู้มากขึ้น ผมก็เริ่มเลือกหุ้นเป็นรายตัวโดยอาศัยคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และบางส่วนก็เลือกหุ้นแนว Defensive เช่นเขื่อนและโรงไฟฟ้า รวมถึงกิจการสาธารณูปโภคเช่น ทางด่วนและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่ผมคิดว่ามีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงพอสมควรอานิสงค์จากการที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนตาม ต้นทุนเงินทุนหรือ IRR ที่สูงกว่าของไทยมาก ขนาดของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควรแต่จำนวนหุ้นที่ลงทุนก็ยังค่อนข้างมากคือน่าจะประมาณ 30 ตัว ต่อมาเมื่อเริ่มมีความรู้มากขึ้น ผมก็เริ่มเลือกหุ้นเป็นรายตัวโดยอาศัยคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ และบางส่วนก็เลือกหุ้นแนว Defensive เช่นเขื่อนและโรงไฟฟ้า รวมถึงกิจการสาธารณูปโภคเช่น ทางด่วนและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่ผมคิดว่ามีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงพอสมควรอานิสงค์จากการที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนตาม ต้นทุนเงินทุนหรือ IRR ที่สูงกว่าของไทยมาก ขนาดของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควรแต่จำนวนหุ้นที่ลงทุนก็ยังค่อนข้างมากคือน่าจะประมาณ 30 ตัว รอบที่สามนั้น น่าจะเรียกว่าเป็นการเริ่มลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนามที่เป็นหุ้นที่ผมชอบและลงทุนเป็นหลักในตลาดหุ้นไทยมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่เนื่องจากหุ้นที่ผมเห็นว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียดนามในอดีตหลายปีก่อนหน้านั้น มักจะเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจและเข้าไปซื้อหุ้นจนติดเพดานการลงทุนเช่น ถือหุ้นถึง 30% หรือ 50% ของบริษัทไปแล้ว ทำให้ไม่มีหุ้นซื้อขายในกระดาน ชาวต่างชาติรายใหม่ที่จะซื้อก็ต้องไปซื้อเป็นบิ๊กล็อตต่อจากคนที่ถืออยู่ และต้องจ่ายราคาที่มี Foreign Premium บางที 3-40% จากราคาตลาดซึ่งทำให้ผม “ไม่ยอมซื้อ”
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง หุ้นซุปเปอร์สต็อกเหล่านั้นบางตัวก็เริ่มมีพรีเมี่ยมลดลงเหลือเพียง 7-10% ผมจึงเริ่มลงทุนในหุ้นซุปเปอร็สต็อกมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญจนกระทั่งมีการจัดตั้ง “กองทุนซุปเปอร์สต็อก” ในตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นคือ “ETF ไดมอนด์” ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนท้องถิ่นของเวียดนามที่ชาวต่างชาติลงทุนได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีพรีเมียม ดังนั้น ผมจึงเข้าไปลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ รอบที่สามนั้น น่าจะเรียกว่าเป็นการเริ่มลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนามที่เป็นหุ้นที่ผมชอบและลงทุนเป็นหลักในตลาดหุ้นไทยมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่เนื่องจากหุ้นที่ผมเห็นว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียดนามในอดีตหลายปีก่อนหน้านั้น มักจะเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจและเข้าไปซื้อหุ้นจนติดเพดานการลงทุนเช่น ถือหุ้นถึง 30% หรือ 50% ของบริษัทไปแล้ว ทำให้ไม่มีหุ้นซื้อขายในกระดาน ชาวต่างชาติรายใหม่ที่จะซื้อก็ต้องไปซื้อเป็นบิ๊กล็อตต่อจากคนที่ถืออยู่ และต้องจ่ายราคาที่มี Foreign Premium บางที 3-40% จากราคาตลาดซึ่งทำให้ผม “ไม่ยอมซื้อ” อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง หุ้นซุปเปอร์สต็อกเหล่านั้นบางตัวก็เริ่มมีพรีเมี่ยมลดลงเหลือเพียง 7-10% ผมจึงเริ่มลงทุนในหุ้นซุปเปอร็สต็อกมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญจนกระทั่งมีการจัดตั้ง “กองทุนซุปเปอร์สต็อก” ในตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นคือ “ETF ไดมอนด์” ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนท้องถิ่นของเวียดนามที่ชาวต่างชาติลงทุนได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีพรีเมียม ดังนั้น ผมจึงเข้าไปลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ การลงทุนรอบที่ 4 และยังต่อเนื่องถึงปัจจุบันก็คือการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกเป็นหลักและเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หุ้นที่เลือกจะเป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติครบที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่จะเติบโตต่อเนื่องระยะยาว นั่นก็คือ อยู่ในเมกะเทรนด์ เป็นผู้ที่จะชนะและเหนือกว่าคู่แข่งมาก มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และราคาไม่แพง ซึ่งหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมเลือกนั้น ก็อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในประเทศไทยที่ผมลงทุนมานานเกือบ 20 ปี ผมยังต้องจ่ายพรีเมียมหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7% แต่บางตัวก็สามารถซื้อได้โดยไม่มีพรีเมียม และเหตุผลที่ผมเลิกซื้อ ETF ไดมอนด์นั้นเป็นเพราะ หุ้นในกองทุนนั้นมีหุ้นอื่นโดยเฉพาะหุ้นแบงก์ที่ผมไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกจำนวนมากรวมอยู่ด้วย
ถึงวันนี้ พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมประกอบไปด้วยหุ้นหลัก ๆ ที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 6-7 ตัวรวมไดมอนด์ ทั้งหมดรวมกันน่าจะประมาณ 60% ของพอร์ต และหุ้น Defensive ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสเติบโตระยะยาวแบบช้า ๆ ได้ น่าจะซัก 15% รวมเป็น 75% ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กอีกร้อยกว่าตัวนั้นน่าจะมีสัดส่วนเหลือเพียง 25% การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมนั้น ฃไม่ใช่ “ตลาดหุ้นทางเลือก” อีกต่อไป มันเป็นตลาดหลักอีกแห่งหนึ่ง
ปีที่แล้วทั้งปี เป็นปีที่ตลาดเวียดนามเติบโตขึ้นมากอานิสงส์ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คนเป็นล้าน ๆ ต่างเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น จำนวนมากใช้มาร์จินเต็มเพดาน พวกเขาเข้ามาซื้อ- ขายหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ และหุ้นแนวโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฎจักรรวมถึงหุ้นแบงก์กันอย่างหนักทำให้ดัชนีตลาดบวกเพิ่มขึ้นถึง 35% แต่หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมถืออยู่ประมาณ 6-7 ตัว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงประมาณ 12.5% อย่างไรก็ตาม พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็ก ๆ นับเป็นร้อยตัวมีการปรับตัวขึ้นมากจนทำให้พอร์ตเวียดนามของผมปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% กลายเป็นปีทองของพอร์ตหุ้นเวียดนาม
ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตาม “เทรนด์ของโลก” ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปีน่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น
ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต การลงทุนรอบที่ 4 และยังต่อเนื่องถึงปัจจุบันก็คือการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกเป็นหลักและเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หุ้นที่เลือกจะเป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติครบที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่จะเติบโตต่อเนื่องระยะยาว นั่นก็คือ อยู่ในเมกะเทรนด์ เป็นผู้ที่จะชนะและเหนือกว่าคู่แข่งมาก มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และราคาไม่แพง ซึ่งหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมเลือกนั้น ก็อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในประเทศไทยที่ผมลงทุนมานานเกือบ 20 ปี ผมยังต้องจ่ายพรีเมียมหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7% แต่บางตัวก็สามารถซื้อได้โดยไม่มีพรีเมียม และเหตุผลที่ผมเลิกซื้อ ETF ไดมอนด์นั้นเป็นเพราะ หุ้นในกองทุนนั้นมีหุ้นอื่นโดยเฉพาะหุ้นแบงก์ที่ผมไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกจำนวนมากรวมอยู่ด้วย ถึงวันนี้ พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมประกอบไปด้วยหุ้นหลัก ๆ ที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 6-7 ตัวรวมไดมอนด์ ทั้งหมดรวมกันน่าจะประมาณ 60% ของพอร์ต และหุ้น Defensive ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสเติบโตระยะยาวแบบช้า ๆ ได้ น่าจะซัก 15% รวมเป็น 75% ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กอีกร้อยกว่าตัวนั้นน่าจะมีสัดส่วนเหลือเพียง 25% การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมนั้น ฃไม่ใช่ “ตลาดหุ้นทางเลือก” อีกต่อไป มันเป็นตลาดหลักอีกแห่งหนึ่ง ปีที่แล้วทั้งปี เป็นปีที่ตลาดเวียดนามเติบโตขึ้นมากอานิสงส์ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คนเป็นล้าน ๆ ต่างเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น จำนวนมากใช้มาร์จินเต็มเพดาน พวกเขาเข้ามาซื้อ- ขายหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ และหุ้นแนวโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฎจักรรวมถึงหุ้นแบงก์กันอย่างหนักทำให้ดัชนีตลาดบวกเพิ่มขึ้นถึง 35% แต่หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมถืออยู่ประมาณ 6-7 ตัว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงประมาณ 12.5% อย่างไรก็ตาม พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็ก ๆ นับเป็นร้อยตัวมีการปรับตัวขึ้นมากจนทำให้พอร์ตเวียดนามของผมปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% กลายเป็นปีทองของพอร์ตหุ้นเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตาม “เทรนด์ของโลก” ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปีน่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ: | ตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตามเทรนด์ของโลก ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่เลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2565 ที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ และที่คิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปี 2565 น่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น
ความรู้สึกลึก ๆ ก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ กัน ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1028 | Finance | การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะเหตุใด ระหว่าง แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน หรือ ให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ | null | แต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน การปั๊มชีพจรเศรษฐกิจจากปัญหาเงินเฟ้อแบบหนักมือ Demand ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ Supply ตาม Demand ขึ้นมาไม่ทัน เพราะแต่ละประเทศมีนโยบายการคุม COVID แตกต่างกัน เช่น ช่วงกลางปี 2564 สหรัฐและยุโรปเปิดประเทศ แต่หลายประเทศในเอเชีย รวม ไทย ประกาศล็อกดาวน์ Demand จึงยิ่งฉีกห่างออกจาก Supply เงินเฟ้อมันถึงได้เร่งตัว ความจริงเงินเฟ้อมาตั้งแต่ต้นปี 2564 แล้ว เห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะพวกโลหะมีค่ามันพุ่งกระฉูดทะลุเพดานกันเป็นว่าเล่น และความที่เงินมันสะพัดมาก (จากการอัดเงินของ Fed) บรรดาพวกสินทรัพย์เสี่ยง ถึงได้ขึ้นกันเป็นสิบ ๆ เท่า ดังนั้นปัญหาเงินเฟ้อรอบนี้ ต้องทำความเข้าใจกันใหม่ด้วยว่า ไม่ใช่เพราะเรื่อง supply bottleneck เหมือนอย่างที่ Fed หรือใครๆ บอกออกมา แต่มันเป็นเพราะตัว Fed ล้วน ๆ
ส่วนการให้สหรัฐพ้นเงินเฟ้อ เป็นเป้าหมายใหญ่ของการทำ QE Fed แต่ก็ไม่ได้สนใจว่าจะทำให้โลกวุ่นวายขนาดไหน โอกาสที่ Fed ขึ้นดอก ทำ QT เพื่อการเพิ่มกระสุนให้ตัวเอง และเตรียมกลับมาทำ QE ในอนาคต กลไกนี้มันเกิดขึ้นแน่ ๆ อยู่แล้ว หากเศรษฐกิจมันตกต่ำมาก ๆ แต่ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขของเงินเฟ้อต่ำด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ในตอนที่ Stagflation มันชัดเจนซะขนาดนี้ ภารกิจหลักจึงต้องจัดการเงินเฟ้อ ไม่ใช่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_103 | Finance | สรุปบทความเกี่ยวกับ วางแผนการเงินแบบ “RICH” | เรามีแผนที่จะโอบอุ้มโอกาสแน่นอน แต่โลกก็ไม่สวยงามเสมอไป คนส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวที่จะเจอกับปัญหาแน่นอน ดังนั้นเมื่อเราเจอปัญหาหรืออุปสรรคเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนไม่ชอบ แต่รู้ไหมว่า อุปสรรคนั้นคือประตูแห่งโอกาส ถ้าเราเข้าใจ อุปสรรคก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอีกต่อไป
การวางแผนการเงินจึงเป็นพิมพ์เขียวที่เราจะวาดฝันสิ่งที่เราต้องการ และประเมินความเสี่ยงในหลายๆด้านที่จะเกิดขึ้น
เชื่อไหมว่า ปัญหา และอุปสรรคเกิดขึ้นได้กับทุกคน คนที่ประสบผลสำเร็จนั้นมีวิธีการที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง
วางแผนการเงินอย่างไรให้พร้อมรับกับทุกสถานะการณ์ Trick คำ4คำง่ายๆที่ทำให้เราจำพื้นฐานของการวางแผนทางการเงินได้อย่างสบายๆ แล้วเราจะ RICH ไปด้วยกัน
R ( Rource of Revenue ) เห็นด้วยไหมว่า คนเราจะมีเงินได้ ต้องมีแหล่งของรายได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะเป็นเหมือนหัวเชื้อให้เรามีเงินได้ คือเราต้องมีแหล่งของรายได้
แล้วแหล่งรายได้ของเรามีความมั่นคงมากน้อยขนาดไหม งานบางงานมีรายได้ไม่มาก แต่ความมั่นคงสูง งานบางงานได้รายได้สูง แต่ความเสถียรของรายได้มีไม่มาก รวมถึงช่องทางของรายได้มีช่องทางเดียว หรือรายได้เรานั้นมีหลายช่องทาง คนในปัจจุบันจำนวนไม่น้อยเลยที่มีแหล่งของรายได้มากกว่า หนึ่งช่องทาง เช่น มีงานประจำอยู่ แล้วเปิดร้านในช่องทาง onlineขายของ บางคนมีงานอดิเรกที่สร้างรายได้ไปด้วยในตัวก็มีมากมาย รับสอนพิเศษ หรือรับงานเป็นที่ปรึกษาโดยเอาความรู้ความสามารถที่มีเพิ่มช่องทางของรายได้มากขึ้น
I ( Interested on Investment) สนใจและให้ความสำคัญกับการลงทุน เชื่อไหมว่าถ้าเราเอาเงินที่เราหาได้มาฝังตุ่ม นอกจากเงินไม่งอกเงยแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการถูกปลวกกิน แล้วสิ่งที่เราต้องเจอแน่ๆคือเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้เงินที่มีอยู่ด้อยค่าลงไป
ดังนั้นอย่ากลัวเรื่องการลงทุน หลายคนอาจจะเคยเจ็บตัวจากการลงทุนที่ผิดพลาด นั้นอาจจะเป็นเพราะเรายังไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน ที่สำคัญ ลงทุนเกินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ จากการเห็นผลตอบแทนที่มากเป็นตัวเร้าให้เรากระโดดรีบเข้าไปลงทุน การลงทุนที่ดี ต้องเข้าใจเรื่องการจัด Port Allocation และลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้จริงๆ ไม่ไปตามกระแส ไม่ไปตามผลตอบแทนที่สูงเกินจริง
C ( Calculate Expense ) อย่าลืมว่าเมื่อเรามีรายได้ เราก็มีรายจ่ายเช่นกัน การจัดสรรรายจ่ายให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่ากินอยู่ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่อนชำระต่างๆไม่ควรเกินความสามรถที่จ่ายได้ด้วย เช่นค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ หนี้สินต่างๆ ไม่ควรเกิน 40%ของรายได้ ไม่งั้นจะอึดอัดมาก
ควรซื้อของที่จำเป็น อย่าหลวมตัวไปซื้อของที่ไม่จำเป็น ด้วยเงินที่ยังไม่มี เพื่ออวดคนที่เราไม่ชอบ เด็ดขาด
รายจ่ายที่สำคัญอีกอันที่ควรจะกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยคือรายจ่ายเพื่อการออม คนส่วนใหญ่มักจะจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างหมดแล้ว เงินที่เหลือถึงจะออม เราลองกลับข้างดูสักนิดว่าการออมเป็นเรื่องสำคัญดังนั้น เก็บเงินออมก่อน รวยกว่า
H ( Habit )สร้างนิสัยการมีวินัยการออมและการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเราขาดวินัยของการทำให้เป็นนิสัย ทุกอย่างที่เราวางแผนไว้ รับรองว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน เช่น การจดบันทึก รายรับ รายจ่าย ,มีรายได้มาต้องจัดเข้ากระเป๋าของการออมก่อนค่อยใช้ เป็นต้น
เห็นด้วยไหมว่า เราจะ “ RICH “ นั้นไม่ยากเกินไป ลองเอาไปใช้ดู ยังมีอีกสิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ด้วย คือเรื่องบริหารความเสี่ยงต่างๆที่ไม่คาดฝัน ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความสูญเสีย เสียหายมาก ถ้าโอนย้ายความเสี่ยงเหล่านี้ได้ก็ควรจะจัดการ เพื่อไม่ให้แผนการเงินที่เราวางไว้เกิดผลกระทบ หรือไม่ตรงกับเป้าหมายที่ได้วางไว้ | การวางแผนการเงินถือเป็นพิมพ์เขียวที่ช่วยให้เราสามารถวาดฝันและประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น มี Trick ให้จำง่ายๆ คือ
R ( Rource of Revenue ) คือการมีแหล่งรายได้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน
I (Interested on Investment) การสนใจและให้ความสำคัญกับการลงทุน
C ( Calculate Expense ) การจัดสรรรายจ่ายให้เหมาะสม
H ( Habit )สร้างนิสัยการมีวินัยการออมและการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
สิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ด้วย คือเรื่องบริหารความเสี่ยงต่างๆที่ไม่คาดฝัน ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เกิดความสูญเสีย เสียหายมาก | 5.ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1031 | Finance | DeFi มาจากการหยิบเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย โปร่งใส และไร้ตัวกลาง เข้ากับฟีเจอร์ Smart Contract ที่เริ่มต้นนำเสนอโดย Ethereum Blockchain ใช่หรือไม่ | null | ใช่ จุดเริ่มต้นของ DeFi
DeFi มาจากการหยิบเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัย โปร่งใส และไร้ตัวกลาง เข้ากับฟีเจอร์ Smart Contract ที่เริ่มต้นนำเสนอโดย Ethereum Blockchain
ทำให้ Blockchain สามารถนำมาใช้งานได้หลากหลาย รวมถึงการนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนา DeFi ที่ทำให้หลากหลายธุรกรรมเกิดขึ้นได้เมื่อเงื่อนไขครบถ้วนตามโค้ดที่ได้เขียนเอาไว้ใน Smart Contract
เช่น ธุรกรรมกู้ยืมเงิน ที่หากไม่มีการคืนเงินกู้ตามกำหนดในสัญญา ระบบก็จะดึงสินทรัพย์ค้ำประกันคืนแก่ผู้กู้ได้อัตโนมัติ เป็นต้น
Yield Farming…อีกหนึ่งธุรกรรมที่เกิดจากโลกของ DeFi
Yield Farming นับว่าเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการเป็นผู้มอบสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์ม DeFi ที่เราใช้บริการอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนในรูปแบบของ Token หรือส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม ซึ่งมีกลไกคล้ายกับการรับดอกเบี้ยจากการฝากเงินในธนาคารในระบบการเงินแบบดั้งเดิม เพียงแต่การตัดตัวกลางออก ก็อาจทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนจากการฝากเงินที่มากกว่า
สิ่งที่ควรศึกษา เมื่อใช้บริการ DeFi
เมื่อการใช้บริการ DeFi มาจากความตั้งใจจะไม่พึ่งพาตัวกลาง ก็เท่ากับผู้ใช้บริการมีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น การศึกษาความรู้ก่อนเริ่มต้นใช้บริการหรือลงทุนใน DeFi จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุดโดยเฉพาะในประเด็นที่เป็นข้อจำกัดในการใช้บริการ
เช่น การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม DeFi ที่อาจทำความเข้าใจได้ยากสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์ รายละเอียดการทำธุรกรรมบางอย่างที่มีความซับซ้อน และอาจเป็นปัญหาเมื่อเกิดข้อพิพาททางกฎหมาย
ความเสี่ยงทางเทคนิคใหม่ ๆ เช่น Impermanet Loss ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของราคา Cryptocurrency ที่นำมาทำธุรกรรม หรือค่า Gas ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมในโลก DeFi ที่อาจมีราคาสูงมากในช่วงที่มีความต้องการทำธุรกรรมที่สูง
ถึงแม้ DeFi จะยังใหม่และมีพื้นที่ให้ได้ปรับปรุงแก้ไขอีกมาก แต่โลกของ DeFi เองก็ยังไม่หยุดพัฒนาและยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมากเช่นกัน และในวันนี้ไม่ว่าเราจะเลือกใช้บริการ DeFi หรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่า DeFi ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับระบบการเงินของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1032 | Finance | ช่วยสรุปบทความ เจาะลึกกองทุน AFMOAT-H กองทุนป้อมปราการเหล็ก ทนทานทุกสภาวะตลาด” I สรุป LIVE Market Talk | สถานการณ์ของตลาดในฝั่งของ Growth Stock และ Value Stock ในมุมมองของ ทาลิส
สถานการณ์ปีนี้ของตลาดโลกมีความเสี่ยงหลัก ๆ คือ ปัญหาในเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 และมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลกระทบกับราคาน้ำมัน ราคาพลังงาน และราคาสินค้าเกษตรเป็นหลัก ทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อยังคงอยู่ และผู้คนมีความกังวลว่า เงินเฟ้อจะยืดเยื้อต่อไปหรือไม่
ทางด้านสหรัฐฯ เอง เกรงว่า เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ไม่มีเสถียรภาพ ทางธนาคารกลางหรือ FED จึงออกนโยบายคุมเงินเฟ้อโดยการลดสภาพคล่องในระบบ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อันจะเป็นวิธีที่สามารถต่อกรกับเงินเฟ้อได้ ซึ่งมีผลกระทบกับหุ้น Growth ประการแรกคือ เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น มีผลทำให้ Discount Rate สูงขึ้น ส่งผลให้การประเมินมูลค่าของบริษัทต่าง ๆ ลดลง
ประการที่สองคือ ความคาดหวังในการเติบโตของหุ้น Growth ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันไม่แน่นอน ความคาดหวังที่หุ้นจะโตถึง 30% – 50% จึงลดลง ทำให้การเติบโตลดลงด้วย ส่งผลให้ราคาหุ้น Growth ถูก Valuation ที่ปรับตัวลงค่อนข้างมาก จึงทำให้นักลงทุนเริ่มย้ายไปลงทุนในกลุ่ม Value Stock มากขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Value มีผลตอบแทนจากเงินปันผล และค่อนข้างปลอดภัยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น Growth เพียงอย่างเดียว จึงเป็นเหตุผลว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้น Growth ถูกเทขาย ในขณะที่หุ้น Value อาจมีราคาลงบ้าง แต่ในระดับที่น้อยกว่าหุ้น Growth หรือหุ้นบางตัวอาจจะมีการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Value ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าจำเป็น เช่น กลุ่มอาหาร เป็นต้น เราจึงเห็นได้ว่า Growth Stock มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Value Stock นั่นเอง | ตลาด Growth Stock และ Value Stock ในมุมมองของ ทาลิส ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตลอด ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2021 ทำให้เป็นปัญหาหลักของตลาดโลกในปัจจุบัน สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนก็เพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน พลังงาน และสินค้าเกษตร ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อยังคงสูง ทางสหรัฐฯกังวลว่าการเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อต่อไปอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ
เพื่อเข้ามีการควบคุมเงินเฟ้อ ทาง FED มีนโยบายลดสภาพคล่องในระบบและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ การเพิ่มดอกเบี้ยนี้มีผลต่อหุ้น Growth โดยทำให้ Discount Rate สูงขึ้น ส่งผลให้การประเมินมูลค่าของบริษัทลดลง
ความคาดหวังในการเติบโตของหุ้น Growth ลดลงเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่แน่นอน ทำให้การเติบโตของหุ้นนั้นลดลงถึง 30% - 50% และราคาหุ้น Growth ถูก Valuation ลดลงมาก นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะย้ายไปลงทุนในกลุ่ม Value Stock ที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลและค่อนข้างปลอดภัยกว่า หุ้น Value มีโอกาสปรับราคาขึ้น แม้ว่าหลายหุ้น Value อาจมีการลดลงบ้าง แต่มีบางตัวที่มีการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะหุ้น Value ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจำเป็น เช่น กลุ่มอาหาร หุ้น Growth มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Value Stock ทำให้มีการขายออกของหุ้น Growth และนักลงทุนมีความสนใจในหุ้น Value มากขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา | 2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1037 | Finance | จงสรุปบทความ กลยุทธ์แบบ Growth and Value Rotation | เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกลยุทธ์แบบ Sector Rotation ซึ่งใช้วิธีการปรับพอร์ตผ่านการสลับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมกันมาบ้าง เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินกลยุทธ์แบบ Sector Rotation ซึ่งใช้วิธีการปรับพอร์ตผ่านการสลับเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมกันมาบ้าง แต่มีอีก 1 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีคือ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) แต่มีอีก 1 กลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีคือ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่าง S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) ในวันนี้ผมขอยกตัวอย่าง S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า) เป้าหมายของ S&P 500 Growth Value Rotator Index คือการใช้ประโยชน์จากกลุ่มหุ้นทั้งสองรูปแบบ โดยจะสลับไปมาระหว่างกลยุทธ์การเติบโตและมูลค่าตาม Momentum ผ่านคำนวณ Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน โดยจะมีการ Rebalance ทุกๆ เดือน เป้าหมายของ S&P 500 Growth Value Rotator Index คือการใช้ประโยชน์จากกลุ่มหุ้นทั้งสองรูปแบบ โดยจะสลับไปมาระหว่างกลยุทธ์การเติบโตและมูลค่าตาม Momentum ผ่านคำนวณ Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน โดยจะมีการ Rebalance ทุกๆ เดือน ถ้าสิ้นเดือน S&P500 Growth Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Value Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Growth Index ถ้าสิ้นเดือน S&P500 Growth Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Value Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Growth Index แต่ถ้า สิ้นเดือน S&P500 Value Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Growth Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Value Index แต่ถ้า สิ้นเดือน S&P500 Value Index มี Price Momentum ระยะเวลา 12 เดือน ชนะ S&P500 Growth Index ก็จะลงทุนใน S&P500 Value Index ดัชนี S&P 500 Growth Value Rotator มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า S&P500 อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1995 ถึงกรกฎาคม 2019 โดยสร้าง ดัชนี S&P 500 Growth Value Rotator มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า S&P500 อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1995 ถึงกรกฎาคม 2019 โดยสร้าง ดูได้จากรูปข้างล่าง โดยเอาชนะทั้ง S&P500 Value , S&P500 Growth และ S&P500 ดูได้จากรูปข้างล่าง โดยเอาชนะทั้ง S&P500 Value , S&P500 Growth และ S&P500 ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต จากรูปผลการดำเนินที่ผ่านมาให้อดีต S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด สามารถสรุปดังนี้ จากรูปผลการดำเนินที่ผ่านมาให้อดีต S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด สามารถสรุปดังนี้ ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา : www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 มาดูผลตอบแทนในอดีตมีดังนี้ มาดูผลตอบแทนในอดีตมีดังนี้ ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ที่มา: www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ที่มา: www.spglobal.com www.spglobal.com วันที่ 27 พฤษภาคม 2022 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92% ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต | กลยุทธ์ Growth and Value Rotation ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนระหว่างกลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า)
S&P 500® Growth Value Rotator Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ Momentum Rotation ในการสลับไปมาระหว่าง กลุ่มหุ้น Growth (เติบโต) และ หุ้น Value(คุณค่า)
S&P500 Growth Value Rotator Index สามารถทำผลตอบแทนชนะทั้งสามดัชนี แต่อย่างไรจะมี Volatility มากกว่าทั้งสามดัชนี แต่ถ้าวัดด้วย Risk-Adjusted Return จะก็ยังชนะทั้งสามตลาด
ผลตอบแทนระยะยาวชนะ S&P500 แม้ว่า ระยะสั้นจะแพ้ ดังเช่นในปี 2022 ผลตอบแทน S&P 500® Growth Value Rotator Index ได้ -19.45% ในขณะที่ผลตอบแทน S&P500 อยุ่ที่ -12.92%
ดัชนี S&P 500® Growth Value Rotator Index จึงเป็นอีกดัชนีหุ้นที่มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจและได้ประโยชน์ทั้งสองกลุ่มหุ้น
โดยนักลงทุนสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ในการลงทุนได้ในอนาคต | 11.เทคโนโลยีทางการเงิน,2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_104 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ ข้อดีของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ | null | ข้อดีของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ มีอยู่ 2 ข้อ ข้อแรก คือ การส่งต่อทรัพย์สินให้คนในครอบครัวหลังตนเองเสียชีวิต แม้ประกันชีวิตแบบนี้จะมีจำนวนความคุ้มครองชีวิตที่ใกล้เคียงกับค่าเบี้ยประกันที่ชำระไป แต่ก็สามารถระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ได้ชัดเจน เปรียบเสมือนการเขียนพินัยกรรม เพื่อยกเงินผลประโยชน์ให้กับคนในครอบครัว โดยสามารถระบุสัดส่วนของจำนวนเงินเอาประกันที่ผู้รับผลประโยชน์แต่ละคนจะได้รับ โดยมีบริษัทประกันชีวิตเข้ามาดำเนินการจ่ายเงินเอาประกันตามเจตนาที่แจ้งไว้ หลังจากที่ผู้เอาประกันได้จากโลกนี้ไป ส่วนข้อดีอีกข้อหนึ่ง คือ การเพิ่มผลตอบแทนให้กับเงินที่สะสมไว้ ซึ่งประกันชีวิตแบบนี้นอกจากจะมีประกันจ่ายสั้น ขยันคืน 15/6 การันตี ที่มีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือประกันจนครบสัญญาหรือ IRR ที่แน่นอนอยู่ที่ 1.65% ต่อปีแล้ว ยังมีประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนหรือ IRR การันตีขั้นต่ำ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากเงินปันผลที่ได้รับเมื่อครบสัญญา โดยอ้างอิงจากผลการดำเนินงานของดัชนีอ้างอิงด้วย
บทเรียนจากย่อหน้านี้
ข้อดีของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ หลักๆ มีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
(1) ส่งต่อทรัพย์สินให้คนในครอบครัวหลังตนเองเสียชีวิต
แม้ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ มักมีจำนวนความคุ้มครองชีวิตที่น้อยหรือใกล้เคียงกับค่าเบี้ยประกันที่ได้ชำระไป แต่ก็สามารถระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ได้ชัดเจน เปรียบเสมือนการเขียนพินัยกรรมเพื่อยกเงินผลประโยชน์ให้กับคนในครอบครัวโดยสามารถระบุสัดส่วนของจำนวนเงินเอาประกันที่ผู้รับผลประโยชน์แต่ละคนจะได้รับ โดยมีบริษัทประกันชีวิตเป็นบุคคลที่สามที่จะเข้ามาดำเนินการจ่ายเงินเอาประกันตามเจตนาที่แจ้งไว้ หลังจากที่ผู้เอาประกันได้จากโลกนี้ไป
(2) เพิ่มผลตอบแทนให้กับเงินที่สะสมไว้
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ นอกจาก “ประกันจ่ายสั้น ขยันคืน 15/6 การันตี” ที่มีอัตราผลตอบแทนเมื่อถือประกันจนครบสัญญาหรือ IRR ที่แน่นอนอยู่ที่ 1.65% ต่อปีแล้ว ยังมีประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนหรือ IRR การันตีขั้นต่ำ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากเงินปันผลที่ได้รับเมื่อครบสัญญา โดยอ้างอิงจากผลการดำเนินงานของดัชนีอ้างอิงด้วย อีกทั้งเบี้ยประกันชีวิตยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขสรรพากรได้ด้วย | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1041 | Finance | ข้อใดไม่ใช่ความแตกต่างของทองไทยและทองโลก | ก. ทองคำที่ซื้อขายกันในตลาดโลกจะมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.99%
ข. มีการนำเข้าทองคำมาในประเทศไทย จึงมีการเพิ่มโลหะอื่นอย่างทองแดง นาค เงิน เข้ามาด้วย
ค. ราคาทองโลกจะมีที่มาจากราคาซื้อขายทองคำ 99.99% ผ่านตลาด Gold Spot
ง. หากนำทอง 96.5% ไปขายต่อในตลาดต่างประเทศ อาจจะขายได้ยากหรือขายได้ในราคาที่น้อยลง | คำตอบได้แก่ ค. เนื่องจาก เพราะราคาทองโลกจะมีที่มาจากราคาซื้อขายทองคำ 99.99% ผ่านตลาด Gold Spot กล่าวถึงประเด็นของราคาทองคำ
ส่วนข้ออื่น ๆ เป็นความแตกต่างของทองไทยและทองโลก ดังนี้
- ความเป็นจริงแล้ว ความบริสุทธิ์ของทองคำที่ซื้อขายกันในไทย กับที่อยู่ในตลาดโลกก็แตกต่างกันจริง ๆ
- โดยทั่วไป ทองคำที่ซื้อขายกันในตลาดโลกจะมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.99% อย่างที่ใครอาจเรียกกันว่าทอง 24K นั่นคือ ทองคำที่มีความบริสุทธิ์มาก ๆ ใน 10,000 ส่วน อาจมีสิ่งแปลกปลอมได้ไม่เกิน 1 ส่วนเท่านั้น
- ทองคำบริสุทธิ์มาก ๆ นี้ จะมีความอ่อนตัวสูง นำมาขึ้นรูปเป็นเครื่องประดับอย่างสร้อยคอ สร้อยข้อมือ หรือแหวนได้ยาก
- เมื่อมีการนำเข้ามาในประเทศไทย จึงมีการเพิ่มโลหะอื่นอย่างทองแดง นาค เงิน เข้ามาด้วย เพื่อให้เกิดความแข็งแรงทนทาน ขึ้นรูปง่ายขึ้น ทำลวดลายต่าง ๆ ง่ายขึ้น เป็นที่มาที่ทำให้มาตรฐานความบริสุทธิ์ของทองที่นิยมซื้อขายกันในประเทศไทย จะอยู่ที่ 96.5% นั่นเอง
- หากนำทอง 96.5% นี้ไปขายต่อในตลาดต่างประเทศก็อาจจะขายได้ยากหรือขายได้ในราคาที่น้อยลง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1044 | Finance | จงตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในกองทุน LHPROPIA | null | กองทุน LHPROPIA หรือกองทุนเปิด แอล เอช พร็อพเพอร์ตี้ อินฟรา เฟล็กซิเบิล A เป็นกองทุนรวมประเภท Mixed fund มีนโยบายการลงทุนคือ
- ลงทุนในหลักทรัพย์/ตราสารในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
- ทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ จะลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ประเทศอื่นในเอเชีย และประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจะเน้นไปที่ประเทศสิงคโปร์และประเทศไทยเป็นหลัก
ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในกองทุน LHPROPIA
- CPN REIT – Retail REITs ไทยที่จะสามารถดัน Performance ของ REITs ให้พุ่งขึ้นได้ โดยทางกองให้น้ำหนักในการลงทุนมากที่สุดคือ CPN REIT ซึ่งกระจายการลงทุนทั้งในส่วนของตัวห้างสรรพสินค้า 85% ออฟฟิศ 10% และโรงแรม 5% การเติบโตที่จะกลับมาในปี 2022 คือ Traffic Recovery (จำนวนผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอยในห้างสรรพสินค้า) ที่อยู่ในระดับ 80% อันเป็นตัวกระตุ้นที่จะทำให้ตัวผลตอบแทนของ CPN REIT อาจปรับสูงได้มากกว่า 6% ในปี 2022 ซึ่งกลุ่ม Retail REITs เป็นกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นทุนเดิม
- DIF – กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม มีการกระจายการลงทุนทั้งในส่วนของเสาโทรคมนาคม และ Fiber Optic ซึ่งเป็นธุรกิจอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ และมีความเกี่ยวพันกับเงินเฟ้อ ซึ่งสามารถปรับเพิ่มค่าเช่าขึ้นได้ กองทุน DIF ได้รับความสนใจจากต่างประเทศ เนื่องจากมี Market cap อยู่ที่หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาทไทย และมี Dividend Yield ประมาณ 8% นอกจากนี้ DIF ยังคงเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนสถาบัน และมีสัดส่วนการลงทุนค่อนข้างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติของการเป็นหุ้นที่ดี ทั้งรายได้จากค่าเช่าที่สม่ำเสมอ มีอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง และมีสภาพคล่องสูงมาก | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1048 | Finance | Bitcoin ได้ถูกสร้างขึ้นในปีใด | 1. ปี 2008
2. ปี 2010
3. ปี 2007
4. ปี 2009 | คำตอบได้แก่ 4. เพราะว่า ส่วน Bitcoin (BTC) เป็น Cryptocurrency สกุลหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสกุลแรกที่ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดและมีมูลค่าตลาดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่ Bitcoin ได้ถูกสร้างขึ้น เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่ทั้งปลอดภัยและไร้ตัวกลาง
ข้อมูลบน Blockchain จะถูกจัดเก็บในรูปแบบของ Block ที่เชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่ ( Chain) ตามลำดับก่อนหลัง ทำให้ทุกคนที่เข้าถึงฐานข้อมูลเดียวกันนี้รับรู้ได้ร่วมกันว่าใครเป็นเจ้าของข้อมูล หรือข้อมูลนั้นถูกส่งต่อหรือถูกแก้ไขไปยังไงบ้าง
ทำให้การปลอมแปลงข้อมูลใน Blockchain เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ๆ จนถึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ความปลอดภัยและไร้ตัวกลางนี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายกิจกรรมที่ต้องอาศัยความน่าเชื่อถือ อย่างการผลิตเงินที่เดิมต้องอาศัยเครดิตของภาครัฐเท่านั้น
แต่ด้วยประโยชน์ของ Blockchain ก็ทำให้การผลิตเงินดิจิทัลแบบไร้ตัวกลางอย่าง Cryptocurrency ได้ถือกำเนิดขึ้นและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จึงหมายถึงเหรียญดิจิทัลที่ถูกบันทึกข้อมูลธุรกรรมผ่าน Blockchain
ปัจจุบันมี Cryptocurrency ที่ถูกผลิตขึ้นแล้วมากกว่า 8,000 สกุลเงิน ส่วน เป็น Cryptocurrency สกุลหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสกุลแรกที่ยังคงได้รับความนิยมสูงสุดและมีมูลค่าตลาดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่ Bitcoin ได้ถูกสร้างขึ้น ประเภทของ Cryptocurrencies เราสามารถแบ่งประเภทของ Crypto ได้เป็น 2 ประเภทกว้าง ๆ นั่นคือ Coin และ Token | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1049 | Finance | SEA Group มีงบใน Q1/22 เท่าไหร่บ้าง | null | SEA Group ประกอบธุรกิจหลัก ๆ ด้วยกัน 3 อย่าง
1. Digital Entertainment ภายใต้ Garena ที่มีเกมดัง ๆ อย่าง PUBG, League of Legends, ROV และ Free Fire โดยหารายได้จากการขายไอเทมให้กับผู้เล่นเกม ซึ่งคิดเป็นประมาณ 41% ของรายได้ทั้งหมด
2. E-commerce ภายใต้ Shopee แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำที่เป็นที่รู้จักกันดีในภูมิภาคอาเซียน ขยายไปไกลถึง Latin America โดยมีรายได้มาจากการขายสินค้าด้วยตัวเองผ่าน Official Store เช่น Shopee Mall รวมถึงค่าธรรมเนียมที่คิดกับร้านค้าภายนอก และค่าโฆษณาในแพลตฟอร์ม
3. Digital Financial Services ภายใต้ seaMoney ที่มีทั้ง AirPay, ShopeePay, และ SPayLater เกาะกระแส BNPL ด้วยตัวเอง ไม่ต้องง้อการพาร์ทเนอร์กับคนนอก
ราคาหุ้น SE ร่วงจากจุดสูงสุดราว ๆ 78% แล้ว จากความกังวลเรื่องการเปิดเมือง จะส่งผลต่อธุรกิจหลักของ SEA อย่าง Garena และ Shopee เพราะ SEA ยังเป็นหุ้นที่ขาดทุนอยู่มาก เพื่อแลกกับการเติบโตของธุรกิจอย่างก้าวกระโดด รวมถึงข่าวร้ายที่โดน India แบนทั้งที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย และ Tencent ยักษ์ใหญ่แดนมังกรขายหุ้นไปกว่า แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยังขยายบริการเพิ่มใน 5 ประเทศคือ บราซิล โปแลนด์ เม็กซิโก กัมพูชา และชิลี ในปี 2021
งบ Q1/22
- รายได้รวม $2.9 Billion + 64% YoY มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 2.86 Billion
- Gross Profit 1.2 Billion +81.3% YoY
- รายได้จาก E-commerce 1.5 Billion +64% YoY
- รายได้จาก Digital Entertainment 1.1 Billion +45% YoY
- รายได้จาก Digital Financial Services 236 Million +360% YoY
- ขาดทุนต่อหุ้น -$0.8 น้อยกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ -$1.4
ในงบหากมองแบบ YoY จะไม่เห็นผลกระทบชัดเจน แต่ถ้าหากมองแบบ QoQ จะเห็นการชะลอตัวในบริการต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1050 | Finance | สกุลเงินดิจิทัล USDC สร้างขึ้นในปีใด | ก. ปี 2016
ข. ปี 2019
ค. ปี 2018
ง. ปี 2017 | คำตอบที่ถูกต้องคือ ค.เพราะว่า USDC คือสกุลเงินดิจิทัลแบบ Stablecoin ที่ออกมาในปี 2018 โดย Exchange ชื่อดังอย่าง Coinbase และ Circle Internet Financial
โดย USDC เป็น ERC-20 ที่อยู่บน Ethereum Blockchain ใช้อ้างอิงมูลค่าของโทเคนกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราส่วน 1:1 ทุก ๆ USDC ที่ถูกผลิตออกมา จะมี 1 ดอลลาร์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในบัญชี ซึ่งมีการตรวจสอบเป็นประจำว่ามีการเก็บเงินสำรองไว้จริง ๆ
USDC เป็นหนึ่งในโทเคนดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีมูลค่าตลาดประมาณ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นอันดับสองในตลาดโทเคน เป็นรองแค่ USDT เท่านั้น
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ USDC ยังมีมูลค่าอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันที่ 13 พฤษภาคม ปี 2022 ท่ามกลางความผันผวนไม่แน่นอนของเหรียญ Stablecoin อื่นที่หลุด Peg ไปในช่วงเวลาดังกล่าว คิดเป็นอันดับสองในตลาดโทเคน | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1051 | Finance | สิ่งใดของอุตสาหกรรมชิปที่เป็นตัวทายตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้ดีมาก ๆ ระหว่าง การขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิป หรือ นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล | null | การขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิป ชิปนั้นใช้ในเกือบทุกอย่างของสินค้าเทคโนโลยี เหล่าสินค้ารอบตัวนั้นมีชิปอยู่ภายใน ทั้ง มือถือ, คอม, รถยนต์ หรือการใช้บริการ Facebook, Instagram, Netflix ล้วนมีการทำงานผ่าน server ที่ต้องการชิปเช่นกัน สรุปได้ว่าการขยายตัวหรือหดตัวของอุตสาหกรรมชิปเป็นตัวทายตลาดหุ้นหรือเศรษฐกิจได้ดีมาก ๆ และถ้าศึกษาลงไปอีก จะเห็นว่า supply chain ของอุตสาหกรรมนี้ใหญ่มาก ๆ เกี่ยวข้องกับหุ้นใหญ่หลายตัว และทั้งหมดใช้ supplier เจ้าเดียวกัน หรือมีคอขวดที่เดียวกัน 4 บริษัทเครื่องจักรผลิตชิปของโลก ASML, AMAT, Lam Research, Tokyo Electron รวมกัน 80% แม้รายได้จะสูงเมื่อเทียบอดีต แต่การเติบโตเทียบช่วงเดียวกันของปี 2021 %YoY เหลือเพียง 5% ก็คือแทบจะไม่โตแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นจากทั้งกำลังการผลิตเต็ม และเรื่องกำลังซื้อผู้บริโภคที่หายไปจากเงินเฟ้อ
ส่วนนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล เป็นปัจจัยที่ขึ้นกับการที่ตลาดจะกลับมาดีขึ้น ปกติแล้วกว่าที่ตลาดจะกลับมา ได้ต้องใช้เวลาราว 6 – 12 เดือน หรือนานกว่า ขึ้นกับนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1052 | Finance | จงบอกเหตุผลที่ SET แข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน ในปี 2022 | null | เหตุผลที่ SET แข็งกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน
1. ตัวเลขการส่งออก และ ภาคท่องเที่ยว ในปี 2022 ประมาณการไม่ได้รับการทบทวนในเชิงลบจากสภาพัฒน์ รวมถึง การบริโภคภาคเอกชน (Core ของ เศรษฐกิจไทย) ประมาณการลดลงเพียงเล็กน้อย
2. ประเทศไทย น่าจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่น่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 ทว่าสำรองเงินตราระหว่างประเทศ หรือ Forex Reserve และนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนจะช่วยประคองเงินบาทไปในระหว่างนี้
3. การเมืองไทย ดูแล้วไม่เป็นลบ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
4. ตลาดหุ้นไทยชอบนโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทย อาทิ ภาษีน้ำมันดีเซล และ นโยบายเงินชราภาพของประกันสังคม
5. นโยบายเปิดเมืองจากโควิดจากประเทศต่าง ๆ ไทยได้รับอานิสงก์เชิงบวกมากสุดในอาเซียน เนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยต่อจีดีพีเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1054 | Finance | จงบอกค่าใช้จ่ายสำหรับมนุษย์ปุถุชน ผู้ซึ่งไม่ได้เกิดมาบนกองทอง | null | เมื่อลองมานั่งกางค่าใช้จ่ายกันดู ก็จะพบค่าใช้จ่ายในหัวข้อหลักๆ อยู่ 4 ประเด็น
1. ค่าอาหาร
2. ค่าสาธารณูปโภค และค่าโทรศัพท์รายเดือน
3. ค่าเดินทาง
4. ค่าใช้จ่ายจิปาถะ (ท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง)
ซึ่งค่าใช้จ่ายที่สามารถลดได้ทันที โดยไม่ต้องคิดมาก ได้แก่ ค่าใช้จ่ายจิปาถะ นั่นเอง
มหาเศรษฐีหุ้นอย่าง วอร์เรน บัฟเฟต เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้ามัวแต่สะสมของที่ไม่จำเป็น ซักวันจะต้องขายสิ่งที่มันจำเป็น” เป็นคำพูดที่ตรงมากๆ ตัวอย่างเช่น หากหนุ่มวัยเริ่มทำงานคนหนึ่งอยากได้นาฬิกาเรือนละเป็นแสนซักเรือน ในขณะที่เงินเดือนแค่สองหมื่นต้นๆ รู้ว่าไม่มีเงินเหลือ เลยไปกู้มาซื้อ แล้วยอมโดนจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง คำถามคือ วัตถุประสงค์ของนาฬิกา คืออะไร? นาฬิกาเรือนแสน กับเรือนหลักพัน ก็บอกเวลาได้เหมือนกัน ยิ่งเมื่อเทียบกับความสามารถในการหารายได้แล้ว ยิ่งไม่ควรกู้เงินมาซื้อด้วยซ้ำ หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงกับใครซักคน คงรู้สึกว่า เดือดร้อนแน่ๆ ในอนาคต หากจิตใจยังไม่ยอมปล่อยตัวเองออกจากนาฬิกาเรือนแสนบนข้อมือนั้นไปได้ ปัญหาแท้จริงแล้ว เกิดจาก การไม่รู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ จึงไม่สามารถใช้สติมากำกับว่า สิ่งไหนควรซื้อสิ่งไหนไม่ควรซื้อ เห็นไหมว่า โชคดีที่เกิดมาในยุคที่ยังมีพุทธศาสนาอยู่ สอนให้รู้กายรู้ใจ ไม่ใช้จ่ายเกินตัวได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1055 | Finance | สำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้น ภาวะตลาดลงถือเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อของถูก โดยการทดสอบย้อนหลังได้ชี้ให้เห็นว่าอย่างไร | a. การรายงานผลตอบแทนหุ้น ตัวเลขสีแดงและตัวเลขติดลบอาจสื่อถึงสถานการณ์อันแสนเลวร้าย
b. ความผันผวนแท้จริงแล้วไม่ใช่ความเสี่ยงแต่เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและสร้างโอกาสให้กับคนมานักต่อนักจากการที่สินทรัพย์ลดราคา
c. Beta ถือว่าเป็นความเสี่ยง และระยะยาวถือว่าไม่มีใครเอาชนะตลาดได้
d. การซื้อหุ้นถูกเพียงแค่จากอัตราส่วนทางการเงินก็ช่วยให้สร้างผลตอบแทนที่ดีเหนือตลาดได้แล้ว | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ d. เนื่องจาก สำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้น ภาวะตลาดลงถือเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อของถูก โดยการทดสอบย้อนหลังได้ชี้ให้เห็นว่า การซื้อหุ้นถูกเพียงแค่จากอัตราส่วนทางการเงินก็ช่วยให้สร้างผลตอบแทนที่ดีเหนือตลาดได้แล้ว ดังนั้น ราคาที่ลงโหด ๆ แท้จริงอาจเป็นเพื่อนของตนเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องเลือกสินทรัพย์ให้ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ลงทุนถัว ๆ ในสินทรัพย์ที่เป็นวัฏจักร เช่น น้ำมัน กองทุนหุ้น Commodity ต่าง ๆ หรือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไม่ค่อยชัดเจน (ลงได้ถ้าเชื่อมั่นและศึกษามาดีแล้ว แต่ถ้ายังไม่มั่นใจขนาดนั้น ก็อย่าลืมกระจายให้ดี)
และท้ายที่สุด ดังที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ประมาณนี้ว่า “ถ้าซื้อแบงค์ดอลลาร์ในราคา 60 เซนต์ ย่อมมีความเสี่ยงมากกว่าการซื้อแบงค์ดอลลาร์ที่ราคา 40 เซนต์ แล้วจะซื้ออันแรกไปทำไมในเมื่ออันหลังให้ผลตอบแทนสูงกว่า” | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1056 | Finance | จงสรุปบทความเรื่อง "เกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาถึงร่วง?" ให้หน่อย | เกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาถึงร่วง?
