title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
28
181k
raw
stringlengths
39
181k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนำเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนําเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กําหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนําเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กําหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมายที่ดินปี 2542 เชื่อช่วย “บู๊ส อัพ” เศรษฐกิจไทย สอดคล้องกลยุทธ์ "3แกน วันนี้ (15 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายรัฐมนตรี เผยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจําพวกเข้ามา อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสูงประเทศไทย ประกาศเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายน 2565 นี้ เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มที่ต้องการทํางานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สามารถพํานักและทํางานในประเทศไทยได้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ทําให้ไทยมีคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอให้กับภาคธุรกิอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริม สําหรับการให้สิทธิในการถือครองที่ดินของคนต่างชาตินั้น เป็นเพียงมาตรการหนึ่ง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีการนําเงินมาลงทุนในประเทศไทย กรมที่ดินอยู่ระหว่างการจัดทําร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงประเทศไทย พ.ศ. .... ตามมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมีหลักเกณฑ์สําคัญ คือ ต้องเป็นคนต่างด้าวตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสุดประเทศไทย นําเงินมาลงทุนไม่ต่ํากว่า 40 ล้านบาท และต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 3 ปี ในธุรกิจหรือกิจการประเภทที่กําหนด เช่น การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง การลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ ที่จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรม ในตลาดทุน พ.ศ. 2550 และหากคนต่างด้าวที่ประสงค์จะได้มาซึ่งที่ดิน อยู่ 2 เงื่อนไขสําคัญ คือ รวมไม่เกิน 1 ไร่ และใช้เป็นที่อยู่อาศัย เท่านั้น โดยสอดคล้องกับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายในปัจจุบัน โฆษกรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงข้อเท็จจริง ประเด็นมาตรการลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินหรืออาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท จะได้สิทธิลดหย่อนค่าธรรมเนียมจาก 2% เป็น 0.01% ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 18 มกราคม นั้น ใช้เฉพาะผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น ยีนยันว่า รัฐบาลไม่เคยมีแนวคิดจะให้คนต่างชาติใช้สิทธิในเรื่องนี้ นายธนกร ย้ําว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติผู้มีความมั่งคั่งสูง ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ ผู้ที่ต้องการทํางานจากประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญพิเศษ โดยวางเป้าหมาย ภายใน 5 ปีงบประมาณ 2565 - 2569 จะช่วยเพิ่มจํานวนชาวต่างชาติที่พักอาศัยในประเทศไทย 1 ล้านคนเพิ่มปริมาณเงินใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 1 ล้านล้านบาทเพิ่มการลงทุนในประเทศ 8 แสนล้านบาทและสร้างรายได้จากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น 2.7 แสนล้านบาท ซึ่งหนึ่งในมาตรการสําคัญ “บู๊ส อัพ” เศรษฐกิจไทยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ด้วยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงทั่วโลก เดินหน้าตามกลยุทธ์ "3แกน สร้างอนาคต” ของนายกรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างโอกาส เชื่อมไทย ช่วยผู้ประกอบการ ประชาชนและแรงงานในประเทศให้มีรายได้ต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนำเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนําเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กําหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนําเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กําหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมายที่ดินปี 2542 เชื่อช่วย “บู๊ส อัพ” เศรษฐกิจไทย สอดคล้องกลยุทธ์ "3แกน วันนี้ (15 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายรัฐมนตรี เผยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจําพวกเข้ามา อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสูงประเทศไทย ประกาศเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายน 2565 นี้ เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มที่ต้องการทํางานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สามารถพํานักและทํางานในประเทศไทยได้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ทําให้ไทยมีคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอให้กับภาคธุรกิอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริม สําหรับการให้สิทธิในการถือครองที่ดินของคนต่างชาตินั้น เป็นเพียงมาตรการหนึ่ง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีการนําเงินมาลงทุนในประเทศไทย กรมที่ดินอยู่ระหว่างการจัดทําร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงประเทศไทย พ.