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเหรียญ LUNA ร่วงหนักมากและเหรียญ Stablecoin อย่าง UST มีการหลุด Peg ทำให้ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตทั้งตลาด หลายคนคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหรียญ LUNA ทำไมราคาลงแรงขนาดนี้ ในบทความนี้จะพูดถึงเหตุการณ์และสาเหตุว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น, วิธีการแก้ปัญหาสถานการณ์ของ Terra และสถานการณ์เหรียญคริปโตในปัจจุบัน เหรียญ เหรียญ LUNA LUNA เหรียญคริปโต เหรียญคริปโต เพราะอะไรเหรียญ LUNA และ UST ร่วง ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม เหรียญ UST มีการหลุดตรึงมูลค่า (Peg) กับเงินดอลลาร์ ลดลงไปที่ 0.987 ดอลลาร์ หลังจากนั้นมีการดีดตัวกลับไปที่ 1 ดอลลาร์ในช่วงวันที่ 8 พฤษภาคม สาเหตุที่เหรียญมีการหลุดตรึงมูลค่า เนื่องมาจากแพลตฟอร์ม Anchor Protocol ได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี สำหรับผู้ที่ฝากเหรียญ UST ไว้บนแพลตฟอร์ม เมื่อมี Capital Flow เข้ามายังแพลตฟอร์มมากขึ้น ทำให้ทาง Anchor ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้เรื่อย ๆ จึงทำให้ทาง Terra ต้องนำเงินมาเติม และในวันนั้นปริมาณ UST ถูกถอนออกจาก Liquidity Pool บนแพลตฟอร์ม Curve Finance มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ จึงทำให้เหรียญ UST หลุดตรึงมูลค่า และทาง Terra จึงนำเงินฝากกลับเข้าไป 100 ล้านดอลลาร์เพื่อให้เหรียญกลับสู่สถานการณ์ปกติ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการหลุดตรึงมูลค่าของเหรียญ UST ผู้ก่อตั้งก็ทราบถึงปัญหานี้ดีเขาจึงพยายามที่จะมี Use Case มากขึ้นและมีการซื้อ Bitcoin และ Avalanche ไว้เป็นทุนสำรอง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คนบางกลุ่มเห็นช่องโหว่ของเหรียญ LUNA และ UST เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม มีผู้โจมตีกลุ่มหนึ่งได้เทขายเหรียญ UST มูลค่า 285 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์ม Binance และ Curve Finance ทำให้เกิด Panic Sell และราคา UST หลุด Peg ทำให้ในตอนนั้นมีมูลค่าเหลือ 0.98 ดอลลาร์ ด้วยความที่ในตอนนั้นตลาดมีความปั่นป่วน ทำให้ตอนนั้นนักลงทุนมีความหวาดกลัวจึงเทขายเหรียญ LUNA และ UST ทำให้ราคามีการปรับตัวลงทั้งคู่ ทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกลับมามีมูลค่า 1 ดอลลาร์ได้ กลไกการทำงานของ Terra และ UST Terra เป็นแพลตฟอร์ม Decentralized Finance ที่ให้บริการกู้ยืมระหว่างผู้ใช้งานหรือ P2P Lending โดยมีเหรียญ LUNA เป็น Governance Token และเหรียญ UST เป็นเหรียญ Stablecoin ประเภท Algorithmic Stablecoin มีการตรึงมูลค่าแบบอัลกอริทึม โดยใช้กลไกการ Mint & Burn เหรียญ LUNA และ UST บนเครือข่าย สำหรับการทำงานของเหรียญ UST จะเป็นโมเดลในรูปแบบเศรษฐศาสตร์ที่ขึ้นอยู่กับ Demand/Supply กล่าวคือ ถ้าหาก UST มีความต้องการมาก ระบบจะเผาเหรียญ LUNA เพื่อออกเหรียญ UST มากขึ้น แต่ถ้าหากความต้องการ UST น้อยลง ทางระบบก็จะเผาเหรียญ UST เพื่อ Mint เหรียญ LUNA ออกมา หลักการโมเดลในลักษณะนี้เป็นโมเดลที่รักษาเสถียรภาพของเหรียญ เพื่อให้มูลค่าเหรียญเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จากหลักการเหรียญที่อ้างอิงตาม Demand และ Supply ทำให้นักลงทุนสามารถ Arbitrage เหรียญเพื่อเก็งกำไรได้ ดังภาพ เหรียญ เหรียญ Stablecoin Stablecoin ที่มา: ถ้าราคา UST > $1 เราสามารถ Mint เหรียญ UST จากการ Burn เหรียญ LUNA และขายเหรียญ UST ได้เพื่อเก็งกำไร ถ้าหากราคาเหรียญ UST < $1 โดยเราซื้อเหรียญ UST จากตลาด Exchange เพื่อ Mint เหรียญ LUNA ออกมาที่ราคา 1 ดอลลาร์ จากนั้นเราก็สามารถขายเหรียญ LUNA เพื่อเก็งกำไรได้ อย่างไรก็ตามคอนเซปต์ของเหรียญ UST นั้นมีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน คือ เมื่อเกิดสถานการณ์ราคาเหรียญร่วงลงหนัก ๆ จะทำให้กลไกการ Mint & Burn จะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกู้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์ได้ Terra ได้แก้ปัญหานี้อย่างไรบ้าง? สำหรับวิธีแก้ปัญหาของ Terra นั้น ทาง Luna Foundation Guard (LFG) ได้มีการเทขายเหรียญ Bitcoin ที่ใช้เป็นทุนสำรองเป็นจำนวน 80,394 BTC โดยทาง LFG ได้ปล่อยให้กู้ยืม Bitcoin จำนวน 52,189 BTC มูลค่า 1,666 ล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัท เป็นการซื้อขายแบบ Over-the-Counter (OTC) เพื่อช่วยการตรึงมูลค่า UST ต่อมา LFG ได้โอน Bitcoin จำนวน 28,205 BTC ไปยัง Binance เพื่อพยุงราคา UST ทำให้ราคา BTC ร่วงลงระดับต่ำสุดที่ราคาประมาณ 29,000 ดอลลาร์ในวันที่ 10 พฤษภาคม ที่มา: เมื่อราคา LUNA ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เกิดอุปทานของ LUNA สูงเกินจริง (Hyperinflation) เนื่องจากการออกเหรียญ UST ใช้กลไก Mint & Burn เมื่อความต้องการเหรียญ UST น้อยลงทำให้ Supply เหรียญ LUNA มากขึ้น จะเห็นได้ว่า Supply เหรียญ UST ลดลงมา $7.5 Billion และ Supply เหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นจาก 343 Million เป็น 6.53 Trillion คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อ 99,263,840% ต่อปี จึงทำให้ Terra Blockchain ต้องถูกระงับชั่วคราว ที่มา: Do Kwon ผู้ก่อตั้ง Terra ได้เผยแผนฟื้นฟูปรับเครือข่าย Terra ใหม่ทั้งหมด โดยแยก Blockchain ออกเป็น 2 ส่วน คือ Terra LUNA Blockchain เป็น Blockchain ใหม่ที่มีโทเคน LUNA และไม่มีการเชื่อมต่อกับเหรียญ UST แล้ว ส่วน Blockchain เก่าอย่าง Terra Blockchain จะยังคงเชื่อมอยู่กับเหรียญ UST และเปลี่ยนโทเคนจาก LUNA เป็น LUNA Classic (LUNC) สำหรับโทเคนใหม่ LUNA ถูกจำกัดไว้ที่ 1 พันล้านโทเคน โดยเหรียญ LUNA ใหม่นี้จะถูก Airdrop ให้กับผู้ถือเหรียญ LUNA เดิมหรือ LUNC และ UST ในสัดส่วน 75% และอีก 25% แบ่งให้กับ Community Pool จากแผนดังกล่าวจะต้องผ่านการโหวตจากทีมงานและผู้ถือครองเหรียญก่อน ถ้าหากโหวตผ่านแผนฟื้นฟูจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 27 พฤษภาคม สำหรับแผนฟื้นฟูดังกล่าวทาง Do Kwon พยายามที่จะวางแผนเพื่อให้ราคา LUNA กลับไปเท่าเดิม แต่คนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าระบบนิเวศ Terra ฟื้นกลับคืนมาได้ยาก ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนเงินทุนจากภายนอก เพราะทาง LFG ได้ใช้เงินทุนสำรองเกือบทั้งหมดในการกู้สถานการณ์ นอกจากนี้ทาง LFG ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับทุนสำรองที่เหลืออยู่ ดังนี้ เหรียญ Bitcoin จำนวน 313 BTC
เหรียญ BNB จำนวน 39,914 BNB
เหรียญ AVAX จำนวน 1,970,000 AVAX
เหรียญ UST จำนวน 1,970,000 UST
เหรียญ LUNA จำนวน 222,710,000 LUNA (โดย LUNA จำนวน 221,020,000 เหรียญ ถูก Stake ไว้) สถานการณ์เหรียญ LUNA และ UST ในปัจจุบัน สำหรับราคาเหรียญ LUNA ก่อนหน้านี้มีราคาที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเหรียญ LUNA ร่วงหนักลงมาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ผู้ถือครองเหรียญสูญเสียไปมหาศาล หลังจากนั้นทางบริษัทได้ประกาศว่าจะรับผิดชอบและมีแผนที่จะปรับปรุงระบบนิเวศใหม่จึงทำให้ราคาเหรียญ LUNA เริ่มขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนหลายคนมีการ FOMO แห่เข้าซื้อเหรียญ LUNA แต่อย่างไรก็ตามกระแส FOMO ที่มีต่อเหรียญ LUNA ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก เพราะ ณ ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าแผนพัฒนาของ Terra จะเป็นอย่างไร สำหรับราคาเหรียญ UST ในตอนนี้ก็ยังคงหลุด Peg มีมูลค่าประมาณ 0.089 ดอลลาร์ ราคาเหรียญ UST เริ่มหลุด Peg ในวันที่ 9 พฤษภาคม เหรียญ UST เริ่มมีมูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ นอกจาก UST จะมีมูลค่าต่ำกว่า 1 ดอลลาร์แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ที่เหรียญ USDT ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์เช่นกัน โดยลดลงถึง 0.9565 ดอลลาร์ และสามารถฟื้นราคากลับมาที่ 0.998 ดอลลาร์ได้ภายใน 36 ชม. ในระหว่างนั้นเหรียญ Stablecoin อื่นอย่าง USDC,BUSD และ DAI กลับมีมูลค่ามากกว่า 1-2% เนื่องจากนักลงทุนได้ย้ายสินทรัพย์ไปยัง Stablecoin ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน ที่มา: สรุปแล้วเหตุการณ์ราคา LUNA และ UST ลงแรง ได้ส่งผลต่อตลาดคริปโตและทำให้นักลงทุนหลายคนขาดความเชื่อมั่นต่อตลาดคริปโตไปเลย สำหรับเหตุการณ์ LUNA ถือว่าเป็นกรณีศึกษาให้ทุกคนตระหนักถึงความเสี่ยงว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นก่อนการลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด Zipmex Zipmex คำเตือน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุนผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลรวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2022 เหรียญ UST มีการหลุดตรึงมูลค่า (Peg) กับเงินดอลลาร์ ลดลงไปที่ 0.987 ดอลลาร์ หลังจากนั้นมีการดีดตัวกลับไปที่ 1 ดอลลาร์ในช่วงวันที่ 8 พฤษภาคม 2022 สาเหตุที่เหรียญมีการหลุดตรึงมูลค่า เนื่องมาจากแพลตฟอร์ม Anchor Protocol ได้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี สำหรับผู้ที่ฝากเหรียญ UST ไว้บนแพลตฟอร์ม เมื่อมี Capital Flow เข้ามายังแพลตฟอร์มมากขึ้น ทำให้ทาง Anchor ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้เรื่อย ๆ จึงทำให้ทาง Terra ต้องนำเงินมาเติม และในวันนั้นปริมาณ UST ถูกถอนออกจาก Liquidity Pool บนแพลตฟอร์ม Curve Finance มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ จึงทำให้เหรียญ UST หลุดตรึงมูลค่า และทาง Terra จึงนำเงินฝากกลับเข้าไป 100 ล้านดอลลาร์เพื่อให้เหรียญกลับสู่สถานการณ์ปกติ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการหลุดตรึงมูลค่าของเหรียญ UST ผู้ก่อตั้งก็ทราบถึงปัญหาดี เขาจึงพยายามที่จะมี Use Case มากขึ้นและมีการซื้อ Bitcoin และ Avalanche ไว้เป็นทุนสำรอง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้คนบางกลุ่มเห็นช่องโหว่ของเหรียญ LUNA และ UST เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2022 มีผู้โจมตีกลุ่มหนึ่งได้เทขายเหรียญ UST มูลค่า 285 ล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์ม Binance และ Curve Finance ทำให้เกิด Panic Sell และราคา UST หลุด Peg ทำให้ในตอนนั้นมีมูลค่าเหลือ 0.98 ดอลลาร์ ด้วยความที่ในตอนนั้นตลาดมีความปั่นป่วน ทำให้ตอนนั้นนักลงทุนมีความหวาดกลัวจึงเทขายเหรียญ LUNA และ UST ทำให้ราคามีการปรับตัวลงทั้งคู่ ทำให้เหรียญ UST ไม่สามารถกลับมามีมูลค่า 1 ดอลลาร์ได้
วิธีแก้ปัญหาของ Terra นั้น ทาง Luna Foundation Guard (LFG) ได้มีการเทขายเหรียญ Bitcoin ที่ใช้เป็นทุนสำรองเป็นจำนวน 80,394 BTC โดยทาง LFG ได้ปล่อยให้กู้ยืม Bitcoin จำนวน 52,189 BTC มูลค่า 1,666 ล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัท เป็นการซื้อขายแบบ Over-the-Counter (OTC) เพื่อช่วยการตรึงมูลค่า UST ต่อมา LFG ได้โอน Bitcoin จำนวน 28,205 BTC ไปยัง Binance เพื่อพยุงราคา UST ทำให้ราคา BTC ร่วงลงระดับต่ำสุดที่ราคาประมาณ 29,000 ดอลลาร์ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2022
เมื่อราคา LUNA ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เกิดอุปทานของ LUNA สูงเกินจริง เนื่องจากการออกเหรียญ UST ใช้กลไก Mint & Burn เมื่อความต้องการเหรียญ UST น้อยลงทำให้ Supply เหรียญ LUNA มากขึ้น จะเห็นได้ว่า Supply เหรียญ UST ลดลงมา $7.5 Billion และ Supply เหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นจาก 343 Million เป็น 6.53 Trillion คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อ 99,263,840% ต่อปี จึงทำให้ Terra Blockchain ต้องถูกระงับชั่วคราว
Do Kwon ผู้ก่อตั้ง Terra ได้เผยแผนฟื้นฟูปรับเครือข่าย Terra ใหม่ทั้งหมด โดยแยก Blockchain ออกเป็น 2 ส่วน คือ Terra LUNA Blockchain เป็น Blockchain ใหม่ ที่มีโทเคน LUNA และไม่มีการเชื่อมต่อกับเหรียญ UST แล้ว ส่วน Terra Blockchain จะยังคงเชื่อมอยู่กับเหรียญ UST และเปลี่ยนโทเคนเป็น LUNA Classic (LUNC) สำหรับโทเคนใหม่ LUNA ถูกจำกัดไว้ที่ 1 พันล้านโทเคน โดยเหรียญ LUNA ใหม่จะถูก Airdrop ให้กับผู้ถือเหรียญ LUNA เดิมหรือ LUNC และ UST ในสัดส่วน 75% และอีก 25% แบ่งให้กับ Community Pool จากแผนดังกล่าวจะต้องผ่านการโหวตจากทีมงานและผู้ถือครองเหรียญก่อน ถ้าหากโหวตผ่านแผนฟื้นฟูจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2022 สำหรับแผนฟื้นฟูดังกล่าวทาง Do Kwon พยายามที่จะวางแผนเพื่อให้ราคา LUNA กลับไปเท่าเดิม แต่คนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าระบบนิเวศ Terra ฟื้นกลับคืนมาได้ยาก ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนเงินทุนจากภายนอก เพราะทาง LFG ได้ใช้เงินทุนสำรองเกือบทั้งหมดในการกู้สถานการณ์ นอกจากนี้ทาง LFG ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับทุนสำรองที่เหลืออยู่ ดังนี้
- เหรียญ Bitcoin จำนวน 313 BTC
- เหรียญ BNB จำนวน 39,914 BNB
- เหรียญ AVAX จำนวน 1,970,000 AVAX
- เหรียญ UST จำนวน 1,970,000 UST
- เหรียญ LUNA จำนวน 222,710,000 LUNA (โดย LUNA จำนวน 221,020,000 เหรียญ ถูก Stake ไว้) | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1059 | Finance | ในการลงทุนพอร์ต 1st Million ของ FINNOMENA จะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำเท่าไหร่ | null | “เงินล้าน” คือ เป้าหมายในฝันของใครหลาย ๆ คน ถือเป็นหมุดหมายแห่งความมั่งคั่งที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างสรรค์สิ่งอื่น ๆ ได้ แต่เวลาพูดถึงเงินล้าน ใครหลายคนก็อาจจะรู้สึกว่าช่างเกินเอื้อมเหลือเกิน โดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อย หรือยังมีเงินไม่มาก แต่จริง ๆ แล้ว เงินล้านสร้างได้ เพียงแค่เริ่มต้นรู้จักออมเงินและลงทุน ทาง FINNOMENA เลยสร้างพอร์ต 1st Million ขึ้นมาตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ ถ้าลงทุนในพอร์ตนี้ จะมีเงินล้านภายในกี่ปี
ในการลงทุนพอร์ต 1st Million จะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำ 5,000 บาท และลงทุนต่อเดือนอย่างต่ำ 2,500 บาท จะเห็นได้ว่าถ้าลงทุนขั้นต่ำนี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการเพิ่มเงิน จะใช้เวลา 16 ปีกว่าจะได้เงินล้านแรก แม้จะเห็นฝั่งฝันแต่ฟังดูแล้วยาวนาน แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการเพิ่มเงินลงทุน ซึ่งยิ่งลงทุนเยอะเท่าไร โอกาสที่จะถึงล้านแรกโดยเร็วก็มีมากขึ้นเท่านั้น การเพิ่มเงินลงทุนระหว่างทางเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็ช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าควรตรวจสอบสถานะการเงินตัวเองก่อน ว่าสะดวกลงทุนด้วยเงินเท่าไร เอาแบบที่ไม่ลำบากตัวเองจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตคงไม่มีความสุขแน่ ๆ
อีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ เรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง ต้องเข้าใจว่าการลงทุนนั้นมีขึ้นมีลง บางปีอาจจะติดลบ บางปีอาจจะได้กำไร เพราะฉะนั้นหากลงทุนระยะสั้น ความเสี่ยงที่จะเจอความผันผวนก็จะเยอะกว่าลงทุนระยะยาว ในระยะยาวนั้นความผันผวนกับผลตอบแทนก็จะถูกเฉลี่ย ๆ กันไป ไม่เหวี่ยงเท่ากรอบเวลาสั้น
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง เงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทน และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจาก ผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการจำลองเงินลงทุนในอนาคตเป็นเพียงผลลัพธ์จากการคำนวณเชิงปริมาณ โดยมีพื้นฐานจากผลตอบแทนในอดีต และเป็นเพียงเครื่องมือ ศึกษาช่วยประกอบการตัดสินใจแก่นักลงทุน มิใช่สิ่งยืนยันผลตอบแทนในอนาคต
ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับ ดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1060 | Finance | กองทุนตราสารหนี้กองทุนใด มีความเสี่ยงจากลงทุนกระจุกตัวในประเทศกาตาร์ และหมวดอุตสาหกรรมธนาคาร ระหว่าง SCBFST หรือ TUSFIX | null | SCBFST เพรากองทุน SCBFST มีความเสี่ยงจากลงทุนกระจุกตัวในประเทศกาตาร์ และหมวดอุตสาหกรรมธนาคาร ซึ่งกองทุน SCBFST มีนโยบายกองทุน คือ ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เสนอขายในต่างประเทศ เช่น ตราสารแห่งหนี้ระยะสั้นทั้งภาครัฐ และ/หรือภาคสถาบันการเงิน และ/หรือภาคเอกชน และ/หรือเงินฝาก และ/หรือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ เป็นต้น ตลอดจนหลักทรัพย์อื่นหรือทรัพย์สินอื่นและ/หรือหาดอกผลโดยวิธีการอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด หรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้ ซึ่งจะส่งผลให้มี net exposure ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน SCBFST จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 4
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน:
-มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
อายุเฉลี่ยของทรัพย์สินที่ลงทุน:
-ต่ำกว่า 3 เดือน
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ:
-ความเสี่ยงจากลงทุนกระจุกตัวในประเทศกาตาร์ และหมวดอุตสาหกรรมธนาคาร, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนคิดเป็น 0.00% ของเงินลงทุนต่างประเทศ)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป:
- 1,000 บาท
Morningstar Rating:
- 4 Stars
ส่วนกองทุน TUSFIX มีความเสี่ยงจากลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกองทุน TUSFIX มีนโยบายกองทุน คือ ลงทุนในกองทุน SPDR Bloomberg 1-3 Month T-Bill ETF เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยกองทุน TUSFIX จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 4
กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุน (ก่อนหัก ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งหมด) ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Bloomberg Barclays 1-3 Month U.S. Treasury Bill ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยตั๋วเงินคลังประเทศสหรัฐอเมริกาประเภทไม่จ่าย ดอกเบี้ย (Zero-Coupon) ที่ออกมาทั้งหมด มีอายุของตราสารคงเหลือมากกว่า 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ และมีมูลค่าหน้าตั๋วอย่างน้อย 250 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน:
-มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive management)
อายุเฉลี่ยของทรัพย์สินที่ลงทุน:
- 1 – 3 เดือน
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ:
-ความเสี่ยงจากลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (ไม่มีมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป:
-1,000 บาท
Morningstar Rating:
-4 Stars | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1061 | Finance | จงสรุปบทความ สรุป สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหรียญ LUNA | 1. Do Kwan เป็นหนุ่มอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีชาวเกาหลีใต้ อายุ 31 ปี เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือข่ายบล็อกเชน Terra และเป็นเจ้าของเหรียญ LUNA Coin รวมถึง Stable Coin UST 2. Do Kwan จบการศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้มีโอกาสทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และ Apple ก่อนจะแยกตัวมาก่อตั้งบริษัท Anyfi แพลตฟอร์มการสื่อสารไร้ศูนย์กลาง 3. จุดเริ่มต้นทีทำให้ Do Kwan เข้าสู่วงการคริปโตอย่างจริงจัง คือได้เจอกับ Daniel Shin ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Ticket Monster แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศเกาหลี และทั้งคู่ได้ร่วมก่อตั้ง Terraform Labs เครือข่ายการชำระเงินที่ใครก็สามารถใช้งานได้ และปราศจากการควบคุมจากส่วนกลาง จนทำให้เหรียญติด Top 10 ใหญ่ที่สุดในโลก 4. นอกจากนี้ Do Kwan ยังได้มีการจัดตั้ง Luna Foundation Guard หรือ LFG ซึ่งเป็นกองทุนที่จะช่วยดูแลเสถียรภาพของระบบนิเวศของ Terra ขึ้นมา ด้วยการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ไว้เป็นทุนสำรองใช้สำหรับพยุงราคา UST เหรียญ UST ถูกโจมตี 5. ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา จู่ ๆ ราคาเหรียญ UST ที่เป็น Stablecoin ควรจะมีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ร่วงลงมาอยู่ที่ 0.980 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากการเทขายเหรียญ UST เป็นจำนวนมาก 6. ถึงแม้ว่ากองทุน LFG จะพยายามซื้อเหรียญ UST แต่ก็กลับไม่สามารถทำให้เหรียญ UST กลับไปแตะที่ราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐได้เช่นเดิม จึงทำให้ราคาของเหรียญ UST ร่วงลง และส่งผลให้ผู้ลงทุนเกิดความกังวล และเริ่มเทขายเหรียญออกมาเป็นจำนวนมาก ทำไมต้องโจมตีเหรียญ UST 7. Onchain Wizard ได้วิเคราะห์ออกมาว่า Luna Foundation Guard ซึ่งเป็นกองทุนที่ดูแลเสถียรภาพของ Terra ถือ Bitcoin เป็นเงินทุนสำรอง เพื่อพยุงราคา UST ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ถูกโจมตี 8. คนที่โจมตีได้ใช้ LUNA และ UST เป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการขาย Short ของ Bitcoin โดยผู้โจมตีจะต้องทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้กองทุนดังกล่าวเทขาย Bitcoin ออกมาเป็นจำนวนมาก และสิ่งที่ผู้โจมตีทำก็คือ การเทขาย UST อย่างรวดเร็วในคราวเดียว เพื่อให้กองทุนเทขาย Bitcoin 9. ย้อนกลับไปที่ระบบการทำงานของ UST และ LUNA หาก UST ราคาสูงเกิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวอัลกอริธึมจะทำการเผาเหรียญ LUNA และเพิ่มปริมาณของ UST เพื่อทำให้ราคานั้นกลับมาอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐดังเดิม แต่หาก UST มีมูลค่าที่ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ อัลกอริธึมก็จะทำการสร้าง (mint) LUNA เพิ่มเพื่อดึงราคา UST ให้กลับมาเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 10. แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือทั้งเหรียญ LUNA และ UST มีราคาลดลง และ UST ไม่ได้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดเดาว่าระบบสร้าง (Mint) เหรียญ LUNA และเผาเหรียญ UST ไม่เร็วพอ ที่จะทำให้กลับไปที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 11. นอกจากนั้น ผู้โจมตีก็ได้ทำการโอน UST ที่เหลือไปยัง Binance ด้วย เมื่อคนทั่วไปเจอธุรกรรมการโอน UST ออกจากระบบ ทำให้นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนก เลยเริ่มพากันเทขาย UST ออกมา 12. และก็เข้าทางผู้โจมตี เมื่อกองทุน LFG เข้ามาพยุง UST เพื่อหวังให้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ได้ โดยการเทขาย Bitcoin ในกองทุน LFG อย่างรวดเร็ว แต่ผู้โจมตีก็ยังคงทำการขาย UST บน Binance อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 13. จนในที่สุด Binance ต้องเข้ามาระงับการถอนเงิน UST เพื่อยับยั้งการแห่ขายและถอนเหรียญ ส่งผลให้ UST ร่วงไปถึง 0.60 ดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงราคาของ LUNA ด้วย เนื่องจากมีเหรียญในระบบมากเกินไป (ล่าสุด 6,500,000 ล้านเหรียญ จากเดิม 340 ล้านเหรียญ) จนทำให้มูลค่าต่อเหรียญเหลือค่าน้อยมากกกกกกก จากที่เคยแตะที่ 119.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงเหลือเพียง 0.0080 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น 14. จากนั้นไม่นานนั้น Exchange หลาย ๆ เจ้า ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ออกมาทยอยถอดเหรียญออกจากกระดานเทรด และจากสื่อในเกาหลี รายงานว่า Do Kwan ผู้ก่อตั้งเหรียญ LUNA ได้ขอความคุ้มครองจากตำรวจหลังจากที่มีนักลงทุนข่มขู่เข้ามา และได้แจ้งการยุติ Blockchain และรอการฟื้นฟู 15. แต่เมื่อวาน (13 พ.ค. 65) Binance และวันนี้ Bitkub ได้นำ UST และ LUNA กลับเข้ากระดานเทรดอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย และจากการที่ LUNA ราคาร่วงลงต่ำมากกกกกก (ก ไก่ล้านตัวก็คงไม่พอ) มีนักลงทุนหลายคนได้ทำการช้อนซื้อ LUNA เสี่ยงดวง เพื่อหวังเป็นศุลต่านคนใหม่ของประเทศไทย ส่งผลให้ LUNA พุ่งขึ้นกว่า +1,000% 16.ล่าสุด (14 พ.ค. 65) Do Kwon ได้ Tweet ข้อความโดยมีใจความว่า เขาใช้เวลาในไม่กี่วันก่อนหน้าเพื่อคุยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกใจสลาย นอกจากนี้ เขายังได้อธิบายแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของ Terra ผ่าน Research Forum โดยจะทำการ reset ให้กลับไปมีจำนวน 1,000 ล้าน LUNA โดยจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเกิดเหตุการณ์ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ 40%
ให้ผู้ถือ UST ก่อน Upgrade เครือข่ายใหม่ 40%
ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเครือข่าย Terra หยุดทำงาน 10%
เก็บใน community pool สำหรับพัฒนาต่าง ๆ ในอนาคต 10% สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีทั้งคนที่กำลังรู้สึกเจ็บปวดกับการลงทุน และคนที่กำลังรู้สึกดีใจที่ทำกำไรจากการช้อนซื้อ LUNA ได้ ซึ่งบทเรียนครั้งนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนแข็งแกร่งขึ้นในวันข้างหน้า | Do Kwan เป็นหนุ่มอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีชาวเกาหลีใต้ อายุ 31 ปี เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือข่ายบล็อกเชน Terra และเป็นเจ้าของเหรียญ LUNA Coin รวมถึง Stable Coin UST
จุดเริ่มต้นทีทำให้ Do Kwan เข้าสู่วงการคริปโตอคือได้เจอกับ Daniel Shin ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Ticket Monster แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศเกาหลี และทั้งคู่ได้ร่วมก่อตั้ง Terraform Labs เครือข่ายการชำระเงินที่ใครก็สามารถใช้งานได้ และปราศจากการควบคุมจากส่วนกลาง จนทำให้เหรียญติด Top 10 ใหญ่ที่สุดในโลก
เหรียญ UST ถูกโจมตี
ราคาเหรียญ UST ที่เป็น Stablecoin ควรจะมีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ร่วงลงมาอยู่ที่ 0.980 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากการเทขายเหรียญ UST เป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่ากองทุน LFG จะพยายามซื้อเหรียญ UST แต่ม่สามารถกลับไปแตะที่ราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐได้ จึงทำให้ราคาของเหรียญ UST ร่วงลง และเริ่มเทขายเหรียญออกมาเป็นจำนวนมาก
ทำไมต้องโจมตีเหรียญ UST
Onchain Wizard ได้วิเคราะห์ออกมาว่า Luna Foundation Guard ซึ่งเป็นกองทุนที่ดูแลเสถียรภาพของ Terra ถือ Bitcoin เป็นเงินทุนสำรอง เพื่อพยุงราคา UST ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ถูกโจมตี
คนที่โจมตีได้ใช้ LUNA และ UST เป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการขาย Short ของ Bitcoin โดยผู้โจมตีจะต้องทำให้กองทุน
เทขาย Bitcoin ออกมาเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น ผู้โจมตีก็ได้ทำการโอน UST ที่เหลือไปยัง Binance ด้วย เมื่อเจอธุรกรรมการโอน UST ออก ทำให้นักลงทุนเกิด
ความตื่นตระหนก เลยเริ่มพากันเทขาย UST ออกมา และก็เข้าทางผู้โจมตี เมื่อกองทุน LFG เข้ามาพยุง UST เพื่อหวังให้กลับมาที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ได้ โดยการเทขาย Bitcoin ในกองทุน LFG อย่างรวดเร็ว แต่ผู้โจมตีก็ยังคงทำการขาย UST บน Binance
อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
จนในที่สุด Binance ต้องเข้ามาระงับการถอนเงิน UST เพื่อยับยั้งการแห่ขายและถอนเหรียญ ส่งผลให้ UST ร่วงไปถึง 0.60
ดอลลาร์สหรัฐฯ รวมไปถึงราคาของ LUNA ด้วย เนื่องจากมีเหรียญในระบบมากเกินไป จนทำให้มูลค่าต่อเหรียญเหลือค่าน้อยมาก จาก 119.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียง 0.0080 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
จากนั้นไม่นานนั้น Exchange หลาย ๆ เจ้า ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ออกมาทยอยถอดเหรียญออกจากกระดานเทรด
Bitkub ได้นำ UST และ LUNA กลับเข้ากระดานเทรดอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย และจากการที่ LUNA ราคาร่วงลงต่ำมาก มีนักลงทุนหลายคนได้ทำการช้อนซื้อ LUNA เสี่ยงดวง เพื่อหวังเป็นศุลต่านคนใหม่ของประเทศไทย ส่งผลให้ LUNA พุ่งขึ้นกว่า +1,000%
Do Kwon ได้ Tweet ข้อความโดยมีใจความว่า เขาใช้เวลาในไม่กี่วันก่อนหน้าเพื่อคุยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ โดยจะทำการ reset ให้กลับไปมีจำนวน 1,000 ล้าน LUNA โดยจะแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
1. ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเกิดเหตุการณ์ UST ไม่สามารถรักษามูลค่าได้ 40%
2. ให้ผู้ถือ UST ก่อน Upgrade เครือข่ายใหม่ 40%
3. ให้ผู้ถือ LUNA ก่อนเครือข่าย Terra หยุดทำงาน 10%
4. เก็บใน community pool สำหรับพัฒนาต่าง ๆ ในอนาคต 10% | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1062 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19 | null | การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19 แค่การเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นคงไม่พอ เพราะตลาดสินค้าแบรนด์เนมเติบโตสูงมากหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤตแบบนี้ก็ตาม จากการแพร่ระบาดของโรคในช่วงแรกๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมได้หยุดชะงักลงไปแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่การเปลี่ยนผ่านช่องทางการขายหลักมาเป็นช่องทางออนไลน์แทนนั้น ทำให้ในปี 2019 มูลค่าของตลาดสินค้าแบรนด์เนมสูงขึ้นมากกว่า 10 ล้านล้านบาท ยาวไปจนถึงปี 2021 จนทำให้หลายๆ บริษัท ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิที่เติบโตสูงขึ้นในช่วงเวลานั้นหลายแบรนด์เลยทีเดียว
บทเรียนจากย่อหน้านี้
การเติบโตของตลาดสินค้าแบรนด์เนมในช่วง COVID-19
- “เมื่อซื้อหุ้น จะไม่เคยเห็นแม้แต่ใบหุ้น แต่เมื่อคซื้อนาฬิกาหรือเสื้อผ้าแบรนด์เนม ทุกคนจะมองเห็นสิ่งนี้ในทุกที่ที่สวมใส่มัน”
- ตลาดสินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่แค่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังยิ่งเติบโตมากขึ้นระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์แม้กระทั่งในช่วงเวลาของวิกฤติโควิด-19
- ในช่วงที่เริ่มต้นวิกฤติโควิด-19 ใหม่ ๆ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมชะงักไปแต่ก็แค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะเมื่อปักหลักการขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ตลาดสินค้าแบรนด์เนมก็กลับมาเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 10 ล้านล้านบาทในปี 2019
- ต่อเนื่องจนถึงปี 2021 ที่ LVMH บริษัทเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Dior, Tiffany & Co. และ Sephora ได้ออกมาประกาศผลกำไรสุทธิว่าเติบโตถึง 156%
- ส่วนบริษัท Hermes ก็ได้ออกมาอวดว่าเป็น “ปีทองของ Birkin Bag” พร้อมโชว์ผลกำไรสุทธิเติบโต 77%
- แม้แต่ JP Morgan ก็ยังคาดการณ์ว่ามูลค่าการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมจะยังเพิ่มขึ้นเป็น 8 หมื่นล้านล้านบาท ในปี 2022 อีกด้วย | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1064 | Finance | ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 7 – 13 พ.ค. 2565 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมบ้าง? | null | กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่น
1. KT-ENERGY – กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.50%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +32.08%
2. ONE-ACTIVE6/2 – กองทุนเปิด วรรณ แอคทีฟ6/2 ฟันด์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.48%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +30.14%
3. KT-OIL – กองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.24%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +33.49%
หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2565 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้าจัดอันดับกองทุน อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน)
กองทุนยอดนิยม
1. ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -13.32%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -43.00%
2. TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.16%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -22.50%
3. PRINCIPAL VNEQ-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.98%
ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) -15.73% | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1065 | Finance | ควรซื้ออะไรเข้าพอร์ต ถึงจะช่วยให้เงินได้ดิบได้ดีมากที่สุด ระหว่าง กำไร หรือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว | null | การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว เพราะเมื่อรู้แล้วว่าระยะยาวยังไงหุ้นก็ให้ผลตอบแทนได้ดี ควรยัดหุ้นแบบไหนเข้าพอร์ตถึงจะช่วยให้เงินได้ดิบได้ดีมากที่สุด คำตอบก็คือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้วและหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีการปรับฐานที่รุนแรงน้อยกว่า อีกทั้งยังฟื้นตัวได้ไวกว่า หุ้นในตลาดพัฒนาแล้วมีโอกาสในการฟื้นตัวในปีที่เกิดการปรับฐานได้ไวกว่า และมีการขาดทุนจากจุดสูงสุด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ที่น้อยกว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่ อีกทั้งยามฟื้นตัวยังบวกได้มากกว่าจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งในระยะยาวมาก ๆ ยังสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าอีกด้วย ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง NASDAQ 100 ยังมีความโดดเด่นมากที่สุดในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการปรับฐานที่มีความรุนแรงน้อยกว่าในทุกช่วงเวลาและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
ส่วนกำไร เป็นสาเหตุที่ราคาของดัชนีหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเติบโตได้ดี ซึ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ก้าวกระโดดและโดดเด่นอย่างแท้จริง ซึ่งถ้าถือยาว ๆ ก็อาจเป็นผู้ชนะได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามหากถอดใจไปก่อน อาจต้องเผชิญการขายหมู และอาจจะนึกได้ว่ารู้งี้ถือต่ออีกหน่อยดีกว่าก็เป็นได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1066 | Finance | ด้วยธรรมชาติที่มีความเป็นธนาคารกลางซึ่งมีความเป็นอิสระสูงมาก แบงก์ชาติอังกฤษในระยะเวลา 20 ปีต่อมานับจากปี 1997 จึงสามารถดึงดูดบุคลากรระดับโลกอย่างใครบ้าง ให้มาทำหน้าที่ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ | null | ธนาคารกลางที่มีความเป็นอิสระจากการเมืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้แก่ ธนาคารกลางอังกฤษ โดยนับจากปี 1997 ที่กอร์ดอน บราวน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากพรรคแรงงาน ในขณะนั้น ประชุมร่วมกับเอ็ดดี้ จอร์จ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ ในตอนนั้น ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาที่ร้อยละ 6.25 ซึ่งถือเป็นครั้งสุดท้ายที่เป็นการประชุมร่วมกัน เพราะนับจากครั้งนั้น ธนาคารกลางอังกฤษ ภายใต้กฏหมายฉบับใหม่ ก็มีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินโดยไม่ต้องรายงาน หรือขึ้นตรงต่อหน่วยงานภายนอกใด ๆ โดยไม่ต้องมาเอาใจต่อรัฐบาลที่เน้นการผ่อนคลายนโยบายการคลังแต่อย่างใด
ด้วยธรรมชาติที่มีความเป็นธนาคารกลางซึ่งมีความเป็นอิสระสูงมาก แบงก์ชาติอังกฤษในระยะเวลา 20 ปีต่อมา จึงสามารถดึงดูดบุคลากรระดับโลกอย่างมาร์ค คาร์นีย์ และ เซอร์ เมอร์วีน คิง ให้มาทำหน้าที่ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษเป็นเวลาหลายปี หลังจากนั้นเป็นต้นมา
แล้วความเป็นอิสระของธนาคารกลางอังกฤษก็ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนมากที่สุด หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ ด้วยการประกาศว่าเศรษฐกิจอังกฤษ จะมีอัตราเงินเฟ้อแบบตัวเลขสองหลัก (จากราคาพลังงานที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่มร้อยละ 40 กว่าปีก่อน) และ มีอัตราการเติบโตเศรษฐกิจแบบติดลบ ในช่วงปลายปี 2022 ส่วนในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2023 นั้น ขนาดของเศรษฐกิจอังกฤษยังจะหดตัวลดลง เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอังกฤษจะหมดอายุ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า สภาวะเศรษฐกิจถดถอยของอังกฤษเท่านั้นที่จะสามารถหยุดปัญหาเงินเฟ้อในอังกฤษที่จะรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1067 | Finance | กองทุน SCBPGF มีนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนแบบใด? | กองทุน SCBPGF ลงทุนในกองทุนหลัก DWS Invest CROCI Sectors Plus ใน Share Class FCH (P) ไม่น้อยกว่า 80% โดยกองทุน SCBPGF จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยกระบวนการคัดเลือกหุ้นของ CROCI โดยจะคัดเลือก 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีค่าเฉลี่ยของ CROCI Economic P/E ต่ำที่สุด จาก 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้ได้พอร์ตหุ้นเน้นคุณค่าซึ่งไม่ค่อยเห็นกองทุนที่เน้นคุณค่าในตลาดหุ้นไทยสักเท่าไรนัก
ความเห็นต่อกองทุน SCBPGF
- พอร์ตหุ้นมีแนวคิดที่ดี ผลงานย้อนหลังยอดเยี่ยม
- ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับปานกลาง
- จำนวนหุ้นทั้งหมด 30 ตัว มี Top 10 Holdings ไม่กระจุกตัว (<50% ของทั้งพอร์ต)
- สัดส่วนที่แนะนำ 10-20% ของ Core Port ควบคู่กับสไตล์อื่นเช่น Growth
- มีสัดส่วนการลงทุนที่ไม่เหมือนกับกองทุนหุ้นโลกโดยทั่วไป ใช้ในการกระจายความเสี่ยงได้
- ระยะเวลาการลงทุนที่แนะนำ 5 ปี ขึ้นไป
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสากรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุน SCBPGF ลงทุนในกองทุนหลัก DWS Invest CROCI Sectors Plus ใน Share Class FCH (P) ไม่น้อยกว่า 80% โดยกองทุน SCBPGF จัดอยู่ในระดับความเสี่ยง 6 กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยกระบวนการคัดเลือกหุ้นของ CROCI โดยจะคัดเลือก 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มีค่าเฉลี่ยของ CROCI Economic P/E ต่ำที่สุด จาก 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้ได้พอร์ตหุ้นเน้นคุณค่าซึ่งไม่ค่อยเห้นกองทุนที่เน้นคุณค่าในตลาดหุ้นไทยสักเท่าไรนัก
ความเห็นของเด็กการเงินต่อพอร์ตกองทุน SCBPGF
- พอร์ตหุ้นมีแนวคิดที่ดี ผลงานย้อนหลังยอดเยี่ยม
- ค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับปานกลาง
- จำนวนหุ้นทั้งหมด 30 ตัว มี Top 10 Holdings ไม่กระจุกตัว (<50% ของทั้งพอร์ต)
- สัดส่วนที่แนะนำ 10-20% ของ Core Port ควบคู่กับสไตล์อื่นเช่น Growth
- มีสัดส่วนการลงทุนที่ไม่เหมือนกับกองทุนหุ้นโลกโดยทั่วไป ใช้ในการกระจายความเสี่ยงได้
- ระยะเวลาการลงทุนที่แนะนำ 5 ปี ขึ้นไป
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสากรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1068 | Finance | หุ้นนอกตลาดแตกรับมือยังไงดี? | null | เมื่อเข้าสู่สถานการณ์หุ้นต่างประเทศตลาดแตก สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงหากตัดสินใจลงทุนคือ
ลงทุนในหุ้นประเภทที่มีการเติบโตอย่างแน่นอน หรือเป็นเป็น MEGA Trend ที่มีการเติบโต
ต้องเป็นหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีนโยบายจากรัฐให้การสนับสนุน
หากมองทางฝั่งอเมริกา รัฐบาลให้การสนับสนุนเรื่องของ R&D and Manufacturing, Electric Vehicles, Clean Energy tax credits โดยจะมุ่งไปที่ Electric Vehicles เป็นหลัก นอกจากนี้ กระแสของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรงตั้งแต่ช่วงปี 2021 อาจกล่าวได้ว่า เทรนด์ที่กำลังมาและมีแนวโน้มเติบโตคือ EV & AV (Electric Vehicle and autonomous vehicles) ประกอบกับอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านมาสู่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า และพัฒนาเป็นระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหม่ของรถยนต์ที่จะได้เห็นกันในวงกว้าง หากบริษัทใดสามารถผลิตรถยนต์ตามคุณสมบัตินี้ได้ ก็จะมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในภาวะตลาดช่วงขาลง สิ่งที่นักลงทุนจะต้องตระหนักคือ ราคาหุ้นย่อมขึ้นลงเป็นวัฏจักร ถ้าหากมีเงินทุนสำรอง และเป็นหุ้นที่ดี เป็นกองทุนที่ดี ก็สามารถอดทนถือต่อไปได้ เพื่อรอจังหวะที่ราคาหุ้นจะขึ้น
อีกครั้ง หากเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาด อาจจะต้องรอจังหวะให้ราคาหุ้นสูงขึ้น เพื่อให้ตลาดมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น ยกเว้นผู้ที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูงก็สามารถเข้าซื้อได้ ทั้งนี้ หากไม่เลือกลงทุนในตลาดหุ้น อาจจะมองในส่วนของ Alternative Investment ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกอย่างหลากหลาย หรืออาจลงทุนในหุ้นจำพวก Commodity หรือสินทรัพย์ที่เป็น MEGA trend ที่มีการเติบโต และได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐ ฯ อาจทำให้สามารถลงทุนต่อไปได้ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1069 | Finance | The Sandbox มีโมเดลธุรกิจอย่างไร? อะไรคือกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ The Sandbox และมูลค่าของ SAND token? | null | โมเดลธุรกิจ:
The Sandbox มีโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยระบบเศรษฐกิจเสมือนจริงภายในแพลตฟอร์ม โดยมีองค์ประกอบหลักดังนี้:
การขายที่ดินเสมือน (LAND): ผู้เล่นสามารถซื้อที่ดินเสมือนในรูปแบบของ NFT บน Ethereum blockchain ที่ดินเหล่านี้สามารถใช้สร้างเกม ประสบการณ์ หรือพื้นที่สำหรับใช้งานอื่น ๆ
การซื้อขาย NFT: ผู้เล่นสามารถสร้างและซื้อขาย NFT ภายใน Marketplace ของ The Sandbox NFT เหล่านี้สามารถเป็นตัวละคร ไอเท็ม อุปกรณ์ หรือสิ่งของอื่น ๆ
ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: The Sandbox เก็บค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม เช่น การซื้อขาย NFT การเช่าที่ดิน และการใช้บริการอื่น ๆ
การให้สิทธิ์การใช้งาน: The Sandbox เสนอการให้สิทธิ์การใช้งานแก่ผู้พัฒนาเกมและผู้สร้างเนื้อหาอื่น ๆ เพื่อเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นในการสร้างประสบการณ์บนแพลตฟอร์ม
กลไกขับเคลื่อนการเติบโต:
การขยายฐานผู้ใช้: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดผู้ใช้ใหม่ ๆ เข้าสู่แพลตฟอร์มผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การจับมือกับพันธมิตร การออกแคมเปญการตลาด และการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ
การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ existing ผ่านการจัดกิจกรรม การอัปเดตเนื้อหาใหม่ และการสร้างระบบเศรษฐกิจเสมือนที่ยั่งยืน
การขยายระบบนิเวศ: The Sandbox มุ่งเน้นไปที่การขยายระบบนิเวศของแพลตฟอร์มโดยดึงดูดนักพัฒนาเกม ผู้สร้างเนื้อหา และพันธมิตรใหม่ ๆ
มูลค่าของ SAND token:
การใช้ SAND token: SAND token ถูกใช้สำหรับ various purposes บนแพลตฟอร์ม The Sandbox เช่น การซื้อที่ดิน NFT การจ่ายค่าธรรมเนียม และการเข้าร่วมใน governance ของแพลตฟอร์ม
ความต้องการ SAND token: ความต้องการ SAND token ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้ การมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และการขยายระบบนิเวศของ The Sandbox
การเก็งกำไร: SAND token ยังถูกใช้สำหรับการเก็งกำไร โดยนักลงทุนคาดหวังว่ามูลค่าของ token จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ข้อเสี่ยง:
การแข่งขัน: The Sandbox เผชิญกับการแข่งขันจากแพลตฟอร์ม Metaverse อื่น ๆ
กฎระเบียบ: กฎระเบียบด้าน cryptocurrency อาจส่งผลกระทบต่อ The Sandbox
การพึ่งพา Ethereum: The Sandbox พึ่งพา Ethereum blockchain ซึ่งอาจประสบปัญหา scalability และความปลอดภัย
สรุป:
The Sandbox เป็นแพลตฟอร์ม Metaverse ที่มีโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนโดยระบบเศรษฐกิจเสมือนจริง การเติบโตของแพลตฟอร์มขึ้นอยู่กับการขยายฐานผู้ใช้ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ และการขยายระบบนิเวศ มูลค่าของ SAND token ขึ้นอยู่กับการใช้ token บนแพลตฟอร์ม ความต้องการ token และการเก็งกำไร อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การแข่งขัน กฎระเบียบ และการพึ่งพา Ethereum | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1070 | Finance | มีการแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธีม Megatrends 3 กลุ่ม ได้แก่ เทคโนโลยีแห่งอนาคต นวัตกรรมการแพทย์ และจีน แต่ไม่ได้พูดถึงความเสี่ยงของกองทุนเหล่านี้ นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงอะไรบ้าง | null | 1. ความเสี่ยงด้านราคา: กองทุน Megatrends ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง แต่หุ้นเหล่านี้มักมีราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
2. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: บางกองทุน Megatrends ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งอาจมีสภาพคล่องต่ำ
3. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: กองทุน Megatrends มักลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
4. ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี: เทคโนโลยีมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา กองทุน Megatrends ลงทุนในธุรกิจที่อาจถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่
5. ความเสี่ยงด้านความผันผวน: กองทุน Megatrends มักมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรมี Risk Tolerance ที่สูง
6. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: รัฐบาลแต่ละประเทศมีกฎระเบียบที่แตกต่างกัน กองทุน Megatrends ลงทุนในธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบ
7. ความเสี่ยงด้านความสามารถของผู้จัดการกองทุน: ผลการดำเนินงานของกองทุน Megatrends ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุน
8. ความเสี่ยงด้านค่าธรรมเนียม: กองทุน Megatrends มักมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
คำแนะนำ:
นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน Megatrends อย่างละเอียด พิจารณาความเสี่ยงทั้งหมดก่อนตัดสินใจลงทุน กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนที่แตกต่างกัน ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน
นอกจากนี้นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจในธีม Megatrends ปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง
สรุป:
กองทุน Megatrends มีศักยภาพให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1071 | Finance | กองทุน Grayscale ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด | A. ปี 2011
B. ปี 2010
C. ปี 2012
D. ปี 2013 | คำตอบคือ D. เนื่องจาก Grayscale Investment หรือที่รู้จักกันในนาม “Grayscale” เป็นผู้จัดการกองทุนที่มุ่งเน้นการออกผลิตภัณฑ์ที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2013 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ออกมา ได้แก่ กองทุน Grayscale Bitcoin Trust ในปี 2013 และหากอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Kevinrooke ณ วันที่ 27 เมษายน 2022 ถือเป็นนักลงทุนที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุด จึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนในตลาดคริปโตฯ มักจับตาดูการเคลื่อนไหวกองทุนของ Grayscale ผลิตภัณฑ์ของ Grayscale มีอะไรบ้าง? หลังจากมีการกองทุนแรกในปี 2013 ทาง Grayscale ได้มีการออกผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลออกมาอีกจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนกองทุนทั้งสิ้น 17 กองทุน สามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ของ Grayscale ตามลักษณะของนโยบายการลงทุนของกองทุนได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่อิงกับสินทรัพย์ชนิดเดียว หรือ Single Asset Products | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1076 | Finance | สิ่งแรกที่ต้องรู้จักจาก Subprime Crisis คืออะไร | null | สิ่งแรกที่ต้องรู้จักจาก Subprime Crisis คือ MBS (Mortgage-Backed Security: หลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกัน) โดยกลไกของมันคือ สถาบันการเงินจะนำเงินไปปล่อยกู้ (ในกรณีนี้คือให้กู้ซื้อบ้าน) จากนั้นนำก้อนหนี้มามัดรวมกันเแล้วตั้งเป็น MBS ขึ้นมา ซึ่งเจ้า MBS นี้สามารถนำไปขายต่อให้นักลงทุนที่สนใจ รับผลตอบแทนจากการปล่อยกู้และรับความเสี่ยงแทนสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินจะได้นำเงินก้อนกลับมาจากการขาย MBS และมาปล่อยกู้ต่อ
การลงทุนดังกล่าวจะมีสินทรัพย์จากลูกหนี้เป็นหลักประกัน และหนี้บ้านถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ทำให้นักลงทุนตอนนั้นมองกันว่ามีความปลอดภัย (ถ้าลูกหนี้ไม่เบี้ยวหนี้ ทิ้งบ้านหรือบ้านราคาลดลงอย่างรุนแรง) โดยทั่วไปแล้ว MBS จะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าธนบัตรรัฐบาลเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า และอัตราผลตอบแทนจะมากขึ้นตามเครดิตของผู้มากู้ ยิ่งเครดิตแย่ ยิ่งผลตอบแทนสูง (ความเสี่ยงโดนเบี้ยวหนี้สูงกว่า)
ถ้าเปรียบ MBS เหมือนหุ้นรายตัวในตลาดหุ้น CDO (A collateralized debt obligation) ก็เหมือนกองทุนนั้นเอง เพียงแต่เป็นกองทุนที่ขายให้สถาบันการเงิน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะเกิดวิกฤตคือมีการสอดไส้ MBS ที่ขายไม่ออก หรือเกรดต่ำ ไว้ในกอง CDO ด้วย พบว่า CDO บางตัวที่ได้รับความประเมินว่ามีความมั่นคงมากระดับ AAA จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง Fitch, Moody’s หรือ S&P แต่ CDO เหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยสินเชื่อที่ปล่อยให้ผู้มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่าครึ่ง หลังสถาบันการเงิน ซื้อ CDO ไป MBS ที่ขายไม่ออก ก็จะมีเงินไหลเข้ามา และขายออกตามไปด้วย
ในเมื่อ MBS และ CDO ถูกสร้างมาเพื่อสถาบันการเงิน แต่ว่ามีคนอื่น ๆ อยากเข้าถึงเครื่องมือนี้เหมือนกัน synthethic CDO จึงเกิดขึ้น synthethic นั้นหมายความว่า มันไม่ใช่ของจริง แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์เดียวกัน ทำให้ผู้ซื้อ-ขาย รายย่อยสามารถได้กำไรจากการส่วนต่างราคา ถ้าเครื่องมือ MBS และ CDO เหมือนหวย Synthetic CDO ก็ไม่ต่างจากหวยใต้ดินที่คนไปแทงขึ้น-ลงกันนอกกระดาน เพียงแต่มันบ้ากว่านั้นมาก | 5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1080 | Finance | กองทุน TISCOEQF มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไปเท่าไหร่ | ก. 2000
ข. 1000
ค. 3000
ง. 4000 | คำตอบคือ ข. เนื่องจาก TISCOEQF
นโยบายกองทุน: กระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงทั้งในแง่ของมูลค่าและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และมีนโยบายลงทุนประมาณร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในหุ้นจดทะเบียนที่มีอัตราการซื้อขายหมุนเวียนค่อนข้างสูง โดยกองทุน TISCOEQF จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD) 15-25%
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ข้อมูลการปันผล
อัตราเงินปันผล: 28.80%
วันที่ปันผลล่าสุด: 14/9/2021
จำนวนเงินปันผลล่าสุด: 0.72 บาท | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1081 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ มุมมองต่อหุ้น Alibaba | null | มุมมองต่อหุ้น Alibaba ถ้าให้มองสถานการณ์กำไรของบริษัท เรียกได้ว่ารายได้ของบริษัทนั้นต่ำกว่าการคาดการณ์ค่อนข้างมาก เหตุผลเนื่องจากแรงกดดันที่เกิดจากการค่าปรับด้านการผูกขาด ด้านมุมมองต่อหุ้นในระยะสั้นนั้น นอกจากแรงกดดันแล้วยังได้รับแรงกดดันจาก Covid-19 ที่กลับมาระบาดในประเทศจีน ทำให้เกิดการอ่อนตัวลงด้านการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตของยอดขายสินค้ารวมและรายได้ของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ สงครามยูเครน รัสเซียก็ส่งผลกระทบด้านการขนส่ง อุปสงค์อ่อนตัวทำให้การเติบโตของธุรกิจ Cloud ช้าลง ในส่วนของมุมมองต่อหุ้นในระยะยาว ก็ต้องรอความชัดเจนจากการลงทุนด้านการบริหารต้นทุน ว่าจะมีนัยยะสำคัญต่อทางพื้นฐานธุรกิจหรือไม่ ถ้ามี คำตอบที่ได้ก็คือ กำไรอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
บทเรียนจากย่อหน้านี้
มุมมองต่อหุ้น Alibaba
สถานการณ์กำไรบริษัท
ระยะหลังรายได้บริษัทต่ำกว่าการคาดการณ์ไปค่อนข้างมากเนื่องจากมีแรงกดดันจากการค่าปรับด้านการผูกขาด
ระยะสั้น
- ยังได้รับแรงกดดันจาก Covid-19 ที่กลับมาระบาดอีกรอบในประเทศจีน ซึ่งทำให้การบริโภคภายในประเทศเริ่มอ่อนตัวลง และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของยอดขายสินค้ารวม หรือ GMV (Gross Merchandise Value) และรายได้ในส่วนของการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า CMR (Customer Management Revenue)
- สงครามยูเครน รัสเซียยังส่งผลกระทบกต่อธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับด้านการขนส่ง (Logistic) เป็นหลัก
- ธุรกิจ Cloud เริ่มเติบโตช้าลงจากอุปสงค์ (Demand) ที่เริ่มอ่อนตัว
- มีโอกาสถูกหั่นประมาณการเพิ่มเติม
ระยะยาว
ยังต้องรอความชัดเจนจากการลงทุนด้านการบริหารต้นทุน (Cost Optimization) ว่าจะมีนัยยะสำคัญต่อทางพื้นฐานธุรกิจหรือไม่ เพราะอาจช่วยให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1082 | Finance | กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก.f | รีวิวกองทุนหุ้นอินเดีย ‘B-BHARATA’ พร้อมส่องการเติบโตของอินเดีย
วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมารู้จักกับ กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA) ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่เด็กการเงินชื่นชอบ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คือตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสให้ค้นหา ปัจจัยภายในประเทศที่น่าสนใจ และกองทุนก็มีจุดแข็งที่ดี วันนี้เด็กการเงินมารีวิวกันเต็ม ๆ พร้อมส่องโอกาสในการลงทุนกับประเทศอินเดียกันเลย
สิ่งที่จะได้จากบทความนี้
ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงของอินเดีย
รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย
รีวิวกองทุน B-BHARATA
จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้
1. รู้จักประเทศอินเดีย และโอกาสในการเติบโต
ประเทศอินเดียมีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน ประชากรมีอายุโดยเฉลี่ยที่ 28-29 ปี (ข้อมูลจาก worldometer) อยู่ในวัยแรงงาน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีพลังการบริโภคสูง
คนอินเดียเป็นคนรุ่นใหม่มีความสามารถด้านไอที และสามารถใช้ไอทีเป็น จึงเกิดเป็น Unicorn Start-up ได้กว่า 30 เจ้าในปี 2021
อินเดียยังเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของโลก การส่งออกเติบโตจากเช่น น้ำมันสำเร็จรูป วัตถุดิบยา และข้าว คาดว่าอินเดียสามารถมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลกได้ ตามหลังจีนและ USA
ปัจจัยเสี่ยงของประเทศอินเดียคือ เงินเฟ้อ เนื่องจากประเทศอินเดียค่อนข้างอิสระกับเงินหมุนเวียนในระบบ ธนาคารกลางค่อนข้างผ่อนคลายกับนโยบายการเงิน ประเทศอินเดียมีการนำเข้าน้ำมันเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีอัตราการใช้กว่า 80% ผลิตได้เพียง 20% มี trade deficit สูง เงินจึงอ่อนค่าได้ง่าย และมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง
อีกหนึ่งปัญหาที่พบเหมือนกันทั่วโลกคือ ประเทศกำลังพัฒนามักจะมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูง ส่วนหนึ่งคือรัฐบาลต้องใช้เงินต่อสูกับ Covid-19 ทำให้ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในด้านสาธารณสุขมาก
2. รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดียจัดอยู่ใน Emerging Market
Sensex และ Nifty 50 ต่างเป็นดัชนีหลักที่ตลาดหุ้น Bombayและ National Security Exchange (NSE) ตามลำดับ สัดส่วนและ sector distribution ของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบจะมีความคล้ายกัน เช่น
หุ้น Reliance ที่เปรียบได้กับ ปตท. บ้านเด็กการเงิน ดูทั้งพลังงานและปิโตรเคมี
Infosys หุ้นไอทียักษ์ใหญ่ของอินเดีย
หุ้นธนาคารและสินเชื่อ HDFC Bank, ICCI Bank และ Housing Dev Finance Corp เป็นต้น
MSCI India คือ ตะกร้าดัชนีโดยบริษัท MSCI วัดผลงานของหุ้นขนาดใหญ่และกลาง
มูลค่าประมาณ 85% ของหุ้นอินเดียทั้งหมด ปัจจุบันมี 107 หุ้น
MSCI India มักจะถูกใช้เป็นตัว Benchmark ของกองทุนหุ้นอินเดีย เนื่องจากความครอบคลุมของมัน
อย่างไรก็ตามทั้ง Sensex, Nifty 50 และ MSCI India มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน โดยมีกลุ่ม Financials, IT และ Energy กว่า 60%
3. รู้จักกองทุน B-BHARATA
กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก RAMS India – India Equities Portfolio Fund Class I
บริหารแบบ Active ที่ระดับความเสี่ยง 6 สร้างพอร์ตแบบสมดุล ไม่ผันผวนเกินไป เลือกหุ้นจากมุมมอง Macro และ valuation เพื่อสร้าง Alpha เหนือ Benchmark MSCI India (USD)
กองทุนหลักของ B-BHARATA มี Alpha และ Beta ดังนี้
1 Yr/ 3 Yr Alpha +7.48%/+3.03%
1 Yr/ 3 Yr Beta 0.94/1.02
Beta ของกองทุนหลักอยู่ที่ ประมาณ 1 แต่สามารถสร้าง Alpha ได้
กองทุน B-BHARATA มีผลงานย้อนหลังดังนี้
1 Yr Return 20.80%
3 Yr Return 16.79%
5 Yr Return N.A.%
การจัดพอร์ตของ RAMS India – India Equities Portfolio ประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ กระจายตัว 40-50 ตัว ผู้จัดการกองทุนเป็นสาย Macro ที่เลือกหุ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม และเลือกหุ้นจาก valuation เป็นหลัก
อย่างไรก็ตามการเลือก sector weight ไม่ได้เลือกฉีกออกจาก Benchmark มากจนเกินไป (มีความแตกต่างสูงสุดอยู่ที่ 6%) และไม่ได้เป็นสาย Growth แบบกองทุนอินเดียอื่น ๆ ที่เน้น IT หรือ new economy มาก ด้วยเหตุผลนี้ แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการปรับฐานบ้าง B-BHARATA ก็ยังรักษา drawdown ได้ดี ต่างจากกองทุน India เน้น growth พอเวลาปรับฐาน จะติดลบรุนแรงกว่า Benchmark ได้
4. จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้
กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนหุ้นอินเดีย Sulabh Jhajharia ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี เข้าใจหุ้นและตลาดหุ้นอินเดียเป็นอย่างดี
จากที่เด็กการเงินได้อ่าน Fund Complementary ทำให้เข้าใจแนวคิดของผู้จัดการกองทุนท่านนี้ว่าเป็นมุมมองระยะกลาง-ยาว เป็นสายติดตาม Macroeconomic และมีการทำ valuation เพื่อประเมินหุ้นที่จะเติมเข้ามาในพอร์ตเพื่อหา alpha
พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะ Benchmark ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยที่สามารถควบคุมความผันผวนให้ได้ใกล้เคียงตลาด ที่ Beta ประมาณ 1
B-BHARATA มีค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล
มีเรทติ้ง MorningStar ที่ 4 ดาว สำหรับกองทุนหลัก (ประเภท India Equity Large Cap) และ 5 ดาว สำหรับกองทุนไทย (ประเภท India Equity) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565
ด้วยปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ เด็กการเงินจึงคิดว่า B-BHARATA เป็นกองทุนที่น่าสนใจ เพื่อหาผลตอบแทนจากการเติบโตของประเทศอินเดีย ซึ่งแนะนำว่าต้องใช้เวลาในการลงทุนที่ยาวหน่อย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนไปได้ ความผันผวน (เมื่อเทียบจาก standard deviation) กองทุนอินเดียเมื่อเทียบกับหุ้นโลก ค่อนข้างที่จะผันผวนกว่า ดังนั้นผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนหุ้นอินเดียลดหลั่นลงมา ไม่เกิน 10% ของพอร์ต เป็นต้น
รีวิวด้วยความเห็นส่วนบุคคลโดยเด็กการเงิน และไม่ได้แนะนำการลงทุน
เด็กการเงิน DekFinance
ที่มาบทความ:
คำเตือน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมารู้จักกับ กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA) ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่เด็กการเงินชื่นชอบ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คือตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสให้ค้นหา ปัจจัยภายในประเทศที่น่าสนใจ และกองทุนก็มีจุดแข็งที่ดี วันนี้เด็กการเงินมารีวิวกันเต็ม ๆ พร้อมส่องโอกาสในการลงทุนกับประเทศอินเดียกันเลย วันนี้ เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมารู้จักกับ กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B-BHARATA) ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่เด็กการเงินชื่นชอบ ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คือตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสให้ค้นหา ปัจจัยภายในประเทศที่น่าสนใจ และกองทุนก็มีจุดแข็งที่ดี วันนี้เด็กการเงินมารีวิวกันเต็ม ๆ พร้อมส่องโอกาสในการลงทุนกับประเทศอินเดียกันเลย สิ่งที่จะได้จากบทความนี้ สิ่งที่จะได้จากบทความนี้ ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงของอินเดีย
รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย
รีวิวกองทุน B-BHARATA
จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้ ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงของอินเดีย รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย รีวิวกองทุน B-BHARATA จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้ 1. รู้จักประเทศอินเดีย และโอกาสในการเติบโต ประเทศอินเดียมีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน ประชากรมีอายุโดยเฉลี่ยที่ 28-29 ปี (ข้อมูลจาก worldometer) อยู่ในวัยแรงงาน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีพลังการบริโภคสูง ประเทศอินเดียมีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน ประชากรมีอายุโดยเฉลี่ยที่ 28-29 ปี (ข้อมูลจาก worldometer) อยู่ในวัยแรงงาน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีพลังการบริโภคสูง คนอินเดียเป็นคนรุ่นใหม่มีความสามารถด้านไอที และสามารถใช้ไอทีเป็น จึงเกิดเป็น Unicorn Start-up ได้กว่า 30 เจ้าในปี 2021 คนอินเดียเป็นคนรุ่นใหม่มีความสามารถด้านไอที และสามารถใช้ไอทีเป็น จึงเกิดเป็น Unicorn Start-up ได้กว่า 30 เจ้าในปี 2021 อินเดียยังเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของโลก การส่งออกเติบโตจากเช่น น้ำมันสำเร็จรูป วัตถุดิบยา และข้าว คาดว่าอินเดียสามารถมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลกได้ ตามหลังจีนและ USA อินเดียยังเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญของโลก การส่งออกเติบโตจากเช่น น้ำมันสำเร็จรูป วัตถุดิบยา และข้าว คาดว่าอินเดียสามารถมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลกได้ ตามหลังจีนและ USA ปัจจัยเสี่ยงของประเทศอินเดียคือ เงินเฟ้อ เนื่องจากประเทศอินเดียค่อนข้างอิสระกับเงินหมุนเวียนในระบบ ธนาคารกลางค่อนข้างผ่อนคลายกับนโยบายการเงิน ประเทศอินเดียมีการนำเข้าน้ำมันเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีอัตราการใช้กว่า 80% ผลิตได้เพียง 20% มี trade deficit สูง เงินจึงอ่อนค่าได้ง่าย และมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง ปัจจัยเสี่ยงของประเทศอินเดียคือ เงินเฟ้อ เนื่องจากประเทศอินเดียค่อนข้างอิสระกับเงินหมุนเวียนในระบบ ธนาคารกลางค่อนข้างผ่อนคลายกับนโยบายการเงิน ประเทศอินเดียมีการนำเข้าน้ำมันเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีอัตราการใช้กว่า 80% ผลิตได้เพียง 20% มี trade deficit สูง เงินจึงอ่อนค่าได้ง่าย และมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง อีกหนึ่งปัญหาที่พบเหมือนกันทั่วโลกคือ ประเทศกำลังพัฒนามักจะมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูง ส่วนหนึ่งคือรัฐบาลต้องใช้เงินต่อสูกับ Covid-19 ทำให้ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในด้านสาธารณสุขมาก อีกหนึ่งปัญหาที่พบเหมือนกันทั่วโลกคือ ประเทศกำลังพัฒนามักจะมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูง ส่วนหนึ่งคือรัฐบาลต้องใช้เงินต่อสูกับ Covid-19 ทำให้ต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในด้านสาธารณสุขมาก 2. รู้จักดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย องค์ประกอบ และดัชนีอะไรที่ใช้เป็นตัววัดตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นอินเดียจัดอยู่ใน Emerging Market ตลาดหุ้นอินเดียจัดอยู่ใน Emerging Market Sensex และ Nifty 50 ต่างเป็นดัชนีหลักที่ตลาดหุ้น Bombayและ National Security Exchange (NSE) ตามลำดับ สัดส่วนและ sector distribution ของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบจะมีความคล้ายกัน เช่น Sensex และ Nifty 50 ต่างเป็นดัชนีหลักที่ตลาดหุ้น Bombayและ National Security Exchange (NSE) ตามลำดับ สัดส่วนและ sector distribution ของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบจะมีความคล้ายกัน เช่น หุ้น Reliance ที่เปรียบได้กับ ปตท. บ้านเด็กการเงิน ดูทั้งพลังงานและปิโตรเคมี
Infosys หุ้นไอทียักษ์ใหญ่ของอินเดีย
หุ้นธนาคารและสินเชื่อ HDFC Bank, ICCI Bank และ Housing Dev Finance Corp เป็นต้น หุ้น Reliance ที่เปรียบได้กับ ปตท. บ้านเด็กการเงิน ดูทั้งพลังงานและปิโตรเคมี Infosys หุ้นไอทียักษ์ใหญ่ของอินเดีย หุ้นธนาคารและสินเชื่อ HDFC Bank, ICCI Bank และ Housing Dev Finance Corp เป็นต้น MSCI India คือ ตะกร้าดัชนีโดยบริษัท MSCI วัดผลงานของหุ้นขนาดใหญ่และกลาง MSCI India คือ ตะกร้าดัชนีโดยบริษัท MSCI วัดผลงานของหุ้นขนาดใหญ่และกลาง มูลค่าประมาณ 85% ของหุ้นอินเดียทั้งหมด ปัจจุบันมี 107 หุ้น มูลค่าประมาณ 85% ของหุ้นอินเดียทั้งหมด ปัจจุบันมี 107 หุ้น MSCI India มักจะถูกใช้เป็นตัว Benchmark ของกองทุนหุ้นอินเดีย เนื่องจากความครอบคลุมของมัน MSCI India มักจะถูกใช้เป็นตัว Benchmark ของกองทุนหุ้นอินเดีย เนื่องจากความครอบคลุมของมัน อย่างไรก็ตามทั้ง Sensex, Nifty 50 และ MSCI India มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน โดยมีกลุ่ม Financials, IT และ Energy กว่า 60% อย่างไรก็ตามทั้ง Sensex, Nifty 50 และ MSCI India มักจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน โดยมีกลุ่ม Financials, IT และ Energy กว่า 60% 3. รู้จักกองทุน B-BHARATA กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก RAMS India – India Equities Portfolio Fund Class I กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก RAMS India – India Equities Portfolio Fund Class I บริหารแบบ Active ที่ระดับความเสี่ยง 6 สร้างพอร์ตแบบสมดุล ไม่ผันผวนเกินไป เลือกหุ้นจากมุมมอง Macro และ valuation เพื่อสร้าง Alpha เหนือ Benchmark MSCI India (USD) บริหารแบบ Active ที่ระดับความเสี่ยง 6 สร้างพอร์ตแบบสมดุล ไม่ผันผวนเกินไป เลือกหุ้นจากมุมมอง Macro และ valuation เพื่อสร้าง Alpha เหนือ Benchmark MSCI India (USD) กองทุนหลักของ B-BHARATA มี Alpha และ Beta ดังนี้ กองทุนหลักของ B-BHARATA มี Alpha และ Beta ดังนี้ 1 Yr/ 3 Yr Alpha +7.48%/+3.03%
1 Yr/ 3 Yr Beta 0.94/1.02 1 Yr/ 3 Yr Alpha +7.48%/+3.03% 1 Yr/ 3 Yr Beta 0.94/1.02 Beta ของกองทุนหลักอยู่ที่ ประมาณ 1 แต่สามารถสร้าง Alpha ได้ Beta ของกองทุนหลักอยู่ที่ ประมาณ 1 แต่สามารถสร้าง Alpha ได้ กองทุน B-BHARATA มีผลงานย้อนหลังดังนี้ กองทุน B-BHARATA มีผลงานย้อนหลังดังนี้ 1 Yr Return 20.80%
3 Yr Return 16.79%
5 Yr Return N.A.% 1 Yr Return 20.80% 3 Yr Return 16.79% 5 Yr Return N.A.% การจัดพอร์ตของ RAMS India – India Equities Portfolio ประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ กระจายตัว 40-50 ตัว ผู้จัดการกองทุนเป็นสาย Macro ที่เลือกหุ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม และเลือกหุ้นจาก valuation เป็นหลัก การจัดพอร์ตของ RAMS India – India Equities Portfolio ประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ กระจายตัว 40-50 ตัว ผู้จัดการกองทุนเป็นสาย Macro ที่เลือกหุ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม และเลือกหุ้นจาก valuation เป็นหลัก อย่างไรก็ตามการเลือก sector weight ไม่ได้เลือกฉีกออกจาก Benchmark มากจนเกินไป (มีความแตกต่างสูงสุดอยู่ที่ 6%) และไม่ได้เป็นสาย Growth แบบกองทุนอินเดียอื่น ๆ ที่เน้น IT หรือ new economy มาก ด้วยเหตุผลนี้ แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการปรับฐานบ้าง B-BHARATA ก็ยังรักษา drawdown ได้ดี ต่างจากกองทุน India เน้น growth พอเวลาปรับฐาน จะติดลบรุนแรงกว่า Benchmark ได้ อย่างไรก็ตามการเลือก sector weight ไม่ได้เลือกฉีกออกจาก Benchmark มากจนเกินไป (มีความแตกต่างสูงสุดอยู่ที่ 6%) และไม่ได้เป็นสาย Growth แบบกองทุนอินเดียอื่น ๆ ที่เน้น IT หรือ new economy มาก ด้วยเหตุผลนี้ แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการปรับฐานบ้าง B-BHARATA ก็ยังรักษา drawdown ได้ดี ต่างจากกองทุน India เน้น growth พอเวลาปรับฐาน จะติดลบรุนแรงกว่า Benchmark ได้ 4. จุดเด่นที่เด็กการเงินชอบในกองทุนนี้ กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนหุ้นอินเดีย Sulabh Jhajharia ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี เข้าใจหุ้นและตลาดหุ้นอินเดียเป็นอย่างดี
จากที่เด็กการเงินได้อ่าน Fund Complementary ทำให้เข้าใจแนวคิดของผู้จัดการกองทุนท่านนี้ว่าเป็นมุมมองระยะกลาง-ยาว เป็นสายติดตาม Macroeconomic และมีการทำ valuation เพื่อประเมินหุ้นที่จะเติมเข้ามาในพอร์ตเพื่อหา alpha
พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะ Benchmark ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยที่สามารถควบคุมความผันผวนให้ได้ใกล้เคียงตลาด ที่ Beta ประมาณ 1
B-BHARATA มีค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล
มีเรทติ้ง MorningStar ที่ 4 ดาว สำหรับกองทุนหลัก (ประเภท India Equity Large Cap) และ 5 ดาว สำหรับกองทุนไทย (ประเภท India Equity) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนหุ้นอินเดีย Sulabh Jhajharia ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี เข้าใจหุ้นและตลาดหุ้นอินเดียเป็นอย่างดี จากที่เด็กการเงินได้อ่าน Fund Complementary ทำให้เข้าใจแนวคิดของผู้จัดการกองทุนท่านนี้ว่าเป็นมุมมองระยะกลาง-ยาว เป็นสายติดตาม Macroeconomic และมีการทำ valuation เพื่อประเมินหุ้นที่จะเติมเข้ามาในพอร์ตเพื่อหา alpha พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะ Benchmark ได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยที่สามารถควบคุมความผันผวนให้ได้ใกล้เคียงตลาด ที่ Beta ประมาณ 1 B-BHARATA มีค่าธรรมเนียมที่สมเหตุสมผล มีเรทติ้ง MorningStar ที่ 4 ดาว สำหรับกองทุนหลัก (ประเภท India Equity Large Cap) และ 5 ดาว สำหรับกองทุนไทย (ประเภท India Equity) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 ด้วยปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ เด็กการเงินจึงคิดว่า B-BHARATA เป็นกองทุนที่น่าสนใจ เพื่อหาผลตอบแทนจากการเติบโตของประเทศอินเดีย ซึ่งแนะนำว่าต้องใช้เวลาในการลงทุนที่ยาวหน่อย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนไปได้ ความผันผวน (เมื่อเทียบจาก standard deviation) กองทุนอินเดียเมื่อเทียบกับหุ้นโลก ค่อนข้างที่จะผันผวนกว่า ดังนั้นผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนหุ้นอินเดียลดหลั่นลงมา ไม่เกิน 10% ของพอร์ต เป็นต้น ด้วยปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ เด็กการเงินจึงคิดว่า B-BHARATA เป็นกองทุนที่น่าสนใจ เพื่อหาผลตอบแทนจากการเติบโตของประเทศอินเดีย ซึ่งแนะนำว่าต้องใช้เวลาในการลงทุนที่ยาวหน่อย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนไปได้ ความผันผวน (เมื่อเทียบจาก standard deviation) กองทุนอินเดียเมื่อเทียบกับหุ้นโลก ค่อนข้างที่จะผันผวนกว่า ดังนั้นผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุนหุ้นอินเดียลดหลั่นลงมา ไม่เกิน 10% ของพอร์ต เป็นต้น รีวิวด้วยความเห็นส่วนบุคคลโดยเด็กการเงิน และไม่ได้แนะนำการลงทุน รีวิวด้วยความเห็นส่วนบุคคลโดยเด็กการเงิน และไม่ได้แนะนำการลงทุน เด็กการเงิน DekFinance เด็กการเงิน DekFinance ที่มาบทความ: ที่มาบทความ: คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | กองทุน B-BHARATA ลงทุนในกองทุนหลัก RAMS India – India Equities Portfolio Fund Class I บริหารแบบ Active ที่ระดับความเสี่ยง 6 สร้างพอร์ตแบบสมดุล ไม่ผันผวนเกินไป เลือกหุ้นจากมุมมอง Macro และ valuation เพื่อสร้าง Alpha เหนือ Benchmark MSCI India (USD)
กองทุนหลักของ B-BHARATA มี Alpha และ Beta ดังนี้
- 1 Yr/ 3 Yr Alpha +7.48%/+3.03%
- 1 Yr/ 3 Yr Beta 0.94/1.02
Beta ของกองทุนหลักอยู่ที่ประมาณ 1 แต่สามารถสร้าง Alpha ได้
กองทุน B-BHARATA มีผลงานย้อนหลังดังนี้
- 1 Yr Return 20.80%
- 3 Yr Return 16.79%
- 5 Yr Return N.A.%
การจัดพอร์ตของ RAMS India – India Equities Portfolio ประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ กระจายตัว 40-50 ตัว ผู้จัดการกองทุนเป็นสาย Macro ที่เลือกหุ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสม และเลือกหุ้นจาก valuation เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม การเลือก sector weight ไม่ได้เลือกฉีกออกจาก Benchmark มากจนเกินไป (มีความแตกต่างสูงสุดอยู่ที่ 6%) และไม่ได้เป็นสาย Growth แบบกองทุนอินเดียอื่น ๆ ที่เน้น IT หรือ new economy มาก ด้วยเหตุผลนี้ แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีการปรับฐานบ้าง B-BHARATA ก็ยังรักษา drawdown ได้ดี ต่างจากกองทุน India เน้น growth พอเวลาปรับฐาน จะติดลบรุนแรงกว่า Benchmark ได้ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1085 | Finance | อเมริกาเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1890 ซึ่งมาจากอะไร | 1. นวัตกรรมในการผลิต การเงิน และเทคโนโลยี
2. ความเชื่อมั่นต่อระบบการเงิน
3. สินเชื่อ
4. หุ้นกู้ | คำตอบที่ถูกต้องคือ 1. เพราะว่า อเมริกาเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1890 ซึ่งมาจากนวัฒกรรมในการผลิต การเงิน และเทคโนโลยี มีผู้คนจากหลากหลายประเทศเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำงานเป็นจำนวนมากด้วยค่าแรงที่สูง หลังจากสงครามโลกทั้ง 1 และ 2 มา อเมริกาเติบโตได้ดีมาตลอดร่วม 80 ปีแล้ว
แม้จะมีหดตัวบ้าง วิกฤตบ้าง ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และอสังหาก็เติบโตมาคู่กับเศรษฐกิจของ US ที่ขยายตัวมาตลอด ช่วงที่อสังหาของ US เติบโตเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ มันแบกหนี้ก้อนใหญ่มาด้วย และใช้เวลาสะสมกว่าเกือบ 30 ปี (ช่วงเข้าสู่ดอกเบี้ยขาลงตั้งแต่ปี 1982) ก่อนจะเกิดวิกฤติ Subprime ขึ้นในปี 2008
เมื่อดอกเบี้ยลดลง การอนุมัติกู้เงินก็ง่ายขึ้น ค่าใช้จ่ายที่น้อยลง ส่งผลให้คนกู้เงินมาใช้อุปโภคบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงซื้อบ้านกันมากขึ้น
ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็น passive income หรือสินทรัพย์เก็งกำไร ตลอดหลายสิบปี เริ่มมีคนที่ประสบความสำเร็จ จากการซื้อบ้านมาขาย มาปล่อยเช่ามากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเวลาเกือบ 30 ปี ที่ราคาบ้านเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา ใครซื้อไว้ก็ได้กำไร ไม่มีใครคาดคิดด้วยซ้ำว่าราคาบ้านจะลดลงได้ เพราะอสังหาถูกมองว่าเป็น safe asset
เมื่อดอกเบี้ยต่ำลงเรื่อย ๆ มันจึงดึงให้คนสนใจซื้ออสังหามากเป็นทวีคูณ บ้างซื้ออยู่อาศัยเอง บ้างซื้อสะสมหวังรวย บางคนมีได้ถึง 3-4 แห่ง ฝั่งบริษัทก่อสร้างต่าง ๆ เมื่อเห็นความต้องการของลูกค้าเพิ่มก็สร้างเพิ่มให้มากที่สุด ฝั่งสถาบันการเงินก็เห็นว่าบ้านเป็นสิ่งที่คนจะไม่ทิ้งไปแน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมันเป็นเหมือน Safe Zone และเป็นสิ่งที่ทุกคนไฝ่ฝันว่าจะมีขาขึ้นอันยาวนานได้วาดฝันกำไรอันสวยงามให้กับทุกฝ่าย | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1088 | Finance | ช่วยสรุปบทความ รีวิวกองทุน ABPCAP: โอกาสลงทุนหุ้นอินดี้นอกตลาด แบบความเสี่ยงจำกัด ขยาย Upside! | ทำไมหุ้นแบบ Private Equity นอกตลาดถึงน่าลงทุน?
หุ้นนอกตลาดมีโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้สูง (Upside return) และอาจมีความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ที่จำกัดจากระดับราคาที่ไม่สูง หากวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง
หุ้นนอกตลาดอาจจำกัดการเข้าถึงกับคนทั่วไปก็จริง แต่มองกลับกันแล้วการที่คนเข้ามาได้ไม่เยอะก็อาจช่วยให้ความผันผวนของราคาลดลงได้เช่นกัน เพราะ ยิ่งคนเข้ามาซื้อขายมากราคาก็ย่อมผันผวนมากขึ้นเนื่องจากราคาเป็นสิ่งที่สะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์เรา
อุ่นใจจากกระแสของข่าวร้าย เนื่องจากหุ้นนอกตลาดอาจเป็นหุ้นที่คนไม่สนใจมากนักจึงอาจทำให้คุณเห็นข่าวร้ายน้อยลงลดการตกใจขาย (Panic sell) ช่วยให้คุณลงทุนอย่างสงบสุขและโฟกัสกับการลงทุนในระยะยาวโดยแท้จริงได้มากขึ้น | หุ้นแบบ Private Equity นอกตลาดน่าลงทุนเนื่องจากมีโอกาส Upside return สูงและ Downside risk จำกัด หากทำการวิเคราะห์ถูกต้อง การเข้าถึงก็จำกัด ทำให้มีความผันผวนราคาลดลงได้ เนื่องจากคนเข้ามาซื้อขายน้อย ๆ และ ไม่มีกระแสข่าวร้าย ช่วยให้คุณลงทุนอย่างสงบสุขและโฟกัสกับการลงทุนในระยะยาวโดยแท้จริงได้มากขึ้น | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1090 | Finance | ปัจจัยที่นักขุด Bitcoin ต้องคำนึงถึงปัจจัยใดเป็นสำคัญสำหรับการขุด Bitcoin ระหว่าง เครื่องขุด, ค่าไฟฟ้า หรือ โครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย | null | ค่าไฟฟ้า เพราะในการขุด Bitcoin จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น ค่าไฟฟ้าจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการขุด Bitcoin นักขุด Bitcoin มืออาชีพส่วนใหญ่มักจะตั้งเหมืองขุดในประเทศที่มีค่าไฟฟ้าต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่ำ เพื่อลดต้นทุนในส่วนนี้ โดยต้องต่ำกว่า $0.06 ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง จึงจะสามารถทำกำไรจากการขุด Bitcoin ได้แม้ว่าจะอยู่ในภาวะตลาดหมี
ส่วนเครื่องขุด นักขุดต้องทำการซื้อเครื่องขุด Bitcoin โดยเฉพาะ หรือที่เรียกกันว่า ASIC แม้ว่าจะสามารถขุด Bitcoin ได้ด้วย CPU ทั่วไปที่ใช้ GPU หรือ FPGA แต่การขุดจะทำได้อย่างช้า ๆ ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าไฟโดยเปล่าประโยชน์ เพราะมีคู่แข่งจำนวนไม่น้อยที่ใช้เครื่องขุด Bitcoin สเปคเทพ มาลงสนามขุด Bitcoin ไปพร้อมกับตนเอง
และสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย ความเร็วของเครือข่ายไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนกับกระบวนการขุด Bitcoin อย่างไรก็ตาม นักขุดต้องแน่ใจว่าอินเทอร์เน็ตของตนเองมีการเชื่อมต่อที่เสถียรพร้อมรับการใช้งานของโปรแกรมขุด Bitcoin ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะหากการเชื่อมต่อของอินเทอร์เน็ตถูกตัดไป กระบวนการขุดอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อผิดพลาดหลังจากอินเทอร์เน็ตกลับมาเชื่อมต่อได้อีกครั้ง | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1091 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ "โอกาสในการเติบโตของตลาด Private Markets" | null | ตลาด Private Markets จะมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการลงทุนในตลาดนี้จะทำให้มีโอกาสลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย จึงทำให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุน หากตลาดอยู่ในภาวะการณ์เงินเฟ้อ และมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนอาจมี exposure ไปลงทุนที่ Private Debt ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากอัตราส่วนต่างของดอกเบี้ย แม้แต่อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน ก็เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างโอกาสรับรายได้อย่างสม่ำเสมอในยุคที่เงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้น
บทเรียนจากย่อหน้านี้
Private Markets คือ การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนและไม่ได้มีการซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น จึงมีกลุ่มผู้ลงทุนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่มีโอกาสเข้าถึง Private Markets ได้ การลงทุนในตลาด Private Markets มีข้อจำกัดในเรื่องของ Login Period หรือการกำหนดระยะเวลาห้ามซื้อขาย ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ นอกจากนี้ การลงทุนใน Private Markets มักใช้เงินลงทุนในปริมาณสูง และการเสนอขายจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน หรือกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (Ultra-High Net Worth)
โอกาสในการเติบโตของตลาด Private Markets
- Private Markets มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
- การลงทุนใน Private Markets ทำให้มีโอกาสลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ และทรัพยากรธรรมชาติ ที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
- เมื่อสินทรัพย์มีความหลากหลาย จึงมีความยืดหยุ่นในการลงทุน หากตลาดอยู่ในภาวะการณ์เงินเฟ้อ และมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ผู้จัดการกองทุนอาจมี exposure ไปลงทุนที่ Private Debt ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากอัตราส่วนต่างของดอกเบี้ย หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ (Real estate) และ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ก็เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถสร้างโอกาสรับรายได้อย่างสม่ำเสมอในยุคที่เงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้น | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1095 | Finance | ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่เรื่อง Recession หรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นคำที่ถูกค้นหาทางอินเทอร์เน็ตบ่อยมากถึงขนาดติดท็อปเทรนด์ในปี 2022 | ก. สหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 1955 ยังไม่เคยมีไตรมาสใดที่อัตราเงินเฟ้อจากค่าจ้างสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 5 ต่อปี
ข. เกิดผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี และ 2 ปี
ค. เกิดปรากฏการณ์เส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยแบบหัวกลับ (Inverted Yield Curve)
ง. อัตราการว่างงานเฉลี่ยต่ำกว่าร้อยละ 5 ต่อปี
จ. การเกิดวิกฤตเงินเฟ้อช่วงปี 1948-1955 | ข้อที่ถูกต้อง ได้แก่ จ. เพราะการเกิดวิกฤตเงินเฟ้อช่วงปี 1948-1955 เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐในปี 2022 ที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยมีปัญหาอุปทานติดขัดหรือ Supply Disruption และอุปสงค์ที่ร้อนแรงมากเกินไป ปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐในครั้งนี้ ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนมีนาคมที่ร้อยละ 8.5 และอัตราเงินเฟ้อซึ่งปราศจากอาหารและพลังงานที่ร้อยละ 6.5 น่าจะขึ้นเร็วและแรงพอสมควร โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 10 ต้น ๆ แต่น่าจะสามารถจบได้ภายใน 2-3 ปี
ส่วนการที่ในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 1955 ยังไม่เคยมีไตรมาสใดที่หากอัตราเงินเฟ้อจากค่าจ้างสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 5 ต่อปี อัตราการว่างงานเฉลี่ยต่ำกว่าร้อยละ 5 ต่อปี ที่จะไม่ตามด้วยเศรษฐกิจถดถอยในอีก 2 ปีถัดไป การเกิดปรากฏการณ์เส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยแบบหัวกลับ (Inverted Yield Curve) และผลต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี และ 2 ปี เป็นสาเหตุที่คำว่า Recession หรือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นคำที่ถูกค้นหาทางอินเทอร์เน็ตกันบ่อยมากถึงขนาดติดท็อปเทรนด์ ในปี 2022 | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1098 | Finance | National Digital ID (NDID) Platform กลางของประเทศใด | 1. ประเทศลาว
2. ประเทศกัมพูชา
3. ประเทศจีน
4. ประเทศไทย | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 4.