ศ. .... ตามมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมีหลักเกณฑ์สําคัญ คือ ต้องเป็นคนต่างด้าวตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสุดประเทศไทย นําเงินมาลงทุนไม่ต่ํากว่า 40 ล้านบาท และต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 3 ปี ในธุรกิจหรือกิจการประเภทที่กําหนด เช่น การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง การลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ ที่จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรม ในตลาดทุน พ.ศ. 2550 และหากคนต่างด้าวที่ประสงค์จะได้มาซึ่งที่ดิน อยู่ 2 เงื่อนไขสําคัญ คือ รวมไม่เกิน 1 ไร่ และใช้เป็นที่อยู่อาศัย เท่านั้น โดยสอดคล้องกับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายในปัจจุบัน โฆษกรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงข้อเท็จจริง ประเด็นมาตรการลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินหรืออาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท จะได้สิทธิลดหย่อนค่าธรรมเนียมจาก 2% เป็น 0.01% ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 18 มกราคม นั้น ใช้เฉพาะผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น ยีนยันว่า รัฐบาลไม่เคยมีแนวคิดจะให้คนต่างชาติใช้สิทธิในเรื่องนี้ นายธนกร ย้ําว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติผู้มีความมั่งคั่งสูง ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ ผู้ที่ต้องการทํางานจากประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญพิเศษ โดยวางเป้าหมาย ภายใน 5 ปีงบประมาณ 2565 - 2569 จะช่วยเพิ่มจํานวนชาวต่างชาติที่พักอาศัยในประเทศไทย 1 ล้านคนเพิ่มปริมาณเงินใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 1 ล้านล้านบาทเพิ่มการลงทุนในประเทศ 8 แสนล้านบาทและสร้างรายได้จากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น 2.7 แสนล้านบาท ซึ่งหนึ่งในมาตรการสําคัญ “บู๊ส อัพ” เศรษฐกิจไทยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ด้วยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงทั่วโลก เดินหน้าตามกลยุทธ์ "3แกน สร้างอนาคต” ของนายกรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างโอกาส เชื่อมไทย ช่วยผู้ประกอบการ ประชาชนและแรงงานในประเทศให้มีรายได้ต่อเนื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 ออมสินร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 ออมสิน คัดสุดยอดโปรโมชันร่วม Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษดอกเบี้ยสูงสุด 10.80% ต่อปี เทียบเท่าฝากประจํา 3.00% ต่อปี ดอกเบี้ยบ้านปีแรก 0.250% สินเชื่อ SMEs ดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดโปรโมชันน่าสนใจเข้าร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 อีกหนึ่งงานสําคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้อย่างทั่วถึงด้วยหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ผ่านปรน รวมถึงโปรโมชันเงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยจูงใจ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 108 ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 10.80% ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเท่ากับ 2.55% ต่อปี เทียบเท่าเงินฝากประจํา 3.00% ต่อปี และ สลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบมีใบสลาก) ได้ร่วมลุ้นเงินรางวัลพิเศษ 1 ล้านบาท จํานวน 10 รางวัล ซึ่งจะออกรางวัลในวันที่ 30 ธ.ค.64 ไม่นับรวมการออกรางวัลปกติรวม 24 ครั้ง มีรางวัลที่ 1 จํานวนเงิน 5,000,000 บาท โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลจะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนโปรโมชันไฮไลท์ในด้านสินเชื่อประกอบด้วย สินเชื่อเคหะดอกเบี้ยพิเศษ ปีแรก 0.250% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.250% ต่อปี ทั้งการซื้อ/ปลูกสร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม/รีไฟแนนซ์ โดยยกเว้นค่าจัดทํานิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ สินเชื่อ GSB Smooth BIZ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือลงทุนในธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชําระนานสูงสุด 10 ปี วงเงินกู้สูงสุดถึง 20 ล้านบาท สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน สําหรับธุรกิจ Small SMEs เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ หรือนําไปไถ่ถอนสัญญาขายฝาก ใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน วงเงินกู้สูงสุดร้อยละ 70 ของราคาประเมินราชการ วงเงินกู้ 300,000 บาท ถึง 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.99% ตลอดสัญญา