เพราะว่า National Digital ID (NDID) Platform คือ Platform กลางของประเทศไทยในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าด้วยกัน เป็นระบบกลางสำหรับบริหารจัดการ Digital ID เพื่อสนับสนุนกระบวนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เช่น
1. การตรวจพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (e-KYC)
2. การลงนามด้วยลายมือชื่อดิจิทัล (e-Signature)
3. การให้ความยินยอมในการเปิดเผยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Consent)
เป็นการสร้างมาตรฐานและยกระดับการทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างระบบ Data Sharing โดยทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างไรก็ตามการ Data Sharing ดังกล่าวต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนจึงจะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลได้ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_11 | Finance | ในฐานะนักลงทุน เราควรพิจารณา ESG ในการลงทุนอย่างไร? | null | การพิจารณา ESG ในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ ดังนี้:
1. ผลตอบแทนระยะยาว:
จากบทความ การศึกษาโดยผู้ลงทุนสถาบันหลายราย เช่น NN Investment Partners BlackRock และ BNP Paribas ชี้ให้เห็นว่า คะแนนด้าน ESG มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกับผลตอบแทนจากการลงทุนในกิจการในระยะยาว
2. ลดความเสี่ยง:
ESG ช่วยให้ ประเมินความเสี่ยง ของกิจการได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น
ความเสี่ยงด้านกายภาพ: ธุรกิจที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ย่อมมีความเสี่ยงสูง
ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน: ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวให้เข้ากับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ย่อมมีความเสี่ยงสูง
3. โอกาสใหม่:
ESG ช่วยให้นักลงทุน ค้นหาโอกาสใหม่ ในธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ตัวอย่างเช่น
ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
ธุรกิจที่ใช้วัสดุรีไซเคิล
ธุรกิจที่ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน
4. ภาพลักษณ์:
การลงทุนในธุรกิจที่มี ESG ดี จะช่วย สร้างภาพลักษณ์ที่ดี ให้กับนักลงทุน
แนวทางการพิจารณา ESG:
ศึกษาข้อมูล: ศึกษาข้อมูล ESG ของบริษัทที่สนใจลงทุน
เปรียบเทียบ: เปรียบเทียบคะแนน ESG ของบริษัทในกลุ่มเดียวกัน
วิเคราะห์: วิเคราะห์ว่า ESG ของบริษัท ส่งผลต่อผลการดำเนินงานและผลตอบแทนอย่างไร
เลือก: เลือกบริษัทที่มี ESG ดี
สรุป:
การพิจารณา ESG ในการลงทุน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี ลดความเสี่ยง ค้นหาโอกาสใหม่ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
หมายเหตุ:
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
ESG เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ควรพิจารณา ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย | 5.กลยุทธ์การลงทุน,6.การบริหารสินทรัพย์,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Finance_110 | Finance | ช่วยสรุปบทความ 4 ข้อคิดดีดี พาผู้ประกอบการก้าวข้ามกับดักภาษี | เรื่องภาษีควรถูกมองให้เป็นตัวช่วย มากกว่าเป็นภาระที่ต้องเลี่ยง ผู้ประกอบการที่เติบโตและมีกิจการที่ขยายตัวเพิ่มได้ ต่างก้าวผ่านความพยายามเลี่ยงภาษีไปเป็นความพยายามจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพแทน และภาษีเป็นเรื่องที่ต้องรู้ในฐานะเจ้าของกิจการมากกว่าเป็นเรื่องของบัญชีหรือที่ปรึกษาเท่านั้น
ข้อคิดที่ 1 ความรู้ภาษี คือ กำไรของผู้ประกอบการ
การรู้และเข้าใจภาษีอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ประกอบการเสียภาษีได้น้อยลงในวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมาย หมายถึง หากผู้ประกอบการมีความรู้ก็สามารถช่วยเพิ่มกำไรให้กับกิจการได้อย่างตรงไปตรงมา การศึกษาความรู้เรื่องภาษีจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของกิจการควรศึกษาไว้บ้าง ถึงแม้ธุรกิจจะจ้างนักบัญชีเป็นที่ปรึกษาก็ตาม เช่น ธุรกิจมีการประมาณการกำไร พิจารณาจากกำไรในอดีตและแนวโน้มการเติบโตหากกิจการคาดว่ากำไรเฉลี่ยต่อปีจะเกิน 750,000 บาทก็ควรเลือกประกอบธุรกิจในรูปบริษัท เนื่องจากอัตราภาษีอยู่ที่ 15% (กรณี เป็นกิจการ SMEs) ซึ่งจะประหยัดภาษีมากกว่ากรณีบุคคลธรรมดา ทำให้เหลือกำไรสุทธิมากกว่านั่นเอง
ข้อคิดที่ 2 การเข้าใจภาษีจะช่วยให้ผู้ประกอบการคำนวณต้นทุนสินค้าได้อย่างถูกต้อง
ภาษีเป็นส่วนนึงที่มีผลต่อราคาสินค้าค่อนข้างมาก นอกจากต้นทุนโดยตรงของสินค้ายังมีทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้ ฯลฯ ขณะเดียวกันทางภาครัฐก็มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีมาตรการในการสนับสนุนธุรกิจ SMEs เช่น การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้น , การจ้างงานผู้สูงอายุ ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ค่าจ้างไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท (กิจการจะสามารถหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า)ฯ ที่กล่าวมานี้ หากผู้ประกอบการมีความเข้าใจและสามารถคำนวณได้จะทราบกำไรที่แท้จริงของกิจการได้อย่างถูกต้องและสามารถวางแผนกลยุทธ์เพื่อบริหารทรัพยากร การกำหนดราคาสินค้าที่เหมาะสม รวมถึงการแบ่งปันการช่วยเหลือชุมชนและสังคม ผ่านความเข้าใจเรื่องภาษีได้
ข้อคิดที่ 3 ต้นทุนของการหนีหรือหลบเลี่ยงภาษี มักสูงกว่าภาษีที่ลดได้
ผู้ประกอบการหลายท่านอาจได้รับคำแนะนำถึงวิธีการที่สามารถทำให้เสียภาษีน้อยที่สุด จนหลายครั้งกลับมีต้นทุนในการหลบเลี่ยงภาษีหรือลดภาษีแพงว่าภาษีที่ลดได้เสียอีก เช่น ไปซื้อสินทรัพย์อย่างรถยนต์ให้ผู้ประกอบการใช้ส่วนตัวแต่ไม่มีอยู่ในระเบียบบริษัทในส่วนสวัสดิการ (เข้าข่ายรายจ่ายต้องห้าม) มีลักษณะเป็นรายจ่ายส่วนตัวที่ไม่ได้ใช้เพื่อธุรกิจแต่ลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท หรือ หากระบุในสวัสดิการแต่บริษัทมีรถยนต์หลายคันที่ใช้งานในธุรกิจอยู่แล้วทำให้เม็ดเงินที่เสียไปไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ซึ่งหากเป็นกรณีที่เข้าข่ายรายจ่ายต้องห้ามนำมาลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทและถูกตรวจสอบพบเข้าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย จึงควรทำอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า อีกตัวอย่างนึงผู้ประกอบการอาจได้รับคำแนะนำให้ไปซื้อใบเสร็จปลอมมาลดหย่อนภาษี แบบนี้ต้นทุนสูงมาก เพราะถ้าโดนจับเมื่อไหร่ เจอค่าปรับมหาศาล ทั้งเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และโทษอาจร้ายแรงกว่านี้ได้ แต่หากผู้ประกอบการมีความรู้เรื่องการจัดการการเงิน รวมถึงรายละเอียดบัญชีว่าธุรกิจมีรายได้ ต้นทุนและค่าใช้จ่ายเท่าไรบ้าง ก็จะได้ข้อมูลบัญชีที่ถูกต้องจะทำให้วางแผนช่วยจัดการเรื่องการเงินไปจนถึงจัดการเรื่องภาษีได้
ข้อคิดที่ 4 เป้าหมายของกิจการคือกำไรที่เติบโตและพัฒนาไปสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่การทำให้ภาษีต่ำสุด
อย่างที่กล่าวไปตอนต้น ภาษีและการดำเนินธุรกิจเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญกับความสามารถในการบริหารกิจการที่จะทำให้กำไรเติบโตและธุรกิจมีความยั่งยืนเป็นอันดับแรก ส่วนด้านภาษีผู้ประกอบการควรศึกษาหาความรู้ควบคู่ไปด้วยประกอบกับปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือเพื่อวางแผนจัดการภาษี ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจที่มาที่ไปด้านการเงินของธุรกิจด้วย จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการเสียภาษีอากรไม่ถูกต้อง ทั้งยังลดขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็น และไม่ได้มาตรฐาน และการเสียภาษีอากรที่ถูกต้องยังจะช่วยทำให้ระบบการควบคุมภายในให้มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องกังวลปัญหาทางภาษีอากรในภายหลัง | 4 ข้อคิดดีดี พาผู้ประกอบการก้าวข้ามกับดักภาษี
1. ความรู้ภาษีมีผลต่อกำไรของผู้ประกอบการ
การเข้าใจภาษีช่วยในการลดภาระภาษีตามกฎหมาย ควรศึกษาเพื่อช่วยวางแผนการเสียภาษีให้มีประสิทธิภาพ โดยการเลือกประกอบธุรกิจในรูปบริษัทสามารถประหยัดภาษีมากกว่ากรณีบุคคลธรรมดา
2. การเข้าใจภาษีช่วยให้ผู้ประกอบการคำนวณต้นทุนสินค้าได้อย่างถูกต้อง
เนื่องจากภาษีมีผลต่อราคาสินค้ามาก ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อกิจการ ภาครัฐยังมีมาตรการสนับสนุน SMEs เช่น การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้น และการจ้างงานผู้สูงอายุ ผู้ประกอบการที่เข้าใจภาษีสามารถวางแผนกลยุทธ์บริหารทรัพยากรและกำหนดราคาสินค้าได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการแบ่งปันช่วยเหลือชุมชนและสังคมผ่านการเข้าใจภาษีได้
3. ต้นทุนของการหนีหรือหลบเลี่ยงภาษี มักสูงกว่าภาษีที่ลดได้
ผู้ประกอบการบางคนทำตามคำแนะนำเพื่อลดภาษี แต่มักพบว่าต้นทุนการหลบเลี่ยงภาษีสูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น การซื้อรถส่วนตัวและใช้เพื่อธุรกิจโดยไม่ลงทะเบียนในบัญชีบริษัท หรือการใช้ใบเสร็จปลอมลดหย่อนภาษีหากโดนจับได้ค่าปรับจะสูงมาก ผู้ประกอบการควรทำการบัญชีอย่างถูกต้อง เพื่อวางแผนการเงินและการจัดการภาษีให้มีประสิทธิภาพ
4. เป้าหมายของธุรกิจคือการเพิ่มกำไรและพัฒนาให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่การมุ่งหวังภาษีต่ำสุด
ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการบริหารกิจการเพื่อเพิ่มกำไรและความยั่งยืน การศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาษีจะช่วยลดความผิดพลาดและประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งยังเสริมความเข้าใจทางการเงินธุรกิจ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการควบคุมภายใน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาทางภาษีอากรในอนาคต | 2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน,6.การบริหารสินทรัพย์,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1102 | Finance | แนะนำวิธีเล่นคริปโตฯ ยังไงให้ปัง สำหรับมือใหม่เลยมือเก๋าให้หน่อย | null | 1. ศึกษา White Paper ก่อนลงทุนเสมอ
ถ้าเป็นหุ้นก็ต้องศึกษางบการเงินของบริษัทก่อนลงทุน ถ้าเป็นกองทุนก็ต้องศึกษาหนังสือชี้ชวนก่อนลงทุน แต่หากเป็นคริปโตฯ เราต้องศึกษาสิ่งที่เรียกว่า “White Paper” ก่อนลงทุนในเหรียญใด ๆ เสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะ White Paper เป็นเอกสารที่ผู้สร้างเหรียญระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับเหรียญทั้งหมด ใช้ช่วยประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกลงทุนในเหรียญนั้น โดยเราควรศึกษาก่อนลงทุนเสมอว่าเหรียญที่เราสนใจลงทุนกำลังทำโปรเจกต์อะไรอยู่ มีความเป็นไปได้ในอนาคตมากน้อยแค่ไหน ฟังก์ชันและโครงสร้างพื้นฐานของเหรียญเป็นอย่างไร มีกลไกอะไรที่ควบคุมอุปทาน (Supply) ของเหรียญอยู่ อุปทานของเหรียญมีอย่างจำกัดหรือไม่ ชื่อเสียงของเหรียญเป็นไปในทางบวกหรือลบ เพราะปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อราคาเหรียญทั้งสิ้น
2. ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง
ไม่ใช่แค่เพียงการลงทุนในคริปโตฯ ก่อนลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การศึกษารายละเอียดคือการ “ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง” ใครที่ตามข่าวคริปโตฯ อยู่ก็คงจะทราบกันดีว่า ตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูงมาก ราคาเคลื่อนไหวเร็ว ขึ้นแรงลงแรง แถมยังเปิดซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดเหมือนตลาดหุ้น ลองประเมินความเสี่ยงดูว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด หากรับความเสี่ยงไม่ได้มากแต่ยังอยากลงทุนในคริปโตฯ อยู่ ลองศึกษาวิธีลงทุนอื่น ๆ นอกเหนือจากการเทรดดู เลือกวิธีที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้มากที่สุด เราจะได้ลงทุนอย่างมีความสุขในโลกคริปโตฯ ไปแบบได้ยาว ๆ
3. เลือกวิธีการลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง
สืบเนื่องจากข้อ 2 การลงทุนในคริปโตฯ ไม่ได้มีแค่การเทรดอย่างเดียว ลองหาวิธีลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ในบทความนี้เราจึงรวบรวมวิธีการลงทุนในคริปโตฯ ที่หลากหลายมาฝากกัน
การลงทุนระยะยาว (Hodl) – สำหรับนักลงทุนระยะยาวในวงการคริปโตฯ จะเรียกนักลงทุนสายนี้ว่า “Hodl” ย่อมาจาก “Hold on for dear life” ความหมายคือ ถือเหรียญคริปโตฯ ไปแบบยาว ๆ โดยอาจจะถือเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่ขาย ไม่ว่าราคาตลาดจะเป็นเช่นไร จะผันผวนสักแค่ไหน ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนสายนี้ต้องคำนึงคือโครงสร้างพื้นฐานของเหรียญที่เราจะเข้าไปซื้อถือว่ามีโอกาสที่จะเติบโตมากน้อยเพียงใด มีศักยภาพเติบโตได้ในระยะยาวหรือไม่
การเทรด (Trading) – เป็นการทำกำไรในคริปโตฯ โดยใช้โอกาสระยะสั้นจากความผันผวนของราคาคริปโตฯ อย่างทราบกันว่าคริปโตฯ ราคาเคลื่อนไหวค่อนข้างไว จึงมีนักเก็งกำไรไม่น้อยที่เข้ามาหาโอกาสทำกำไรจากตลาดคริปโตฯ ซึ่งกลยุทธ์การเทรดก็มีหลากหลายทั้งแบบ Scalping, Day Trade และ Swing Trade อย่างไรก็ตาม การที่จะเป็นสายเทรดเดอร์ได้เราต้องมีทักษะการวิเคราะห์และเทคนิคต่าง ๆ ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จและคาดการณ์ราคาเหรียญได้อย่างแม่นยำ
Staking – เป็นการนำเหรียญไปฝากไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่รองรับการ Stake และล็อกมันไว้ เหรียญที่เราฝากไว้จะถูกนำไปใช้ในกระบวนการความถูกต้องของธุรกรรมบนบล็อกเชนแบบ Proof of Stake (PoS) โดยผลตอบแทนจากการ Stake จะอยู่ในรูปแบบของดอกเบี้ย ซึ่งอัตราก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม การ Stake มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาการปลดล็อกอยู่ ซึ่งอาจทำให้เราไม่สามารถถอนเหรียญที่เราฝากไว้ได้ทันที
Yield Farming – หรือที่เรียกกันติดปากว่าการ “ฟาร์ม” เป็นอีกหนึ่งวิธีการหารายได้จากคริปโตฯ ด้วยการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากไว้ใน Liquidity Pool ของแพลตฟอร์ม Decentralized Finance (DeFi) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มนั้น ๆ โดยผลตอบแทนที่จะได้รับจากการฟาร์มจะอยู่ในรูปแบบของค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย รวมถึงโทเคน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ควรศึกษาก่อนว่าแต่ละแพลตฟอร์มเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งแพลตฟอร์ม DeFi ที่ได้รับความนิยมก็เช่น Uniswap, Sushiswap และ AAVE เป็นต้น
4. จัดพอร์ตการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม
“อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” เป็นประโยคที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวมาในโลกการลงทุนต้องเคยได้ยินกันแน่ ๆ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ประโยคนี้สำหรับโลกการลงทุนหมายถึง “การกระจายความเสี่ยง” นั่นเอง ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม เราจะต้องทำการจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง หรือการทำ “Asset Allocation” ใครที่ได้ยินคำนี้บ่อยแล้วก็อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อน เพราะอนาคตเราไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จะส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่เราลงทุนมากหน่อยเพียงใด ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในโลกการลงทุน แม้ว่าจะประเมินความเสี่ยงแล้วรับความเสี่ยงได้มาก แต่การกระจายความเสี่ยงก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว
5. เลือกกระดานเทรดให้ตอบโจทย์
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนในประเทศไทยมากมาย แต่ละเจ้าก็งัดจุดแข็งมาพิชิตใจลูกค้ากันแบบสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีที่สุดแสนจะง่ายดายผ่านทางออนไลน์ ค่าธรรมเนียมการเทรดที่ต่ำ ฯลฯ ลองเปรียบเทียบแพลตฟอร์มแต่ละเจ้าดูว่ามีเหรียญที่เราอยากลงทุนเปิดให้ซื้อขายหรือไม่ แอปพลิเคชันซื้อขายสะดวกต่อการใช้งานไหม มีฟังก์ชันครบตามที่เราต้องการรึเปล่า ฝากเงินถอนเงินสะดวกไหม และต้องการมีอัปเดตข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคริปโตฯ ให้ลูกค้าทราบเรื่อย ๆ ด้วยเพราะการติดตามข่าวสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการลงทุนในคริปโตฯ เพื่อให้ไม่พลาดโอกาสในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ ต้องดูเรื่องของสภาพคล่องด้วย เนื่องจากตลาดคริปโตฯ เปิดให้ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และหากเป็นเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ด้วยก็จะสามารถมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูง โดยสามารถดูแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1103 | Finance | OpenSea คืออะไร | OpenSea คืออะไร? ทำความรู้จักกับตลาด NFT ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
OpenSea คืออะไร? ใครที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการคริปโตฯ และเป็นสาย NFT คงต้องเคยได้ยินคำว่า “OpenSea” กันมาบ้าง บทความนี้จะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ OpenSea ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันให้มากขึ้น OpenSea คืออะไร? ใครที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการคริปโตฯ และเป็นสาย NFT คงต้องเคยได้ยินคำว่า กันมาบ้าง บทความนี้จะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ OpenSea ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันให้มากขึ้น หากสนใจเปิดบัญชีคริปโต Zipmex ผ่าน FINNOMENA ดูรายละเอียดได้ที่ 👉 OpenSea คืออะไร? “OpenSea” เป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะหรือของสะสมในรูปแบบของ Non-fungible token หรือ “NFT” โดยเฉพาะ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ OpenSea ก็เปรียบเสมือน “eBay” หรือ “Amazon” สำหรับของสะสมดิจิทัลนั่นเอง โดย OpenSea เป็นแพลตฟอร์มกระจายอำนาจแบบ Peer-to-Peer ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง พร้อมเปิดโอกาสให้ศิลปินทั่วโลกสามารถสร้างสรรค์ผลงาน NFT บนแพลตฟอร์ม OpenSea เป็นของตัวเองได้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะหรือของสะสมในรูปแบบของ Non-fungible token หรือ โดยเฉพาะ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ OpenSea ก็เปรียบเสมือน หรือ สำหรับของสะสมดิจิทัลนั่นเอง โดย OpenSea เป็นแพลตฟอร์มกระจายอำนาจแบบ Peer-to-Peer ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง พร้อมเปิดโอกาสให้ศิลปินทั่วโลกสามารถสร้างสรรค์ผลงาน NFT บนแพลตฟอร์ม OpenSea เป็นของตัวเองได้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ประวัติความเป็นมาของ OpenSea OpenSea ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคมปี 2017 โดยวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่าคุณ Alex Atallah และคุณ Devin Finzer ที่ดำรงตำแหน่ง CTO และ CEO ของ OpenSea ในปัจจุบัน OpenSea ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคมปี 2017 โดยวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่าคุณ Alex Atallah และคุณ Devin Finzer ที่ดำรงตำแหน่ง CTO และ CEO ของ OpenSea ในปัจจุบัน คุณ Atallah สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในปี 2014 ระหว่างนั้นเขาประสบความสำเร็จในการขาย hostess.fm ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสถานบันเทิงให้กับ SFX Entertainment จากนั้นเขาก็ได้เข้าไปทำงานที่ Palantir และ Zugata ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ คุณ Atallah สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในปี 2014 ระหว่างนั้นเขาประสบความสำเร็จในการขาย hostess.fm ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสถานบันเทิงให้กับ SFX Entertainment จากนั้นเขาก็ได้เข้าไปทำงานที่ Palantir และ Zugata ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ ส่วนคุณ Finzer หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบราวน์ สาขาคณิตศาสตร์ ในปี 2013 แล้วก็ได้ทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ Pinterest โดยได้เปิดตัว Claimdog ในปี 2016 และประสบความสำเร็จในการขายมันให้กับ Credit Karma บริษัทการเงินส่วนบุคคลสัญชาติอเมริกัน ส่วนคุณ Finzer หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบราวน์ สาขาคณิตศาสตร์ ในปี 2013 แล้วก็ได้ทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ Pinterest โดยได้เปิดตัว Claimdog ในปี 2016 และประสบความสำเร็จในการขายมันให้กับ Credit Karma บริษัทการเงินส่วนบุคคลสัญชาติอเมริกัน ต่อมาคุณ Finzer เริ่มมีความสนใจในคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชน จึงได้ศึกษาข้อมูล จนในที่สุดก็ตัดสินใจเริ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ โดย คุณ Finzer ชักชวนคุณ Atallah มาร่วมกันปั้นโครงการที่ชื่อว่า “Wificoin” ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจาก Y Combinator จำนวนกว่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้เริ่มสนใจใน NFT จากโปรเจกต์ ‘CryptoKitties’ เกมเลี้ยงแมวดิจิทัลชื่อดัง จึงได้ตัดสินใจหันหัวเปลี่ยนจากธุรกิจแชร์สัญญาณ Wi-Fi โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสู่ธุรกิจแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน NFT อย่างเต็มรูปแบบ และได้กลายมาเป็น OpenSea ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อันดับหนึ่งของโลกดังเช่นตอนนี้ ต่อมาคุณ Finzer เริ่มมีความสนใจในคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชน จึงได้ศึกษาข้อมูล จนในที่สุดก็ตัดสินใจเริ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ โดย คุณ Finzer ชักชวนคุณ Atallah มาร่วมกันปั้นโครงการที่ชื่อว่า ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจาก Y Combinator จำนวนกว่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้เริ่มสนใจใน NFT จากโปรเจกต์ เกมเลี้ยงแมวดิจิทัลชื่อดัง จึงได้ตัดสินใจหันหัวเปลี่ยนจากธุรกิจแชร์สัญญาณ Wi-Fi โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสู่ธุรกิจแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน NFT อย่างเต็มรูปแบบ และได้กลายมาเป็น OpenSea ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อันดับหนึ่งของโลกดังเช่นตอนนี้ Alex Atallah และ Devin Finzer ผู้ก่อตั้ง OpenSea
ที่มา: Forbes Alex Atallah และ Devin Finzer ผู้ก่อตั้ง OpenSea ที่มา: Forbes หมวดหมู่ NFT บน OpenSea ปัจจุบันมี NFT ที่ลงขายบนแพลตฟอร์มของ OpenSea มากกว่า 33 ล้านรายการ ซึ่ง OpenSea ก็ได้จัดหมวดหมู่ NFT บนแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและเลือกซื้อขายได้ง่าย ๆ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ ดังนี้ ปัจจุบันมี NFT ที่ลงขายบนแพลตฟอร์มของ OpenSea มากกว่า 33 ล้านรายการ 33 ล้านรายการ ซึ่ง OpenSea ก็ได้จัดหมวดหมู่ NFT บนแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและเลือกซื้อขายได้ง่าย ๆ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ ดังนี้ Art – ใครเป็นสายวาดรูป สายสร้างสรรค์ผลงานศิลปะก็สามารถนำผลงานมาลงขายในแพลตฟอร์มของ OpenSea ได้ หรือแม้แต่สายเสพสายสะสมงานศิลป์เองก็มาเลือกซื้อผลงานศิลปะของศิลปินระดับโลกในรูปแบบ NFT ได้ผ่าน OpenSea แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้คุณเป็นนักสะสมงานศิลป์ได้อย่างง่ายดาย
Collectibles – ของสะสมที่อยู่บน Blockchain ซึ่งรวมไปถึงไอเทมที่อยู่ในเกม NFT ต่าง ๆ เช่น JOYWORLD JOYs, Axie Infinity และ CryptoKitties
Domain Names – ในโลกคริปโตฯ เราสามารถซื้อโดเมนเนมได้เช่นกัน เช่น Ethereum Name Service (ENS) ที่ใช้โดเมน .eth หรือแม้แต่ Unstoppable Domains เช่น .crypto, .bitcoin, .blockchain, .nft ก็สามารถซื้อขายบน OpenSea ได้เช่นกัน
Music – ความร้อนแรงของกระแส NFT ทำให้วงการเพลงทั้งไทยและเทศหันมาใช้ NFT เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารกันระหว่างศิลปินและแฟนคลับผ่านโลกเสมือนจริง (Metaverse) เช่น YG Entertainment ค่ายเพลงสัญชาติเกาหลีใต้ ต้นสังกัดของสาว ๆ Blackpink ที่ล่าสุดได้มีการจับมือกับ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกในการสร้างโลก Metaverse ร่วมกัน
Photography – บนแพลตฟอร์มของ OpenSea มีภาพถ่ายจากช่างภาพระดับโลกมาลงขายในรูปแบบ NFT เช่น Justin Aversano, Brooke DiDonato และ Platon ใครที่รักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่ลืมหยิบกล้องคู่ใจไปถ่ายรูปสวย ๆ เก็บความประทับใจไว้ก็สามารถมาอวดผลงานใน OpenSea ได้
Sports – กีฬาเป็นอีกหนึ่งวงการที่ประสบความสำเร็จในการนำ NFT มาใช้ หนึ่งในโปรเจกต์ที่ประสบความสำเร็จคือ ‘Sorare’ เกมฟุตบอลแฟนตาซีบน Ethereum Blockchain โดยสามารถสะสมการ์ด NFT ของนักเตะและซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบน OpenSea ได้
Trading Cards – เกมสุดคลาสสิกในวัยเด็กอย่าง “เกมการ์ด” ก็ถูกจับมาอยู่ในรูปแบบของ NFT บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเช่นกัน ใครที่นึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการ์ดโปเกม่อน หรือการ์ดยูกิที่เราเล่นกันสมัยเด็ก ๆ ซึ่งวันนี้เราสามารถสนุกไปกับมันบนโลกคริปโตฯ ได้แล้ว
Utility – OpenSea เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถสร้างและลงขายโทเคนผ่านแพลตฟอร์มเพื่อใช้ในการระดมทุน เช่น POAP, Urbit ID และ Polyient Games
Virtual Worlds – โลกเสมือนจริง หรือ “Metaverse” ได้กลายเป็นกระแสยอดฮิตบนจักรวาลคริปโตฯ ในปี 2021 ที่ผ่านมา ตัวอย่างโลก Metaverse ที่ได้รับความนิยม เช่น Decentraland และ The Sandbox บนแพลตฟอร์มของ OpenSea ก็เปิดให้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่บนโลก Metaverse เหล่านั้น ทั้งที่ดิน เมือง ตัวละคร สิ่งของภายในโลกเสมือนจริง ฯลฯ – ใครเป็นสายวาดรูป สายสร้างสรรค์ผลงานศิลปะก็สามารถนำผลงานมาลงขายในแพลตฟอร์มของ OpenSea ได้ หรือแม้แต่สายเสพสายสะสมงานศิลป์เองก็มาเลือกซื้อผลงานศิลปะของศิลปินระดับโลกในรูปแบบ NFT ได้ผ่าน OpenSea แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้คุณเป็นนักสะสมงานศิลป์ได้อย่างง่ายดาย – ของสะสมที่อยู่บน Blockchain ซึ่งรวมไปถึงไอเทมที่อยู่ในเกม NFT ต่าง ๆ เช่น JOYWORLD JOYs, Axie Infinity และ CryptoKitties – ในโลกคริปโตฯ เราสามารถซื้อโดเมนเนมได้เช่นกัน เช่น Ethereum Name Service (ENS) ที่ใช้โดเมน .eth หรือแม้แต่ Unstoppable Domains เช่น .crypto, .bitcoin, .blockchain, .nft ก็สามารถซื้อขายบน OpenSea ได้เช่นกัน – ความร้อนแรงของกระแส NFT ทำให้วงการเพลงทั้งไทยและเทศหันมาใช้ NFT เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารกันระหว่างศิลปินและแฟนคลับผ่านโลกเสมือนจริง (Metaverse) เช่น YG Entertainment ค่ายเพลงสัญชาติเกาหลีใต้ ต้นสังกัดของสาว ๆ Blackpink ที่ล่าสุดได้มีการจับมือกับ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกในการสร้างโลก Metaverse ร่วมกัน – บนแพลตฟอร์มของ OpenSea มีภาพถ่ายจากช่างภาพระดับโลกมาลงขายในรูปแบบ NFT เช่น Justin Aversano, Brooke DiDonato และ Platon ใครที่รักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่ลืมหยิบกล้องคู่ใจไปถ่ายรูปสวย ๆ เก็บความประทับใจไว้ก็สามารถมาอวดผลงานใน OpenSea ได้ – กีฬาเป็นอีกหนึ่งวงการที่ประสบความสำเร็จในการนำ NFT มาใช้ หนึ่งในโปรเจกต์ที่ประสบความสำเร็จคือ เกมฟุตบอลแฟนตาซีบน Ethereum Blockchain โดยสามารถสะสมการ์ด NFT ของนักเตะและซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบน OpenSea ได้ – เกมสุดคลาสสิกในวัยเด็กอย่าง ก็ถูกจับมาอยู่ในรูปแบบของ NFT บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเช่นกัน ใครที่นึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการ์ดโปเกม่อน หรือการ์ดยูกิที่เราเล่นกันสมัยเด็ก ๆ ซึ่งวันนี้เราสามารถสนุกไปกับมันบนโลกคริปโตฯ ได้แล้ว – OpenSea เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถสร้างและลงขายโทเคนผ่านแพลตฟอร์มเพื่อใช้ในการระดมทุน เช่น POAP, Urbit ID และ Polyient Games – โลกเสมือนจริง หรือ ได้กลายเป็นกระแสยอดฮิตบนจักรวาลคริปโตฯ ในปี 2021 ที่ผ่านมา ตัวอย่างโลก Metaverse ที่ได้รับความนิยม เช่น Decentraland และ The Sandbox บนแพลตฟอร์มของ OpenSea ก็เปิดให้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่บนโลก Metaverse เหล่านั้น ทั้งที่ดิน เมือง ตัวละคร สิ่งของภายในโลกเสมือนจริง ฯลฯ จุดเด่นของ OpenSea NFT Marketplace ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT มากมายหลายเจ้า แต่ละเจ้าก็พัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานกันแบบเต็มที่ แต่อะไรที่ทำให้ OpenSea เป็นแพลตฟอร์มที่มีความโดดเด่นจนกลายเป็น NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลก? วันนี้ เราคัดจุดเด่นของ OpenSea แบบเน้น ๆ มาให้แล้ว ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT มากมายหลายเจ้า แต่ละเจ้าก็พัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานกันแบบเต็มที่ แต่อะไรที่ทำให้ OpenSea เป็นแพลตฟอร์มที่มีความโดดเด่นจนกลายเป็น NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลก? วันนี้ เราคัดจุดเด่นของ OpenSea แบบเน้น ๆ มาให้แล้ว สร้างคอลเลกชัน NFT ของคุณได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าบนโลกของ NFT แพลตฟอร์มของ OpenSea ก็ช่วยให้คุณสามารถสร้าง NFT ได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อน เพราะตัวแพลตฟอร์มของ OpenSea ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ไม่มีความซับซ้อน และผู้ใช้งานก็ไม่ต้องเขียนโค้ดเองด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าบนโลกของ NFT แพลตฟอร์มของ OpenSea ก็ช่วยให้คุณสามารถสร้าง NFT ได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อน เพราะตัวแพลตฟอร์มของ OpenSea ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ไม่มีความซับซ้อน และผู้ใช้งานก็ไม่ต้องเขียนโค้ดเองด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันบนระบบ iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อหรือลงขาย NFT ได้สะดวกและรวดเร็วผ่าน Smartphone ในทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันบนระบบ iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อหรือลงขาย NFT ได้สะดวกและรวดเร็วผ่าน Smartphone ในทุกที่ทุกเวลา รองรับ NFT หลายประเภท อย่างที่บอกไปว่าหมวดหมู่ NFT ใน OpenSea นั้นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น งานศิลปะ ของสะสม ดนตรี ภาพถ่าย ฯลฯ รวมประเภท NFT ที่ได้รับความนิยมมาแบบครบครัน เปิดโอกาสให้ศิลปินทุกสายสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก หรือแม้แต่สายเสพสายซื้อเองก็สามารถมาหาซื้อผลงาน NFT ได้ครบจบผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea ที่เดียว อย่างที่บอกไปว่าหมวดหมู่ NFT ใน OpenSea นั้นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น งานศิลปะ ของสะสม ดนตรี ภาพถ่าย ฯลฯ รวมประเภท NFT ที่ได้รับความนิยมมาแบบครบครัน เปิดโอกาสให้ศิลปินทุกสายสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก หรือแม้แต่สายเสพสายซื้อเองก็สามารถมาหาซื้อผลงาน NFT ได้ครบจบผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea ที่เดียว ค่าธรรมเนียมต่ำและคุ้มค่า OpenSea จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มที่ 2.5% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง แต่จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มใด ๆ ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ OpenSea เรียกเก็บถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อื่น ๆ เช่น Nifty Gateway ที่เก็บค่าธรรมเนียม 5% และ Solanart ที่เก็บค่าธรรมเนียม 3% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง OpenSea จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มที่ 2.5% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง แต่จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มใด ๆ ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ OpenSea เรียกเก็บถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อื่น ๆ เช่น Nifty Gateway ที่เก็บ ค่าธรรมเนียม 5% ค่าธรรมเนียม 5% ค่าธรรมเนียม 5% และ Solanart ที่เก็บ ค่าธรรมเนียม 3% ค่าธรรมเนียม 3% ค่าธรรมเนียม 3% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง ปลอดภัยและเชื่อถือได้ OpenSea ทำงานผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน OpenSea ยากที่จะย้อนกลับ แก้ไขดัดแปลง หรือทำลายทิ้ง นอกจากนี้ ยังเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับด้วยการเข้าสู่ระบบผ่าน “Crypto Wallet” จึงมั่นใจได้ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT ผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก OpenSea ทำงานผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน OpenSea ยากที่จะย้อนกลับ แก้ไขดัดแปลง หรือทำลายทิ้ง นอกจากนี้ ยังเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับด้วยการเข้าสู่ระบบผ่าน จึงมั่นใจได้ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT ผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก สร้างและขาย NFT บน OpenSea ง่ายๆ เพียง 4 ขั้นตอน เชื่อมต่อ Crypto Wallet เข้ากับ OpenSea เพื่อใช้ทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มของ OpenSea สำหรับ Wallet ที่ OpenSea รองรับนั้นมีมากมาย เช่น MataMask, Coinbase Wallet และ WalletConnect เป็นต้น สามารถดูกระเป๋าเงินทั้งหมดที่ OpenSea รองรับได้ที่นี่
สร้างคอลเลกชัน NFT ของคุณ โดยการตั้งชื่อและคำอธิบายคอลเลกชัน เพิ่ม Logo Image, Feature Image และ Banner Image พร้อมเลือกโทเคนสำหรับใช้ซื้อขายผลงาน NFT ของคุณ ซึ่งแพลตฟอร์มของ OpenSea รองรับโทเคนมากกว่า 10 สกุลเลยทีเดียว
อัปโหลด NFT ของคุณ และทำการตั้งชื่อพร้อมเพิ่มคำอธิบายงาน NFT เพื่อดึงดูดให้คนมาเลือกซื้อผลงาน NFT ชิ้นโบว์แดงของคุณ
ตั้งราคาและระยะเวลาการขาย NFT ของคุณ โดยการตั้งราคาขายสามารถเลือกได้ทั้งแบบราคาคงที่ และการประมูล สำหรับการตั้งราคาประมูลจำเป็นต้องตั้งราคาเริ่มต้นและระยะเวลาการประมูล เมื่อกรอกข้อมูลครบแล้วก็ลงขายผลงาน NFT ของคุณได้เลย! เชื่อมต่อ Crypto Wallet เข้ากับ OpenSea เพื่อใช้ทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มของ OpenSea สำหรับ Wallet ที่ OpenSea รองรับนั้นมีมากมาย เช่น MataMask, Coinbase Wallet และ WalletConnect เป็นต้น สามารถดูกระเป๋าเงินทั้งหมดที่ OpenSea รองรับได้ ที่นี่ ที่นี่ ที่นี่ สร้างคอลเลกชัน NFT ของคุณ โดยการตั้งชื่อและคำอธิบายคอลเลกชัน เพิ่ม Logo Image, Feature Image และ Banner Image พร้อมเลือกโทเคนสำหรับใช้ซื้อขายผลงาน NFT ของคุณ ซึ่งแพลตฟอร์มของ OpenSea รองรับโทเคนมากกว่า 10 สกุลเลยทีเดียว อัปโหลด NFT ของคุณ และทำการตั้งชื่อพร้อมเพิ่มคำอธิบายงาน NFT เพื่อดึงดูดให้คนมาเลือกซื้อผลงาน NFT ชิ้นโบว์แดงของคุณ ตั้งราคาและระยะเวลาการขาย NFT ของคุณ โดยการตั้งราคาขายสามารถเลือกได้ทั้งแบบราคาคงที่ และการประมูล สำหรับการตั้งราคาประมูลจำเป็นต้องตั้งราคาเริ่มต้นและระยะเวลาการประมูล เมื่อกรอกข้อมูลครบแล้วก็ลงขายผลงาน NFT ของคุณได้เลย! อนาคตของ OpenSea ในเดือนมกราคม ปี 2022 OpenSea ได้เสร็จสิ้นรอบการระดมทุน Series C มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่นำโดย Paradigm บริษัทการลงทุนด้านสินทรัพย์คริปโตฯ และ Coatue Management ผู้จัดการการลงทุนด้านเทคโนโลยีในนิวยอร์ก ทำให้มูลค่าประเมินของ OpenSea เพิ่มขึ้นเป็น 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย OpenSea มีความตั้งใจนำเงินที่ได้จากการระดมทุนนี้ไปใช้สำหรับเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงการบริการลูกค้า ลงทุนบริษัทด้าน NFT และ Web3 ไปจนถึงการจ้างพนักงานเพิ่ม ในเดือนมกราคม ปี 2022 OpenSea ได้เสร็จสิ้นรอบการระดมทุน Series C มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่นำโดย Paradigm บริษัทการลงทุนด้านสินทรัพย์คริปโตฯ และ Coatue Management ผู้จัดการการลงทุนด้านเทคโนโลยีในนิวยอร์ก ทำให้มูลค่าประเมินของ OpenSea เพิ่มขึ้นเป็น 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย OpenSea มีความตั้งใจนำเงินที่ได้จากการระดมทุนนี้ไปใช้สำหรับเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงการบริการลูกค้า ลงทุนบริษัทด้าน NFT และ Web3 ไปจนถึงการจ้างพนักงานเพิ่ม กระแสอันร้อนแรงของ NFT ทำให้บริษัทสร้างรายได้ได้ถึง 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 และ 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ปี 2021 ปริมาณการซื้อขาย NFT บนแพลตฟอร์มของ OpenSea เพิ่มขึ้นถึง 646 เท่าในปี 2021 คิดเป็นมูลค่ากว่า 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากมูลค่าทั้งหมด 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 56% ของธุรกรรมทั้งหมดบนตลาด NFT โดย Jefferies วาณิชธนกิจชั้นนำระดับโลกคาดว่าตลาด NFT จะมีมูลค่าแตะ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 และ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 ด้วยความได้เปรียบด้านส่วนแบ่งการตลาดที่มีขนาดใหญ่จึงทำให้ OpenSea ยังคงอยู่ในตำแหน่งผู้นำตลาด NFT ได้ในอนาคต กระแสอันร้อนแรงของ NFT ทำให้บริษัทสร้างรายได้ได้ถึง 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 และ 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ปี 2021 ปริมาณการซื้อขาย NFT บนแพลตฟอร์มของ OpenSea เพิ่มขึ้นถึง 646 เท่า 646 เท่า 646 เท่า ในปี 2021 คิดเป็นมูลค่ากว่า 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากมูลค่าทั้งหมด 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 56% ของธุรกรรมทั้งหมดบนตลาด NFT โดย Jefferies วาณิชธนกิจชั้นนำระดับโลกคาดว่าตลาด NFT จะมีมูลค่าแตะ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 และ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 ด้วยความได้เปรียบด้านส่วนแบ่งการตลาดที่มีขนาดใหญ่จึงทำให้ OpenSea ยังคงอยู่ในตำแหน่งผู้นำตลาด NFT ได้ในอนาคต Largest NFT marketplaces based on all-time sales volume as of November 11, 2021
ที่มา: Largest NFT marketplaces based on all-time sales volume as of November 11, 2021 ที่มา: อ่านบทความเกี่ยวกับ NFT เพิ่มเติม NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1
ยิ่งเล่นยิ่งได้! มัดรวมเกม NFT Play-to-Earn น่าเล่น ที่สายเกมไม่ควรพลาด
6 อันดับเหรียญคริปโตสาย NFT ที่น่าจับตามอง
รวมเหรียญคริปโทฯ GameFi ที่สายเกมต้องรู้! NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1 NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1 ยิ่งเล่นยิ่งได้! มัดรวมเกม NFT Play-to-Earn น่าเล่น ที่สายเกมไม่ควรพลาด ยิ่งเล่นยิ่งได้! มัดรวมเกม NFT Play-to-Earn น่าเล่น ที่สายเกมไม่ควรพลาด 6 อันดับเหรียญคริปโตสาย NFT ที่น่าจับตามอง 6 อันดับเหรียญคริปโตสาย NFT ที่น่าจับตามอง รวมเหรียญคริปโทฯ GameFi ที่สายเกมต้องรู้! รวมเหรียญคริปโทฯ GameFi ที่สายเกมต้องรู้! — planet 46. — planet 46. — planet 46. หากสนใจเปิดบัญชีคริปโต Zipmex ผ่าน FINNOMENA ดูรายละเอียดได้ที่ 👉 อ้างอิง อ้างอิง
คำเตือน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูล รวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูล รวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | “OpenSea” เป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะหรือของสะสมในรูปแบบของ Non-fungible token หรือ “NFT” โดยเฉพาะ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ OpenSea ก็เปรียบเสมือน “eBay” หรือ “Amazon” สำหรับของสะสมดิจิทัลนั่นเอง โดย OpenSea เป็นแพลตฟอร์มกระจายอำนาจแบบ Peer-to-Peer ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง พร้อมเปิดโอกาสให้ศิลปินทั่วโลกสามารถสร้างสรรค์ผลงาน NFT บนแพลตฟอร์ม OpenSea เป็นของตัวเองได้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
จุดเด่นของ OpenSea
- สร้างคอลเลกชัน NFT ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าบนโลกของ NFT แพลตฟอร์มของ OpenSea ก็ช่วยให้คุณสามารถสร้าง NFT ได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อน เพราะตัวแพลตฟอร์มของ OpenSea ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ไม่มีความซับซ้อน และผู้ใช้งานก็ไม่ต้องเขียนโค้ดเองด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันบนระบบ iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อหรือลงขาย NFT ได้สะดวกและรวดเร็วผ่าน Smartphone ในทุกที่ทุกเวลา
- รองรับ NFT หลายประเภท
หมวดหมู่ NFT ใน OpenSea นั้นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น งานศิลปะ ของสะสม ดนตรี ภาพถ่าย ฯลฯ รวมประเภท NFT ที่ได้รับความนิยมมาแบบครบครัน เปิดโอกาสให้ศิลปินทุกสายสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก หรือแม้แต่สายเสพสายซื้อเองก็สามารถมาหาซื้อผลงาน NFT ได้ครบจบผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea ที่เดียว
- ค่าธรรมเนียมต่ำและคุ้มค่า
OpenSea จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มที่ 2.5% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง แต่จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มใด ๆ ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ OpenSea เรียกเก็บถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อื่น ๆ เช่น Nifty Gateway ที่เก็บค่าธรรมเนียม 5% และ Solanart ที่เก็บค่าธรรมเนียม 3% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง
- ปลอดภัยและเชื่อถือได้
OpenSea ทำงานผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน OpenSea ยากที่จะย้อนกลับ แก้ไขดัดแปลง หรือทำลายทิ้ง นอกจากนี้ ยังเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับด้วยการเข้าสู่ระบบผ่าน “Crypto Wallet” จึงมั่นใจได้ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT ผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1104 | Finance | กองทุน Clean Energy, กองทุน Climate Change และ กองทุน ESG แตกต่างกันอย่างไรบ้าง | จัดกลุ่มกองทุน Clean Energy + Climate Change + ESG มีเยอะแค่ไหนก็ไม่งง
กองทุนรักษ์โลก หรือกองทุนเพื่อโลกของเรามีออกมาให้เลือกกันมากมายเหลือเกิน (เป็นเรื่องที่ดี) จึงเกิดเป็นคำถามหลาย ๆ ครั้งว่ากองทุนแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร? กองทุนรักษ์โลก หรือกองทุนเพื่อโลกของเรามีออกมาให้เลือกกันมากมายเหลือเกิน (เป็นเรื่องที่ดี) จึงเกิดเป็นคำถามหลาย ๆ ครั้งว่ากองทุนแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร? วันนี้ เด็กการเงิน ขออาสามาจัดกลุ่มกองทุน Clean Energy, กองทุน Climate Change และ กองทุน ESG ให้เข้าใจว่ามันแตกต่างกันอย่างไร พร้อมแล้วไปลุยกันเลย วันนี้ เด็กการเงิน ขออาสามาจัดกลุ่มกองทุน Clean Energy, กองทุน Climate Change และ กองทุน ESG ให้เข้าใจว่ามันแตกต่างกันอย่างไร พร้อมแล้วไปลุยกันเลย 1. กองทุน Clean Energy หรือ Energy Transition ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ฟาร์ม แบตเตอรี่ ไฮโดรเจน เป็นต้น ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ฟาร์ม แบตเตอรี่ ไฮโดรเจน เป็นต้น อันนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ทำเรื่องพลังงานทดแทน หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้พลังงานสะอาด บางกองจะมีผสม บริษัทที่ผลิตรถ EV หรือ Charger มาด้วย อันนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ทำเรื่องพลังงานทดแทน หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้พลังงานสะอาด บางกองจะมีผสม บริษัทที่ผลิตรถ EV หรือ Charger มาด้วย 2. กองทุน Climate Change หรือ Environment Impact ลงทุนในหุ้นที่โดดเด่นเรื่องการลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือสินค้า และบริการ ได้ประโยชน์จากเรื่องสิ่งแวดล้อม กองทุนประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายกับกองทุนประเภท ESG แต่เน้นในเรื่องของ E-environment โดยหุ้นที่คัดเลือกเข้ามานั้นจะต้องมี 1 ใน 2 คุณสมบัติต่อไปนี้คือ ลงทุนในหุ้นที่โดดเด่นเรื่องการลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือสินค้า และบริการ ได้ประโยชน์จากเรื่องสิ่งแวดล้อม กองทุนประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายกับกองทุนประเภท ESG แต่เน้นในเรื่องของ E-environment โดยหุ้นที่คัดเลือกเข้ามานั้นจะต้องมี 1 ใน 2 คุณสมบัติต่อไปนี้คือ มีการสร้างสินค้าหรือบริการที่ได้ประโยชน์จากการลดการปลดปล่อย CO2 เช่น วัสดุทดแทน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต Smart Building หรือ
ทำให้สินค้าและบริการของตัวเองได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น เช่น ลดการใช้วัสดุอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีในยุคที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีการสร้างสินค้าหรือบริการที่ได้ประโยชน์จากการลดการปลดปล่อย CO2 เช่น วัสดุทดแทน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต Smart Building หรือ ทำให้สินค้าและบริการของตัวเองได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น เช่น ลดการใช้วัสดุอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีในยุคที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3. กองทุน ESG (ย่อมาจาก Environment, Social และ Governance) ลงทุนในหุ้นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หรือหลัก ESG สนับสนุนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี ลงทุนในหุ้นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หรือหลัก ESG สนับสนุนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญต่อความยั่งยืน หรือกรอบ ESG มากขึ้น ซึ่งกำลังมีความสำคัญกับการเลือกหุ้นของนักลงทุนและผู้จัดการกองทุน ที่ต้องการเลือกหุ้นที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้ถือหุ้น ดังนั้นบริษัทที่สามารถดำเนินการในเรื่อง ESG ได้ดี ย่อมทำให้นักลงทุนเชื่อใจที่จะลงทุนด้วยในระยะยาวมากขึ้น บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญต่อความยั่งยืน หรือกรอบ ESG มากขึ้น ซึ่งกำลังมีความสำคัญกับการเลือกหุ้นของนักลงทุนและผู้จัดการกองทุน ที่ต้องการเลือกหุ้นที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้ถือหุ้น ดังนั้นบริษัทที่สามารถดำเนินการในเรื่อง ESG ได้ดี ย่อมทำให้นักลงทุนเชื่อใจที่จะลงทุนด้วยในระยะยาวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ESG ในบางบริษัทถือว่าเป็น cost ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทที่สามารถทำ ESG ได้ดีต้องเกิดจากผู้บริหารที่มีความสามารถ เอาใจใส่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG และการทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่กันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ESG ในบางบริษัทถือว่าเป็น cost ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทที่สามารถทำ ESG ได้ดีต้องเกิดจากผู้บริหารที่มีความสามารถ เอาใจใส่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG และการทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่กันไปด้วย ตรงนี้ผู้จัดการกองทุนที่คัดหุ้น ESG เก่งก็จะวิเคราะห์หลายมิติประกอบกัน ว่าหุ้นที่จะถูกเลือกมีคุณภาพจริงหรือไม่ ตรงนี้ผู้จัดการกองทุนที่คัดหุ้น ESG เก่งก็จะวิเคราะห์หลายมิติประกอบกัน ว่าหุ้นที่จะถูกเลือกมีคุณภาพจริงหรือไม่ กองทุนทั้งสามประเภทมี Catalyst ที่คล้ายคลึงกันก็คือ กองทุนทั้งสามประเภทมี Catalyst ที่คล้ายคลึงกันก็คือ การที่ประเทศทั่วโลกมาเน้นให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม รณรงค์ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดสภาวะโลกร้อน ประเทศในกลุ่มยุโรปเริ่มตั้งเป้า Carbon Neutrality (ปลดปล่อย CO2 เป็น 0) ในปี 2040 และตามมาด้วย USA และ Japan ในปี 2050 ยังมีหลายประเทศที่กำลังตั้งเป้าเช่นนี้ ซึ่งตัวแปรหลักตัวแปรหนึ่งก็คือการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล กับการเดินทางและอุตสาหกรรมในปริมาณที่มาก พลังงานทดแทนจึงมีความสำคัญมากขึ้นทดแทนเชื้อเพลิงดั้งเดิม การที่ประเทศทั่วโลกมาเน้นให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม รณรงค์ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดสภาวะโลกร้อน นอกจากพลังงานสะอาดแล้ว หลายประเทศหันมารณรงค์ลดมลภาวะจากการผลิตสินค้า โดยสินค้าจะต้องมีลักษณะหมุนเวียนกลับสู่สิ่งแวดล้อมได้ไวขึ้น หรือใช้คำว่า Renewable Material (วัสดุหมุนเวียน) เช่นนี้จะทำให้วงจรชีวิต (Life Cycle) ของผลิตภัณฑ์สั้นลง กลับสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น โดยสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีการรับรอง และผู้บริโภคที่เอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อมจะเลือกสินค้าที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น หรือผู้บริโภคจะเลือกสินค้าและบริการที่ได้รับการรับรองว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นบ้าง เป็น customer value ที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคนี้ นอกจากพลังงานสะอาดแล้ว หลายประเทศหันมารณรงค์ลดมลภาวะจากการผลิตสินค้า โดยสินค้าจะต้องมีลักษณะหมุนเวียนกลับสู่สิ่งแวดล้อมได้ไวขึ้น หรือใช้คำว่า Renewable Material (วัสดุหมุนเวียน) เช่นนี้จะทำให้วงจรชีวิต (Life Cycle) ของผลิตภัณฑ์สั้นลง กลับสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น โดยสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีการรับรอง และผู้บริโภคที่เอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อมจะเลือกสินค้าที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น หรือผู้บริโภคจะเลือกสินค้าและบริการที่ได้รับการรับรองว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นบ้าง เป็น customer value ที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคนี้ เมกะเทรนด์ Green เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตามหุ้นอาจจะมีการปรับตัวขึ้นลงแรงได้เนื่องจากนักลงทุนให้ความคาดหวังกับการเติบโตที่มาก ดังนั้นเราจึงแนะนำกองทุนประเภทต่าง ๆ ไว้แล้ว ว่าควรลงทุนเป็นส่วนเสริมของ Core (ลงทุนยาว ๆ หน่อย) หรือ Satellite (ใช้จังหวะการลงทุนเข้าช่วย) เมกะเทรนด์ Green เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตามหุ้นอาจจะมีการปรับตัวขึ้นลงแรงได้เนื่องจากนักลงทุนให้ความคาดหวังกับการเติบโตที่มาก ดังนั้นเราจึงแนะนำกองทุนประเภทต่าง ๆ ไว้แล้ว ว่าควรลงทุนเป็นส่วนเสริมของ Core (ลงทุนยาว ๆ หน่อย) หรือ Satellite (ใช้จังหวะการลงทุนเข้าช่วย) การสนับสนุนกองทุนประเภทนี้ก็มีส่วนช่วยให้บริษัทที่สร้างผลิตภัณฑ์รักษ์โลกออกมาให้มีออกมามากขึ้น ถือเป็นการสนับสนุนทางอ้อมนะ ให้เงินเติบโตไปกับโลกสีเขียวใบนี้ การสนับสนุนกองทุนประเภทนี้ก็มีส่วนช่วยให้บริษัทที่สร้างผลิตภัณฑ์รักษ์โลกออกมาให้มีออกมามากขึ้น ถือเป็นการสนับสนุนทางอ้อมนะ ให้เงินเติบโตไปกับโลกสีเขียวใบนี้ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ใครหลายคนหายงงกับกองทุนรักษ์โลกประเภทต่าง ๆ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ใครหลายคนหายงงกับกองทุนรักษ์โลกประเภทต่าง ๆ อย่างไรก็ตามนี่เป็นการจัดกลุ่มกองทุนเบื้องต้นโดยเด็กการเงินเท่านั้น หากมีคำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะ สามารถบอกเราได้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นการจัดกลุ่มกองทุนเบื้องต้นโดยเด็กการเงินเท่านั้น หากมีคำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะ สามารถบอกเราได้ เด็กการเงิน DekFinance เด็กการเงิน DekFinance ที่มาบทความ: ที่มาบทความ: คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมและประเทศที่ลงทุน จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | 1. กองทุน Clean Energy หรือ Energy Transition ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ฟาร์ม แบตเตอรี่ ไฮโดรเจน เป็นต้น อันนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ทำเรื่องพลังงานทดแทน หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้พลังงานสะอาด บางกองจะมีผสม บริษัทที่ผลิตรถ EV หรือ Charger มาด้วย
2. กองทุน Climate Change หรือ Environment Impact ลงทุนในหุ้นที่โดดเด่นเรื่องการลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือสินค้า และบริการ ได้ประโยชน์จากเรื่องสิ่งแวดล้อม กองทุนประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายกับกองทุนประเภท ESG แต่เน้นในเรื่องของ E-environment โดยหุ้นที่คัดเลือกเข้ามานั้นจะต้องมี 1 ใน 2 คุณสมบัติต่อไปนี้ คือ
2.1. มีการสร้างสินค้าหรือบริการที่ได้ประโยชน์จากการลดการปลดปล่อย CO2 เช่น วัสดุทดแทน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต Smart Building หรือ
2.2. ทำให้สินค้าและบริการของตัวเองได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น เช่น ลดการใช้วัสดุอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นผู้ที่ปรับตัวได้ดีในยุคที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
3. กองทุน ESG (ย่อมาจาก Environment, Social และ Governance) ลงทุนในหุ้นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หรือหลัก ESG สนับสนุนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญต่อความยั่งยืน หรือกรอบ ESG มากขึ้น ซึ่งกำลังมีความสำคัญกับการเลือกหุ้นของนักลงทุนและผู้จัดการกองทุน ที่ต้องการเลือกหุ้นที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้ถือหุ้น ดังนั้น บริษัทที่สามารถดำเนินการในเรื่อง ESG ได้ดี ย่อมทำให้นักลงทุนเชื่อใจที่จะลงทุนด้วยในระยะยาวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ESG ในบางบริษัทถือว่าเป็น cost ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทที่สามารถทำ ESG ได้ดีต้องเกิดจากผู้บริหารที่มีความสามารถ เอาใจใส่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG และการทำธุรกิจให้เติบโตควบคู่กันไปด้วย ตรงนี้ผู้จัดการกองทุนที่คัดหุ้น ESG เก่งก็จะวิเคราะห์หลายมิติประกอบกันว่าหุ้นที่จะถูกเลือกมีคุณภาพจริงหรือไม่ | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1105 | Finance | องค์ประกอบและการเติบโตระยะยาวยังเป็นเหตุผลหนุนยีลด์ต่ำอยู่ เพราะเหตุใด | A. ในทางทฤษฎี เงินออมและรายได้ คือ ปัจจัยหลักที่กำหนดระดับยีลด์
B. เหตุผลในการถือบอนด์ในระยะยาวเริ่มไม่ชัดเจน
C. ยีลด์ คือ ราคาของการเปลี่ยนกำลังซื้อในอนาคตมาเป็นปัจจุบัน
D. อายุของชาวโลกมาถึงจังหวะที่เงินใช้จ่ายยามเกษียรสูงกว่าเงินเก็บของนักลงทุนรายใหม่แล้ว | คำตอบที่ถูกต้องคือ C. เพราะว่า องค์ประกอบและการเติบโตระยะยาวยังเป็นเหตุผลหนุนยีลด์ต่ำอยู่ เพราะ “ยีลด์” คือราคาของการเปลี่ยนกำลังซื้อในอนาคตมาเป็นปัจจุบัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ต้องลงทุนหรือไม่ต้องการบริโภคเพิ่มในช่วงนี้ ยีลด์ก็ไม่ควรสูง
ทั้งการลงทุนและการบริโภคยังคงเป็นเทรนด์ขาลง เห็นได้จากบทวิเคราะห์ของ National Income and Product Accounts (NIPA) ของสหรัฐที่ประเมินว่าสัดส่วนอุตสาหกรรมที่ต้องมีเงินทุนในการขับเคลื่อนยังเป็นขาลง ในปี 2025 จะลดลงเหลือเพียง “ครึ่งเดียว” เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจช่วงปี 1945
ส่วนการเติบโตปัจจุบัน โลกก็พึ่งพาแต่กำลังซื้อของประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก ถ้าไม่เห็นจีนกลับมาเติบโตสูง หรือมีประเทศอื่นต้องการเป็นผู้นำด้านการบริโภคใหม่ ยีลด์ก็สามารถคงอยู่ในระดับต่ำได้แน่ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1106 | Finance | คำพูดใดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาวแบบ VI ที่ต้องจินตนาการถึงอนาคต ระหว่าง "Try not to become a man of success but rather try to become a man of value." หรือ "Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world." | null | Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. เพราะ Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้นั้นจำกัด จินตนาการนั้นโอบล้อมโลก” เป็นคำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เตือนให้คิดตลอดเวลาว่าต้องมีจินตนาการเวลาจะคิดหรือทำอะไรโดยเฉพาะอย่างในเรื่องของการลงทุน เพราะการลงทุนระยะยาวแบบ VI นั้น ต้องจินตนาการถึงอนาคต ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นนั้น อีก 5 ปี 10 ปีจะเปลี่ยนไปอย่างไร
ส่วนคำพูดที่ว่า Try not to become a man of success but rather try to become a man of value. แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “อย่าพยายามเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ควรเป็นคนที่มีคุณค่า” คือ การพยายามทำอะไรที่เป็นประโยชน์หรือมีคุณค่ากับคนอื่น โดยไม่ต้องคิดว่ามันเป็นความสำเร็จของตนเอง การเผยแพร่และสอนการลงทุนที่ถูกต้องในแนว VI นั้น คือความสำเร็จอย่างแท้จริงตั้งแต่เริ่มเดินทางในโลกของการลงทุน แม้แต่เรื่องของเม็ดเงินหรือความมั่งคั่งนั้นก็เป็นแค่ผลพลอยได้
ดังนั้น คำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาวแบบ VI ที่ต้องจินตนาการถึงอนาคต คือ Imagination is more important than knowledge. Knowledge is limited. Imagination encircles the world. หรือ “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้นั้นจำกัด จินตนาการนั้นโอบล้อมโลก” | 5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1108 | Finance | ประมาณช่วงปี 2016 ถึง 2018 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแอปเปิ้ล ใช้เงินประมาณเท่าไหร่ ระหว่าง 36,000 ล้านเหรียญ หรือ 12,000 ล้านดอลลาร์ | null | 36,000 ล้านเหรียญ เพราะประมาณช่วงปี 2016 ถึง 2018 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแอปเปิ้ล ใช้เงินประมาณ 36,000 ล้านเหรียญ และคิดเป็นประมาณ 5.4% ของหุ้นแอปเปิ้ล และประมาณ 45% ของพอร์ตของเบิร์กไชร์ในวันนี้ ซึ่งถึงวันนี้ก็กำไรไปประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.3 เท่าในเวลาประมาณ 5 ปี สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของการลงทุนซื้อขายหุ้น แต่มันคืออีกธุรกิจหนึ่งของเขาเช่นเดียวกับหุ้นอย่างโค๊กหรือประกันภัยอย่าง General Re และอีกหลายบริษัท เพราะเขาคือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของแอปเปิ้ล และนี่ก็คือแนวความคิดในการลงทุนของบัฟเฟตต์มานานหลายสิบปีแล้วที่ “ไม่เคยเปลี่ยน”
ส่วน 12,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเงินที่บัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อหุ้น IBM ที่ครั้งหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของโลกคอมพิวเตอร์ของอเมริกาและของโลก เขาไม่ได้ซื้อเพราะว่ามันเป็นเทค แต่เขาซื้อเพราะว่า IBM นั้นโตจนอิ่มตัวและคอมพิวเตอร์ก็เริ่มเป็นเครื่องมือธรรมดาที่ทุกธุรกิจจะต้องใช้ และ IBM ก็เข้าไป “ให้บริการ” งานคอมพิวเตอร์ทั้งหมดแบบ In-house ถึงที่ ซึ่งทำให้รายได้และกำไรมาอย่างสม่ำเสมอมั่นคงเหมือนกับงานบริการอื่น ๆ ที่ลูกค้าไม่หนีไปไหน
ถ้าหากมีเหตุผลเชิงธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้และกำไรหรือมีเหตุผลในด้านของการใช้สอยที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญที่สุดสามารถประเมินถึงมูลค่าได้อย่างมีความแน่นอนระดับหนึ่ง บัฟเฟตต์ก็อาจจะลงทุนได้ แม้ว่ากลุ่มคนที่เล่นเหรียญชื่อดังอย่าง Peter Thiel กูรูนักลงทุนไฮเทคสตาร์ทอัพเบอร์ต้น ๆ ของโลกจะบอกว่าบัฟเฟตต์คือคนแก่ที่ขวางโลกและเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของคนเล่นเหรียญโดยเฉพาะบิตคอยน์ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1109 | Finance | จงสรุปบทความเรื่อง SMIC โต 3 เท่า แม้โดนสหรัฐแบน ให้หน่อยค่ะ | SMIC โต 3 เท่า แม้โดนสหรัฐแบน
“SMIC” ชื่อเต็ม Semiconductor Manufacturing International Corporation คือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยต้นกำเนิดคล้ายกับแชมเปี้ยน TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลให้เงินอุดหนุนและสิทธิพิเศษหลายอย่าง ขณะที่ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ ฝั่งตะวันตกแพ้ราบ ทำให้ภาคการผลิตย้ายเข้าเอเชียและส่วนใหญ่จะมาผลิตกับ 3 เจ้านี้
ปัจจุบัน SMIC มีเทคโนโลยีตามหลังไต้หวันและเกาหลีใต้ประมาณ 6 ปี ซึ่งการจะเขยิบเข้าใกล้ก็ไม่ง่าย เพราะสหรัฐเตะตัดขาเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้ผลิตชิปรุ่นไฮเทคได้เอง อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้ว SMIC ประกาศว่าผลิตชิป 7nm ได้แล้ว หลังจากนั้นไม่นานเจอคำสั่งแบนชุดใหญ่จาก Trump และตามมาด้วยอีกชุดจาก Biden
แบนหนักแต่งบปี 2021 โตระเบิด
รายได้ $5,443 million +39% YoY
กำไร $1,702 million +137% YoY
กำลังการผลิตเต็ม 100%
รายได้จากจีน 60-70%
ไฮเทคมากไม่ได้
ตอนนี้ SMIC ถูกสหรัฐจำกัดให้สั่งเครื่องจักรได้แค่ชิปรุ่น 14 nm หรือรองลงมา แต่ด้วยตลาดขนาดมหาศาลในจีนก็เพียงพอแล้วที่จะหล่อเลี้ยง SMIC ไปอีกหลายปี และตอนนี้ไม่ต้องอ้ำอึ้งว่ากับข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนอีกต่อไป เพราะโดนตัดสินไปแล้วว่าเกี่ยว จึงเดินหน้าสร้างโรงงานร่วมทุนกับท้องถิ่นหลายเมือง ล่าสุดมี Shanghai, Beijing, Shenzhen ได้เงินมาฟรี ๆ ให้ไปลงทุนเลย ผู้บริหารบอกใบ้ว่าอีกราว 3 ปีที่โรงงานเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม 2-3 เท่าตัวนะ
กองทุนแห่งชาติหนุนหลัง
รู้หรือไม่ว่ารายได้ SMIC โต 3 เท่า ท่ามกลางปัญหามากมาย ไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้ราว $600 ล้าน ล่าสุดไตรมาส 1 ปีนี้จะโตขึ้นมากถึง $1800 ล้าน ทางด้านกำไรโตราว 10-20 เท่า เพราะกำลังการผลิตเต็มเกือบตลอดเวลา ตอนนี้ SMIC เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติแล้ว ฝั่งจีนเทดีมานให้ไม่อั้น รัฐชี้นิ้วให้สั่งชิปในประเทศก่อน
ปรับราคาขายชิป
ตอนนี้กำลังการผลิตชิปเต็มทั่วโลก SMIC ได้โอกาสปรับราคาชิปตามเจ้าใหญ่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จึงเป็นผลดีกับรายได้ รับ 2 เด้งจากทั้งกำลังการผลิตเต็มและชิปแพงขึ้น
มองปีนี้โตระเบิด
ผู้บริหารคาดว่ายอดขายปีนี้จะโตราว 25%++ YoY และลงทุนอีก $5 พันล้าน แต่เลขเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ ขึ้นกับหน้างานว่าจะสั่งเครื่องจักรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเดาใจ Biden ไม่ออก
ฝั่ง BottomLiner เองเชื่อว่าดีมานในจีนนั้นใหญ่ที่สุดในโลก และแผน Made in China ของ Xi Jinping ยังสนับสนุนเต็มที่ โดยเฉพาะเป้าอยากให้ชิปผลิตเองในประเทศ 80% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันราว 20% เท่านั้น แต่ปัญหาเป็นเรื่องที่รู้กันคือสหรัฐจะคอยแบนคุมไปเรื่อย ๆ ตามระดับความเข้มทางการเมืองในช่วงนั้น จึงมองว่า SMIC แม้รายได้จะโตแต่รับประกันว่าราคาหุ้นจะขึ้นไม่ได้ เพราะหลายอย่างต้องพึ่งพาสหรัฐอยู่
กลับกันอนาคตที่ SMIC พึ่งพาจีนได้ 100% เราจะเห็นการเติบโตขั้นสุดยอดเช่นกัน
การจะตัดสินใจ ซื้อ ถือ ขาย คงต้องขึ้นกับความอดทนของแต่ละคนครับ “SMIC” ชื่อเต็ม Semiconductor Manufacturing International Corporation คือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยต้นกำเนิดคล้ายกับแชมเปี้ยน TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลให้เงินอุดหนุนและสิทธิพิเศษหลายอย่าง ขณะที่ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ ฝั่งตะวันตกแพ้ราบ ทำให้ภาคการผลิตย้ายเข้าเอเชียและส่วนใหญ่จะมาผลิตกับ 3 เจ้านี้
ปัจจุบัน SMIC มีเทคโนโลยีตามหลังไต้หวันและเกาหลีใต้ประมาณ 6 ปี ซึ่งการจะเขยิบเข้าใกล้ก็ไม่ง่าย เพราะสหรัฐเตะตัดขาเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้ผลิตชิปรุ่นไฮเทคได้เอง อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้ว SMIC ประกาศว่าผลิตชิป 7nm ได้แล้ว หลังจากนั้นไม่นานเจอคำสั่งแบนชุดใหญ่จาก Trump และตามมาด้วยอีกชุดจาก Biden
แบนหนักแต่งบปี 2021 โตระเบิด
รายได้ $5,443 million +39% YoY
กำไร $1,702 million +137% YoY
กำลังการผลิตเต็ม 100%
รายได้จากจีน 60-70%
ไฮเทคมากไม่ได้
ตอนนี้ SMIC ถูกสหรัฐจำกัดให้สั่งเครื่องจักรได้แค่ชิปรุ่น 14 nm หรือรองลงมา แต่ด้วยตลาดขนาดมหาศาลในจีนก็เพียงพอแล้วที่จะหล่อเลี้ยง SMIC ไปอีกหลายปี และตอนนี้ไม่ต้องอ้ำอึ้งว่ากับข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนอีกต่อไป เพราะโดนตัดสินไปแล้วว่าเกี่ยว จึงเดินหน้าสร้างโรงงานร่วมทุนกับท้องถิ่นหลายเมือง ล่าสุดมี Shanghai, Beijing, Shenzhen ได้เงินมาฟรี ๆ ให้ไปลงทุนเลย ผู้บริหารบอกใบ้ว่าอีกราว 3 ปีที่โรงงานเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม 2-3 เท่าตัวนะ
กองทุนแห่งชาติหนุนหลัง
รู้หรือไม่ว่ารายได้ SMIC โต 3 เท่า ท่ามกลางปัญหามากมาย ไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้ราว $600 ล้าน ล่าสุดไตรมาส 1 ปีนี้จะโตขึ้นมากถึง $1800 ล้าน ทางด้านกำไรโตราว 10-20 เท่า เพราะกำลังการผลิตเต็มเกือบตลอดเวลา ตอนนี้ SMIC เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติแล้ว ฝั่งจีนเทดีมานให้ไม่อั้น รัฐชี้นิ้วให้สั่งชิปในประเทศก่อน
ปรับราคาขายชิป
ตอนนี้กำลังการผลิตชิปเต็มทั่วโลก SMIC ได้โอกาสปรับราคาชิปตามเจ้าใหญ่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จึงเป็นผลดีกับรายได้ รับ 2 เด้งจากทั้งกำลังการผลิตเต็มและชิปแพงขึ้น
มองปีนี้โตระเบิด
ผู้บริหารคาดว่ายอดขายปีนี้จะโตราว 25%++ YoY และลงทุนอีก $5 พันล้าน แต่เลขเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ ขึ้นกับหน้างานว่าจะสั่งเครื่องจักรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเดาใจ Biden ไม่ออก
ฝั่ง BottomLiner เองเชื่อว่าดีมานในจีนนั้นใหญ่ที่สุดในโลก และแผน Made in China ของ Xi Jinping ยังสนับสนุนเต็มที่ โดยเฉพาะเป้าอยากให้ชิปผลิตเองในประเทศ 80% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันราว 20% เท่านั้น แต่ปัญหาเป็นเรื่องที่รู้กันคือสหรัฐจะคอยแบนคุมไปเรื่อย ๆ ตามระดับความเข้มทางการเมืองในช่วงนั้น จึงมองว่า SMIC แม้รายได้จะโตแต่รับประกันว่าราคาหุ้นจะขึ้นไม่ได้ เพราะหลายอย่างต้องพึ่งพาสหรัฐอยู่
กลับกันอนาคตที่ SMIC พึ่งพาจีนได้ 100% เราจะเห็นการเติบโตขั้นสุดยอดเช่นกัน
การจะตัดสินใจ ซื้อ ถือ ขาย คงต้องขึ้นกับความอดทนของแต่ละคนครับ “SMIC” ชื่อเต็ม Semiconductor Manufacturing International Corporation คือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยต้นกำเนิดคล้ายกับแชมเปี้ยน TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลให้เงินอุดหนุนและสิทธิพิเศษหลายอย่าง ขณะที่ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ ฝั่งตะวันตกแพ้ราบ ทำให้ภาคการผลิตย้ายเข้าเอเชียและส่วนใหญ่จะมาผลิตกับ 3 เจ้านี้ ปัจจุบัน SMIC มีเทคโนโลยีตามหลังไต้หวันและเกาหลีใต้ประมาณ 6 ปี ซึ่งการจะเขยิบเข้าใกล้ก็ไม่ง่าย เพราะสหรัฐเตะตัดขาเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้ผลิตชิปรุ่นไฮเทคได้เอง อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้ว SMIC ประกาศว่าผลิตชิป 7nm ได้แล้ว หลังจากนั้นไม่นานเจอคำสั่งแบนชุดใหญ่จาก Trump และตามมาด้วยอีกชุดจาก Biden แบนหนักแต่งบปี 2021 โตระเบิด รายได้ $5,443 million +39% YoY
กำไร $1,702 million +137% YoY
กำลังการผลิตเต็ม 100%
รายได้จากจีน 60-70% ไฮเทคมากไม่ได้ ตอนนี้ SMIC ถูกสหรัฐจำกัดให้สั่งเครื่องจักรได้แค่ชิปรุ่น 14 nm หรือรองลงมา แต่ด้วยตลาดขนาดมหาศาลในจีนก็เพียงพอแล้วที่จะหล่อเลี้ยง SMIC ไปอีกหลายปี และตอนนี้ไม่ต้องอ้ำอึ้งว่ากับข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนอีกต่อไป เพราะโดนตัดสินไปแล้วว่าเกี่ยว จึงเดินหน้าสร้างโรงงานร่วมทุนกับท้องถิ่นหลายเมือง ล่าสุดมี Shanghai, Beijing, Shenzhen ได้เงินมาฟรี ๆ ให้ไปลงทุนเลย ผู้บริหารบอกใบ้ว่าอีกราว 3 ปีที่โรงงานเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม 2-3 เท่าตัวนะ กองทุนแห่งชาติหนุนหลัง รู้หรือไม่ว่ารายได้ SMIC โต 3 เท่า ท่ามกลางปัญหามากมาย ไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้ราว $600 ล้าน ล่าสุดไตรมาส 1 ปีนี้จะโตขึ้นมากถึง $1800 ล้าน ทางด้านกำไรโตราว 10-20 เท่า เพราะกำลังการผลิตเต็มเกือบตลอดเวลา ตอนนี้ SMIC เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติแล้ว ฝั่งจีนเทดีมานให้ไม่อั้น รัฐชี้นิ้วให้สั่งชิปในประเทศก่อน ปรับราคาขายชิป ตอนนี้กำลังการผลิตชิปเต็มทั่วโลก SMIC ได้โอกาสปรับราคาชิปตามเจ้าใหญ่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จึงเป็นผลดีกับรายได้ รับ 2 เด้งจากทั้งกำลังการผลิตเต็มและชิปแพงขึ้น มองปีนี้โตระเบิด ผู้บริหารคาดว่ายอดขายปีนี้จะโตราว 25%++ YoY และลงทุนอีก $5 พันล้าน แต่เลขเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ ขึ้นกับหน้างานว่าจะสั่งเครื่องจักรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเดาใจ Biden ไม่ออก ฝั่ง BottomLiner เองเชื่อว่าดีมานในจีนนั้นใหญ่ที่สุดในโลก และแผน Made in China ของ Xi Jinping ยังสนับสนุนเต็มที่ โดยเฉพาะเป้าอยากให้ชิปผลิตเองในประเทศ 80% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันราว 20% เท่านั้น แต่ปัญหาเป็นเรื่องที่รู้กันคือสหรัฐจะคอยแบนคุมไปเรื่อย ๆ ตามระดับความเข้มทางการเมืองในช่วงนั้น จึงมองว่า SMIC แม้รายได้จะโตแต่รับประกันว่าราคาหุ้นจะขึ้นไม่ได้ เพราะหลายอย่างต้องพึ่งพาสหรัฐอยู่ กลับกันอนาคตที่ SMIC พึ่งพาจีนได้ 100% เราจะเห็นการเติบโตขั้นสุดยอดเช่นกัน การจะตัดสินใจ ซื้อ ถือ ขาย คงต้องขึ้นกับความอดทนของแต่ละคนครับ BottomLiner ที่มาบทความ: | “SMIC” หรือ Semiconductor Manufacturing International Corporation คือ ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนที่ถูกก่อตั้งมากว่า 20 ปี โดยมีต้นกำเนิดคล้ายกับ TSMC ของไต้หวัน และ Samsung ของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลให้เงินอุดหนุนและสิทธิพิเศษหลายอย่าง ขณะที่ผลลัพธ์ดีเหลือเชื่อ ฝั่งตะวันตกแพ้ราบ ทำให้ภาคการผลิตย้ายเข้าเอเชียและส่วนใหญ่จะมาผลิตกับ 3 เจ้านี้
SMIC มีเทคโนโลยีตามหลังไต้หวันและเกาหลีใต้ประมาณ 6 ปี ซึ่งการจะเขยิบเข้าใกล้ก็ไม่ง่าย เพราะสหรัฐเตะตัดขาเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้ผลิตชิปรุ่นไฮเทคได้เอง อย่างเช่นเหตุการณืที่ SMIC ประกาศว่าผลิตชิป 7nm ได้แล้ว หลังจากนั้นก็เจอคำสั่งแบนจาก Trump และจาก Biden
ถึงแม้โดนสหรัฐแบน แต่งบของ SMIC ในปี 2021 ก็ยังคงเติบโต ดังนี้
- รายได้ $5,443 million +39% YoY
- กำไร $1,702 million +137% YoY
- กำลังการผลิตเต็ม 100%
- รายได้จากจีน 60-70%
SMIC ถูกสหรัฐจำกัดให้สั่งเครื่องจักรได้แค่ชิปรุ่น 14 nm หรือรองลงมา แต่ด้วยตลาดขนาดมหาศาลในจีนก็เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยง SMIC และไม่ต้องอ้ำอึ้งกับข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนอีกต่อไป เพราะโดนตัดสินไปแล้วว่าเกี่ยว จึงเดินหน้าสร้างโรงงานร่วมทุนกับท้องถิ่นหลายเมือง ผู้บริหารบอกใบ้ว่าอีกราว 3 ปีที่โรงงานเสร็จกำลังการผลิตจะเพิ่ม 2-3 เท่าตัว
รายได้ของ SMIC โต 3 เท่าท่ามกลางปัญหามากมาย ไตรมาส 1 ปี 2019 มีรายได้ราว $600 ล้าน ไตรมาส 1 ปี 2022 จะโตขึ้นมากถึง $1800 ล้าน ทางด้านกำไรโตราว 10-20 เท่า เพราะกำลังการผลิตเต็มเกือบตลอดเวลา ทำให้ SMIC เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติแล้ว ฝั่งจีนเทดีมานให้ไม่อั้น ผู้บริหารคาดว่ายอดขายปี 2022 จะโตราว 25%++ YoY และลงทุนอีก $5 พันล้าน แต่เลขเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ ขึ้นกับหน้างานว่าจะสั่งเครื่องจักรได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเดาใจ Biden ไม่ออก | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1110 | Finance | Yield curve คืออะไร | Yield curve มี 3 แบบคือ
1. Normal curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น น้อยกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว
2. Inverted curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น มากกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว
3. Flat curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น เท่ากับ Yield ของพันธบัตรระยะยาว
ต่อจากนี้ มารู้จักคำศัพท์เพื่อเรียกย่อ ๆ กัน
Yield พันธบัตรระยะสั้น เราเรียก Yield ตัวสั้น ส่วนยาวก็เรียก ตัวยาว จะ US Government bond หรือ Treasury หรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ระบุให้ชัดเจน ตลาดมักหมายถึง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล + ประเทศที่ระบุ เช่น US Bond Yield 10Y ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี
สำหรับบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าการเปลี่ยนแปลงของ Yield Curve แต่ละรูปแบบบอกอะไรกับเราได้บ้าง เขาจะดู คู่ 2 ปี และ 10 ปี เป็นหลัก
หากพิจารณาแบบง่าย ๆ การเปลี่ยนความชันของ Yield curve จะมี 2 ลักษณะ คือ
1. Steepening Curve (ชันขึ้น) หรือส่วนต่างระหว่าง Yield ตัวสั้นและตัวยาวเพิ่มขึ้น โดยปกติจะแสดงถึง การเริ่มต้นการเติบโตของเศรษฐกิจ
2. Flattenning Curve (ชันลง) หรือส่วนต่างระหว่าง Yield ตัวสั้นและตัวยาวลดลง ซึ่งปกติมักจะเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจเติบโตเต็มที่ (มีโอกาสเกิดการถดถอยในอนาคต)
หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของราคา Bond ที่เทรดกันอยู่ในตลาดรอง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างราคา (Price) และอัตราผลตอบแทน (Yield) ของ Bond นั้นจะมีความสันพันธ์แบบผกผันกันเสมอ พูดง่าย ๆ คือ หากราคาขึ้น ⇒ อัตราผลตอบแทนจะลดลง เราเรียกกันว่า “Bull” ในทางกลับกัน หากราคาลง ⇒ อัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น เราเรียกกันว่า “Bear”
มือใหม่ถ้างง ให้คิดถึงเวลาซื้อหุ้น ถ้าซื้อหุ้นราคาเพิ่มขึ้น จะได้ปันผลที่น้อยลง ถ้าหุ้นราคาถูกลงจะได้ปันผลเพิ่มขึ้น Bond ก็เช่นกันครับ
Noted: “Bull หรือ Bear” นั้นเราพิจารณากันตามทิศทางราคา หาใช่ Yield อย่าสับสนงวยงงกันละ ดังนั้น เมื่อเป็น “Bull (คนซื้อเพิ่มขึ้น)” Yield จะลดลง “Bear (คนซื้อลดลง)” Yield จะเพิ่มขึ้น”
ทีนี้ถ้าเราพิจารณาลึกขึ้นจากการนำทิศทางการเคลื่อนไหวของทั้งสองอย่าง (ราคาและความชัน) มารวมร่างกัน เราจะ Unlocked รูปแบบการเคลื่อนไหวของ Yield Curve ที่นักลงทุนมือฉมังใช้ดูกันได้ 4 รูปแบบ ซึ่งทั้งหมดแตกต่างกันที่ทิศทาง และตัวสั้น-ตัวยาว อันไหนเคลื่อนไหวมากกว่า
1. Bull Flattening Yield Curve (Yield ตัวยาวลงลึกกว่าตัวสั้น) ในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดีไปแล้ว แน่นอนย่อมมี noise ให้ตกใจ ทำให้มีเงินไหลเข้า safe haven เช่น ขายหุ้นเข้า bond แต่รอบใหญ่ของรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มแรกของการเข้าสู่ cycle ลดดอกเบี้ย เราจะเห็นคนกำไรจาก Bonds กันหลัก 10% ง่าย ๆ ในขณะที่หุ้นถล่มทลาย หรือมีการทำ QE
2. Bull Steepening Yield Curve (Yield ตัวสั้นลงลึกกว่าตัวยาว) ส่วนมากจะเกิดจากการเก็งว่าจะมีการลดดอกเบี้ย ซึ่งโดยมากก็จะ shift ทั้ง curve แต่ในบางครั้งตัวยาวก็จะลงมาช้ากว่า ก็จะมีเหตุผลของมันในแต่ละครั้ง (เช่นพึ่งผ่านแบบที่ 1 มา)
3. Bear Steepening Yield Curve (Yield ตัวยาวเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวสั้น) รูปแบบนี้มักเกิดในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ดอกเบี้ยขาขึ้นอีกครั้ง หลังจากการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ เมื่อตลาดมั่นใจกับเศรษฐกิจมากขึ้นก็จะเริ่มขาย bond ออก (yield ดีดขึ้น) และนำเงินไปลงทุนอย่างอื่น หรือ fund flow ไหลออก แต่สิ่งสำคัญคือหากดอกเบี้ยกลับเป็นขาขึ้นอย่างแรงและเร็ว จะขาดทุนหนัก กรณีมียกเลิก QE ร่วมด้วย แต่ดอกเบี้ยตรึงต่ำ ก็จะชันเป็นพิเศษ เช่นช่วงที่ทำ QE ทีผ่านมา และจะทำให้เกิดแบบสุดท้าย (Bear Flattening) ในเวลาถัดมา
4. Bear Flattening Yield Curve (Yield ตัวสั้นเพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวยาว) หากไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ จะเกิดขึ้นหลังรูปแบบที่ 3 คือในช่วงขึ้นดอกเบี้ย หากคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำนาน ๆ จนเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แน่นอนว่าก็จะต้องมีการเก็งกำไรผสมโรงด้วย หากทิ้งไว้นาน จะทำให้เกิดฟองสบู่ได้ และในช่วงเศรษฐกิจบูม เงินเฟ้อมา ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
อาจจะแลดูซับซ้อน ซ่อนเงื่อน แต่ก็น่าจะพอช่วยให้เราเดาได้นะครับว่าทิศทาง ตราสารหนี้ในภาพใหญ่ และเศรษฐกิจไปทางไหน | มี 3 แบบคือ
1. Normal curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น น้อยกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว
2. Inverted curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น มากกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว
3. Flat curve: Yield ของพันธบัตรระยะสั้น เท่ากับ Yield ของพันธบัตรระยะยาว
Yield พันธบัตรระยะสั้น เราเรียก Yield ตัวสั้น ส่วนยาวก็เรียก ตัวยาว จะ US Government bond หรือ Treasury หรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ระบุให้ชัดเจน ตลาดมักหมายถึง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล + ประเทศที่ระบุ เช่น US Bond Yield 10Y ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี
สำหรับบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าการเปลี่ยนแปลงของ Yield Curve แต่ละรูปแบบบอกอะไรกับเราได้บ้าง เขาจะดู คู่ 2 ปี และ 10 ปี เป็นหลัก
หากพิจารณาแบบง่าย ๆ การเปลี่ยนความชันของ Yield curve จะมี 2 ลักษณะ คือ
1. Steepening Curve (ชันขึ้น) หรือส่วนต่างระหว่าง Yield ตัวสั้นและตัวยาวเพิ่มขึ้น โดยปกติจะแสดงถึง การเริ่มต้นการเติบโตของเศรษฐกิจ
2. Flattenning Curve (ชันลง) หรือส่วนต่างระหว่าง Yield ตัวสั้นและตัวยาวลดลง ซึ่งปกติมักจะเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจเติบโตเต็มที่ (มีโอกาสเกิดการถดถอยในอนาคต)
หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของราคา Bond ที่เทรดกันอยู่ในตลาดรอง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างราคา (Price) และอัตราผลตอบแทน (Yield) ของ Bond นั้นจะมีความสันพันธ์แบบผกผันกันเสมอ พูดง่าย ๆ คือ หากราคาขึ้น ⇒ อัตราผลตอบแทนจะลดลง เราเรียกกันว่า “Bull” ในทางกลับกัน หากราคาลง ⇒ อัตราผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น เราเรียกกันว่า “Bear” | 8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.เครื่องมือทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1111 | Finance | จงสรุปบทความ 10 ปีข้างหน้า…วิกฤติอะไรที่รอเราอยู่! | ใคร ๆ ก็คงเคยนึกเล่น ๆ ถึงวันโลกแตกใช่ไหม วันหนึ่งซอมบี้อาจจะบุกโลก AI และหุ่นยนต์อาจจะครองเมือง หรือที่เห็นภาพได้ชัดหน่อยในช่วงนี้ก็โรคระบาด แต่ที่ World Economic Forum เขาได้ออกมาสรุปแล้วว่าความเสี่ยงของโลกที่น่ากลัวที่สุดนั้นใกลัตัวกว่าที่เราคิด และอาจเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยาแล้วก็ได้! สิ่งนั้นคืออะไรมาหาคำตอบกันในคลิปนี้ ใคร ๆ ก็คงเคยนึกเล่น ๆ ถึงวันโลกแตกใช่ไหม วันหนึ่งซอมบี้อาจจะบุกโลก AI และหุ่นยนต์อาจจะครองเมือง หรือที่เห็นภาพได้ชัดหน่อยในช่วงนี้ก็ โรคระบาด แต่ที่ World Economic Forum เขาได้ออกมาสรุปแล้วว่าความเสี่ยงของโลกที่น่ากลัวที่สุดนั้นใกลัตัวกว่าที่เราคิด และอาจเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยาแล้วก็ได้! สิ่งนั้นคืออะไรมาหาคำตอบกันในคลิปนี้ การประชุมล่าสุดของ World Economic Forum World Economic Forum เป็นที่ประชุมด้านเศรษฐกิจที่สำคัญระดับโลก ที่จะมีผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางของนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ล่าสุดที่ได้จัดประชุมเมื่อเดือนมกราคม 2022 ที่ผ่านมา ก็ได้มีการสรุปถึงความเสี่ยงระดับโลกที่น่ากังวลมากที่สุด นั่นก็คือปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าความร่วมมือของแต่ละประเทศทั่วโลก ณ ขณะนี้ไม่น่าเพียงพอบรรลุผลสำเร็จได้
โดยในที่ประชุมได้พูดถึงความร่วมมือ COP26 ที่มีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิของโลกจนถึงปี 2100 หรือจนถึงอีกประมาณ 80 ปีข้างหน้า ไม่ให้เพิ่มเกินไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส นับจากยุคก่อนอุตสาหกรรม
แต่จากการประเมินสถานการณ์ ดูท่าแล้วก็คงจะเพิ่มไป 2.7 องศาเซลเซียส หรืออย่างดีที่สุดจริง ๆ ก็จะเพิ่มไปถึง 1.8 องศาเซลเซียสอยู่ดี เพราะแค่ในปี 2021 ก็นับว่าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากช่วงยุคก่อนอุตสาหกรรมแล้ว 1.2 เซลเซียส
หากภารกิจดับร้อนโลกใบนี้ไม่สำเร็จ นอกจากความเสี่ยงที่โลกจะอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์ในสักวันหนึ่งแล้ว ในแง่ของเศรษฐกิจก็อาจสร้างปัญหาคนตกงาน เงินเฟ้อ ไปจนถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจกลายเป็นความเสียหายที่คิดมูลค่าเป็นเกือบ 20% ของ GDP รวมทั้งโลกเลยทีเดียว
เห็นได้ว่าความพยายามที่จะบรรเทาปัญหาโลกร้อนเป็นภารกิจสำคัญและเร่งด่วนของทุกประเทศทั่วโลก ณ ขณะนี้ ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดเลยนั่นคือในทางภูมิศาสตร์แล้ว เรามีโลกเพียงใบเดียว ที่ในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถหาโลกใบอื่นมาสำรองได้ ดังนั้นโลกร้อนจึงเป็นปัญหาที่ยิ่งแก้ไขช้า ก็ยิ่งมีแต่จะเลวร้ายลง World Economic Forum เป็นที่ประชุมด้านเศรษฐกิจที่สำคัญระดับโลก ที่จะมีผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางของนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ล่าสุดที่ได้จัดประชุมเมื่อเดือนมกราคม 2022 ที่ผ่านมา ก็ได้มีการสรุปถึงความเสี่ยงระดับโลกที่น่ากังวลมากที่สุด นั่นก็คือ ปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าความร่วมมือของแต่ละประเทศทั่วโลก ณ ขณะนี้ไม่น่าเพียงพอบรรลุผลสำเร็จได้ COP26 ที่มีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิของโลกจนถึงปี 2100 หรือจนถึงอีกประมาณ 80 ปีข้างหน้า 1.5 องศาเซลเซียส นับจากยุคก่อนอุตสาหกรรม แต่จากการประเมินสถานการณ์ ดูท่าแล้วก็คงจะเพิ่มไป 2.7 องศาเซลเซียส หรืออย่างดีที่สุดจริง ๆ ก็จะเพิ่มไปถึง 1.8 องศาเซลเซียสอยู่ดี เพราะแค่ในปี 2021 ก็นับว่าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากช่วงยุคก่อนอุตสาหกรรมแล้ว 1.2 เซลเซียส 20% GDP รวมทั้งโลกเลยทีเดียว ทางเลือกการลงทุน หากเรามองเห็นทิศทางของผู้นำระดับโลกที่จะหันมาใส่ใจและถนอมโลกใบนี้ให้ยังน่าอยู่ไปอีกนาน ๆ ก็คงสังเกตได้ว่าภาคธุรกิจทั่วโลกก็มีแนวโน้มปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลมากขึ้น และเราก็อาจร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจเหล่านี้ผ่านกองทุนรวม
ตัวอย่างกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในธุรกิจใส่ใจโลกก็อย่างเช่น MRENEW-A, MRENEW-D, WE-GSECURE, KCHANGE-A(A), P-CGREEN และ UESG เป็นต้น ซึ่งบางกองก็อาจมีการกระจุกตัวลงทุนในบางอุตสาหกรรม ที่ทำให้ระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับที่ 7 จากทั้งหมด 8 ระดับได้เลยทีเดียว
ผู้ที่สนใจจะลงทุนในกองทุนลักษณะนี้ จึงรักษ์โลกเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ควรมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่ลงทุน ติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และที่ขาดไปไม่ได้นั่นคือก่อนจะลงทุนกองไหน ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษารายละเอียดแต่ละกองทุนได้ที่เว็บไซต์ FINNOMENA.COM ซึ่งก็จะมี Fund Fact Sheet ให้ศึกษากันด้วย | การประชุมล่าสุดของ World Economic Forum
- World Economic Forum มาร่วมหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางของนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
- มีการสรุปถึงความเสี่ยงระดับโลกที่น่ากังวลมากที่สุด นั่นก็คือปัญหาโลกร้อน
- ได้พูดถึงความร่วมมือ COP26 ที่มีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิของโลกจนถึงปี 2100 หรือจนถึงอีกประมาณ 80 ปีข้างหน้า ไม่ให้เพิ่มเกินไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส
- แต่จากการประเมินสถานการณ์ ดูท่าแล้วก็คงจะเพิ่มไป 2.7 องศาเซลเซียส หรืออย่างดีที่สุดจริง ๆ ก็จะเพิ่มไปถึง 1.8 องศาเซลเซียส
- หากภารกิจดับร้อนโลกใบนี้ไม่สำเร็จ ในแง่ของเศรษฐกิจก็อาจสร้างปัญหาคนตกงาน เงินเฟ้อ ไปจนถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจกลายเป็นความเสียหายที่คิดมูลค่าเป็นเกือบ 20% ของ GDP รวมทั้งโลก
- เห็นได้ว่าความพยายามที่จะบรรเทาปัญหาโลกร้อนเป็นภารกิจสำคัญและเร่งด่วนของทุกประเทศทั่วโลก ณ ขณะนี้
ทางเลือกการลงทุน
- ภาคธุรกิจทั่วโลกก็มีแนวโน้มปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลมากขึ้น และเราก็อาจร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจเหล่านี้ผ่านกองทุนรวม
- กองทุนรวมบางกองก็อาจมีการกระจุกตัวลงทุนในบางอุตสาหกรรม ที่ทำให้ระดับความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับที่ 7 จากทั้งหมด 8 ระดับได้เลยทีเดียว
- ผู้ที่สนใจจะลงทุนในกองทุนลักษณะนี้ จึงรักษ์โลกเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ควรมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่ลงทุน ติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ | 8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,2.ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,6.การบริหารสินทรัพย์ | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1114 | Finance | เหรียญ DeFi ที่น่าสนใจ ในปี 2022 มีอะไรบ้าง | null | เหรียญ DeFi ที่น่าสนใจ ในปี 2022 ได้แก่
- Maker (MKR) เป็นแพลตฟอร์มกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำงานบน Ethereum Blockchain และ MakerDAO ซึ่งเป็นองค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Autonomous Organization: DAO) โดยแพลตฟอร์มของ Maker ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้การยืมและการให้ยืมสกุลเงินดิจิทัลทำได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลาง การกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากราคามีความผันผวนและเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว อย่างไรก็ตาม Maker แก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการผสานการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลกับเหรียญ Stablecoin ของตัวเองที่ใช้ชื่อว่าเหรียญ “DAI” ซึ่งอ้างอิงกับมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ทำให้การกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยแพลตฟอร์ม Maker มีเหรียญ “MKR” เป็น Governance Token ซึ่งผู้ถือเหรียญ MKR จะมีสิทธิ์โหวตหรือเสนอนโยบายและความเห็นในการพัฒนาแพลตฟอร์มได้ Maker Protocol ถูกสร้างขึ้นในปี 2015 โดยกลุ่มนักพัฒนาที่นำทีมโดย “Rune Christensen” ซึ่งในปี 2017 ทีม Maker ได้ระดมทุนกว่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการขายโทเคน “MKR” ให้กับบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz, Cryptocurrency Polychain Capital และบริษัทร่วมทุนอื่น ๆ เช่น 1Confirmation และได้ระดมทุนเพิ่มอีก 27.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019 จากบริษัทร่วมทุน Paradigm และ Dragonfly Capital Partners เพื่อขยายสู่ตลาดเอเชีย
Market Cap: 2.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Total Supply: 1,005,577 MKR
Total Value Locked (TVL): 17.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- Aave (AAVE) เป็นแพลตฟอร์ม Decentralized Finance (DeFi) ที่ทำงานอยู่บน Ethereum Blockchain โดยเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม DeFi ชั้นนำที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเป็นผู้ให้ยืมหรือผู้ยืมสกุลเงินดิจิทัลได้โดยไม่ผ่านตัวกลางใด ๆ จุดเด่นของ Aave คือ มีสกุลเงินดิจิทัลให้ผู้ใช้งานกู้ยืมได้หลากหลายสกุล ไม่ว่าจะเป็น Ethereum (ETH), Decentraland (MANA) และอื่น ๆ นอกจากนี้ Aave ยังมี “Flash Loans” ที่เป็นระบบการกู้แบบไม่ต้องใช้หลักประกัน ซึ่งการกู้ยืมผ่านระบบนี้สามารถทำได้รวดเร็วด้วยเวลาเพียง 13 วินาทีเท่านั้น Aave ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดยใช้ชื่อ “ETHLend” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Aave ในปี 2018 โดยมี “Stani Kulechov” เป็นผู้ก่อตั้ง แพลตฟอร์มของ Aave มีเหรียญ “AAVE” เป็นโทเคนดั้งเดิม (Native Token) โดยมีการเสนอขายเหรียญเริ่มต้น (ICO) ไปในเดือนพฤศจิกายน 2017 และระดมทุนได้กว่า 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ณ ตอนนั้นยังใช้ชื่อเหรียญว่า LEND) นอกจากนี้เหรียญ AAVE ยังเป็น Governance Token ที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือเหรียญในการเสนอความเห็นพัฒนาระบบได้
Market Cap: 3.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Total Supply: 16,000,000 AAVE
Total Value Locked (TVL): 11.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- Curve Finance (CRV) เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Exchange: DEX) สร้างขึ้นบน Ethereum Blockchain ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับ Uniswap แต่ Curve Finance จะเน้นไปที่การแลกเปลี่ยนเหรียญในกลุ่ม Stablecoin เป็นหลัก เช่น เหรียญ Tether (USDT), USD Coin (USDC) และ Binance USD (BUSD) เป็นต้น Curve Finance เปิดตัวในช่วงเดือนมกราคมปี 2020 โดยมี “Michael Egorov” นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย เป็นผู้ก่อตั้ง Curve ใช้ระบบ “Automated Market Maker” (AMM) ซึ่งเป็นโปรโตคอลผู้ดูแลสภาพคล่องการซื้อขายอัตโนมัติที่ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง ทำให้ค่าธรรมเนียมต่ำลง ช่วยเสริมสร้างสภาพคล่อง และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แพลตฟอร์ม Curve มีเหรียญ “CRV” เป็นโทเคนดั้งเดิม (Native Token) โดยผู้ใช้งานสามารถนำเหรียญ CRV ไปฝากบนแพลตฟอร์มของ Curve เพื่อทำการ Staking และรับผลตอบแทนเป็นค่าธรรมเนียมได้ นอกจากนี้ผู้ถือเหรียญ CRV ยังมีสิทธิ์โหวตหรือเสนอความเห็นในการพัฒนา Curve Finance ได้
Market Cap: 1.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Total Supply: 3,303,030,299 CRV
Total Value Locked (TVL): 10.80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- Uniswap (UNI) เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Exchange: DEX) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีเหรียญ “UNI” เป็น Governance Token ตัวแพลตฟอร์ม Uniswap จะใช้สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บน Ethereum Blockchain ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Uniswap ยังเป็นผู้บุกเบิกระบบ “Automated Market Maker” (AMM) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ช่วยให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่ต้องพึ่งตัวกลาง อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มของ Uniswap จะรองรับเฉพาะการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานบน Ethereum Blockchain เท่านั้น Uniswap เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนปี 2018 โดยอดีตวิศวกรเครื่องกลของ Siemens ที่ชื่อว่า “Hayden Adams” Uniswap ได้รับเงินทุนจากบริษัทร่วมทุน เช่น Andreessen Horowitz, Paradigm Venture Capital, Union Square Ventures และ ParaFi ต่อมาได้มีการเปิดตัวเวอร์ชัน 2 (Uniswap V2) ในเดือนพฤษภาคม 2020 และเปิดตัวเวอร์ชัน 3 (Uniswap V3) ในเดือนพฤษภาคม 2021
Market Cap: 8.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Total Supply: 1,000,000,000 UNI
Total Value Locked (TVL): 7.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- Compound Finance (COMP) เป็นโปรโตคอลที่เชื่อมโยงผู้ให้กู้และผู้กู้โดยใช้สัญญาอัจฉิรยะ (Smart Contract) ที่ทำงานบน Ethereum Blockchain แบบไม่ผ่านตัวกลาง ผู้ที่ต้องการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลต้องทำการวางหลักประกันด้วยเหรียญคริปโตฯ โดยกู้ยืมได้สูงสุดตามจำนวนหลักประกันที่วาง และหากผู้กู้ต้องการหลักประกันคืนจะต้องทำการคืนเหรียญที่ยืมมาพร้อมชำระค่าธรรมเนียมในการกู้ สำหรับผู้ที่ต้องการปล่อยกู้สินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องทำการฝากเหรียญที่ต้องการปล่อยกู้เข้าทำการ Stake หลังจากนั้นระบบจะส่ง cTokens เพื่อใช้แสดงสิทธิ์การ Stake โดย cToken สามารถโอนย้ายหรือแลกเปลี่ยนได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่จะแลกเปลี่ยนได้เฉพาะสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกล็อกไว้อยู่ในโปรโตคอลเท่านั้น โดยผู้ให้กู้จะได้รับดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้ซึ่งอยู่ในรูปของเหรียญ COMP ตามจำนวน cTokens ที่อยู่ในกระเป๋าเงิน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ๆ ยิ่งมีสภาพคล่องมาก อัตราดอกเบี้ยก็จะยิ่งต่ำลง Compound ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดย “Robert Leshner” และ “Geoffrey Hayes” ในปี 2018 Compound ระดมทุนได้ 8.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัทร่วมทุนที่มีชื่อเสียง ซึ่งได้แก่ Andreessen Horowitz และ Bain Capital Ventures และได้มีการระดมทุนอีก 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019 จากทั้ง 2 บริษัท รวมถึงบริษัทผู้ร่วมทุนรายใหม่อย่าง Paradigm Capital
Market Cap: 1.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Total Supply: 10,000,000 COMP
Total Value Locked (TVL): 6.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หมายเหตุ: ข้อมูล Market Cap, Total Supply และ Total Value Locked (TVL) ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1116 | Finance | Inverted Yield Curve เกิดขึ้นเมื่อไหร่ | null | Inverted Yield Curve เกิดขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว ซึ่งตลาดมองว่าเป็นภาวะที่ผิดปกติ เพราะโดยทั่วไปอัตราผลตอบแทนพันธบัตเมื่อเทียบในระยะต่าง ๆ หรือ Yield Curve ควรจะมีลักษณะที่ชันขึ้น หรือยิ่งซื้อพันธบัตรระยะยาว (ฝากเงินระยะยาว) ก็ควรจะได้ผลตอบแทนมากกว่าการซื้อพันธบัตรระยะสั้น
ในอดีต สัญญาณของ Inverted Yield Curve จะเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ได้ดีในอนาคต และก็เป็นสัญญาณที่ถูกต้องมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่จากมุมมองของ Trader แล้ว ทำสัญญาณอาจยังไม่ได้สร้างความกังวลมากนัก หรืออย่างน้อยหากตลาดจะเกิด Recession ขึ้นจริง ๆ มันยังไม่ใช่เพราะ Inverted Yield Curve เพิ่งเกิดขึ้น แต่อาจเป็นเพราะตัวแปรอื่น ๆ เริ่มแย่ลงไปด้วยต่างหาก
เปรียบเทียบการ “ฝากเงินเข้าธนาคาร” ตามปกติ ถ้าเงินต้องไปฝากอยู่กับธนาคารนาน ๆ ส่วนมากก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เพราะธนาคารสามารถนำเงินไปหมุนหรือลงทุนในระยะยาว ๆ ได้ และก็ต้องถือความเสี่ยงนั้นไว้นาน ว่าธนาคารนั้นจะล้มหายตายจากไปไหนไหม ทำให้โดยธรรมชาติแล้วควรต้องได้ผลตอบแทนที่สูงมากกว่าการฝากเงินแค่ระยะสั้น ๆ นี่คือผลตอบแทนของการฝากเงินในภาวะปกติ
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็เปรียบเทียบได้คล้ายกับ “การฝากเงินเข้าธนาคารของบริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลก” แต่แค่บริษัทใหญ่ ๆ นำเงินไปฝากกับรัฐบาลสหรัฐไว้แทน (ไม่ใช่ธนาคาร) ตามปกติอัตราผลตอบแทนในระยะสั้นก็จะต่ำกว่าระยะยาวเช่นเดียวเหมือนกัน
แต่สิ่งนึงที่ต่างจากธนาคารคือ ผลตอบแทนของ Bond Yield นั้น จะขึ้นลงตามความต้องการซื้อขายของนักลงทุน หากมีคนฝากในระยะไหน ๆ เยอะผลตอบแทนของระยะนั้นก็จะลดลงตามไป ซึ่งก็เปรียบได้เสมือนกับธุรกิจปกติ หากสินค้าไหนมีความต้องการเยอะ ก็จะเพิ่มราคาขึ้น ในขณะเดียวกันสินค้าที่ขายไม่ออก ก็จะลดราคามันลง พันธบัตรรัฐบาลก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการคิดผลตอบแทนดอกเบี้ย หากมีแต่คนอยากซื้อพันธบัตรระยะยาว ราคาหน้าตั๋วของพันธบัตรนั้นก็จะสูงขึ้น หรือในทางกลับกันก็คือ พันธบัตรจะให้ Yield หรือผลตอบแทนที่ลดลง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1117 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง "ธีมการลงทุนของประเทศในเอเชียที่เงินเฟ้อไม่สูง" ให้หน่อยค่ะ | ประเทศเอเชียเงินเฟ้อไม่สูง : ดำเนินนโยบายผ่อนคลายได้ดี โตมีเสถียรภาพ ในจังหวะที่ตลาดปรับตัวลดลง ธีมการลงทุนในประเทศที่เงินเฟ้อไม่สูง ทำให้ธนาคารกลางยังสามารถดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายต่อไปได้ สวนทางกับบางประเทศที่ต้องเปลี่ยนนโยบายเป็นเข้มงวดเนื่องจากเงินเฟ้อที่สูงค้ำคอ และยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ นับเป็นธีมที่น่าสนใจเข้าลงทุน โดยคุณวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) มองว่า มี 3 ประเทศที่โดดเด่นอย่างมาก นั่นก็คือ 1.ประเทศจีน : ที่มีข่าวบวกรออยู่มาก เป็นผลมาจากการประชุมคณะกรรมการความมั่นคงทางการเงิน และการพัฒนาที่อยู่ภายใต้สภาแห่งรัฐของจีน (China’s State Council) เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทางการจีนได้ให้คำมั่นไว้หลายข้อในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน คือ การประกาศว่าจะรักษาเสถียรภาพของตลาดการเงิน ผ่านการกระตุ้นการสื่อสารและการประสานงานระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล ของจีนแผ่นดินใหญ่และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (HKSAR) สนับสนุนการจดทะเบียนหุ้นในต่างประเทศ โดยระบุว่ามีความคืบหน้าเชิงบวกในการเจรจาเกี่ยวกับบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ และเสริมว่าทั้งสองฝ่ายกำลัง เจรจาเพื่อกำหนดแผนความร่วมมือโดยละเอียด1 ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ นับว่าเป็นข่าวเชิงบวกอย่างมาก ทั้งในแง่จิตวิทยาการลงทุน และธุรกิจในประเทศจีน 2.ประเทศเวียดนาม : อีกหนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นทางด้านเศรษฐกิจ โดยเห็นได้จากคาดการณ์ของ IMF ที่ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศเวียดนามในปี 2565 จะขยายตัวได้ 6.6% และธนาคารกลางยังมีแนวโน้มที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี2 ไม่เพียงเท่านี้ เวียดนามยังมีความโดดเด่นในฐานะที่เป็นประเทศที่มีเงินฟ้อต่ำอีกด้วย โดยในเดือนมี.ค. มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.41%3 ขณะเดียวกันเวียดนามยังมีโครงสร้างประชากรวัยแรงงานในสัดส่วนสูง โดยข้อมูลล่าสุดในปี 2020 มีค่าเฉลี่ยอยู่อายุที่ประมาณ 15-64 ปี คิดเป็น 68.94% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งนับเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างดี4 3.ญี่ปุ่น : จัดอยู่ในประเทศพัฒนาแล้วที่มีเงินเฟ้อไม่สูงนัก ทำให้ไม่ถูกกดดันให้ดำเนินนโยบายแบบเข้มงวด และตามสถิติมัก perform ได้ดีในช่วงที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายดอกเบี้ยขาขึ้น5อีกด้วย นอกจากนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 2 สะท้อนได้จากข้อมูลการเดินทางของ Google’s Mobility Trends และข้อมูลการค้นหาร้านอาหารที่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลน่าจะนำมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวอย่าง Go to Travel กลับมาใช้ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ด้วย6 | ธีมการลงทุนของประเทศในเอเชียที่เงินเฟ้อไม่สูง ทำให้ธนาคารกลางสามารถดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งสวนทางกับบางประเทศที่เปลี่ยนนโยบายเนื่องจากเงินเฟ้อสูง โดยมี 3 ประเทศที่โดดเด่นคือ
1. ประเทศจีน มีข่าวเชิงบวกว่าจะรักษาเสถียรภาพตลาดการเงินผ่านการกระตุ้นการสื่อสารและประสานงานระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสนับสนุนการจดทะเบียนหุ้นในต่างประเทศ
2. ประเทศเวียดนาม มีความโดดเด่นในการเป็นประเทศที่มีเงินฟ้อต่ำ มีโครงสร้างประชากรวัยแรงงานในสัดส่วนสูง และมีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 6.6%
3. ประเทศญี่ปุ่น มีเงินเฟ้อไม่สูงนัก ไม่ถูกกดดันให้ดำเนินนโยบายแบบเข้มงวด และเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 2 จากการเพิ่มขึ้นของข้อมูลการเดินทางของ Google’s Mobility Trends และการค้นหาร้านอาหาร | 5.กลยุทธ์การลงทุน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1118 | Finance | จงบอกสินทรัพย์ที่มีการลงทุนในการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Asset Allocation | null | ในการลงทุน ไม่มีสินทรัพย์ใดที่จะให้ผลตอบแทนดีหรือแย่ได้ตลอดไป แต่ละสินทรัพย์มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากน้อยต่างกันตามแต่ละวัฏจักรเศรษฐกิจ และสภาวะตลาดในแต่ละช่วง จึงเป็นที่มาของการจัดพอร์ตลงทุนแบบ “Asset Allocation” หรือกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ เพื่อให้นักลงทุนได้มีส่วนร่วมในหลายสินทรัพย์ถ้าหากตลาดเป็นขาขึ้น และยังสามารถลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้หากตลาดเป็นขาลง
นอกจากการจัด Asset Allocation แล้ว การลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก หากบอกว่ารับความเสี่ยงได้สูง แต่พอเห็น Worst Case แล้วรู้สึกรับไม่ได้ ก็ควรพิจารณาปรับพอร์ตโดยลดสินทรัพย์เสี่ยงลง
ตัวอย่างผลตอบแทนในอดีตของตลาดหุ้นโลกมาทำ Asset Allocation โดยอ้างอิงข้อมูลผลตอบแทนจาก Boyd Wealth Management เป็นข้อมูลผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2006-2020 รวม 15 ปี แบ่งเป็น 3 เคสคือ Worst case ผลตอบแทนปีที่ติดลบมากที่สุด, Base Case ผลตอบแทนเฉลี่ย 15 ปี และ Best Case ผลตอบแทนปีที่บวกมากที่สุด
โดยสินทรัพย์ที่มีการลงทุนในการจัดพอร์ตลงทุนแบบ Asset Allocation มีดังนี้
- U.S. Large Cap อ้างอิงจาก S&P 500 index
- U.S. Mid Cap อ้างอิงจาก S&P MidCap 400 index
- U.S. Small Cap อ้างอิงจาก S&P SmallCap 600 index
- Developed Market อ้างอิงจาก MSCI EAFE index (ไม่รวม USA & Canada)
- Emerging Market อ้างอิงจาก MSCI EM index
- Fixed Income อ้างอิงจาก BBgBarc US Aggregate Bond Index (Investment Grade Bond)
- Real Estate อ้างอิงจาก DJ US Select REIT Index | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_112 | Finance | บอก 3 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนรับ(ทรัพย์)มรดก | null | 1. คุณเป็นทายาทประเภทใด?