พร้อมด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพ โดยเฉพาะสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อ SMEs สําหรับภาคการท่องเที่ยว และ สินเชื่อจํานําทะเบียนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ที่นําเงินไปใช้จ่ายหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่องในยามฉุกเฉิน ธนาคารจึงขอเชิญชวนลูกค้าและประชาชนผู้สนใจ เยี่ยมชมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ที่ CentralwOrld LIVE HALL ชั้น 8 และใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ ที่บูธธนาคารออมสิน ด้วยโปรโมชันน่าสนใจส่งท้ายปี 2564 โดยทุกธุรกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ มีของที่ระลึกและรางวัลพิเศษสุดเฉพาะลูกค้าในงานเท่านั้น.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 ออมสินร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 ออมสิน คัดสุดยอดโปรโมชันร่วม Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษดอกเบี้ยสูงสุด 10.80% ต่อปี เทียบเท่าฝากประจํา 3.00% ต่อปี ดอกเบี้ยบ้านปีแรก 0.250% สินเชื่อ SMEs ดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดโปรโมชันน่าสนใจเข้าร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 อีกหนึ่งงานสําคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้อย่างทั่วถึงด้วยหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ผ่านปรน รวมถึงโปรโมชันเงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยจูงใจ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 108 ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 10.80% ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเท่ากับ 2.55% ต่อปี เทียบเท่าเงินฝากประจํา 3.00% ต่อปี และ สลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบมีใบสลาก) ได้ร่วมลุ้นเงินรางวัลพิเศษ 1 ล้านบาท จํานวน 10 รางวัล ซึ่งจะออกรางวัลในวันที่ 30 ธ.ค.64 ไม่นับรวมการออกรางวัลปกติรวม 24 ครั้ง มีรางวัลที่ 1 จํานวนเงิน 5,000,000 บาท โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลจะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนโปรโมชันไฮไลท์ในด้านสินเชื่อประกอบด้วย สินเชื่อเคหะดอกเบี้ยพิเศษ ปีแรก 0.250% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.250% ต่อปี ทั้งการซื้อ/ปลูกสร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม/รีไฟแนนซ์ โดยยกเว้นค่าจัดทํานิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ สินเชื่อ GSB Smooth BIZ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือลงทุนในธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชําระนานสูงสุด 10 ปี วงเงินกู้สูงสุดถึง 20 ล้านบาท สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน สําหรับธุรกิจ Small SMEs เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ หรือนําไปไถ่ถอนสัญญาขายฝาก ใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน วงเงินกู้สูงสุดร้อยละ 70 ของราคาประเมินราชการ วงเงินกู้ 300,000 บาท ถึง 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.99% ตลอดสัญญา พร้อมด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพ โดยเฉพาะสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อ SMEs สําหรับภาคการท่องเที่ยว และ สินเชื่อจํานําทะเบียนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ที่นําเงินไปใช้จ่ายหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่องในยามฉุกเฉิน ธนาคารจึงขอเชิญชวนลูกค้าและประชาชนผู้สนใจ เยี่ยมชมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ที่ CentralwOrld LIVE HALL ชั้น 8 และใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ ที่บูธธนาคารออมสิน ด้วยโปรโมชันน่าสนใจส่งท้ายปี 2564 โดยทุกธุรกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ มีของที่ระลึกและรางวัลพิเศษสุดเฉพาะลูกค้าในงานเท่านั้น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49300
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจงผลงานขับเคลื่อนแผนชาติ ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ หลังประกาศใช้เป็นประเทศแรกในเอเชีย ยกร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชน
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 รัฐบาลแจงผลงานขับเคลื่อนแผนชาติ ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ หลังประกาศใช้เป็นประเทศแรกในเอเชีย ยกร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชน ไทยเป็นประเทศแรกในเอเซียที่ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อส่งเสริม คุ้มครอง ป้องกัน บรรเทา เยียวยา และแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการดําเนินธุรกิจ เร่งขับเคลื่อนมาตรการภาคบังคับและสมัครใจ วันที่ 6 มกราคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562-2565) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อ 29 ต.ค. 2562 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเซีย และเป็นหนึ่งใน 30 ประเทศของโลก ที่ได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจ และประชาสังคม ดําเนินการส่งเสริม คุ้มครอง ป้องกัน บรรเทา เยียวยา และแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเป็นผลจากการทําธุรกิจ ส่งเสริมการดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ในการนี้ รัฐบาลมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการขับเคลื่อนร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ โดยมีผลการดําเนินงานในช่วงครึ่งแรกของแผนฯ ประเด็นหลัก ๆใน 4 ด้าน ดังนี้ ด้านแรงงาน: 1) การกําหนดมาตรการลดหย่อนภาษีให้ภาคธุรกิจที่จ้างงานผู้พ้นโทษ 2) การบริหารจัดการแรงงานในช่วงสถานการณ์ COVID-19 3) การประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ ส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และการขจัดการเลือกปฏิบัติในที่ทํางาน ด้านชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม: 1) การกําหนดให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูลการดําเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนในรูปแบบ OneReport 2) การจัดตั้งศูนย์ ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ 3) กําหนดให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคม ได้รับการส่งเสริมในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้านนักปกป้องสิทธิมนษุยชน: 1) การยกร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ 2) การเสนอแก้ไข พ.ร.บ. คุ้มครองพยาน ในคดีอาญา เพื่อขยายขอบเขตบคุคลที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ฯ 3) การศึกษามาตรการที่เป็นรูปธรรมในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ: 1) การเพิ่มเงื่อนไขในการตรวจประเมินสิทธิมนุษยชน ก่อนการให้เงินกู้สําหรับดําเนินโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน 2) การลงนามและดําเนินการตาม MOU ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ยึดถือหลักการเงินที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Financing) และส่งเสริมหลักการ สิ่งแวดล้อม-สังคม-ธรรมาภิบาล 4) การจัดทํารูปแบบสัญญามาตรฐานที่เพิ่มประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะต้องพิจารณาเมื่อมีการเจรจาการค้าหรือการลงทุน นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามการดําเนินงานให้เป็นตามเป้าหมายของแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เสริมสร้างการทํางานภาคีเครือข่ายร่วมกัน ยกระดับให้ประเทศไทยมีหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชนที่ทัดเทียมกับสากล ท้ายที่สุดส่งผลให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มั่นคง ปลอดภัย อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และท่านนายกฯ ยังได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนการทํางานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ มีการดําเนินการ อาทิ ออกคําแถลงนโยบายด้านการเคารพสิทธิมนุษยชนขององค์กร กําหนดแนวปฏิบัติของในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปลูกฝังความรับผิดชอบและสร้างความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนในองค์กร ทั้งนี้รัฐบาลจะเร่งขยายผลต่อยอดการปฎิบัติตามแผนฯ ในภาคธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจงผลงานขับเคลื่อนแผนชาติ ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ หลังประกาศใช้เป็นประเทศแรกในเอเชีย ยกร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชน วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 รัฐบาลแจงผลงานขับเคลื่อนแผนชาติ ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ หลังประกาศใช้เป็นประเทศแรกในเอเชีย ยกร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชน ไทยเป็นประเทศแรกในเอเซียที่ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อส่งเสริม คุ้มครอง ป้องกัน บรรเทา เยียวยา และแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการดําเนินธุรกิจ เร่งขับเคลื่อนมาตรการภาคบังคับและสมัครใจ วันที่ 6 มกราคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562-2565) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อ 29 ต.ค. 2562 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเซีย และเป็นหนึ่งใน 30 ประเทศของโลก ที่ได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจ และประชาสังคม ดําเนินการส่งเสริม คุ้มครอง ป้องกัน บรรเทา เยียวยา และแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเป็นผลจากการทําธุรกิจ ส่งเสริมการดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ในการนี้ รัฐบาลมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการขับเคลื่อนร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ โดยมีผลการดําเนินงานในช่วงครึ่งแรกของแผนฯ ประเด็นหลัก ๆใน 4 ด้าน ดังนี้ ด้านแรงงาน: 1) การกําหนดมาตรการลดหย่อนภาษีให้ภาคธุรกิจที่จ้างงานผู้พ้นโทษ 2) การบริหารจัดการแรงงานในช่วงสถานการณ์