โดยทั่วไป จะมีทายาทในการรับมรดกอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ทายาทโดยพินัยกรรม (เจ้ามรดกแสดงเจตนาการส่งต่อทรัพย์สินผ่านการทำพินัยกรรม) และทายาทโดยธรรม (เจ้ามรดกไม่ได้แสดงเจตนาไว้ กฎหมายจึงต้องแบ่งทรัพย์มรดกตามหลักเกณฑ์) ซึ่งทายาทโดยพินัยกรรมจะมีสิทธิเหนือกว่าที่จะได้รับทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมก่อน ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. เจ้ามรดก จดทะเบียนสมรสกับ นาง ข. มีทรัพย์มรดกมูลค่า 50 ล้านบาท คือ เงินฝากธนาคาร 10 ล้านบาท ที่ดิน 40 ล้านบาท โดยนาย ก. ได้ทำพินัยกรรมว่ายกที่ดินให้ นาย ค. (บุตรชายคนเดียว) เมื่อนาย ก. เสียชีวิต ที่ดินมูลค่า 40 ล้านบาท จึงตกเป็นของนาย ค. ส่วนเงินฝากธนาคาร 10 ล้านบาท ไม่ได้ระบุในพินัยกรรม จึงต้องหาลำดับทายาทโดยธรรม ในกรณีนี้ คือ นาง ข. (ภรรยา) และนาย ค. (บุตรชาย) ต้องนำเงินฝากธนาคารมาแบ่งในสัดส่วนที่เท่ากัน คือ คนละ 5 ล้านบาท ดังนั้น ในกรณีนี้ นาย ค. จะได้รับมรดก จากที่ดิน (ตามพินัยกรรม) จำนวน 40 ล้านบาท และ เงินฝาก (ตามการแบ่งด้วยกฎหมาย) อีก 5 ล้านบาท ส่วน นาง ข. จะได้รับส่วนแบ่ง คือ เงินฝาก 5 ล้านบาทเท่านั้น
โดยทั่วไป จะมีทายาทในการรับมรดกอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ทายาทโดยพินัยกรรม (เจ้ามรดกแสดงเจตนาการส่งต่อทรัพย์สินผ่านการทำพินัยกรรม) และทายาทโดยธรรม (เจ้ามรดกไม่ได้แสดงเจตนาไว้ กฎหมายจึงต้องแบ่งทรัพย์มรดกตามหลักเกณฑ์) ซึ่งทายาทโดยพินัยกรรมจะมีสิทธิเหนือกว่าที่จะได้รับทรัพย์มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมก่อน ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. เจ้ามรดก จดทะเบียนสมรสกับ นาง ข. มีทรัพย์มรดกมูลค่า 50 ล้านบาท คือ เงินฝากธนาคาร 10 ล้านบาท ที่ดิน 40 ล้านบาท โดยนาย ก. ได้ทำพินัยกรรมว่ายกที่ดินให้ นาย ค. (บุตรชายคนเดียว) เมื่อนาย ก. เสียชีวิต ที่ดินมูลค่า 40 ล้านบาท จึงตกเป็นของนาย ค. ส่วนเงินฝากธนาคาร 10 ล้านบาท ไม่ได้ระบุในพินัยกรรม จึงต้องหาลำดับทายาทโดยธรรม ในกรณีนี้ คือ นาง ข. (ภรรยา) และนาย ค. (บุตรชาย) ต้องนำเงินฝากธนาคารมาแบ่งในสัดส่วนที่เท่ากัน คือ คนละ 5 ล้านบาท ดังนั้น ในกรณีนี้ นาย ค. จะได้รับมรดก จากที่ดิน (ตามพินัยกรรม) จำนวน 40 ล้านบาท และ เงินฝาก (ตามการแบ่งด้วยกฎหมาย) อีก 5 ล้านบาท ส่วน นาง ข. จะได้รับส่วนแบ่ง คือ เงินฝาก 5 ล้านบาทเท่านั้น
ในฐานะผู้รับมรดก จึงต้องตรวจสอบก่อนลำดับแรกว่า เป็นทายาทแบบใด ระหว่าง ทายาทตามพินัยกรรม หรือ ทายาทโดยธรรม เพื่อทราบสิทธิในการได้รับมรดก อย่างไรก็ตาม การแบ่งทรัพย์มรดกตามกฎหมาย (ทายาทโดยธรรม) ไม่จำเป็นต้องแบ่งตามสัดส่วนก็ได้ หากตกลงแบ่งกันได้ตามข้อตกลงของทายาท ก็ดำเนินการแบ่งได้เลย ในฐานะผู้รับมรดก จึงต้องตรวจสอบก่อนลำดับแรกว่า เป็นทายาทแบบใด ระหว่าง ทายาทตามพินัยกรรม หรือ ทายาทโดยธรรม เพื่อทราบสิทธิในการได้รับมรดก อย่างไรก็ตาม การแบ่งทรัพย์มรดกตามกฎหมาย (ทายาทโดยธรรม) ไม่จำเป็นต้องแบ่งตามสัดส่วนก็ได้ หากตกลงแบ่งกันได้ตามข้อตกลงของทายาท ก็ดำเนินการแบ่งได้เลย
2. สินส่วนตัว และ สินสมรส แยกอย่างไร?
เป็นคำถามสำหรับเจ้ามรดกที่จดทะเบียนสมรส ต้องเข้าใจคำว่า สินส่วนตัว และสินสมรสของเจ้ามรดก เพื่อพิจารณาสิทธิในการได้รับทรัพย์มรดกด้วย โดยเป็นคำถามสำหรับเจ้ามรดกที่จดทะเบียนสมรส ต้องเข้าใจคำว่า สินส่วนตัว และสินสมรสของเจ้ามรดก เพื่อพิจารณาสิทธิในการได้รับทรัพย์มรดกด้วย โดย "สินส่วนตัว" หมายถึง ทรัพย์สินที่ได้มาก่อนจดทะเบียนสมรส หรือ ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส แบ่งเป็นทรัพย์สินที่ใช้ส่วนตัวหรือใช้ประกอบกิจการส่วนตัว และทรัพย์สินที่ได้รับจากมรดก หรือ การให้โดยเสน่หา ในทางปฏิบัติ สินส่วนตัว ส่วนใหญ่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าได้มาก่อนจดทะเบียนสมรส
ในขณะที่ “สินสมรส" หมายถึง ทรัพย์สินที่ได้มา "สินส่วนตัว" หมายถึง ทรัพย์สินที่ได้มาก่อนจดทะเบียนสมรส หรือ ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส แบ่งเป็นทรัพย์สินที่ใช้ส่วนตัวหรือใช้ประกอบกิจการส่วนตัว และทรัพย์สินที่ได้รับจากมรดก หรือ การให้โดยเสน่หา ในทางปฏิบัติ สินส่วนตัว ส่วนใหญ่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าได้มาก่อนจดทะเบียนสมรส ในขณะที่ “สินสมรส" หมายถึง ทรัพย์สินที่ได้มา ระหว่างจดทะเบียนสมรส ซึ่งการแบ่งสินส่วนตัว กับสินสมรส จะมีผลต่อการแบ่งทรัพย์มรดก เนื่องจาก สินสมรส จะต้องถูกแบ่งให้กับคู่สมรสไปก่อน 50% ส่วนที่เหลือ 50% ก็จะต้องนำมารวมกับสินส่วนตัวทั้งหมดของเจ้ามรดก เพื่อนำมาแบ่งปันให้ทายาทกัน
ยกตัวอย่างเช่น คุณปู่ จดทะเบียนสมรสกับ คุณย่า ภายหลังคุณปู่เสียชีวิต โดยมี ที่ดินมูลค่า 5 ล้านบาท เป็นสินส่วนตัว (ได้มาก่อนจดทะเบียนสมรส) และ เงินฝากธนาคาร จำนวน 1 ล้านบาท เป็นสินสมรส (ทำมาหากินร่วมกันมา) ก่อนจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้ทายาท ทรัพย์มรดกของคุณปู่ คือ ที่ดินมูลค่า 5 ล้านบาท และเงินฝากธนาคาร 0.5 ล้านบาท (แบ่งให้คู่สมรสไป 50%) รวมทั้งสิ้น 5.5 ล้านบาท จึงจะนำไปแบ่งปันทายาทต่อไประหว่างจดทะเบียนสมรส ซึ่งการแบ่งสินส่วนตัว กับสินสมรส จะมีผลต่อการแบ่งทรัพย์มรดก เนื่องจาก สินสมรส จะต้องถูกแบ่งให้กับคู่สมรสไปก่อน 50% ส่วนที่เหลือ 50% ก็จะต้องนำมารวมกับสินส่วนตัวทั้งหมดของเจ้ามรดก เพื่อนำมาแบ่งปันให้ทายาทกัน
ยกตัวอย่างเช่น คุณปู่ จดทะเบียนสมรสกับ คุณย่า ภายหลังคุณปู่เสียชีวิต โดยมี ที่ดินมูลค่า 5 ล้านบาท เป็นสินส่วนตัว (ได้มาก่อนจดทะเบียนสมรส) และ เงินฝากธนาคาร จำนวน 1 ล้านบาท เป็นสินสมรส (ทำมาหากินร่วมกันมา) ก่อนจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้ทายาท ทรัพย์มรดกของคุณปู่ คือ ที่ดินมูลค่า 5 ล้านบาท และเงินฝากธนาคาร 0.5 ล้านบาท (แบ่งให้คู่สมรสไป 50%) รวมทั้งสิ้น 5.5 ล้านบาท จึงจะนำไปแบ่งปันทายาทต่อไปในฐานะผู้รับมรดก ไม่ว่าคุณจะเป็นทายาทโดยธรรม หรือ ทายาทโดยพินัยกรรม จะต้องตอบให้ได้ว่า ทรัพย์มรดก มีอยู่เท่าไร ซึ่งผ่านการแบ่งปันตาม สินสมรส หรือ สินส่วนตัว ของเจ้ามรดกก่อน (กรณีเจ้ามรดกจดทะเบียนสมรส) ในฐานะผู้รับมรดก ไม่ว่าคุณจะเป็นทายาทโดยธรรม หรือ ทายาทโดยพินัยกรรม จะต้องตอบให้ได้ว่า ทรัพย์มรดก มีอยู่เท่าไร ซึ่งผ่านการแบ่งปันตาม สินสมรส หรือ สินส่วนตัว ของเจ้ามรดกก่อน (กรณีเจ้ามรดกจดทะเบียนสมรส)
3. ผู้จัดการมรดก จำเป็นต้องมีหรือไม่?
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ต้องทราบหน้าที่ของผู้จัดการมรดกก่อน โดยทั่วไป ผู้จัดการมรดก ทำหน้าที่ รวบรวมทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก เช่น เงินฝาก หุ้น กองทุนรวม ที่ดิน รถยนต์ เป็นต้น ดังนั้น การแต่งตั้งใครเป็นผู้จัดการมรดก จะต้องเลือกบุคคลที่มีความโปร่งใส มีความน่าเชื่อถือจากทายาท ว่าจะจัดการรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดมาเพื่อแบ่งปันได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1120 | Finance | Zilliqa คืออะไร | null | Zilliqa (ซิลิก้า) คือ เครือข่าย Blockchain ที่สามารถใช้ Smart Contract เพื่อสร้าง Decentralised Application (dApp) รวมถึงรองรับ Non-fungible Token (NFT) ซึ่ง Zilliqa เป็นเครือข่ายแรกที่นำเทคโนโลยี Sharding หรือการแบ่งข้อมูลกันประมวลผลภายในบล็อกเชน ทำให้การประมวลผลสามารถเกิดขึ้นได้แบบคู่ขนาน (Parallel processing) จึงเป็นการเพิ่มความเร็วโดยรวมของเครือข่าย
Zilliqa มีเหรียญประจำเครือข่ายก็คือ ZIL ทีใช้ร่วมกับแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นบนเครือข่าย และยังสามารถนำ ZIL ไปล็อก (Stake) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับเครือข่าย และรับรางวัลจากการมีส่วนร่วมเป็นเหรียญ ZIL ได้อีกด้วย
Zilliqa ถูกก่อตั้งในปี 2017 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งคือ Amrit Kumar และ Xinshu Don สองนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore) โดยนอกจากจุดเด่นด้านการเป็นเครือข่ายแบบ Sharding แล้ว Ziliqa ยังถูกออกแบบให้สามารถประมวลผลธุรกรรมที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถขยายขนาดเพื่อรองรับจำนวนธุรกรรมที่จะเพิ่มขึ้นได้
ในช่วงแรกที่เพิ่งก่อตั้ง ทาง Ziliqa มีการทำ ICO ผ่านการเสนอขายเหรียญ ZIL มาตรฐาน ERC-20 บน Ethereum ก่อนที่เครือข่ายหลักของ Zilliqa จะเปิดตัวในเดือนมกราคม ปี 2019 ผู้ถือเหรียญจึงสามารถโอนเหรียญ ZIL ไปยังเครือข่ายหลักได้ | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1121 | Finance | เขียนย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์เกี่ยวกับ “หนึ่งเดียวคนนี้” ของ 3 ธนาคารกลางหลักโลก | null | จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าธนาคารกลางหลักของโลก 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่น ตัดสินใจโหวตการคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ด้วยเสียง 8-1 เหมือนกันในการประชุมสัปดาห์เดียวกัน เมื่อเดือนมีนาคม 2022 โดยธนาคารกลางสหรัฐและธนาคารกลางอังกฤษโหวตเรื่องการขึ้นดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น โหวตเรื่องการคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เป็นสิ่งที่น่าสนใจแล้วแหละค่ะว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินจะไปในทิศทางไหนกันแน่ บล็อกนี้จะมาอธิบายเกี่ยวกับความเห็นของธนาคารกลางหลักของโลกทั้ง 3 แห่งกันค่ะ
บทเรียนจากย่อหน้าแรกของบล็อกโพสต์นี้
เดือนมีนาคม 2022 ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารกลางหลักของโลก 3 แห่ง โหวตด้วยเสียง 8-1 เหมือนกันในการประชุมสัปดาห์เดียวกัน
โดยธนาคารกลาง 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด และ ธนาคารกลางอังกฤษขึ้นดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น ตัดสินใจคงดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ เหมือนเดิม
สิ่งที่น่าสนใจคือ หากจะมองหาว่าธนาคารกลางหลักของโลก จะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินที่ทำอยู่ในตอนนี้ไปในทิศทางใด ช่องทางที่น่าจะดีที่สุดคือการติดตามมุมมองและเหตุผลของเสียงส่วนน้อยแบบ “หนึ่งเดียวคนนี้” สำหรับการโหวตสวนกับเสียงส่วนใหญ่ในธนาคารกลางหลักโลก 3 แห่ง
ธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินโหวตให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 0.75 โดยสมาชิกที่โหวตสวนได้แก่ จอน คันลิฟ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ สาขาเสถียรภาพด้านการเงิน เขาอยากให้คงดอกเบี้ยในครั้งนี้ที่ร้อยละ 0.5 ไปก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าสงครามรัสเซียบุกยูเครนอาจทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษชะลอลงกว่าที่คาดไว้
ธนาคารกลางสหรัฐ “หนึ่งเดียวคนนี้” ที่โหวตสวนทางกับท่านอื่น ซึ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ได้แก่ เจมส์ บูลลาร์ด ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขาเซ็นหลุยส์ ที่คว่ำหวอดในวงการเฟดมานานกว่า 15 ปี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บูลลาร์ดค่อนข้างจะมีเสียงที่โหวตคล้ายกับเสียงส่วนใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ทว่าก็มีในบางครั้งที่จะมีความคิดเห็นเป็นของตนเองอย่างครั้งนี้ ซึ่งเขาถือเป็นสมาชิกเฟดที่ออกความเห็นต่อสาธารณชนค่อนข้างบ่อยอยู่
ธนาคารกลางญี่ปุ่น “หนึ่งเดียวคนนี้” ที่โหวตสวนทางกับท่านอื่น โดยผู้ที่มาโหวตสวนก็ถือเป็นเจ้าประจำของเสียงส่วนน้อย ได้แก่ โกวชิ คาทาโอกะ โดยเขาให้เหตุผลสำหรับการโหวตในครั้งนี้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น ควรจะมีมาตรการด้านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเข้มข้นมากกว่านี้ โดยทำให้อัตราดอกเบี้ย ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับอัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดลงมากกว่านี้อีก เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บริษัทภาคเอกชนญี่ปุ่นหันมาลงทุนในโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติมหลังเหตุการณ์โควิด ในการทำให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเข้าใกล้เป้าหมายที่ร้อยละ 2 | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1128 | Finance | ในสงครามรัสเซีย – ยูเครน วันที่เท่าไร ที่บริษัทชั้นนำมากมายประกาศถอนตัวออกจากประเทศยูเครนชั่วคราว ระหว่าง ในวันที่ 15 ของสงคราม หรือ ในวันที่ 4 ของสงคราม | ในวันที่ 15 ของสงคราม
เพราะในวันที่ 15 ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน บริษัทชั้นนำมากมายประกาศถอนตัวออกจากประเทศยูเครนชั่วคราว เช่น McDonald’s, Starbucks, Coca-Cola, Pepsi และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยปูตินประกาศกร้าวจะแข็งแกร่งขึ้น มาตรการคว่ำบาตรททั้งหลายจะสะท้อนกลับไปหาชาติตะวันตก ต้องเข้าใจก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้หลังโซเวียตล่มสลายรัสเซียก็ถูกคว่ำบาตรมาอย่างต่อเนื่อง แต่รัสเซียก็ยังสามารถยืนได้ ครั้งนี้ปูตินบอกก็จะเป็นเช่นเดิม และจะแข็งแกร่งขึ้นดั่งเดิม ในมุมสงครามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว สงครามกำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยทัพรัสเซียเริ่มปิดล้อมเมืองหลวงอย่างกรุงเคียฟ โดยขบวนทัพรัสเซียยาวกว่า 64 กม. กระจายตัวนอกเมือง เหลือแค่รอสัญญาณการบุกโจมตีเท่านั้น
ส่วนในวันที่ 4 ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน สื่อรายงานถึงการอพยพจากถิ่นฐานถึง 8.5 แสนราย โดยกองทัพรัสเซียกลับขยายอาณานิคมขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่าขบวนพาหนะกองทัพได้เคลื่อนตัวสู่เมืองใหญ่อันดับที่ 2 อย่างคาร์คีฟเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นานนาโต้ ประกาศสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ช่วยเหลือยูเครนตามคำร้องของ ปธน. เซเลนสกี้ มูลค่าราว 8.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทางรัสเซียได้รับความกดดันครั้งใหญ่จากประชาคมโลกจากการคว่ำบาตร นำโดยสหรัฐฯ และชาติตะวันตก ขับธนาคคารใหญ่รัสเซียออกจากระบบการเงินโลก (SWIFT) ซึ่งเป็นสื่อกลางในการโอนเงินระหว่างธนาคาร ยิ่งไปกว่านั้นยุโรป และสมาชิกนาโต้หลายประเทศประกาศสั่งห้ามเที่ยวบินบางเที่ยวจากรัสเซียลงจอด และก็จบลงที่เรื่องน่าเหลือเชื่อ ปูตินสั่งกองกำลังป้องปรามนิวเคลียร์ เตรียมพร้อมในระดับสูงเพื่อตอบโต้นาโต้ (สร้างกระแสการจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 ) | ในวันที่ 15 ของสงคราม เพราะในวันที่ 15 ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน บริษัทชั้นนำมากมายประกาศถอนตัวออกจากประเทศยูเครนชั่วคราว เช่น McDonald’s, Starbucks, Coca-Cola, Pepsi และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยปูตินประกาศกร้าวจะแข็งแกร่งขึ้น มาตรการคว่ำบาตรททั้งหลายจะสะท้อนกลับไปหาชาติตะวันตก ต้องเข้าใจก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้หลังโซเวียตล่มสลายรัสเซียก็ถูกคว่ำบาตรมาอย่างต่อเนื่อง แต่รัสเซียก็ยังสามารถยืนได้ ครั้งนี้ปูตินบอกก็จะเป็นเช่นเดิม และจะแข็งแกร่งขึ้นดั่งเดิม ในมุมสงครามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว สงครามกำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยทัพรัสเซียเริ่มปิดล้อมเมืองหลวงอย่างกรุงเคียฟ โดยขบวนทัพรัสเซียยาวกว่า 64 กม. กระจายตัวนอกเมือง เหลือแค่รอสัญญาณการบุกโจมตีเท่านั้น
ส่วนในวันที่ 4 ของสงครามรัสเซีย – ยูเครน สื่อรายงานถึงการอพยพจากถิ่นฐานถึง 8.5 แสนราย โดยกองทัพรัสเซียกลับขยายอาณานิคมขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่าขบวนพาหนะกองทัพได้เคลื่อนตัวสู่เมืองใหญ่อันดับที่ 2 อย่างคาร์คีฟเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นไม่นานนาโต้ ประกาศสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ช่วยเหลือยูเครนตามคำร้องของ ปธน. เซเลนสกี้ มูลค่าราว 8.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทางรัสเซียได้รับความกดดันครั้งใหญ่จากประชาคมโลกจากการคว่ำบาตร นำโดยสหรัฐฯ และชาติตะวันตก ขับธนาคคารใหญ่รัสเซียออกจากระบบการเงินโลก (SWIFT) ซึ่งเป็นสื่อกลางในการโอนเงินระหว่างธนาคาร ยิ่งไปกว่านั้นยุโรป และสมาชิกนาโต้หลายประเทศประกาศสั่งห้ามเที่ยวบินบางเที่ยวจากรัสเซียลงจอด และก็จบลงที่เรื่องน่าเหลือเชื่อ ปูตินสั่งกองกำลังป้องปรามนิวเคลียร์ เตรียมพร้อมในระดับสูงเพื่อตอบโต้นาโต้ (สร้างกระแสการจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 ) | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1129 | Finance | สงครามยูเครน จีนจะช่วยรัสเซียแค่ไหน | null | ถ้าตัดเรื่องกำลังทหารแล้ว รัสเซียแทบจะไม่ได้มีอะไรที่สู้ตะวันตกได้ โดยเฉพาะการถูกรุม Sanction ทางเศรษฐกิจ การเปิดรับการช่วยเหลือจากจีนเป็นเรื่องค่อนข้างจำเป็น และช่วงที่ผ่านมาทั้ง Xi และ Putin นัดพบปะกันบ่อยครั้ง เพราะถูกตะวันตกหาเรื่องทั้งคู่ โดยเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ตอนนี้เป็นการถูกตัดออกจากระบบ SWIFT ที่กระทบรัสเซียโอนเงินเข้า-ออกประเทศไม่ได้ ซึ่งฝั่งจีนเองมีทางช่วยอย่างการเปิดระบบ Digital Yuan ให้รัสเซียร่วมใช้ หรือการให้เข้าร่วมระบบชำระเงินแบบอื่น ถ้าจีนช่วยเหลือจะเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้เงินหยวนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนต้องการนำมาต่อกรกับ US dollar อยู่แล้ว
กำลังทหารตัดสินปัญหาระดับประเทศเสมอ เพื่อให้เข้าใจความขัดแย้งระหว่างประเทศ เราต้องรู้ก่อนว่าในระดับนานาชาตินั้น กำลังทหารมักถูกนำใช้เพื่อจัดการปัญหา เนื่องจากปัญหาระหว่างประเทศไม่มีศาล ตำรวจ หรือกฎหมาย ที่ชัดเจนเหมือนการปกครองในประเทศ (อันนี้ BottomLiner เสริมให้ว่าศาลโลก ตำรวจโลก เป็นเพียงตัวแทนของชาติตะวันตก ที่มักจะใช้จัดการกับปัญหาเล็ก ๆ เท่านั้น ดูได้เลยว่าความขัดแย้งระดับมหาอำนาจด้วยกันแทบไม่เคยนำเรื่องขึ้นศาลเพราะฝ่ายเสียเปรียบจะไม่ยอมอยู่ดี)
ความขัดแย้งระหว่างประเทศมักเริ่มจากมาตรการทางเศรษฐกิจก่อน เช่น แบนสินค้าคู่แข่ง Sanction ซึ่งถ้ายังลดระดับความขัดแย้งไม่ได้ ส่วนใหญ่มักลงเอยด้วย
สงคราม และผู้ที่มีกำลังทหารเหนือกว่าจะเป็นผู้ชนะและมีสิทธิ์กำหนดว่าผู้แพ้ควรทำอย่างไร
เราเห็นแล้วว่าช่วงที่ผ่านมา Super Sanction ถูกใช้ลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ซึ่งเป็นสัญญานลบว่าอีกไม่นานสงครามจะขยายตัวเกินยูเครน โดยจนถึงตอนนี้ยังไม่มีการตอบโต้จริงจังจากรัสเซีย (นอกจากขู่ยิงนิวเคลียร์) แต่เป็นเรื่องน่ากังวลเพราะเป็นความเสี่ยงที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะลงเอยแบบไหน
ตอนนี้คู่ขัดแย้งทุกประเทศทั้ง สหรัฐ EU รัสเซีย ยูเครน ถูกมัดมือชกกันหมด เพราะสถานการณ์บังคับให้คุณต้องสู้หรือจะประกาศยอมแพ้ แต่ทุกการตัดสินใจมีต้นทุนที่ต้องจ่าย ถ้าเลือกสู้ย่อมแลกด้วยเงินและชีวิตคน ถ้าเลือกยอมแพ้ ศักดิ์ศรีประเทศจะเสียหายหนัก เพราะนานาชาติจับตาดูอยู่
สถานการณ์ความเสี่ยงแบบนี้ทำให้ Ray นึกถึงวิกฤตนิวเคลียร์ Cuba ในปี 1962 ซึ่งรัสเซียพยายามนำหัวรบนิวเคลียร์มาติดตั้งใกล้สหรัฐ ซึ่งในช่วงความตึงเครียดดูราวกับว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีใครยอมใคร แต่สุดท้ายก็เจรจาถอยหลังคนละก้าวกันได้ จึงหวังว่าปัญหายูเครนจะยังพอเหลือพื้นที่เจรจา | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_113 | Finance | ความเสี่ยงใดของการลงทุน DR ที่ระหว่างวันอาจมีข่าวหรือปัจจัยมากระทบ ระหว่าง ความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัท หรือ ความเสี่ยงด้านราคาที่เปลี่ยนแปลงได้แบบ real-time | null | ความเสี่ยงด้านราคาที่เปลี่ยนแปลงได้แบบ real-time เพราะความเสี่ยงด้านราคาที่เปลี่ยนแปลงได้แบบ real-time เป็นความเสี่ยงของการลงทุน DR ที่ระหว่างวันอาจมีข่าวหรือปัจจัยมากระทบ ทำให้ราคาหรือกำไรขาดทุนที่จะได้รับมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิดทำการ ต่างจาการลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่ราคากองทุนเปลี่ยนแปลงวันละ 1 ครั้ง หลังสิ้นวันทำการ
ส่วนความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัท เป็นความเสี่ยงของการลงทุน DR สำหรับ DR ที่อ้างอิงหุ้นบริษัทใดบริษัทหนี่ง ซึ่งราคาตลาดอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ ข่าวสารที่มากระทบ หรือผลประกอบการของบริษัทที่ DR อ้างอิง ตัวอย่างเช่น กรณีที่ Ant Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alibaba ถูกระงับการ IPO จากทางการจีน ด้วยเหตุผลด้านการกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้น Alibaba และ DR BABA80 เป็นต้น
เริ่มต้นอย่างไร เมื่ออยากลงทุน DR
• ผู้ที่มีการลงทุนหุ้นอยู่แล้วสามารถใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในการซื้อขาย DR ได้เหมือนกับหุ้นทั่วไป สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัญชีซื้อชายหุ้น สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ บล.กสิกรไทย ได้ทันทีด้วยแอปพลิเคชัน K PLUS บนมือถือ
• แบ่งเงินลงทุนให้เหมาะสม เนื่องจากการลงทุน DR เป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือดัชนีหุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง แนะนำให้เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนไม่เกิน 10%-20% ของเงินลงทุน
• ติดตามข้อมูลการลงทุนต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ ทั้งแหล่งข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานหรือสำนักข่าวของไทย และแหล่งข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศ เพื่อให้สามารถตัดสินใจซื้อขาย DR ได้ทันกับสถานการณ์
การลงทุนต่างประเทศด้วย DR เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังเริ่มได้รับความนิยมและหลายคนกำลังพูดถึง เพราะเริ่มต้นได้ง่าย เงินลงทุนต่ำ ที่สำคัญซื้อขายได้ราคาแบบ real-time เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนที่มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด
Disclaimer: ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1130 | Finance | กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับภาวะรูปแบบใด ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แลกกับโอกาสกำไรจากราคาที่ลดลง ระหว่าง หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น, ลงทุนสินทรัพย์จริง หรือ กระจายการลงทุนสู่หลายภูมิภาค | null | หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น เพราะกลยุทธ์หุ้นเหมือนบอนด์ บอนด์เหมือนหุ้น ประกอบด้วยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แลกกับโอกาสกำไรจากราคาที่ลดลงเช่น High Yield Credit, AT1, CLO ไปจนถึงหุ้นที่ธุรกิจไม่เติบโตแต่ให้ปันผลสูง สัดส่วนการลงทุนเหมาะสมเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1987 อยู่ที่ราว 30% ของพอร์ต สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการลงทุน Hybrid เหล่านี้คือกับดักมูลค่า (Value Trap) เพราะตอบแทนที่สูง มักเกิดจากสินทรัพย์นี้ความเสี่ยงบางอย่างมากกว่าการลงทุนปรกติ
ส่วนกลยุทธ์ลงทุนสินทรัพย์จริง เป็นการลงทุนที่เด่นในช่วง Stagflation ในอดีต เนื่องจากสินทรัพย์จริง ตอบเงินเฟ้อได้หลายโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบ Demand Pull สินค้าโภคภัณฑ์ก็ถือไว้แก้ปัญหา Cost Push เช่นเดียวกับทองคำและ Digital Asset ก็ใช้หลบเงินเฟ้อจาก Currency Debasement สัดส่วนการลงทุนในภาวะ Stagflation ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในอดีตคือ 30% สินค้าโภคภัณฑ์ 30% ทองและ 40% อสังหาริมทรัพย์
และกลยุทธ์ กระจายการลงทุนสู่หลายภูมิภาค ช่วงที่น่าสนใจคือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงนั้นต้องลงทุน 30% บอนด์ 5% ยุโรป 8% อังกฤษ 19% ญี่ปุ่น 15% ตลาดเกิดใหม่ (EM) และ 23% สหรัฐ เหตุผลหลักคือภาวะเงินเฟ้อมักแตกต่างกันของในแต่ละประเทศ ยิ่งต่างมากเท่าไหร่ การกระจายความเสี่ยงก็จะยิ่งมีประโยชน์ อย่างไรก็ดี สัดส่วนนี้จะไม่เหมือนกันในแต่ละยุคสมัย สำหรับปัจจุบัน GS มองสัดส่วนการลงทุนที่คุ้มที่สุดบน Real Risk/Reward คือ 70% หุ้นญี่ปุ่นและ 30% EM | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1132 | Finance | คำพูดที่ว่า “ล้านแรกได้แล้ว ล้านต่อไปจะง่ายขึ้น” นั้นจริง เพราะเหตุใด | เพราะเงินต้น 1 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับเงินที่ DCA อย่างต่อเนื่อง เป็นต้นทุนเงินก้อนที่นำมาสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้น (compounding) ผลตอบแทนที่ได้จึงเกิดเป็นล้านต่อมาได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการที่เงินต้น 1 ล้าน ไปยัง 10 ล้านบาท ระยะเวลาที่เป็นเงินใกล้ 10 ล้านบาทจะยิ่งเร็วขึ้น เช่น 9 ไป 10 ล้าน จะไวกว่า 1 ไป 2 ล้าน เพราะเงินก้อนได้โตขึ้นแบบ exponential (ยกกำลัง) นั่นเอง
การตั้งเป้าการลงทุนแบบ DCA หรือลงทุนด้วยเงินก้อนสม่ำเสมอทุกเดือน ในพอร์ตหรือสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่คาดหวังได้ 5% ต่อปี จะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะเป็น 1 ล้านแรก?
- เดือนละ 2,000 บาท ใช้เวลา 22.5 ปี
- เดือนละ 5,000 บาท ใช้เวลา 12.1 ปี
- เดือนละ 10,000 บาท ใช้เวลา 7 ปี
- เดือนละ 20,000 บาท ใช้เวลา 3.8 ปี
เมื่อได้ 1 ล้านบาทแรกแล้ว จะนำเงินดังกล่าวไปลงทุน เพื่อให้ได้เติบโตเป็น 2 ล้านบาท (หรือเรียกว่า ล้านที่ 2) ด้วยผลตอบแทนที่คาดหวัง 5% ต่อปี เช่นเดิม จะใช้เวลาแค่ไหนในการสร้างล้านที่ 2 ?
- เดือนละ 2,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 10.3 ปี
- เดือนละ 5,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 7.5 ปี
- เดือนละ 10,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 5.2 ปี
- เดือนละ 20,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 3.2 ปี
จะเห็นได้ว่า การสร้างล้านต่อไปใช้เวลาน้อยลง | คำพูดที่ว่า “ล้านแรกได้แล้ว ล้านต่อไปจะง่ายขึ้น” นั้นจริง เพราะเงินต้น 1 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับเงินที่ DCA อย่างต่อเนื่อง เป็นต้นทุนเงินก้อนที่นำมาสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้น (compounding) ผลตอบแทนที่ได้จึงเกิดเป็นล้านต่อมาได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการที่เงินต้น 1 ล้าน ไปยัง 10 ล้านบาท ระยะเวลาที่เป็นเงินใกล้ 10 ล้านบาทจะยิ่งเร็วขึ้น เช่น 9 ไป 10 ล้าน จะไวกว่า 1 ไป 2 ล้าน เพราะเงินก้อนได้โตขึ้นแบบ exponential (ยกกำลัง) นั่นเอง
การตั้งเป้าการลงทุนแบบ DCA หรือลงทุนด้วยเงินก้อนสม่ำเสมอทุกเดือน ในพอร์ตหรือสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่คาดหวังได้ 5% ต่อปี จะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะเป็น 1 ล้านแรก?
- เดือนละ 2,000 บาท ใช้เวลา 22.5 ปี
- เดือนละ 5,000 บาท ใช้เวลา 12.1 ปี
- เดือนละ 10,000 บาท ใช้เวลา 7 ปี
- เดือนละ 20,000 บาท ใช้เวลา 3.8 ปี
เมื่อได้ 1 ล้านบาทแรกแล้ว จะนำเงินดังกล่าวไปลงทุน เพื่อให้ได้เติบโตเป็น 2 ล้านบาท (หรือเรียกว่า ล้านที่ 2) ด้วยผลตอบแทนที่คาดหวัง 5% ต่อปี เช่นเดิม จะใช้เวลาแค่ไหนในการสร้างล้านที่ 2 ?
- เดือนละ 2,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 10.3 ปี
- เดือนละ 5,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 7.5 ปี
- เดือนละ 10,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 5.2 ปี
- เดือนละ 20,000 บาท เหลือระยะเวลาเป็น 3.2 ปี
จะเห็นได้ว่า การสร้างล้านต่อไปใช้เวลาน้อยลง | 5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1134 | Finance | สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร? และนักลงทุนควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร? | null | สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบหลักๆ มีดังนี้:
1. ราคาพลังงาน: รัสเซียเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก สงครามจะส่งผลให้ราคาพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในหลายภาคส่วน กระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
2. ห่วงโซ่อุปทาน: สงครามจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก เนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์และวัตถุดิบสำคัญ เช่น ข้าวสาลี ปุ๋ย โลหะ ส่งผลให้สินค้าเหล่านี้มีราคาสูงขึ้น และอาจเกิดปัญหาขาดแคลน
3. ตลาดการเงิน: สงครามจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวลง นักลงทุนอาจหันไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล
4. เศรษฐกิจโลก: สงครามจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัว ธนาคารกลางหลายแห่งอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร?
กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป ควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย: ควรลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล เพื่อป้องกันความเสี่ยง
ติดตามข่าวสาร: ควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสงครามอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อรับคำแนะนำในการลงทุนที่เหมาะสม
ผลกระทบต่อภาคการเงิน:
ธนาคารกลางหลายแห่งอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น
ธุรกิจและผู้บริโภคอาจชะลอการลงทุนและการใช้จ่าย ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวัง
ตัวอย่าง:
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 2023 เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากรัสเซียบุกยูเครน
นักลงทุนหันไปลงทุนในทองคำและพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน:
กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง
อดทนและใจเย็น ไม่ควรตื่นตระหนกกับความผันผวนของตลาด
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
สรุป:
สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมือโดยกระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ติดตามข่าวสาร และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1138 | Finance | จะเทรดหุ้นในตลาด Technical Analysis ช่วยการตัดสินใจลงทุนยังไง ? | null | สิ่งที่จะได้จาก Technical Analysis คือ แนวโน้ม เส้นแนวโน้ม เส้นแนวรับ และเส้นแนวต้าน ที่จะเป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจของนักลงทุนว่าจะมีคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายเมื่อใด เท่าใด หรือจะรอไว้ก่อน ประเมินความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ เพราะว่า
แนวโน้ม เป็นทิศทางการการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง เกิดจากความแตกต่างระหว่างความต้องการซื้อหุ้นและความต้องการขายหุ้นของคนใจตลาด ถ้าช่วงใดความต้องการซื้อหุ้นของคนในตลาดมากกว่าความต้องการขายหุ้นจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น แต่ถ้าช่วงใดมีความต้องการขายของคนในตลาดมากว่าความต้องการซื้อราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง
แนวรับ เป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างมากหรือมีคนสนใจซื้อเป็นจำนวนมาก ถ้าความต้องการซื้อมีเข้ามาที่ระดับราคาที่เป็นแนวรับจำนวนมากพอ ก็จะสามารถหยุดไม่ให้ราคาปรับตัวลดต่ำลงไปกว่าระดับราคาแนวรับ และ“อาจจะ”ทำให้ราคาที่กำลังปรับตัวลดลงเกิดการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น โดยการหาแนวรับนิยมหาตอนที่ราคากำลังปรับตัวลดลง
แนวต้าน คือ ระดับราคาที่สูงกว่าราคาปัจจุบัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการขายเข้ามาอย่างมาก หรือมีคนสนใจขายเป็นจำนวนมาก ถ้าความต้องการขายมีเข้ามาจำนวนมากพอจะสามารถหยุดไม่ให้ราคาเพิ่มขึ้นไปมากกว่าระดับราคาที่เป็นแนวต้าน และ“อาจจะ”ทำให้ราคาที่กำลังปรับตัวสูงขึ้นกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยการหาแนวต้านนิยมหาตอนที่ราคากลับปรับตัวสูงขึ้น
Technical Analysis หรือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการศึกษารูปแบบราคาของสินทรัพย์ทางการเงินใดสินทรัพย์หนึ่ง เช่น หุ้น, Forex มีเป้าหมายเพื่ออธิบายว่า เหตุผลของการก่อกำหนดรูปแบบเหล่านั้น ซึ่งนั่นไปสู่การประเมินทิศทางความเป็นไปได้ของราคา หลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่สำคัญ อยู่บางประการที่ทำให้มันมีประโยชน์และสอดคล้องกับการเทรดในปัจจุบัน และพื้นฐานสำคัญซึ่งคุณควรรู้นั้นประกอบไปด้วย
▶ ราคาได้สะท้อนข้อมูลทุกอย่างไว้หมดแล้ว
องค์ประกอบของการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเกิดมาจาก ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ซึ่งอ้างว่าราคาคือตัวแปรที่สะท้อนให้เห็นถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นปัจจัยใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานก็จะต้องปรากฏขึ้นบนกราฟราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับการศึกษาวิจัย หรือแม้แต่การสังเกตดูเหตุการณ์ใด ๆ ที่นอกเหนือจากพฤติกรรมราคาแล้ว ถือว่าไม่มีประโยชน์เลย เนื่องจากข้อมูลเหล่านั้นถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถนำมาใช้ประเมินสถานการณ์ใด ๆ ได้และยังเป็นข้อมูลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพออีกด้วย
▶ ราคาเคลื่อนไหวเป็น Trend (อย่างมีแนวโน้ม)
สำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิคมักจะชอบลักษณะของตลาดที่ตามเทรนด์ ซึ่งเหมือนกับที่ทฤษฎีดาวกล่าวอ้างไว้ ตลาดอาจจะเป็นไปในทิศทางขาขึ้นหรือตลาดกระทิง (Bullish market) โดยมีทั้ง higher high และ higher low ส่วนในภาพรวมนั้นจะเห็นได้ว่าราคามีลักษณะกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ ในกรอบทิศทางขาขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าตลาดมีลักษณะราคาเช่นเดียวกับที่กล่าวข้างต้น แต่เปลี่ยนเป็นกราฟที่มี lower low และ lower high แทนก็จะแสดงให้เห็นสภาวะตลาดขาลงหรือตลาดหมี (Bearish market) นั่นเอง
ส่วนเทรนด์ราคาออกข้างนั้นเรียกว่า Ranging market ซึ่งเป็นลักษณะตลาดที่เทรดเดอร์ที่เทรดตามเทรนด์ไม่ค่อยชอบนัก เนื่องจากช่วงที่ราคามีการพักตัวนั้น เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป Ranging market นั้นหมายถึงว่าแนวโน้มตลาดไม่ได้เป็นไปในทิศทางขาขึ้นหรือขาลงเลย และไม่ปรากฏแนวโน้มว่าทิศทางขาขึ้นหรือทิศทางขาลงจะแข็งแรงกว่ากันเนื่องจากกรอบระยะเวลาที่ราคาเปลี่ยนแปลงไปไม่นานพอที่จะเป็นเทรนด์ได้ ราคาตลาดจะมีช่วงพักตัวอยู่ที่ประมาณ 60% ของเวลาทั้งหมด ทำให้การระบุเทรนด์ตลาดให้ได้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
การวิเคราะห์ทางสถิติของ Forex นั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่า 'ทำไม' จึงเกิดสิ่งนั้น ๆ ขึ้น ยกตัวอย่างเช่น 'ทำไมจึงเกิดเทรนด์' คำถามนี้ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่สมเหตุสมผล แต่กลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเทรดเลยสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เนื่องจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งเน้นข้อมูลด้านตัวเลขไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ สำหรับพวกเขาแล้ว การเกิดขึ้นของเทรนด์เป็นเพียงสิ่งที่พิสูจน์ในเชิงประสบการณ์เท่านั้น
▶ ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอยเสมอ
นักวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างเห็นตรงกันว่านักลงทุนจะมีการลงทุนอย่างเป็นแบบแผน และด้วยพฤติกรรมดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถระบุแบบแผนและสามารถเทรดทำกำไรได้อย่างแม่นยำ เท่าที่ต้องใช้ก็มีเพียงแค่ข้อมูลทางสถิตินิดหน่อย บวกกับการเกิดแบบซ้ำ ๆ ของรูปแบบราคา และเลเวอเรจ
แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตลาดการเงิน อย่างเช่น การวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค Forex จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ก็มีเทรดเดอร์หลาย ๆ คนที่ยังเลือกใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือการวิเคราะห์อารมณ์ตลาด นักวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะมีความเชี่ยวชาญในการระบุเทรนด์ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านปัจจัยพื้นฐานที่แหละที่ก่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นเป็นเทรนด์ได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_114 | Finance | หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่ออะไร | ทำเงินต่อกับ LTF อย่างไร? เมื่อครบกำหนดแต่ยังขาดทุน “
• เราย้ายเงินก้อนLTF ครบกำหนดทั้งหมด ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด และมีนโยบายลงทุนหุ้นไทย เราจะสามารถประหยัดภาษีได้สูงสุด 35% ของเงินลงทุนใหม่(กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย
• หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม แล้วจะได้ไปซื้อ SSF RMF ได้อย่างสบายใจ แต่ก็มีอีกวิธีที่ทำให้เราไม่รู้สึกถึงความต่างในการย้าย LTF นั่นคือการขาย LTF แล้วซื้อ SSFและ/หรือ RMF ภายในวันเดียวกันด้วยเงินก้อนอื่น เช่นผ่านบัตรเครดิต แถมได้ประโยชน์ทางภาษีแบบเต็มๆ
• ขาดทุนอยู่ไม่กล้าย้าย แต่คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ
“ “ • เราย้ายเงินก้อนLTF ครบกำหนดทั้งหมด ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด และมีนโยบายลงทุนหุ้นไทย เราจะสามารถประหยัดภาษีได้สูงสุด 35% ของเงินลงทุนใหม่(กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย • หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม แล้วจะได้ไปซื้อ SSF RMF ได้อย่างสบายใจ แต่ก็มีอีกวิธีที่ทำให้เราไม่รู้สึกถึงความต่างในการย้าย LTF นั่นคือการขาย LTF แล้วซื้อ SSFและ/หรือ RMF ภายในวันเดียวกันด้วยเงินก้อนอื่น เช่นผ่านบัตรเครดิต แถมได้ประโยชน์ทางภาษีแบบเต็มๆ • ขาดทุนอยู่ไม่กล้าย้าย แต่คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ “ ปัจจุบันใครที่ซื้อ LTF ตั้งแต่ปี 2559 - 2560 ก็น่าจะเริ่มครบกำหนดกันไปแล้วตามเกณฑ์ต้องถือ LTF 7 ปีปฏิทิน แต่หลายคนก็ประสบปัญหา LTF ณ วันนี้ยังขาดทุนอยู่ จึงยังไม่อยากขายออก แต่อีกใจก็อยากที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ประโยชน์ ต่อยอดให้มันงอกเงยแบบเห็นผลทันที ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง วันนี้เรามีวิธีที่แค่ขยับเงินก้อนLTF นิดหน่อย ก็เหมือนได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ทันตาเห็น
ย้ายไป SSF และ RMF ประหยัดเงินทันทีสูงสุด 35%
โดยหากเราขาย LTF ที่ยังขาดทุนอยู่ แล้วไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อน เราสามารถนำ SSF และ RMF ทั้งก้อนไปลดหย่อนภาษีได้ทันที ตัวอย่างเช่น เคยซื้อกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล-C ชนิด LTF หรือ KDLTF-C(L)เมื่อปี 2560 ณ จุดที่แพงที่สุดที่ราคา NAV หน่วยละ 21.8908 บาท/หน่วย โดยซื้อ LTF เต็มสิทธิ์ 500,000 บาท ถือ LTF ครบ 7 ปีปฏิทิน โดยราคา NAV ของกองทุน LTF กองนี้ ณ วันที่ 21 ก.ค. 66 อยู่ที่ 15.7496บาท/หน่วย มูลค่าปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 359,731.02 บาท ขาดทุนอยู่ 28.05% ถ้าเราย้ายเงินก้อนนี้ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งหมด เราจะสามารถประหยัดภาษีได้ 125,906 บาทหรือ คิดเป็น 35% ของเงินลงทุนใน SSF และRMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด (กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย แค่ย้ายเงินและรับเงื่อนไข SSF RMF ได้เท่านั้น ซึ่งการที่เราลงทุนแล้วเหมือนได้กำไรทันที 35% แบบนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน
เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อ 7 ปี(ปฏิทิน)ที่แล้ว
500,000 บาท
ฐานภาษีเมื่อ 7 ปี(ปฏิทิน)ที่แล้ว
35%
LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้
175,000 บาท
มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถือยู่ในปัจจุบัน
359,731.02 บาท
ขาดทุนอยู่
-28.05%
ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L)
3.14 บาทต่อหน่วย
ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน
-13.70%
ย้ายไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อนตามเงื่อนไข
359,731.02 บาท
ฐานภาษีปัจจุบัน
35%
ประหยัดภาษีได้
125,906 บาท
กำไรทันที
สูงสุด 35% ของเงินลงทุนก้อนใหม่
เคสนี้ รวมประหยัดภาษีทั้ง 2 รอบไปได้
300,906 บาท ( กำไร 60% ของเงินลงทุน5แสนบาท )
นอกจากนี้ หากใครที่ยังชอบกองทุนเดิมแล้วอยากถือต่อ หรือทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง ก็ใช้วิธีลงทุนกองทุนเดิมต่อได้ เช่นถือ KSET50LTF,KMSLTF อยู่ แล้วอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษีใหม่ ก็มีกองทุนคู่แฝดให้ย้ายไปได้เช่น KS50RMF, KMSRMF ที่เหมือนย้ายเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปกระเป๋าขวา นโยบายการลงทุนเหมือนเดิม แต่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามาเพิ่มเติม
กังวล LTF ติดลบอยู่ ไม่อยากย้าย
หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยบ้านเราปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็รอมาตั้งแต่ปี 2565 หรือประมาณ 1 ปี 7 เดือนแล้ว กองทุน LTF ก็ยังไม่คืนทุนเสียที เสียทั้งเวลารอ เสียทั้งโอกาสที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์อย่างที่เล่าไปข้างต้น ดังนั้นเราจึงจะชวนทุกคนมาตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่ว่าจริงๆแล้วขาดทุนอย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า
1. คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ ตั้งแต่เราถือกองทุนนี้เข้าไปเลย ซึ่งหากเราคำนวณเงินปันผลเข้าไป จากติดลบมาก ก็จะเป็นติดลบน้อย หรืออาจจะกำไรขึ้นมาก็ได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน KDLTF ช่วงที่แพงที่สุดของปี 2560 ที่ราคาหน่วยละ 21.8909 บาทต่อหน่วย ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน โดยปัจจุบันราคา NAV อยู่ที่ 15.6038 ชัดเจนว่าขาดทุนแน่นอน แต่ราคา NAV ที่แสดงยังไม่รวมเงินปันผลที่เราได้รับตั้งแต่ถือกองทุนมาตลอด 7 ปีปฏิทิน ซึ่งหากดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ KAsset จะพบว่าเราได้รับปันผลมาแล้วทั้งสิ้น 3.14 บาทต่อหน่วย หากรวมเข้าไปในราคา NAV จะอยู่ที่ 18.8896บาทต่อหน่วย แม้ขาดทุนอยู่ 13.70% แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าเดิม
มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถือยู่ในปัจจุบัน
359,731.02 บาท
ขาดทุนอยู่
-28.05%
ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L)
3.14 บาทต่อหน่วย
ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน
-13.70%
2. คำนวณสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเงินที่เราได้ใช้สิทธิ์ไปแล้วในอดีต เมื่อนำกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษี หากเราซื้อ KDLTF เต็มสิทธิ์ที่ 500,000 บาท ฐานภาษีของเรา 35% ก็ประหยัดภาษีไปได้แล้วตอนยื่น คิดเป็น 35% ของเงินก้อน LTF 500,000 บาท ปัจจุบันเราขาดทุน NAV อยู่ 14.37% หักลบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กลายเป็นว่าเรากำไรอยู่ประมาณ 20% แล้ว
เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อ 7 ปีที่แล้ว
500,000 บาท
ฐานภาษีเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
35%
LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้
175,000 บาท
ซึ่งหากเราลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้วพบว่า จริงๆแล้วเรากำไรอยู่ หรือไม่ได้ขาดทุนหนัก ตามที่ตัวเลข NAV บังตา เชื่อว่าหลายคนก็จะตัดสินใจในการย้ายเงิน LTF ไปทำประโยชน์อื่นๆได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปซื้อกองทุน SSF RMF ก็อาจต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะ SSF ซื้อได้สูงสุดเพียง 200,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องนำไปซื้อ RMF เพิ่มเติม แต่หากใครที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป การลงทุนใน RMF อย่างเดียว ไม่ลงทุนใน SSF เลย ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะขายคืน RMF ตามเงื่อนไขได้เร็วกว่า การถือ SSF 10 ปีที่ต้องนับแบบ วันชนวัน
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสเข้าซื้อ
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากระดับสูงสุด เกือบๆ 1,700 จุด และเคยปรับลงไปลึกถึงระดับ 1,460 จุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากปัจจัยทั้งเรื่องกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4 ออกมาน่าผิดหวัง ความระมัดระวังในการปล่อย Margin Loan ของบริษัทหลักทรัพย์ การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ความไม่แน่นอนทางการเมือง จนต่างชาติเทขายหุ้นเกือบแสนล้านบาท ซึ่งทาง KAsset มองว่าหากสุดท้ายสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าไทย ตามคาดการณ์รวมทั้งปี 28-30 ล้านคน ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังทันที โดย KAsset มองเป้า SET สิ้นปีไว้ที่ 1,650 ขณะที่ SET ปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 กว่าจุด ดังนั้นจังหวะนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการซื้อหุ้นไทยราคาถูก การรอซื้อ SSF RMF กองทุนหุ้นไทยช่วงปลายปีซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะปรับตัวขึ้นไปแล้ว อาจไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับปีนี้ โดยกองทุนที่ทาง KAsset แนะนำได้แก่ K-STAR-SSF และ KSTARRMF หรือหากใครต้องการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็แนะนำ K-GINCOME-SSF และ KGINCOMERMF
อายุเยอะแล้วไม่อยากเสี่ยง
หลายคนอายุเยอะแล้ว ตัวเลขใกล้ๆ 50 ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงแล้ว ขอแค่ได้เอาเงิน LTF ก้อนเดิมไปลดหย่อนภาษีได้ต่อก็เพียงพอ ดังนั้นทางเลือกการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ชนิด SSF หรือ RMF เช่น K-SF-SSFK-FIXEDPLUS-SSF KGBRMF KFIRMF KSFRMF ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยแนะนำให้พิจารณาเลือก SSF หรือ RMF จากระยะเวลาถือครองกองทุน หากระยะ 10 ที่ต้องถือ SSF เหมาะกับตัวเรามากกว่าให้เลือก SSF แต่ะหาก การต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี และลงจนถึงอายุ 55 ปี เหมาะกับตัวเรามากกว่า ก็ให้เลือก RMF ได้
แต่หากหลายคนมีความเป็นห่วงเรื่องของสุขภาพตัวเอง และห่วงคนข้างหลังที่ต้องดูแล การทำประกันชีวิต และสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการนำ LTF ครบกำหนดในปีที่ผ่านมา และปีถัดๆไป มาบริหารจัดการซื้อประกันให้กับตัวเอง แถมสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทกรณีประกันชีวิตและสุขภาพรวมกัน และ ประกันชีวิตแบบบำนาญลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ซึ่งการทำประกันได้เร็วเท่าไหร่ นอกจากจะสามารถลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังเป็นผลดีต่อผู้ทำประกันเองอีกด้วย ปัจจุบันใครที่ซื้อ LTF ตั้งแต่ปี 2559 - 2560 ก็น่าจะเริ่มครบกำหนดกันไปแล้วตามเกณฑ์ต้องถือ LTF 7 ปีปฏิทิน แต่หลายคนก็ประสบปัญหา LTF ณ วันนี้ยังขาดทุนอยู่ จึงยังไม่อยากขายออก แต่อีกใจก็อยากที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ประโยชน์ ต่อยอดให้มันงอกเงยแบบเห็นผลทันที ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง วันนี้เรามีวิธีที่แค่ขยับเงินก้อนLTF นิดหน่อย ก็เหมือนได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ทันตาเห็น
ย้ายไป SSF และ RMF ประหยัดเงินทันทีสูงสุด 35%
โดยหากเราขาย LTF ที่ยังขาดทุนอยู่ แล้วไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อน เราสามารถนำ SSF และ RMF ทั้งก้อนไปลดหย่อนภาษีได้ทันที ตัวอย่างเช่น เคยซื้อกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล-C ชนิด LTF หรือ KDLTF-C(L)เมื่อปี 2560 ณ จุดที่แพงที่สุดที่ราคา NAV หน่วยละ 21.8908 บาท/หน่วย โดยซื้อ LTF เต็มสิทธิ์ 500,000 บาท ถือ LTF ครบ 7 ปีปฏิทิน โดยราคา NAV ของกองทุน LTF กองนี้ ณ วันที่ 21 ก.ค. 66 อยู่ที่ 15.7496บาท/หน่วย มูลค่าปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 359,731.02 บาท ขาดทุนอยู่ 28.05% ถ้าเราย้ายเงินก้อนนี้ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งหมด เราจะสามารถประหยัดภาษีได้ 125,906 บาทหรือ คิดเป็น 35% ของเงินลงทุนใน SSF และRMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด (กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย แค่ย้ายเงินและรับเงื่อนไข SSF RMF ได้เท่านั้น ซึ่งการที่เราลงทุนแล้วเหมือนได้กำไรทันที 35% แบบนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน
เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อ 7 ปี(ปฏิทิน)ที่แล้ว
500,000 บาท
ฐานภาษีเมื่อ 7 ปี(ปฏิทิน)ที่แล้ว
35%
LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้
175,000 บาท
มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถือยู่ในปัจจุบัน
359,731.02 บาท
ขาดทุนอยู่
-28.05%
ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L)
3.14 บาทต่อหน่วย
ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน
-13.70%
ย้ายไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อนตามเงื่อนไข
359,731.02 บาท
ฐานภาษีปัจจุบัน
35%
ประหยัดภาษีได้
125,906 บาท
กำไรทันที
สูงสุด 35% ของเงินลงทุนก้อนใหม่
เคสนี้ รวมประหยัดภาษีทั้ง 2 รอบไปได้
300,906 บาท ( กำไร 60% ของเงินลงทุน5แสนบาท )
นอกจากนี้ หากใครที่ยังชอบกองทุนเดิมแล้วอยากถือต่อ หรือทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง ก็ใช้วิธีลงทุนกองทุนเดิมต่อได้ เช่นถือ KSET50LTF,KMSLTF อยู่ แล้วอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษีใหม่ ก็มีกองทุนคู่แฝดให้ย้ายไปได้เช่น KS50RMF, KMSRMF ที่เหมือนย้ายเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปกระเป๋าขวา นโยบายการลงทุนเหมือนเดิม แต่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามาเพิ่มเติม
กังวล LTF ติดลบอยู่ ไม่อยากย้าย
หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยบ้านเราปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็รอมาตั้งแต่ปี 2565 หรือประมาณ 1 ปี 7 เดือนแล้ว กองทุน LTF ก็ยังไม่คืนทุนเสียที เสียทั้งเวลารอ เสียทั้งโอกาสที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์อย่างที่เล่าไปข้างต้น ดังนั้นเราจึงจะชวนทุกคนมาตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่ว่าจริงๆแล้วขาดทุนอย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า
1. คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ ตั้งแต่เราถือกองทุนนี้เข้าไปเลย ซึ่งหากเราคำนวณเงินปันผลเข้าไป จากติดลบมาก ก็จะเป็นติดลบน้อย หรืออาจจะกำไรขึ้นมาก็ได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน KDLTF ช่วงที่แพงที่สุดของปี 2560 ที่ราคาหน่วยละ 21.8909 บาทต่อหน่วย ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน โดยปัจจุบันราคา NAV อยู่ที่ 15.6038 ชัดเจนว่าขาดทุนแน่นอน แต่ราคา NAV ที่แสดงยังไม่รวมเงินปันผลที่เราได้รับตั้งแต่ถือกองทุนมาตลอด 7 ปีปฏิทิน ซึ่งหากดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ KAsset จะพบว่าเราได้รับปันผลมาแล้วทั้งสิ้น 3.14 บาทต่อหน่วย หากรวมเข้าไปในราคา NAV จะอยู่ที่ 18.8896บาทต่อหน่วย แม้ขาดทุนอยู่ 13.70% แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าเดิม
มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถือยู่ในปัจจุบัน
359,731.02 บาท
ขาดทุนอยู่
-28.05%
ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L)
3.14 บาทต่อหน่วย
ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน
-13.70%
2. คำนวณสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเงินที่เราได้ใช้สิทธิ์ไปแล้วในอดีต เมื่อนำกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษี หากเราซื้อ KDLTF เต็มสิทธิ์ที่ 500,000 บาท ฐานภาษีของเรา 35% ก็ประหยัดภาษีไปได้แล้วตอนยื่น คิดเป็น 35% ของเงินก้อน LTF 500,000 บาท ปัจจุบันเราขาดทุน NAV อยู่ 14.37% หักลบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กลายเป็นว่าเรากำไรอยู่ประมาณ 20% แล้ว
เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อ 7 ปีที่แล้ว
500,000 บาท
ฐานภาษีเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
35%
LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้
175,000 บาท
ซึ่งหากเราลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้วพบว่า จริงๆแล้วเรากำไรอยู่ หรือไม่ได้ขาดทุนหนัก ตามที่ตัวเลข NAV บังตา เชื่อว่าหลายคนก็จะตัดสินใจในการย้ายเงิน LTF ไปทำประโยชน์อื่นๆได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปซื้อกองทุน SSF RMF ก็อาจต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะ SSF ซื้อได้สูงสุดเพียง 200,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องนำไปซื้อ RMF เพิ่มเติม แต่หากใครที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป การลงทุนใน RMF อย่างเดียว ไม่ลงทุนใน SSF เลย ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะขายคืน RMF ตามเงื่อนไขได้เร็วกว่า การถือ SSF 10 ปีที่ต้องนับแบบ วันชนวัน
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสเข้าซื้อ
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากระดับสูงสุด เกือบๆ 1,700 จุด และเคยปรับลงไปลึกถึงระดับ 1,460 จุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากปัจจัยทั้งเรื่องกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4 ออกมาน่าผิดหวัง ความระมัดระวังในการปล่อย Margin Loan ของบริษัทหลักทรัพย์ การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ความไม่แน่นอนทางการเมือง จนต่างชาติเทขายหุ้นเกือบแสนล้านบาท ซึ่งทาง KAsset มองว่าหากสุดท้ายสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าไทย ตามคาดการณ์รวมทั้งปี 28-30 ล้านคน ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังทันที โดย KAsset มองเป้า SET สิ้นปีไว้ที่ 1,650 ขณะที่ SET ปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 กว่าจุด ดังนั้นจังหวะนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการซื้อหุ้นไทยราคาถูก การรอซื้อ SSF RMF กองทุนหุ้นไทยช่วงปลายปีซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะปรับตัวขึ้นไปแล้ว อาจไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับปีนี้ โดยกองทุนที่ทาง KAsset แนะนำได้แก่ K-STAR-SSF และ KSTARRMF หรือหากใครต้องการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็แนะนำ K-GINCOME-SSF และ KGINCOMERMF
อายุเยอะแล้วไม่อยากเสี่ยง
หลายคนอายุเยอะแล้ว ตัวเลขใกล้ๆ 50 ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงแล้ว ขอแค่ได้เอาเงิน LTF ก้อนเดิมไปลดหย่อนภาษีได้ต่อก็เพียงพอ ดังนั้นทางเลือกการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ชนิด SSF หรือ RMF เช่น K-SF-SSFK-FIXEDPLUS-SSF KGBRMF KFIRMF KSFRMF ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยแนะนำให้พิจารณาเลือก SSF หรือ RMF จากระยะเวลาถือครองกองทุน หากระยะ 10 ที่ต้องถือ SSF เหมาะกับตัวเรามากกว่าให้เลือก SSF แต่ะหาก การต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี และลงจนถึงอายุ 55 ปี เหมาะกับตัวเรามากกว่า ก็ให้เลือก RMF ได้
แต่หากหลายคนมีความเป็นห่วงเรื่องของสุขภาพตัวเอง และห่วงคนข้างหลังที่ต้องดูแล การทำประกันชีวิต และสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการนำ LTF ครบกำหนดในปีที่ผ่านมา และปีถัดๆไป มาบริหารจัดการซื้อประกันให้กับตัวเอง แถมสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทกรณีประกันชีวิตและสุขภาพรวมกัน และ ประกันชีวิตแบบบำนาญลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ซึ่งการทำประกันได้เร็วเท่าไหร่ นอกจากจะสามารถลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังเป็นผลดีต่อผู้ทำประกันเองอีกด้วย ปัจจุบันใครที่ซื้อ LTF ตั้งแต่ปี 2559 - 2560 ก็น่าจะเริ่มครบกำหนดกันไปแล้วตามเกณฑ์ต้องถือ LTF 7 ปีปฏิทิน แต่หลายคนก็ประสบปัญหา LTF ณ วันนี้ยังขาดทุนอยู่ จึงยังไม่อยากขายออก แต่อีกใจก็อยากที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปใช้ประโยชน์ ต่อยอดให้มันงอกเงยแบบเห็นผลทันที ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง วันนี้เรามีวิธีที่แค่ขยับเงินก้อนLTF นิดหน่อย ก็เหมือนได้ผลตอบแทนก้อนใหญ่ทันตาเห็น ย้ายไป SSF และ RMF ประหยัดเงินทันทีสูงสุด 35% ย้ายไป SSF และ RMF ประหยัดเงินทันทีสูงสุด 35% โดยหากเราขาย LTF ที่ยังขาดทุนอยู่ แล้วไปซื้อ SSF และ RMF ทั้งก้อน เราสามารถนำ SSF และ RMF ทั้งก้อนไปลดหย่อนภาษีได้ทันที ตัวอย่างเช่น เคยซื้อกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล-C ชนิด LTF หรือ KDLTF-C(L)เมื่อปี 2560 ณ จุดที่แพงที่สุดที่ราคา NAV หน่วยละ 21.8908 บาท/หน่วย โดยซื้อ LTF เต็มสิทธิ์ 500,000 บาท ถือ LTF ครบ 7 ปีปฏิทิน โดยราคา NAV ของกองทุน LTF กองนี้ ณ วันที่ 21 ก.ค. 66 อยู่ที่ 15.7496บาท/หน่วย มูลค่าปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 359,731.02 บาท ขาดทุนอยู่ 28.05% ถ้าเราย้ายเงินก้อนนี้ไปซื้อ SSF และ RMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งหมด เราจะสามารถประหยัดภาษีได้ 125,906 บาทหรือ คิดเป็น 35% ของเงินลงทุนใน SSF และRMF ตามเงื่อนไขที่กำหนด (กรณีผู้ซื้อมีรายได้ฐานภาษี 35%) โดยที่เราได้กำไรแบบไม่ต้องเสียอะไรเลย แค่ย้ายเงินและรับเงื่อนไข SSF RMF ได้เท่านั้น ซึ่งการที่เราลงทุนแล้วเหมือนได้กำไรทันที 35% แบบนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน นอกจากนี้ หากใครที่ยังชอบกองทุนเดิมแล้วอยากถือต่อ หรือทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง ก็ใช้วิธีลงทุนกองทุนเดิมต่อได้ เช่นถือ KSET50LTF,KMSLTF อยู่ แล้วอยากได้สิทธิลดหย่อนภาษีใหม่ ก็มีกองทุนคู่แฝดให้ย้ายไปได้เช่น KS50RMF, KMSRMF ที่เหมือนย้ายเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปกระเป๋าขวา นโยบายการลงทุนเหมือนเดิม แต่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามาเพิ่มเติม กังวล LTF ติดลบอยู่ ไม่อยากย้าย กังวล LTF ติดลบอยู่ ไม่อยากย้าย หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยบ้านเราปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็รอมาตั้งแต่ปี 2565 หรือประมาณ 1 ปี 7 เดือนแล้ว กองทุน LTF ก็ยังไม่คืนทุนเสียที เสียทั้งเวลารอ เสียทั้งโอกาสที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์อย่างที่เล่าไปข้างต้น ดังนั้นเราจึงจะชวนทุกคนมาตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่ว่าจริงๆแล้วขาดทุนอย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า 1. คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่เราถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆแล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เราเห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ ตั้งแต่เราถือกองทุนนี้เข้าไปเลย ซึ่งหากเราคำนวณเงินปันผลเข้าไป จากติดลบมาก ก็จะเป็นติดลบน้อย หรืออาจจะกำไรขึ้นมาก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน KDLTF ช่วงที่แพงที่สุดของปี 2560 ที่ราคาหน่วยละ 21.8909 บาทต่อหน่วย ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน โดยปัจจุบันราคา NAV อยู่ที่ 15.6038 ชัดเจนว่าขาดทุนแน่นอน แต่ราคา NAV ที่แสดงยังไม่รวมเงินปันผลที่เราได้รับตั้งแต่ถือกองทุนมาตลอด 7 ปีปฏิทิน ซึ่งหากดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ KAsset จะพบว่าเราได้รับปันผลมาแล้วทั้งสิ้น 3.14 บาทต่อหน่วย หากรวมเข้าไปในราคา NAV จะอยู่ที่ 18.8896บาทต่อหน่วย แม้ขาดทุนอยู่ 13.70% แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าเดิม 2. คำนวณสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเงินที่เราได้ใช้สิทธิ์ไปแล้วในอดีต เมื่อนำกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษี หากเราซื้อ KDLTF เต็มสิทธิ์ที่ 500,000 บาท ฐานภาษีของเรา 35% ก็ประหยัดภาษีไปได้แล้วตอนยื่น คิดเป็น 35% ของเงินก้อน LTF 500,000 บาท ปัจจุบันเราขาดทุน NAV อยู่ 14.37% หักลบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กลายเป็นว่าเรากำไรอยู่ประมาณ 20% แล้ว ซึ่งหากเราลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้วพบว่า จริงๆแล้วเรากำไรอยู่ หรือไม่ได้ขาดทุนหนัก ตามที่ตัวเลข NAV บังตา เชื่อว่าหลายคนก็จะตัดสินใจในการย้ายเงิน LTF ไปทำประโยชน์อื่นๆได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปซื้อกองทุน SSF RMF ก็อาจต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะ SSF ซื้อได้สูงสุดเพียง 200,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องนำไปซื้อ RMF เพิ่มเติม แต่หากใครที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป การลงทุนใน RMF อย่างเดียว ไม่ลงทุนใน SSF เลย ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะขายคืน RMF ตามเงื่อนไขได้เร็วกว่า การถือ SSF 10 ปีที่ต้องนับแบบ วันชนวัน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสเข้าซื้อ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรอบนี้ เป็นโอกาสเข้าซื้อ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากระดับสูงสุด เกือบๆ 1,700 จุด และเคยปรับลงไปลึกถึงระดับ 1,460 จุด ต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากปัจจัยทั้งเรื่องกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4 ออกมาน่าผิดหวัง ความระมัดระวังในการปล่อย Margin Loan ของบริษัทหลักทรัพย์ การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ความไม่แน่นอนทางการเมือง จนต่างชาติเทขายหุ้นเกือบแสนล้านบาท ซึ่งทาง KAsset มองว่าหากสุดท้ายสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้าไทย ตามคาดการณ์รวมทั้งปี 28-30 ล้านคน ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังทันที โดย KAsset มองเป้า SET สิ้นปีไว้ที่ 1,650 ขณะที่ SET ปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 กว่าจุด ดังนั้นจังหวะนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการซื้อหุ้นไทยราคาถูก การรอซื้อ SSF RMF กองทุนหุ้นไทยช่วงปลายปีซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะปรับตัวขึ้นไปแล้ว อาจไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับปีนี้ โดยกองทุนที่ทาง KAsset แนะนำได้แก่ K-STAR-SSF และ KSTARRMF หรือหากใครต้องการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็แนะนำ K-GINCOME-SSF และ KGINCOMERMF อายุเยอะแล้วไม่อยากเสี่ยง อายุเยอะแล้วไม่อยากเสี่ยง หลายคนอายุเยอะแล้ว ตัวเลขใกล้ๆ 50 ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงแล้ว ขอแค่ได้เอาเงิน LTF ก้อนเดิมไปลดหย่อนภาษีได้ต่อก็เพียงพอ ดังนั้นทางเลือกการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ชนิด SSF หรือ RMF เช่น K-SF-SSFK-FIXEDPLUS-SSF KGBRMF KFIRMF KSFRMF ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยแนะนำให้พิจารณาเลือก SSF หรือ RMF จากระยะเวลาถือครองกองทุน หากระยะ 10 ที่ต้องถือ SSF เหมาะกับตัวเรามากกว่าให้เลือก SSF แต่ะหาก การต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปี และลงจนถึงอายุ 55 ปี เหมาะกับตัวเรามากกว่า ก็ให้เลือก RMF ได้ แต่หากหลายคนมีความเป็นห่วงเรื่องของสุขภาพตัวเอง และห่วงคนข้างหลังที่ต้องดูแล การทำประกันชีวิต และสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการนำ LTF ครบกำหนดในปีที่ผ่านมา และปีถัดๆไป มาบริหารจัดการซื้อประกันให้กับตัวเอง แถมสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทกรณีประกันชีวิตและสุขภาพรวมกัน และ ประกันชีวิตแบบบำนาญลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ซึ่งการทำประกันได้เร็วเท่าไหร่ นอกจากจะสามารถลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังเป็นผลดีต่อผู้ทำประกันเองอีกด้วย บทความโดย K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT K WEALTH Trainer มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT | หลายคนเลือกที่จะรอให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก่อน เพื่อดันให้กองทุน LTF ที่ถืออยู่ปรับขึ้นตาม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็รอมาตั้งแต่ปี 2565 หรือประมาณ 1 ปี 7 เดือนแล้ว กองทุน LTF ก็ยังไม่คืนทุนเสียที เสียทั้งเวลารอ เสียทั้งโอกาสที่จะนำเงินไปใช้ประโยชน์ ดังนั้น จึงจะชวนทุกคนมาตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่ว่าจริงๆ แล้วขาดทุนอย่างที่ตาเห็นหรือเปล่า
1. คำนวณปันผลเข้าไปแล้วหรือยัง หลายครั้งกองทุน LTF ที่ถืออยู่ดูเหมือนติดลบเยอะ แต่จริงๆ แล้วกองทุนเหล่านั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ราคา NAV ที่แสดงให้เห็น ยังไม่ได้รวมเงินปันผลที่ได้รับ ตั้งแต่ถือกองทุนนี้เข้าไปเลย ซึ่งหากคำนวณเงินปันผลเข้าไป จากติดลบมาก ก็จะเป็นติดลบน้อย หรืออาจจะกำไรขึ้นมาก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ซื้อกองทุน KDLTF ช่วงที่แพงที่สุดของปี 2560 ที่ราคาหน่วยละ 21.8909 บาทต่อหน่วย ถือมาครบ 7 ปีปฏิทิน โดยราคา NAV อยู่ที่ 15.6038 ชัดเจนว่าขาดทุนแน่นอน แต่ราคา NAV ที่แสดงยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับตั้งแต่ถือกองทุนมาตลอด 7 ปีปฏิทิน ซึ่งหากดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ KAsset จะพบว่าได้รับปันผลมาแล้วทั้งสิ้น 3.14 บาทต่อหน่วย หากรวมเข้าไปในราคา NAV จะอยู่ที่ 18.8896 บาทต่อหน่วย แม้ขาดทุนอยู่ 13.70% แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าเดิม
- มูลค่ากองทุน KDLTF-C(L) ที่ถืออยู่ 359,731.02 บาท
- ขาดทุนอยู่ -28.05%
- ปันผลที่ได้รับตลอดการถือ KDLTF-C(L) 3.14 บาทต่อหน่วย
- ผลขาดทุนรวมปันผลที่ได้รับ จะขาดทุน -13.70%
2. คำนวณสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับเข้าไปแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเงินที่ได้ใช้สิทธิ์ไปแล้วในอดีต เมื่อนำกองทุน LTF ไปลดหย่อนภาษี หากซื้อ KDLTF เต็มสิทธิ์ที่ 500,000 บาท ฐานภาษี 35% ก็ประหยัดภาษีไปได้แล้วตอนยื่น คิดเป็น 35% ของเงินก้อน LTF 500,000 บาท ปัจจุบันขาดทุน NAV อยู่ 14.37% หักลบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กลายเป็นว่ากำไรอยู่ประมาณ 20% แล้ว
- เงินลงทุนใน KDLTF-C(L) เมื่อปี 2559 500,000 บาท
- ฐานภาษีเมื่อ 7 ปีที่แล้ว 35%
- LTF ทำให้ประหยัดภาษีได้ 175,000 บาท
ซึ่งหากลองตรวจสอบข้อมูลดูแล้วพบว่า จริงๆ แล้วกำไรอยู่ หรือไม่ได้ขาดทุนหนัก ตามที่ตัวเลข NAV บังตา เชื่อว่าหลายคนก็จะตัดสินใจในการย้ายเงิน LTF ไปทำประโยชน์อื่นๆ ได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการนำไปซื้อกองทุน SSF RMF ก็อาจต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะ SSF ซื้อได้สูงสุดเพียง 200,000 บาท ส่วนที่เหลือต้องนำไปซื้อ RMF เพิ่มเติม แต่หากใครที่อายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป การลงทุนใน RMF อย่างเดียว ไม่ลงทุนใน SSF เลย ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะขายคืน RMF ตามเงื่อนไขได้เร็วกว่า การถือ SSF 10 ปีที่ต้องนับแบบวันชนวัน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1143 | Finance | จงเสนอ 3 กลยุทธ์ จัดการแผนการลงทุนที่สามารถนำมาใช้ในช่วงสภาวะผันผวนของเศรษฐกิจ | null | กลยุทธ์ที่ 1 การ Selling out
Selling Out เป็นกลยุทธ์ที่นับว่าเพลย์เซฟที่สุด คือการขายสินทรัพย์การลงทุนที่มีแนวโน้มว่าจะเข้าสู่ช่วงขาลง โดยเปลี่ยนสถานะมาถือเงินสด หรือตราสารหนี้อายุสั้นอย่างตั๋วเงินคลังเอาไว้แทน เพื่อรอจังหวะกลับเข้าไปซื้อสินทรัพย์ลงทุนในช่วงที่ตลาดฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นข้อจำกัดนั่นคือนักลงทุนส่วนใหญ่ หรือจะเรียกว่านักลงทุนทุกท่านเลยก็ว่าได้ ก็คงไม่มีใครที่รู้จังหวะเวลาที่เหมาะสมได้แน่ชัด สามารถขายและเข้าซื้อในเวลาที่ถูกต้องแม่นยำได้ทุกครั้งนั่นเอง
กลยุทธ์ที่ 2 ย้ายมาถือสินทรัพย์ลงทุนที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ของตลาด
โดยทั่วไปแล้วมักได้แก่ หุ้น Defensive stocks หรือหุ้นที่ทนทานต่อทุกสภาวะตลาด เช่น หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
โดยพิจารณาประกอบกับงบการเงินของธุรกิจว่ามีความมั่นคง ภาระหนี้น้อย มีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ หรือลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างทองคำและน้ำมัน เป็นต้น
หรืออีกรูปแบบการลงทุนหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ถูกสร้างเพื่อให้เกิดโอกาสทำกำไรช่วงขาลงโดยเฉพาะ นั่นคือการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ เช่น การขายฟิวเจอร์ส (Short Futures) ซื้อพุทออปชัน (Long Put Options) หรือขายคอลออปชัน (Short Call Options)
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของกลยุทธ์นี้นั่นคือ อาจไม่ใช่ผู้ลงทุนทุกคนที่มีความเข้าใจในธุรกิจ สินทรัพย์การลงทุน และเครื่องมือการลงทุนที่อาศัยองค์ความรู้ที่เฉพาะเจาะจงเช่นนี้ และการลงทุนในสิ่งที่ไม่มีความรู้ก็เป็นอีกความเสี่ยงการลงทุนที่น่ากลัวที่สุดเช่นกัน
กลยุทธ์ที่ 3 คือการออกไปช้อปปิ้งเพิ่ม
ในแง่หนึ่งการเกิดวิกฤติย่อมมีโอกาส อย่างสถานการณ์ที่ตลาดการลงทุนอยู่ในช่วงขาลงก็อาจเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ซื้อสินทรัพย์ลงทุนที่สนใจในราคาที่ถูกลง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรทำการบ้านคือการศึกษาสินทรัพย์ที่จะเข้าซื้อเพิ่มว่ายังมีโอกาสในการเติบโตหลังจากผ่านพ้นวิกฤติจริงหรือไม่
ตัวอย่างปัจจัยที่ใช้สังเกตศักยภาพของหุ้นที่น่าซื้อเก็บในช่วงวิกฤติก็อย่างเช่น มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ชัดเจน พื้นฐานของธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง อัตราส่วน P/E Ratio และราคาหุ้นร่วงลงเยอะเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และมีปัจจัยในระดับมหภาคสนับสนุน เช่น เป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐหรือความร่วมมือระหว่างประเทศ
หรือแม้กระทั่งพอร์ตการลงทุนเดิมของเรา ถ้าหากยังคงมองเห็นว่าพื้นฐานของสินทรัพย์การลงทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง และมีแนวโน้มเติบโตตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้ ก็ใช้วิธีทยอยช้อปปิ้งด้วยการ DCA อย่างต่อเนื่องตามแผนเดิมก็ได้เช่นกัน
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะกลยุทธ์ไหนก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น แต่การที่เราจะกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเองได้ ก็คงต้องเริ่มจากความเข้าใจเป้าหมายการลงทุน และการรับความเสี่ยงการลงทุนของตัวเองให้ได้ก่อน เพราะผู้ลงทุนแต่ละคนก็จะมีแผนการลงทุนที่แตกต่างกันตามสถานการณ์ เงื่อนไขและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเลือกกลยุทธ์ไหนก็ไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่แผนการลงทุนส่วนตัวของตัวแต่ละคนที่ต้องดูแลให้ผ่านพ้นวิกฤติไปให้ได้ก็เท่านั้น | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1146 | Finance | Blockchain คืออะไร | null | “บล็อกเชน” (Blockchain) เป็นเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการเข้ารหัสคอมพิวเตอร์ โดยจะบันทึกข้อมูลลงในกล่อง (Block) และนำมาต่อกันเรื่อย ๆ เหมือนสายโซ่ (Chain) ซึ่งจะไม่สามารถย้อนกลับได้ ทำให้ยากต่อการปลอมแปลง แก้ไข หรือทำลายข้อมูล
บล็อกเชนจะประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบ “กระจายศูนย์” (Distributed Ledger Technology: DLT) ที่ปราศจากการควบคุมโดยตัวกลางอย่างธนาคารหรือรัฐบาล ทำให้ธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชนจึงมีความปลอดภัย โปร่งใส และน่าเชื่อถือ
ประโยชน์ของ Blockchain
- มีความโปร่งใสมากขึ้น
- มีความปลอดภัยขั้นสูง
- สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทันที
- เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว
- ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม
เทคโนโลยี “Blockchain” ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เกิดสินค้าและบริการในรูปแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก
เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังอยู่ในช่วงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจบล็อกเชนจะอยู่ที่ 57% ต่อปี ระหว่างปี 2021-2026 และเติบโตที่ 72% ต่อปี ระหว่างปี 2026-2030 พร้อมคาดว่ามูลค่าของธุรกิจบล็อกเชนทั่วโลกจะแตะ 3.16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2030 | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1147 | Finance | สินทรัพย์ที่มองโลกในแง่ดีเสมอคืออะไร ระหว่าง หุ้น หรือ บอนด์ | null | หุ้น เพราะสินทรัพย์ที่มองโลกในแง่ดีเสมอคือ หุ้น ที่กำลัง “หวัง” ว่าอนาคตจะมีแต่ข่าวดี เห็นได้ชัดจากดัชนี Russell 2000 ที่ปรับตัวขึ้นถึง 3.8% ในช่วงเดือน ก.พ. 65 ชนะ S&P500 และ MSCI World Index ได้ ขณะที่ดัชนี MSCI ACWI IMI Genomic Innovation บวกมากที่สุดในกลุ่มธีมอนาคตถึง 5.8% เหตุผลหลักที่ธีมเหล่านี้ชนะตลาด แน่นอนว่าไม่ได้มาจากกำไรหรือแนวโน้มธุรกิจที่ดีขึ้นจากสงคราม แต่ตลาดกำลัง “หวัง” ว่าถ้าสงครามจบ เศรษฐกิจจะกลับสู่โหมด Recovery ความผันผวนจะลดลง สินทรัพย์ที่ปรับตัวลงมาก ก็ควรฟื้นตัวมากที่สุด
ส่วนบอนด์ เป็นสินทรัพย์ที่มองโลกในแง่ร้ายและกำลังกลัวว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย บอนด์ยีลด์สหรัฐระยะกลาง (5 ปี) ปรับตัวสูงขึ้นมาเท่ากับยีลด์ระยะยาว (10 ปี) ที่ 2.15% ส่วนยีลด์ระยะสั้น (2 ปี) ก็จ่ออยู่เหนือระดับ 1.90% แค่เฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเดียวก็อาจเกิด Inverted Yield Curve เป็นสัญญาณเตือนว่า Recession กำลังใกล้เข้ามา เปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่น บอนด์ดูจะไม่ได้คิดซับซ้อน และเลือกมองนโยบายการเงินมากกว่าเหตุผลอื่น แต่ในทางกลับกัน มุมมองของบอนด์ ดูจะ “กลัว” การลงทุนมากผิดปรกติ เพราะในอดีตตั้งแต่ปี 1955 มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 13 รอบ มีเพียงรอบเดียวที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามมาภายใน 11 เดือนคือช่วงปี 1980 ที่มีการขึ้นดอกเบี้ยจาก 9.5% ไปถึง 20% ขณะที่โดยเฉลี่ยต้องรอกว่า 37 เดือนหลังการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก จึงจะเห็นเศรษฐกิจถดถอยตามมา | 5.ความรู้ทางการเงิน | Classification | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1149 | Finance | เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ การลงทุนในกองทุนหุ้นจีน ควรจะลงทุนแบบใด | null | การลงทุนในกองทุนหุ้นจีน ควรจะลงทุนแบบใด ถึงจะดีที่สุด การลงทุนในกองทุนหุ้นจีนมีแนวทางให้เลือกอยู่ 3 แนวทาง แนวทางแรกเป็นการลงทุนด้วยเส้น Moving Average วิธีการก็คือ สามารถกำหนดกลยุทธ์ได้โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ย แต่ผลตอบแทนจะแพ้ดัชนีโลกแบบ ACWI แนวทางที่ 2 เป็นการใช้กลยุทธ์แบบ Core-satellite โดยกองทุนหุ้นจีนเป็น Satellite ผลตอบแทนที่ออกมาจะดีกว่า ACWI และมีความผันผวนน้อยกว่าด้วย และแนวทางสุดท้าย คือ Buy on Dip ซื้อตอนราคาลงลึก มีวิธีการคือ จะต้องดูจังหวะเอง ถ้าหุ้นลงไปลึกและกลับตัว ก็ทยอยซื้อ แต่มีข้อเสียคือ เป็นวิธีที่เสี่ยง เพราะถ้าไม่แม่นก็อาจไม่ได้ผล ดังนั้นเมื่อดูจากภาพรวมของทั้ง 3 แนวทางแล้ว การใช้กลยุทธ์แบบ Core-satellite น่าจะได้ผลที่ดีที่สุด
บทเรียนจากย่อหน้านี้
3 แนวทาง การลงทุนในกองทุนหุ้นจีน ควรลงทุนแบบใด ถึงจะดีที่สุด
1. ลงทุนด้วยเส้น Moving Average
สามารถกำหนดกลยุทธ์โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ย อย่างง่ายดังนี้
ถ้า Price > EMA (200 วัน) ให้ซื้อ ถ้า Price < EMA(200 วัน) ให้ขาย
ถ้าใช้ค่า EMA 200 วัน กับกองทุนหุ้นจีนจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นประมาณ 2 เท่า และที่สำคัญ นักลงทุนจะไม่เจอ Max Drawdown สูงมาก อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนก็ยังแพ้ดัชนีโลกแบบ ACWI อยู่ดี
2. ใช้กลยุทธ์แบบ Core-satellite โดยกองทุนหุ้นจีนเป็น Satellite
Core เป็น ACWI อยู่ที่ 60% และ Satellite เป็น MCHI อยู่ที่ 40% โดยจะ Rebalance กับเงินสดทุก ๆ ครั้ง ถ้า MCHI มี momentum ขาลงอ่อนแอกว่าเงินสด กลยุทธ์จะถือเงินสด เป็นการปกป้องความเสี่ยงขาลง จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนออกมาดีกว่า ACWI และ ความผันผวนน้อยกว่า
3. Buy on Dip ซื้อตอนราคาลงลึก
นักลงทุนต้องดูจังหวะเอง ถ้าลงไปลึกแล้วมีการกลับตัวจริง ก็ทยอยซื้อ แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่เสี่ยงเพราะถ้าไม่แม่นก็อาจจะไม่ได้ผล
จากผลทดสอบ กลยุทธ์แบบ Core-satellite น่าจะได้ผลที่สุด | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Creative writing | cc-by-sa-4.0 |
Finance_115 | Finance | จงสรุปบทความเรื่อง "Index Fund อีกทางเลือกลงทุนระยะยาว ที่ให้ผลตอบแทนดี" ให้หน่อยค่ะ | Index Fund อีกทางเลือกลงทุนระยะยาว ที่ให้ผลตอบแทนดี
23 พฤศจิกายน 2565
10 นาที 23 พฤศจิกายน 2565 10 นาที Index Fund อีกทางเลือกลงทุนระยะยาว ที่ให้ผลตอบแทนดี หลายคนที่เคยอ่าน Fund Fact Sheet น่าจะเคยเห็นตารางผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนรวม เปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด จะมีทั้งกองทุนที่มีผลตอบแทนทั้งมากกว่าและน้อยกว่าดัชนีชี้วัด ทำให้หลายคนเกิดความสนใจลงทุนดัชนีชี้วัดเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของกองทุนรวมดัชนี หรือ Index Fund หลายคนที่เคยอ่าน Fund Fact Sheet น่าจะเคยเห็นตารางผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนรวม เปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด จะมีทั้งกองทุนที่มีผลตอบแทนทั้งมากกว่าและน้อยกว่าดัชนีชี้วัด ทำให้หลายคนเกิดความสนใจลงทุนดัชนีชี้วัดเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของกองทุนรวมดัชนี หรือ Index Fund TOP 10 กองทุนรวมประเภท Active Fund กับ Index Fund TOP 10 กองทุนรวมประเภท Active Fund กับ Index Fund ผลสำรวจข้อมูลจากเว็บไซต์ Morningstarthailand เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2022 พบว่ามีกองทุนรวมดัชนีของกสิกรไทยถึง 5 กองทุนรวมดัชนีของ บลจ.กสิกรไทย ติด 10 อันดับแรกของกองทุนรวมหุ้นรายประเทศ ซึ่งทำผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุน Active Fund และ Index Fund ทุกบลจ. โดยนับเฉพาะกองทุนที่เปิดมาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เท่านั้น มีรายชื่อกองทุนดังนี้ ผลสำรวจข้อมูลจากเว็บไซต์ Morningstarthailand เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2022 พบว่ามีกองทุนรวมดัชนีของกสิกรไทยถึง 5 กองทุนรวมดัชนีของ บลจ.กสิกรไทย ติด 10 อันดับแรกของกองทุนรวมหุ้นรายประเทศ ซึ่งทำผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุน Active Fund และ Index Fund ทุกบลจ. โดยนับเฉพาะกองทุนที่เปิดมาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เท่านั้น มีรายชื่อกองทุนดังนี้ ผลสำรวจข้อมูลจากเว็บไซต์ Morningstarthailand เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2022 พบว่ามีกองทุนรวมดัชนีของกสิกรไทยถึง 5 กองทุนรวมดัชนีของ บลจ.กสิกรไทย ติด 10 อันดับแรกของกองทุนรวมหุ้นรายประเทศ ซึ่งทำผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุน Active Fund และ Index Fund ทุกบลจ. โดยนับเฉพาะกองทุนที่เปิดมาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เท่านั้น มีรายชื่อกองทุนดังนี้ TOP 10 กองทุนรวมที่ลงทุนหุ้นจีน TOP 10 กองทุนรวมที่ลงทุนหุ้นจีน TOP 10 กองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น TOP 10 กองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น TOP 10 กองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ TOP 10 กองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ TOP 10 กองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นอินเดีย TOP 10 กองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นอินเดีย TOP 10 กองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นยุโรป TOP 10 กองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นยุโรป จากข้อมูลด้านบนเป็นการเปรียบเทียบอันดับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี กองทุน Index Fund ของกสิกรไทย กับกองทุนทุกบลจ.ทั้งที่เป็น Index Fund และ Active Fund ที่ติด 10 อันดับแรกกองทุนแต่ละประเทศ ซึ่งก็จะเห็นว่าภาพรวมกองทุน Index Fund ก็ทำผลงานได้ใกล้เคียงกับกองทุน Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนมาคอยบริหาร แม้เป็นช่วงตลาดขาลงก็ตาม จากข้อมูลด้านบนเป็นการเปรียบเทียบอันดับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี กองทุน Index Fund ของกสิกรไทย กับกองทุนทุกบลจ.ทั้งที่เป็น Index Fund และ Active Fund ที่ติด 10 อันดับแรกกองทุนแต่ละประเทศ ซึ่งก็จะเห็นว่าภาพรวมกองทุน Index Fund ก็ทำผลงานได้ใกล้เคียงกับกองทุน Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนมาคอยบริหาร แม้เป็นช่วงตลาดขาลงก็ตาม จากข้อมูลด้านบนเป็นการเปรียบเทียบอันดับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี กองทุน Index Fund ของกสิกรไทย กับกองทุนทุกบลจ.ทั้งที่เป็น Index Fund และ Active Fund ที่ติด 10 อันดับแรกกองทุนแต่ละประเทศ ซึ่งก็จะเห็นว่าภาพรวมกองทุน Index Fund ก็ทำผลงานได้ใกล้เคียงกับกองทุน Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนมาคอยบริหาร แม้เป็นช่วงตลาดขาลงก็ตาม TOP 5 กองทุน Index Fund แต่ละประเทศ แต่ละบลจ. ลงทุนอะไรบ้าง TOP 5 กองทุน Index Fund แต่ละประเทศ แต่ละบลจ. ลงทุนอะไรบ้าง ต้องเล่าต่อไปว่ากองทุน Index Fund ในแต่ละประเทศ ก็มีดัชนีให้ลงทุนหลากหลาย ผลตอบแทนของแต่ละดัชนีก็อาจแตกต่างกัน ดังนั้นเราจะพาไปดูว่า Top 5 กองทุนดัชนีของแต่ละประเทศ แต่ละบลจ. ลงทุนอะไรกันบ้าง ต้องเล่าต่อไปว่ากองทุน Index Fund ในแต่ละประเทศ ก็มีดัชนีให้ลงทุนหลากหลาย ผลตอบแทนของแต่ละดัชนีก็อาจแตกต่างกัน ดังนั้นเราจะพาไปดูว่า Top 5 กองทุนดัชนีของแต่ละประเทศ แต่ละบลจ. ลงทุนอะไรกันบ้าง ต้องเล่าต่อไปว่ากองทุน Index Fund ในแต่ละประเทศ ก็มีดัชนีให้ลงทุนหลากหลาย ผลตอบแทนของแต่ละดัชนีก็อาจแตกต่างกัน ดังนั้นเราจะพาไปดูว่า Top 5 กองทุนดัชนีของแต่ละประเทศ แต่ละบลจ. ลงทุนอะไรกันบ้าง กองทุนดัชนีหุ้นจีน กองทุนดัชนีหุ้นจีน กองทุนดัชนีหุ้นญี่ปุ่น กองทุนดัชนีหุ้นญี่ปุ่น กองทุนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ กองทุนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ กองทุนดัชนีหุ้นอินเดีย กองทุนดัชนีหุ้นอินเดีย กองทุนรวมดัชนีอินเดีย ที่มีผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป มีทั้งหมด 3 กองทุน แต่หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ K-INDX กับกองทุนรวมทั้งหมด ทั้ง Active Fund และ Index Fund จะพบว่า K-INDX ติดTOP 10 เฉพาะผลตอบแทนย้อนหลัง 5ปี จากทั้งหมด 29 กองทุน แต่ 3 ปี และ 1ปี ไม่ติดอันดับ ซึ่งกองทุนที่ติดอันดับช่วง 3 ปี และ 1 ปีส่วนใหญ่เป็นกองทุน Active Fund กองทุนรวมดัชนีอินเดีย ที่มีผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป มีทั้งหมด 3 กองทุน แต่หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ K-INDX กับกองทุนรวมทั้งหมด ทั้ง Active Fund และ Index Fund จะพบว่า K-INDX ติดTOP 10 เฉพาะผลตอบแทนย้อนหลัง 5ปี จากทั้งหมด 29 กองทุน แต่ 3 ปี และ 1ปี ไม่ติดอันดับ ซึ่งกองทุนที่ติดอันดับช่วง 3 ปี และ 1 ปีส่วนใหญ่เป็นกองทุน Active Fund กองทุนดัชนีหุ้นยุโรป กองทุนดัชนีหุ้นยุโรป กองทุนรวมดัชนียุโรป ที่มีผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป มีทั้งหมด 3 กองทุน แต่หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ K-EUX กับกองทุนรวมทั้งหมด ทั้ง Active Fund และ Index Fund จะพบว่า K-EUX ติดTOP 10 เฉพาะผลตอบแทนย้อนหลัง 5ปี กับ 1ปี จากทั้งหมด 44 กองทุน แต่หากดูผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี จะไม่ติดอันดับ ซึ่งกองทุนที่ติดอันดับช่วง 3 ปี ส่วนใหญ่เป็นกองทุน Active Fund กองทุนรวมดัชนียุโรป ที่มีผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป มีทั้งหมด 3 กองทุน แต่หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ K-EUX กับกองทุนรวมทั้งหมด ทั้ง Active Fund และ Index Fund จะพบว่า K-EUX ติดTOP 10 เฉพาะผลตอบแทนย้อนหลัง 5ปี กับ 1ปี จากทั้งหมด 44 กองทุน แต่หากดูผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี จะไม่ติดอันดับ ซึ่งกองทุนที่ติดอันดับช่วง 3 ปี ส่วนใหญ่เป็นกองทุน Active Fund กองทุนรวมดัชนียุโรป ที่มีผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป มีทั้งหมด 3 กองทุน แต่หากเปรียบเทียบผลตอบแทนของ K-EUX กับกองทุนรวมทั้งหมด ทั้ง Active Fund และ Index Fund จะพบว่า K-EUX ติดTOP 10 เฉพาะผลตอบแทนย้อนหลัง 5ปี กับ 1ปี จากทั้งหมด 44 กองทุน แต่หากดูผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี จะไม่ติดอันดับ ซึ่งกองทุนที่ติดอันดับช่วง 3 ปี ส่วนใหญ่เป็นกองทุน Active Fund จากตารางข้อมูลก็จะเห็นว่าแต่ละประเทศก็มีดัชนีให้ลงทุนหลากหลาย จนหลายคนก็สงสัยว่าแล้วเอาจริงๆควรลงทุนกับกองทุน Index Fund อย่างไรดี ก็ต้องบอกว่ากองทุน Index Fund เหมาะกับการลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น ที่มีปัจจัยต่างๆเข้ามากระทบจนทำให้ต้องสับเปลี่ยน ซื้อขายบ่อย เพราะหลายครั้งช่วงตลาดขาขึ้น กองทุน Active Fund ก็อาจจะขึ้นแรงกว่า ในขณะที่ตลาดขาลง กองทุน Active Fund ก็อาจลงน้อยกว่าจากการบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นการลงทุนระยะยาว อาจเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าสำหรับกองทุน Index Fund จากตารางข้อมูลก็จะเห็นว่าแต่ละประเทศก็มีดัชนีให้ลงทุนหลากหลาย จนหลายคนก็สงสัยว่าแล้วเอาจริงๆควรลงทุนกับกองทุน Index Fund อย่างไรดี ก็ต้องบอกว่ากองทุน Index Fund เหมาะกับการลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น ที่มีปัจจัยต่างๆเข้ามากระทบจนทำให้ต้องสับเปลี่ยน ซื้อขายบ่อย เพราะหลายครั้งช่วงตลาดขาขึ้น กองทุน Active Fund ก็อาจจะขึ้นแรงกว่า ในขณะที่ตลาดขาลง กองทุน Active Fund ก็อาจลงน้อยกว่าจากการบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นการลงทุนระยะยาว อาจเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าสำหรับกองทุน Index Fund จากตารางข้อมูลก็จะเห็นว่าแต่ละประเทศก็มีดัชนีให้ลงทุนหลากหลาย จนหลายคนก็สงสัยว่าแล้วเอาจริงๆควรลงทุนกับกองทุน Index Fund อย่างไรดี ก็ต้องบอกว่ากองทุน Index Fund เหมาะกับการลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น ที่มีปัจจัยต่างๆเข้ามากระทบจนทำให้ต้องสับเปลี่ยน ซื้อขายบ่อย เพราะหลายครั้งช่วงตลาดขาขึ้น กองทุน Active Fund ก็อาจจะขึ้นแรงกว่า ในขณะที่ตลาดขาลง กองทุน Active Fund ก็อาจลงน้อยกว่าจากการบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นการลงทุนระยะยาว อาจเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าสำหรับกองทุน Index Fund ผลสำรวจ Active Fund ส่วนใหญ่แพ้ Index Fund ผลสำรวจ Active Fund ส่วนใหญ่แพ้ Index Fund ผลสำรวจจากเว็บไซต์ SPGLOBAL เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2021 พบว่ากองทุนรวม Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการ ส่วนใหญ่แล้วทำผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีแพ้กองทุน Index Fund โดยในสหรัฐฯมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P 500 จำนวน 83.07% ในยุโรปมีกองทุนแพ้ดัชนีS&P Europe 350 จำนวน 83.23% ในอินเดียมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P BSE 100 จำนวน 67.61% ส่วนในญี่ปุ่นมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P/TOPIX 150 จำนวน 81.90% ผลสำรวจจากเว็บไซต์ SPGLOBAL เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2021 พบว่ากองทุนรวม Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการ ส่วนใหญ่แล้วทำผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีแพ้กองทุน Index Fund โดยในสหรัฐฯมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P 500 จำนวน 83.07% ในยุโรปมีกองทุนแพ้ดัชนีS&P Europe 350 จำนวน 83.23% ในอินเดียมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P BSE 100 จำนวน 67.61% ส่วนในญี่ปุ่นมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P/TOPIX 150 จำนวน 81.90% ผลสำรวจจากเว็บไซต์ SPGLOBAL เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2021 พบว่ากองทุนรวม Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการ ส่วนใหญ่แล้วทำผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีแพ้กองทุน Index Fund โดยในสหรัฐฯมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P 500 จำนวน 83.07% ในยุโรปมีกองทุนแพ้ดัชนีS&P Europe 350 จำนวน 83.23% ในอินเดียมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P BSE 100 จำนวน 67.61% ส่วนในญี่ปุ่นมีกองทุนแพ้ดัชนี S&P/TOPIX 150 จำนวน 81.90% วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชนะพนันผู้จัดการกองทุน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชนะพนันผู้จัดการกองทุน ย้อนกลับไปในปี 2007 วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก เคยท้าพนันกับ Ted Seides อดีตผู้จัดการกองทุน Hedge Fund แห่งProtégé Partners ว่ากองทุนดัชนี S&P 500 กับกองทุน fund of hedge funds จำนวน 5 กองทุน กองทุนไหนจะทำผลงานในช่วง 10 ปี ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2008 – 31 ธ.ค. 2017 ได้ดีกว่ากัน โดยมีเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเดิมพัน ย้อนกลับไปในปี 2007 วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก เคยท้าพนันกับ Ted Seides อดีตผู้จัดการกองทุน Hedge Fund แห่งProtégé Partners ว่ากองทุนดัชนี S&P 500 กับกองทุน fund of hedge funds จำนวน 5 กองทุน กองทุนไหนจะทำผลงานในช่วง 10 ปี ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2008 – 31 ธ.ค. 2017 ได้ดีกว่ากัน โดยมีเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเดิมพัน ภาพจาก Berkshire Hathaway ภาพจาก Berkshire Hathaway ภาพจาก Berkshire Hathaway แม้ช่วงแรกปี 2008 จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจซับไพรม์จนทำให้ S&P 500 ปรับตัวลงแรง เช่นเดียวกับอีก 5 กองทุน แต่หลังจากนั้นจะเห็นว่าดัชนี S&P 500 ทำผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่อง แม้บางปีจะแพ้กองทุนคู่แข่งบ้าง จนเมื่อครบ 10 ปี ดัชนี S&P 500 สามารถทำผลตอบแทนได้ 125.8% ในขณะที่ Fund of Hedge Fund ทั้ง 5 กองทุนทำผลตอบแทนรวมได้เพียง 36.3% จึงทำให้ Ted Seides อดีตผู้จัดการกองทุน Hedge Fund แห่ง Protégé Partners แพ้ไปโดยปริยาย โดยทั้งนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้นำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับมูลนิธิ Girls Inc. of Omaha แม้ช่วงแรกปี 2008 จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจซับไพรม์จนทำให้ S&P 500 ปรับตัวลงแรง เช่นเดียวกับอีก 5 กองทุน แต่หลังจากนั้นจะเห็นว่าดัชนี S&P 500 ทำผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่อง แม้บางปีจะแพ้กองทุนคู่แข่งบ้าง จนเมื่อครบ 10 ปี ดัชนี S&P 500 สามารถทำผลตอบแทนได้ 125.8% ในขณะที่ Fund of Hedge Fund ทั้ง 5 กองทุนทำผลตอบแทนรวมได้เพียง 36.3% จึงทำให้ Ted Seides อดีตผู้จัดการกองทุน Hedge Fund แห่ง Protégé Partners แพ้ไปโดยปริยาย โดยทั้งนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้นำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับมูลนิธิ Girls Inc. of Omaha หลายคนอาจเกิดความตกใจ เพราะคาดหวังว่ากองทุน Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหาร แถมเก็บค่าธรรมเนียมสูง กลับทำผลตอบแทนได้น้อยกว่ากองทุน Index Fund ก็ต้องบอกแบบนี้ว่าถ้าเราดูจากสถิติจของSPGLOBAL จะเห็นว่าก็ยังมีสัดส่วนกองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีในระยะยาวได้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่กองทุน Index Fund เป็นเพียงอีกหนึ่งทางเลือก แม้จากประสบการณ์จะพบว่าในระยะสั้นหลายครั้งกองทุน Index Fund จะทำผลงานได้ไม่ค่อยดี แต่ระยะยาวก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ หลายคนอาจเกิดความตกใจ เพราะคาดหวังว่ากองทุน Active Fund ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหาร แถมเก็บค่าธรรมเนียมสูง กลับทำผลตอบแทนได้น้อยกว่ากองทุน Index Fund ก็ต้องบอกแบบนี้ว่าถ้าเราดูจากสถิติจของSPGLOBAL จะเห็นว่าก็ยังมีสัดส่วนกองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีในระยะยาวได้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่กองทุน Index Fund เป็นเพียงอีกหนึ่งทางเลือก แม้จากประสบการณ์จะพบว่าในระยะสั้นหลายครั้งกองทุน Index Fund จะทำผลงานได้ไม่ค่อยดี แต่ระยะยาวก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ Index Fund ลงทุนเหมือนกัน เลือกลงทุนอย่างไรดี Index Fund ลงทุนเหมือนกัน เลือกลงทุนอย่างไรดี หลายกองทุนมีการลงทุน Master Fund หรือดัชนีที่เหมือนกัน จึงทำให้หลายคนสงสัยว่าแล้วแบบนี้จะเลือกกองทุนไหนดี เรามาดูวิธีกัน หลายกองทุนมีการลงทุน Master Fund หรือดัชนีที่เหมือนกัน จึงทำให้หลายคนสงสัยว่าแล้วแบบนี้จะเลือกกองทุนไหนดี เรามาดูวิธีกัน หลายกองทุนมีการลงทุน Master Fund หรือดัชนีที่เหมือนกัน จึงทำให้หลายคนสงสัยว่าแล้วแบบนี้จะเลือกกองทุนไหนดี เรามาดูวิธีกัน 1.ดูผลตอบแทนที่มากที่สุด โดยดูผลตอบแทนทั้งในระยะสั้น และระยะยาวเทียบกับกองทุนอื่นๆที่ และพยายามเลือกกองทุนที่มีผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดให้มากที่สุด 1.ดูผลตอบแทนที่มากที่สุด โดยดูผลตอบแทนทั้งในระยะสั้น และระยะยาวเทียบกับกองทุนอื่นๆที่ และพยายามเลือกกองทุนที่มีผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดให้มากที่สุด 2.ดู Tracking Error ซึ่งเป็นค่าที่บอกเกี่ยวกับกองทุนมีผลตอบแทนเลียนแบบดัชนีชี้วัดมากน้อยแค่ไหน โดยหาก tracking error ต่ำ กองทุนรวมก็จะมีประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัด ดังนั้น ยิ่ง Tracking Error ต่ำๆยิ่งดี 2.ดู Tracking Error ซึ่งเป็นค่าที่บอกเกี่ยวกับกองทุนมีผลตอบแทนเลียนแบบดัชนีชี้วัดมากน้อยแค่ไหน โดยหาก tracking error ต่ำ กองทุนรวมก็จะมีประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัด ดังนั้น ยิ่ง Tracking Error ต่ำๆยิ่งดี 3.ดูค่าธรรมเนียม การซื้อขาย สับเปลี่ยนกองทุน โดยควรเลือกกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำๆ เพราะเราจะถูกหักค่าธรรมเนียมทุกครั้ง เมื่อซื้อ ขาย สับเปลี่ยน ตามที่กำหนดไว้ในเอกสาร Fund Fact Sheet ทั้งนี้แต่ละกองทุน แต่ละบลจ.ก็มีนโยบายที่แตกต่างกันออกไป 3.ดูค่าธรรมเนียม การซื้อขาย สับเปลี่ยนกองทุน โดยควรเลือกกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำๆ เพราะเราจะถูกหักค่าธรรมเนียมทุกครั้ง เมื่อซื้อ ขาย สับเปลี่ยน ตามที่กำหนดไว้ในเอกสาร Fund Fact Sheet ทั้งนี้แต่ละกองทุน แต่ละบลจ.ก็มีนโยบายที่แตกต่างกันออกไป 4.ดูค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม ยิ่งค่าธรรมเนียมสูง ผลตอบแทนที่เราจะได้รับก็จะน้อยกว่ากองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำ ดังนั้นจึงควรเลือกกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการทั้งหมดน้อยๆ 4.ดูค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม ยิ่งค่าธรรมเนียมสูง ผลตอบแทนที่เราจะได้รับก็จะน้อยกว่ากองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำ ดังนั้นจึงควรเลือกกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการทั้งหมดน้อยๆ สำหรับนักลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนหวือหวาในระยะสั้น และไม่เน้นจับจังหวะการลงทุน แนะนำการลงทุนใน Index Fund ซึ่งมีค่าธรรมเนียมที่ถูก สำหรับนักลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนหวือหวาในระยะสั้น และไม่เน้นจับจังหวะการลงทุน แนะนำการลงทุนใน Index Fund ซึ่งมีค่าธรรมเนียมที่ถูก สำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนหวือหวา เน้นจับจังหวะการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่สูง แนะนำกองทุน Active Fund สำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนหวือหวา เน้นจับจังหวะการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่สูง แนะนำกองทุน Active Fund สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นนักลงทุนสไตล์ไหน แนะนำให้ลองลงทุนกองทุนรวมทั้ง 2 แบบก่อน แล้วจึงประเมินจากผลตอบแทนว่าเราเหมาะสมกับกองทุนแบบใด สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นนักลงทุนสไตล์ไหน แนะนำให้ลองลงทุนกองทุนรวมทั้ง 2 แบบก่อน แล้วจึงประเมินจากผลตอบแทนว่าเราเหมาะสมกับกองทุนแบบใด ขอบคุณข้อมูลจาก : Gregor Zupanc , longnow ,Morningstarthailand ,SPGLOBAL ขอบคุณข้อมูลจาก : Gregor Zupanc , longnow ,Morningstarthailand ,SPGLOBAL บทความโดย K WEALTH TRAINER มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT™ K WEALTH TRAINER มนัสวี เด็ดอนันต์กุล AFPT™ | กองทุนรวมดัชนี หรือ Index Fund เป็นหนึ่งทางเลือกของการลงทุน แม้ในระยะสั้นหลายกองทุนจะทำผลงานได้ไม่ค่อยดี แต่ในระยะยาวก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งหลายกองทุนมีการลงทุน Master Fund หรือดัชนีที่เหมือนกัน จึงมีวิธีการเลือกกองทุน ดังนี้
1. ดูผลตอบแทนที่มากที่สุด โดยดูผลตอบแทนทั้งในระยะสั้น และระยะยาวเทียบกับกองทุนอื่นๆ ที่ และพยายามเลือกกองทุนที่มีผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดให้มากที่สุด
2. ดู Tracking Error ซึ่งเป็นค่าที่บอกเกี่ยวกับกองทุนมีผลตอบแทนเลียนแบบดัชนีชี้วัดมากน้อยแค่ไหน หาก tracking error ต่ำ กองทุนรวมก็จะมีประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัด ดังนั้น ยิ่ง Tracking Error ต่ำๆ ยิ่งดี
3. ดูค่าธรรมเนียม การซื้อขาย สับเปลี่ยนกองทุน โดยควรเลือกกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำๆ เพราะจะถูกหักค่าธรรมเนียมทุกครั้ง เมื่อซื้อ ขาย สับเปลี่ยน ตามที่กำหนดไว้ในเอกสาร Fund Fact Sheet ทั้งนี้แต่ละกองทุน แต่ละบลจ.ก็มีนโยบายที่แตกต่างกันออกไป
4. ดูค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม ยิ่งค่าธรรมเนียมสูง ผลตอบแทนที่จะได้รับก็จะน้อยกว่ากองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำ ดังนั้น จึงควรเลือกกองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการทั้งหมดน้อยๆ
สำหรับนักลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 3-5 ปีขึ้นไป ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนหวือหวาในระยะสั้น และไม่เน้นจับจังหวะการลงทุน แนะนำการลงทุนใน Index Fund ซึ่งมีค่าธรรมเนียมที่ถูก | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1150 | Finance | ช่วยสรุปบทความ “Crown Token กับ Last Idol ” ราคาวิ่งกว่า 664% NFT ที่น่าจับตามองในปี 2022 !! | Crown Token หรือเป็นโปรเจคที่นำแนวคิดการเชื่อมโยงทรัพย์สินทางปัญญาเข้ากับสินทรัพย์ดิจิทัล อยู่บนเชน Ethereum ซึ่งเป็นเครือข่าย Blockchain ที่เป็นแพลตฟอร์มให้เหล่านักพัฒนาสามารถสร้างแอพพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ หรือ Decentralized Application หรือ Dapps นั่นเอง โดย Crown Token มี T&B Media Global ผู้นำด้านการจัดการสินทรัพย์ทางปัญญาและการลงทุนในอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงระดับโลก ที่มี Partner จากค่ายหนังยักษ์ใหญ่ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Sony Picture, Warner Bro., Netflix มาในฝั่งประเทศไทย ธุรกิจบันเทิงอย่างเช่น GMM Grammy, ช่อง 3, ช่อง 7 ไปจนถึง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังได้แก่ Magnolia, Iconsiam, True Digital Park โดยมี Tree Roots Entertainment Group (TREG) ผู้ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม SMO ศูนย์กลางทั้งในด้านการสร้างคอมมูนิตี้ (Community) สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ของ ครีเอเตอร์ ศิลปิน และกลุ่มแฟน เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้าง Ecosystem ให้กับ Crown Token และมี VUCA Digital ผู้เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำด้านการพัฒนาธุรกิจภายใต้ระบบ Blockchain และร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศมากมาย | Crown Token เป็นโปรเจคบนเชน Ethereum ที่เชื่อมโยงทรัพย์สินทางปัญญาและสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยความร่วมมือของ T&B Media Global และพันธมิตรระดับโลก เช่น Sony Picture, Warner Bros., Netflix, GMM Grammy, ช่อง 3, ช่อง 7, Magnolia, Iconsiam, True Digital Park และ Tree Roots Entertainment Group (TREG) โครงการนี้มุ่งเน้นสร้าง Ecosystem ในการใช้งาน Crown Token โดยผ่านแพลตฟอร์ม SMO ศูนย์กลางที่สนับสนุนคอมมูนิตี้และการมีส่วนร่วมของครีเอเตอร์ ศิลปิน และแฟน ด้วยคำแนะนำจาก VUCA Digital ที่เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ Blockchain และร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ | 12.การเงินดิจิทัล | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1151 | Finance | จงสรุปบทความ "LTF ขายออกมาแล้ว เอาเงินไปทำอะไรดี?" ออกมาเป็น 5 ข้อ | เชื่อว่าหลายคนในปีนี้ LTF ที่ลงทุนไปคงครบกำหนดขายแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF ไปทำอะไรต่อดี บทความนี้ขอพาไปดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กัน เชื่อว่าหลายคนในปีนี้ LTF ที่ลงทุนไปคงครบกำหนดขายแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF ไปทำอะไรต่อดี บทความนี้ขอพาไปดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กัน ก่อนอื่นขอทวนเงื่อนไขการขาย LTF กันเสียหน่อย หากยังจำกันได้ เราต้องถือครอง LTF ให้ครบ 7 ปีปฏิทินจึงจะขายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นทั้งหมดทันที ดังนั้นก่อนขายคืนแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีว่าจำนวนหน่วยลงทุนที่ถือครบเงื่อนไขนั้นมีกี่หน่วย เพราะหากโดนเรียกคืนภาษีคงไม่คุ้มแหง ๆ แต่ถ้าใครตรวจสอบแน่ใจแล้วก็มาดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กันเลย ก่อนอื่นขอทวนเงื่อนไขการขาย LTF กันเสียหน่อย หากยังจำกันได้ เราต้องถือครอง LTF ให้ครบ 7 ปีปฏิทินจึงจะขายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นทั้งหมดทันที ดังนั้นก่อนขายคืนแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีว่าจำนวนหน่วยลงทุนที่ถือครบเงื่อนไขนั้นมีกี่หน่วย เพราะหากโดนเรียกคืนภาษีคงไม่คุ้มแหง ๆ แต่ถ้าใครตรวจสอบแน่ใจแล้วก็มาดูไอเดียต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF กันเลย 1. ให้รางวัลชีวิตตัวเองบ้าง ทำงานหนักมาทั้งปี เจอเรื่องเหนื่อย ๆ มาก็เยอะ ให้รางวัลตัวเองด้วยการชอปปิ้ง ซื้อของที่อยากได้สักชิ้น หาร้านอร่อยไปนั่งกิน หรือเดินทางไปเที่ยวผ่อนคลายบ้าง แค่นี้ก็เป็นการชาร์จแบตให้ตัวเองพร้อมสู้ต่อในวันข้างหน้าแล้ว แต่ก็ต้องระวังการใช้เงินเกินตัว เพราะหากใช้เกินตัวจากการให้รางวัลชีวิตจะเป็นการสร้างหนี้สินให้ชีวิตแทนนะ ทำงานหนักมาทั้งปี เจอเรื่องเหนื่อย ๆ มาก็เยอะ ให้รางวัลตัวเองด้วยการชอปปิ้ง ซื้อของที่อยากได้สักชิ้น หาร้านอร่อยไปนั่งกิน หรือเดินทางไปเที่ยวผ่อนคลายบ้าง แค่นี้ก็เป็นการชาร์จแบตให้ตัวเองพร้อมสู้ต่อในวันข้างหน้าแล้ว แต่ก็ต้องระวังการใช้เงินเกินตัว เพราะหากใช้เกินตัวจากการให้รางวัลชีวิตจะเป็นการสร้างหนี้สินให้ชีวิตแทนนะ 2. ลดภาระหนี้บ้าน ดอกเบี้ยบ้านมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่ยังมีภาระหนี้บ้าน หรือกู้ซื้อคอนโด ซื้อรถไว้ อาจจะแบ่งเงินที่ได้จากการขาย LTF มาส่วนหนึ่งเพื่อมาโปะเพิ่ม ก็จะช่วยลดเงินต้นและดอกเบี้ยไปได้เช่นกัน แถมเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอีกอย่างด้วย ดอกเบี้ยบ้านมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ใครที่ยังมีภาระหนี้บ้าน หรือกู้ซื้อคอนโด ซื้อรถไว้ อาจจะแบ่งเงินที่ได้จากการขาย LTF มาส่วนหนึ่งเพื่อมาโปะเพิ่ม ก็จะช่วยลดเงินต้นและดอกเบี้ยไปได้เช่นกัน แถมเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอีกอย่างด้วย 3. วางแผนประหยัดภาษีต่อด้วยการ DCA กองทุน SSF-RMF บางคนยังคงต้องการสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีอยู่ก็สามารถนำมาซื้อกองทุน SSF หรือ RMF เพื่อรับประโยชน์ทางภาษีต่อได้ ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำดูเงื่อนไขให้ดีกว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต บางคนยังคงต้องการสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีอยู่ก็สามารถนำมาซื้อกองทุน SSF หรือ RMF เพื่อรับประโยชน์ทางภาษีต่อได้ ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำดูเงื่อนไขให้ดีกว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต 4. เริ่มต้นวางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุน ตอนที่ลงทุน LTF บางคนอาจจะมีวัตถุประสงค์แค่ต้องการนำไปลดหย่อนภาษีแต่ยังไม่ได้วางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างจริงจัง ก็ให้ถือโอกาสนี้เอาเงินที่ได้จากการขาย LTF เริ่มต้นวางแผนการลงทุนไปเลย เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราเพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ ตอนที่ลงทุน LTF บางคนอาจจะมีวัตถุประสงค์แค่ต้องการนำไปลดหย่อนภาษีแต่ยังไม่ได้วางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างจริงจัง ก็ให้ถือโอกาสนี้เอาเงินที่ได้จากการขาย LTF เริ่มต้นวางแผนการลงทุนไปเลย เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราเพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ 5. ปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนใหม่ สำหรับคนที่มีพอร์ตการลงทุนอยู่แล้วอาจจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF มาปรับสัดส่วนพอร์ตใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันมากขึ้น กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศบ้าง หรือพอร์ตใครที่มีแต่สินทรัพย์เสี่ยงสูงก็ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำด้วย พอร์ตการลงทุนของเราจะได้มีความสมดุลมากขึ้น สำหรับคนที่มีพอร์ตการลงทุนอยู่แล้วอาจจะเอาเงินที่ได้จากการขาย LTF มาปรับสัดส่วนพอร์ตใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันมากขึ้น กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศบ้าง หรือพอร์ตใครที่มีแต่สินทรัพย์เสี่ยงสูงก็ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำด้วย พอร์ตการลงทุนของเราจะได้มีความสมดุลมากขึ้น และนี่ก็เป็นไอเดียการต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF ที่เรานำมาฝากกัน แต่ถ้าอยากได้คำแนะนำการลงทุนแบบเจาะลึกกว่านี้ ลองให้ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวช่วยแนะนำคุณแบบตัวต่อตัวกับ ‘FINNOMENA Exclusive’ บริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว ที่จะช่วยออกแบบการลงทุนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด พร้อมเฟ้นหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ให้เงินของคุณงอกเงยได้มากขึ้น และนี่ก็เป็นไอเดียการต่อยอดเงินที่ได้จากการขาย LTF ที่เรานำมาฝากกัน แต่ถ้าอยากได้คำแนะนำการลงทุนแบบเจาะลึกกว่านี้ ลองให้ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัวช่วยแนะนำคุณแบบตัวต่อตัวกับ บริการที่ปรึกษาการลงทุนส่วนตัว ที่จะช่วยออกแบบการลงทุนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด พร้อมเฟ้นหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ให้เงินของคุณงอกเงยได้มากขึ้น | 1.ให้รางวัลชีวิตตัวเอง ชอปปิ้งหรือทานอาหารอร่อยเป็นวิธีให้รางวัลตัวเองหลังจากทำงานหนัก
ต้องระวังการใช้เงินเกินตัวเพื่อไม่สร้างหนี้สิน
2.ลดภาระหนี้บ้าน ใช้เงินที่ได้จากการขาย LTF เพื่อลดหนี้บ้านหรือหนี้ที่มีอยู่ การลดหนี้บ้านช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
3.ประหยัดภาษี DCA กองทุน SSF-RMF: ซื้อกองทุน SSF หรือ RMF เพื่อรับประโยชน์ทางภาษีต่อได้ ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำดูเงื่อนไขให้ดีกว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต
4.เริ่มต้นวางแผนและกำหนดเป้าหมายการลงทุน: เริ่มต้นวางแผนการลงทุนไปเลย เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเราเพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ
5.ปรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนใหม่: เอาเงินที่ได้จากการขาย LTF มาปรับสัดส่วนพอร์ตใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันมากขึ้น กระจายการลงทุน ไปยังต่างประเทศบ้าง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1154 | Finance | อธิบายคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) แบบเข้าใจง่าย ๆ ให้หน่อย | null | สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่งที่มีการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป (Fiat Currency) เพียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้
แม้ว่าตอนนี้คริปโตฯ จะยังไม่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายดังเช่นสกุลเงินทั่วไป (ยกเว้นประเทศเอลซัลวาดอร์ซึ่งเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติให้บิตคอยน์สามารถใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้) แต่ก็มีธุรกิจหลายแห่งเริ่มมีการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ มาใช้เพื่อปรับตัวรับโลกการเงินที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เช่น การรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบิตคอยน์ หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
ประโยชน์ของ Cryptocurrency
ทำธุรกรรมได้ง่ายและรวดเร็ว: เนื่องจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตฯ เป็นแบบดิจิทัลทั้งหมด จึงมีความสะดวกและรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมภายในประเทศหรือระหว่างประเทศด้วยเทคโนโลยีเหนือกว่าธนาคารแบบดั้งเดิม
ต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำ: ใครที่เคยโอนเงินระหว่างประเทศจะทราบกันดีกว่าค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมค่อนข้างสูง แต่หากทำธุรกรรมผ่านคริปโตฯ จะช่วยลดต้นทุนในส่วนของค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมไปได้มากเมื่อเปรียบเทียบกับบริการทางการเงินอื่น ๆ
มีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว: เนื่องจากคริปโตฯ ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีที่ชื่อว่า “Blockchain” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยากต่อการถอดรหัสทางคณิตศาสตร์ ทำให้สกุลเงินดิจิทัลปลอดภัยกว่าธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป
ความโปร่งใสที่เหนือกว่า: ธุรกรรมแต่ละรายการของคริปโตฯ จะถูกบันทึกในบัญชีแยกประเภทโดยใช้เทคโนโลยี “Blockchain” ซึ่งไม่สามารถแก้ไข ย้อนกลับ หรือทำลายข้อมูลได้
ป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ: ปัจจุบันเริ่มเห็นข่าวมหาเศรษฐีชาติต่าง ๆ เก็บบิตคอยน์เข้าพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ เนื่องจากเชื่อว่าเหรียญที่มีอุปทานจำกัดอย่างเช่น Bitcoin สามารถนำมาเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อได้
เปิดซื้อขายแลกเปลี่ยน 24 ชั่วโมง: เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะคุ้นเคยกับตลาดหุ้นที่มีวันหยุดและเวลาเปิดปิดอย่างชัดเจน แต่สำหรับตลาดคริปโตฯ นั้นมีสภาพคล่องสูงเพราะเปิดให้ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1155 | Finance | Stagflation คืออะไร | null | “Stagflation” คือ สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เงินเฟ้อกลับพุ่ง ซึ่งนี่คือสัญญาณของสภาวะเศรษฐกิจที่ผิดปกติ Stagflation มาจากคำว่า Stagnation ที่แปลว่าสภาวะหยุดนิ่ง และ Inflation ที่แปลว่าสภาวะเงินเฟ้อ รวมเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่อัตราเงินเฟ้อพุ่ง ของแพงขึ้น แต่สภาวะเศรษฐกิจกลับโตไม่ทันกัน และมีอัตราว่างงานสูง Stagflation ครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 1970 ในขณะนั้นอัตราว่างงานสูง 9% ในขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อกลับพุ่งสูงกว่าเป็น 12% ซึ่งครั้งนั้นมีที่มาจากราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ราคาสินค้าและบริการกลับแพงขึ้น
นอกจากนี้ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่สุ่มเสี่ยงจะเข้าสู่สภาวะ Stagflation หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกต่างก็เตรียมตัวรับมือสภาวะ Stagflation ที่แนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น โดยมีกุญแจที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญกันนั่นคือ ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการที่มากขึ้น ในขณะที่กำลังการผลิตมีจำกัด นโยบายทางการเงินของภาครัฐในแต่ละประเทศที่จำเป็นต้องอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว รวมถึงวิกฤติการณ์โควิดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ถ่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชากรให้กว้างขึ้น | 5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1156 | Finance | วิกฤตเงินเฟ้อครั้งสำคัญ ๆ ในอดีตของโลก ซึ่งปรากฏว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ครั้งได้แก่อะไรบ้าง | วิกฤตเงินเฟ้อครั้งสำคัญ ๆ ในอดีตของโลก ซึ่งปรากฏว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ครั้งได้แก่ 1. วิกฤต Hyperinflation เยอรมันในทศวรรษ 1920 ช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีวิกฤตโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สเปนอยู่ในช่วงเวลานี้ โดยถือว่าบรรยากาศคล้ายกับช่วงเวลานี้มาก 2. วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทศวรรษ 1940 และ 3. วิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 โดยบทความนี้ จะพูดถึงสาเหตุ ขนาดและความยาวนานของปัญหา และทางแก้จากวิกฤต เริ่มจากสาเหตุของวิกฤตเงินเฟ้อในเยอรมัน ได้มีความเห็นแบ่งเป็น 2 แนวคิด ได้แก่ งบการคลังและการพิมพ์เงินที่ผ่อนคลายมากเกินไป เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ในเยอรมัน โดยมองว่าการปรับตัวของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเพียงปัจจัยรอง
มาจากการชำระเงินตราระหว่างประเทศผ่านการขาดดุลการค้า โดยมองว่าการขาดดุล การชำระเงินส่งผลให้ค่าเงินสกุลมาร์กของเยอรมันอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้ออย่างหนักหน่วง อย่างไรก็ดี หากพิจารณาสาเหตุทั้งคู่ จะพบว่าไม่ได้มีส่วนคล้ายคลึงกับวิกฤตเงินเฟ้อในรอบนี้แต่อย่างใด หันมาพิจารณาสาเหตุของวิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐในทศวรรษ 1940 ซึ่งเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสูงสุดที่ร้อยละ 20 โดยมีระยะเวลาของวิกฤตอยู่ราว 2 ปี จะพบว่ามีสาเหตุ 3 ประการ ได้แก่ การขจัดนโยบายการควบคุมราคาสินค้าหลักของรัฐบาลได้ถูกยกเลิกไป
การเกิดอุปทานติดขัด
การที่อุปสงค์พุ่งพรวดขึ้นมาเนื่องจากการยุติของสงคราม จึงมีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยอย่างมากมาย หากพิจารณาสาเหตุทั้งหมด จะพบว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับวิกฤตเงินเฟ้อในรอบนี้ถึงสองในสามข้อ ท้ายสุด หากพิจารณาสาเหตุของวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 ซึ่งเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสูงสุดที่ร้อยละ 15 โดยมีระยะเวลาของวิกฤตอยู่ราว 9 ปี จะพบว่ามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง ความผิดพลาดในแง่การใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ โดยการแก้วิกฤตยึดติดกับการชดเชยระหว่างกันของอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานหรือเส้นโค้งฟิลลิปส์มากจนเกินไป สอง ความผิดพลาดจากการวัดตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลานั้น อาทิ อัตราการว่างงานต่ำสุดที่ไม่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือ NAIRU สาม อัตราการเติบโตของปริมาณเงินที่ปล่อยให้ขึ้นมากเกินไป ซึ่งจำเป็นต้องมีความระมัดระวังในช่วงเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรอบนี้ โดยวิกฤตในรอบนี้ มีความคล้ายคลึงกันสำหรับข้อ 3 ส่วนข้อหนึ่งค่อนข้างก้ำกึ่ง ในขณะที่ข้อ 2 ไม่ได้เกิดขึ้นในครั้งนี้ จึงทำให้ผมมองว่า วิกฤตในรอบนี้ น่าจะมีความคล้ายกับวิกฤตทศวรรษ 1940 ในสัดส่วนร้อยละ 80 และคล้ายกับวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 อยู่ในสัดส่วนร้อยละ 20 โดยคาดว่ารอบนี้ น่าจะเกิดระดับอัตราเงินเฟ้อสูงสุดที่ราวร้อยละ 11-14 ส่วนระยะเวลาทั้งสิ้นน่าจะประมาณ 2-3 ปี สำหรับทางแก้วิกฤต Hyperinflation เยอรมันในทศวรรษ 1920 โดยในช่วงปี 1922-1924 รัฐบาลเยอรมันเพิ่มการจัดเก็บภาษี รวมถึงผ่านนโยบายการสร้างความเชื่อมั่น 5 ประการ ได้แก่ เสถียรภาพนโยบายการเงิน ผ่านการจำกัดการออกพันธบัตรจากธนาคารกลาง
การมีวินัยของนโยบายการคลัง
นโยบายเพื่อให้ค่าเงินเยอรมันมีเสถียรภาพ
การยุติการต่อต้านการจ่ายหนี้สงคราม ด้วยการตั้งคณะกรรมการที่เจรจาค่าปรับหนี้สงครามแบบเป็นระบบ
การลดมูลค่าเงินที่แท้จริงลง ด้วยการเปลี่ยนเงินสกุลเยอรมันใหม่แทนเงินสกุลเดิม สำหรับการแก้วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐในทศวรรษ 1940 นั้น กระทำผ่านการทำให้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเชื่อมั่นต่อชาวอเมริกันว่าระดับราคาสินค้าและบริการจะลดลงในอนาคต ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานประกันสังและการคุ้มครองการว่างงานของอดีตประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน ด้านทางแก้ของวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 อาศัยความศรัทธาต่อความจริงจังในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยนโยบายการเงินแบบตึงตัวของพอล โวลก์เกอร์ อดีตประธานเฟด ดังนี้ ได้รับความไว้วางใจจากผู้นำสหรัฐ ที่จะดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวแบบต่อเนื่อง
กลยุทธ์นโยบายการเงินต้องมีความน่าเชื่อถือ
เริ่มต้นด้วยการขึ้นดอกเบี้ยด้วยขนาดที่น่าเชื่อถือ
ทำให้อัตราการเติบโตของปริมาณเงินเป็นไปอย่างช้า ๆ
อดทนกับการประท้วงจากกลุ่มคนที่เสียประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย | วิกฤตเงินเฟ้อครั้งสำคัญ ๆ ในอดีตของโลก ซึ่งปรากฏว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ครั้งได้แก่
1. วิกฤต Hyperinflation เยอรมันในทศวรรษ 1920 ช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีวิกฤตโรคระบาดไข้หวัดใหญ่สเปนอยู่ในช่วงเวลานี้
สาเหตุของวิกฤตเงินเฟ้อในเยอรมัน ได้มีความเห็นแบ่งเป็น 2 แนวคิด ได้แก่ งบการคลังและการพิมพ์เงินที่ผ่อนคลายมากเกินไป เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ในเยอรมัน โดยมองว่าการปรับตัวของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเพียงปัจจัยรอง มาจากการชำระเงินตราระหว่างประเทศผ่านการขาดดุลการค้า โดยมองว่าการขาดดุล การชำระเงินส่งผลให้ค่าเงินสกุลมาร์กของเยอรมันอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้ออย่างหนักหน่วง
ทางแก้วิกฤต Hyperinflation เยอรมันในทศวรรษ 1920 โดยในช่วงปี 1922-1924 รัฐบาลเยอรมันเพิ่มการจัดเก็บภาษี รวมถึงผ่านนโยบายการสร้างความเชื่อมั่น 5 ประการ ได้แก่
- เสถียรภาพนโยบายการเงิน ผ่านการจำกัดการออกพันธบัตรจากธนาคารกลาง
- การมีวินัยของนโยบายการคลัง
- นโยบายเพื่อให้ค่าเงินเยอรมันมีเสถียรภาพ
- การยุติการต่อต้านการจ่ายหนี้สงคราม ด้วยการตั้งคณะกรรมการที่เจรจาค่าปรับหนี้สงครามแบบเป็นระบบ
- การลดมูลค่าเงินที่แท้จริงลง ด้วยการเปลี่ยนเงินสกุลเยอรมันใหม่แทนเงินสกุลเดิม
2. วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐช่วงระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทศวรรษ 1940
สาเหตุของวิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐในทศวรรษ 1940 ซึ่งเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสูงสุดที่ร้อยละ 20 โดยมีระยะเวลาของวิกฤตอยู่ราว 2 ปี จะพบว่ามีสาเหตุ 3 ประการ ได้แก่
- การขจัดนโยบายการควบคุมราคาสินค้าหลักของรัฐบาลได้ถูกยกเลิกไป
- การเกิดอุปทานติดขัด
- การที่อุปสงค์พุ่งพรวดขึ้นมาเนื่องจากการยุติของสงคราม จึงมีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยอย่างมากมาย
การแก้วิกฤตเงินเฟ้อสหรัฐในทศวรรษ 1940 นั้น กระทำผ่านการทำให้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเชื่อมั่นต่อชาวอเมริกันว่าระดับราคาสินค้าและบริการจะลดลงในอนาคต ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานประกันสังและการคุ้มครองการว่างงานของอดีตประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน
3. วิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80
สาเหตุของวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 ซึ่งเกิดวิกฤตเงินเฟ้อสูงสุดที่ร้อยละ 15 โดยมีระยะเวลาของวิกฤตอยู่ราว 9 ปี จะพบว่ามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่
- ความผิดพลาดในแง่การใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ โดยการแก้วิกฤตยึดติดกับการชดเชยระหว่างกันของอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานหรือเส้นโค้งฟิลลิปส์มากจนเกินไป
- ความผิดพลาดจากการวัดตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลานั้น อาทิ อัตราการว่างงานต่ำสุดที่ไม่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือ NAIRU
- อัตราการเติบโตของปริมาณเงินที่ปล่อยให้ขึ้นมากเกินไป
ทางแก้ของวิกฤต Great Inflation ของสหรัฐ ในทศวรรษ 1970 ต่อ 80 อาศัยความศรัทธาต่อความจริงจังในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยนโยบายการเงินแบบตึงตัวของพอล โวลก์เกอร์ อดีตประธานเฟด ดังนี้
- ได้รับความไว้วางใจจากผู้นำสหรัฐ ที่จะดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวแบบต่อเนื่อง
- กลยุทธ์นโยบายการเงินต้องมีความน่าเชื่อถือ
- เริ่มต้นด้วยการขึ้นดอกเบี้ยด้วยขนาดที่น่าเชื่อถือ
- ทำให้อัตราการเติบโตของปริมาณเงินเป็นไปอย่างช้า ๆ
- อดทนกับการประท้วงจากกลุ่มคนที่เสียประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1157 | Finance | NFT คืออะไร | A. ค่าธรรมเนียมเครือข่าย
B. โทเคนที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ละโทเคนไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้
C. การซื้อขายที่ดินในโลกจริง
D. สิทธิ์ความเป็นเจ้าของ | ข้อที่ถูกต้องคือ B. เพราะว่า NFT ย่อมาจาก Non-fungible token หมายถึง โทเคนที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ละโทเคนไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ต่างจากบิตคอยน์ เงินดอลลาร์ หรือแม้แต่เงินบาท ที่เป็นสินทรัพย์แบบ Fungible ที่สามารถใช้แทนกันได้
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว NFT จึงสามารถใช้เพื่อแทนสินทรัพย์ที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น
• ผลงานศิลปะ
• เพลง
• ที่ดิน
• อสังริมทรัพย์
• ของสะสม
และสินทรัพย์อื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ได้จำกัดแค่ผลงานศิลปะเท่านั้น
การซื้อขาย NFT ก็เปรียบเสมือนการซื้อขายกรรมสิทธิ์ของ NFT ชิ้นนั้น ๆ เมื่อผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ของ NFT มาแล้ว กรรมสิทธิ์ดังกล่าวก็จะสามารถตรวจสอบได้บนบล็อกเชน ไปจนถึงประวัติของ NFT ว่า
1. NFT ชิ้นนั้นใครเป็นคนสร้าง
2. เคยมีการซื้อขายมาก่อนแล้วหรือไม่
เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส เพราะเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชนนั่นเอง | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1159 | Finance | ช่วยสรุปบทความ หุ้นปูติน-รัสเซีย VS หุ้นโลก | หลังจากโซเวียตล่มสลาย ประชากรของรัสเซียเหลือเพียงครึ่งเดียวที่ประมาณ 150 ล้านคน เศรษฐกิจก็ตกต่ำลงไปมาก GDP ของรัสเซียไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถึงแม้ว่ารัสเซียยังมีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดแต่ก็แทบจะไม่มีบทบาทหรือศักดิ์ศรีอะไรในเวทีโลกมากนัก และการ “แข่งขัน” กับสหรัฐในแทบทุกด้านก็จบลงไปด้วย เวลาผ่านไปเกือบ 10 ปีที่เศรษฐกิจไม่โตเลยและมีแต่เล็กลงจนถึงปี 2000 GDP อยู่ที่ 259,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือแค่ 10% จากจุดสูงสุดของโซเวียต และนั่นก็คือวันที่ปูตินได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียสมัยแรก และนั่นก็น่าจะเป็นจุดเริ่มของการพยายามที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ของโซเวียตและอาณาจักรรัสเซียในอดีตให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ภายใต้ปูตินโดยเฉพาะในช่วง 8 ปีแรกนั้น รัสเซียได้เริ่มนำระบบทุนนิยมมาใช้และเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหรรมการขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่รัสเซียมีอยู่มาก ผลก็คือ เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยถึงปีละ 26% จนถึงปี 2008 GDP ก็มีขนาด 1.66 ล้านล้านเหรียญสหรัฐก่อนที่จะตกลงมาในช่วงปี 2009 เหลือ 1.22 ล้านล้านเหรียญ อานิสงค์จากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ของสหรัฐและการตกลงมาของราคาน้ำมันดิบจาก 140 เหลือเพียง 41เหรียญต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ขนาดของ GDP รัสเซียในปี 2010 ก็กลับมาติดอันดับ 10 ของโลกในปี 2010 ที่ประมาณ 1.52 ล้านล้านเหรียญ ควบคู่กับหัวรบนิวเคลียร์ที่ยังอยู่ครบ ปูตินรัสเซียก็เริ่มจะเชิดหน้าได้ และเขาเตือนโลกเสมอว่า รัสเซียนั้นยังเป็นมหาอำนาจที่ใครจะมาหยามไม่ได้
ภายใต้ปูตินโดยเฉพาะในช่วง 8 ปีแรกนั้น รัสเซียได้เริ่มนำระบบทุนนิยมมาใช้และเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหรรมการขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่รัสเซียมีอยู่มาก ผลก็คือ เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉลี่ยถึงปีละ 26% จนถึงปี 2008 GDP ก็มีขนาด 1.66 ล้านล้านเหรียญสหรัฐก่อนที่จะตกลงมาในช่วงปี 2009 เหลือ 1.22 ล้านล้านเหรียญ อานิสงค์จากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ของสหรัฐและการตกลงมาของราคาน้ำมันดิบจาก 140 เหลือเพียง 41เหรียญต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ขนาดของ GDP รัสเซียในปี 2010 ก็กลับมาติดอันดับ 10 ของโลกในปี 2010 ที่ประมาณ 1.52 ล้านล้านเหรียญ ควบคู่กับหัวรบนิวเคลียร์ที่ยังอยู่ครบ ปูตินรัสเซียก็เริ่มจะเชิดหน้าได้ และเขาเตือนโลกเสมอว่า รัสเซียนั้นยังเป็นมหาอำนาจที่ใครจะมาหยามไม่ได้ | หลังจากการล่มสลายของโซเวียต, ประชากรรัสเซียลดลงเหลือครึ่งเดียวประมาณ 150 ล้านคน, แต่เศรษฐกิจลดลงมาก, GDP ของรัสเซียไม่ได้ติดอันดับต้นๆในโลก, แม้ว่ามีหัวรบนิวเคลียร์มาก แต่ไม่มีบทบาทในเวทีโลกมากนัก, และการแข่งขันกับสหรัฐมีผลจบลง 10 ปีที่เศรษฐกิจไม่เติบโตและ GDP เพิ่มขึ้นเพียง 10% จากจุดสูงของโซเวียต นับจากวันที่ปูตินถูกเลือกเป็นประธานาธิบดีและเริ่มความพยายามที่จะให้โซเวียตและรัสเซียกลับมาในทางใหม่อีกครั้ง
ภายใต้การบริหารปูตินใน 8 ปีแรก รัสเซียเริ่มนำระบบทุนนิยมและพัฒนาอุตสาหกรรมขุดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่มีมาก, เศรษฐกิจเติบโตเร็วเฉลี่ยถึง 26% ต่อปี มี GDP 1.66 ล้านล้านเหรียญสหรัฐถึงปี 2008 แต่หลังจากวิกฤตซับไพร์และราคาน้ำมันลดลง, GDP ลดลงเหลือ 1.22 ล้านล้านเหรียญในปี 2009 แต่กลับมาติดอันดับ 10 ของโลกในปี 2010 ที่ 1.52 ล้านล้านเหรียญ ปูตินเริ่มเชิดหน้าและเตือนว่า รัสเซียยังคงเป็นมหาอำนาจที่แข็งแกร่งไม่สามารถหยามได้ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Summarization | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1160 | Finance | นโยบายที่เด่น ๆ จากการประชุมสภาจีนประจำปี 2022 (China Two Sessions 2022) มีอะไรบ้าง | null | นโยบายที่เด่น ๆ จากการประชุมสภาจีนประจำปี 2022 (China Two Sessions 2022) ได้แก่
1. ตั้งเป้า GDP ปี 2022 โต 5.5% ท่ามกลางปัญหาหลากหลาย
2. ขอเป็นตัวกลางในสงคราม จีนขอเป็นตัวแทนเจรจาสงบศึกให้ความมั่นคงและการเติบโตอย่างยั่งยืนของโลกกลับมาอีกครั้ง แต่ยังเลี่ยงการวิจารณ์ต่อรัสเซีย แถมคัดค้านการ Sanction ซึ่งอ้างว่าไม่ช่วยอะไรและยังจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว
3. สนับสนุน Tech start-up พร้อมกับวางกฎระเบียบใหม่ให้บริษัท Tech รัฐบาลจีนไล่บีบบริษัท Tech หนักมากตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2020 และในการประชุมสภาก็ยังยืนยันว่าต้องทำต่อในปี 2022 เพื่อควบคุมความไม่มีระเบียบของการขยายทุนนิยมโดยไร้ความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในข้อผูกขาด ทางด้านนายกรัฐมนตรีปลอบใจนักลงทุนด้วยการบอกว่าสนับสนุนบริษัท Start-up เจ้าเล็กอยู่ โดยเฉพาะฝั่ง Hardware โดยเปิดตลาดหุ้นใหม่ Beijing Stock Exchange เพื่อให้ Start-up ระดมทุนง่ายขึ้น
4. ดัน e-commerce เมืองรอง ตามนโยบาย common prosperity เพื่อขยายโอกาสให้คนชนบทและเพิ่มกำลังการบริโภค
5. ขยายแท่นชาร์จ EV และ Battery swap station
6. ขยายการติดตั้งเสา 5G มีเป้าหมายจะติดตั้งเสาเพิ่ม 6 แสนต้น ทำให้ทั้งประเทศมีเสา 5G รวมกัน 2 ล้านต้น มากที่สุดในโลก และเริ่มมองไปยัง 6G แล้ว
7. ดัน Start-up Hardware เปิดตัวโครงการ little giants ที่รัฐบาลจะลงทุนในบริษัท Start-up Hardware เช่น Robotics, Automation, Industrial Software, Semiconductor, Aerospace Equipment, Marine Engineering Equipment, Advanced Railway Equipment, Electric Power Equipment, New Materials และ Biomedicine
8. ส่งเสริมให้มีลูกกันมากขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราเกิด ค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูเด็ก 3 คนจะสามารถนำมาลดภาษีได้ เปิดช่องให้คนมีลูกเยอะ ๆ และยังพยายามปรับปรุงโครงสร้างการศึกษาในประเทศเพื่อให้โอกาสเด็กจากครอบครัวรากหญ้ามากกว่าเดิม เช่น ปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนให้เท่าเทียม สั่งเลิกโรงเรียนกวดวิชาเอกชน
9. ไวรัสโควิดต้องเท่ากับ 0 สั่งปิดเมืองใหญ่ ๆ กันอีกแล้ว | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Open QA | cc-by-sa-4.0 |
Finance_1162 | Finance | กองทุนในพอร์ต GGG (Next-Generation Global Growth) มีกองทุนอะไรบ้าง | null | กองทุนในพอร์ต GGG (Next-Generation Global Growth) ได้แก่
- PRINCIPAL VNEQ-A
นโยบายกองทุน: กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัวในประเทศเวียดนาม และมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000%
ค่าธรรมเนียมขาย ไม่มี
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 2.3450%
- KFHHCARE-A
นโยบายกองทุน: – กองทุนหลัก JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทหมวดอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ โดยกองทุน KFFHCARE-A จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในหน่วยลงทุนชื่อ JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund, Class C (acc) – USD(กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมสุขภาพ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด/เกือบทั้งหมด)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 500 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 500 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000%
ค่าธรรมเนียมขาย ยังไม่เรียกเก็บ
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.0349%
- P-CGREEN
นโยบายกองทุน: เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF (กองทุนปลายทาง) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักจะเน้นติดตามผลการดำเนินงานของดัชนี MSCI China IMI Environment 10/40 ซึ่งเป็นดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทในประเทศจีนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) การพัฒนาและการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน (Sustainable Water) การออกแบบอาคารที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Green Building) การป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention) และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงของการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินในต่างประเทศ, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000%
ค่าธรรมเนียมขาย ไม่เรียกเก็บ
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.6993%
- MRENEW-A
นโยบายกองทุน: กองทุนเน้นลงทุนในกองทุน BGF Sustainable Energy Fund (กองทุนหลัก) ในชนิดหน่วยลงทุน (share class) “I2 USD” ในสกุลเงินเหรียญสหรัฐโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักจะลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่มีการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืน (sustainable energy companies) ทั่วโลก โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุดตัวในประเทศสหรัฐฯ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000%
ค่าธรรมเนียมขาย ไม่มี
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 2.0611%
- BCAP-CTECH
นโยบายกองทุน: เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศในบริษัทที่ดำเนินการและ/หรือมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน โดยเน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัวในประเทศจีน และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงบางส่วน)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 500 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 500 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ 0.8560%
ค่าธรรมเนียมขาย ยกเว้นไม่เรียกเก็บ
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 0.98765%
- TMB-ES-STARTECH
นโยบายกองทุน: กองทุนเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนต่างประเทศเพียงกองเดียว คือ กองทุน KraneShares SSE STAR Market 50 Index ETF (กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลตอบแทนเคลื่อนไหวตามดัชนี Shanghai Stock Exchange (SSE) Science and Technology Innovation Board 50 Index โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการที่กองทุนหลักอาจเข้าลงทุนในบางบริษัทที่เพิ่งเริ่มกิจการ, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.0000%
ค่าธรรมเนียมขาย ไม่มี
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.2531%
- ASP-DIGIBLOC
นโยบายกองทุน: กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets Companies) และ/หรือบริษัทที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจและ/หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัล และ/หรือบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: กองทุนรวมอาจมีการกระจุกตัวของการถือหน่วยลงทุนของบุคคลใดเกิน 1 ใน 3 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมด, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.25%
ค่าธรรมเนียมขาย ไม่มี
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี สูงสุดไม่เกิน 4.49%
- LHCYBER-A
นโยบายกองทุน: กองทุนมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ (หรือ “กองทุนหลัก (Master fund)”) ที่มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ดําเนินการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยจะลงทุนในกองทุนหลัก ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: กองทุนหลักมีสัดส่วนการลงทุนแบบกระจุกตัวในประเทศสหรัฐฯ, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 100 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000%
ค่าธรรมเนียมขาย ยกเว้น
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.632285%
- UHERO
นโยบายกองทุน: กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ Global X Video Games & Esports ETF (กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจวิดิโอเกมส์และอีสปอร์ต โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: กองทุนรวมอาจมีการกระจุกตัวของการถือหน่วยลงทุนของบุคคลใดเกิน 1 ใน 3 ของจํานวนหน่วยลงทุนทั้งหมด และมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,010 บาท (รวมค่าธรรมเนียม (ถ้ามี))
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: ไม่กำหนด
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ 0.5000%
ค่าธรรมเนียมขาย ยกเว้น
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 0.6741%
- KKP SEMICON-H
นโยบายกองทุน: กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหลักในต่างประเทศ เพียงกองทุนเดียว คือ iShares Semiconductor ETF (กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7
กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management)
ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: กองทุนหลักเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารทุนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก และมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด/เกือบทั้งหมด)
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท
มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท
ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ :
ค่าธรรมเนียมซื้อ ปัจจุบันยกเว้นถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565
ค่าธรรมเนียมขาย ปัจจุบันยกเว้น
ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 0.9416% | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |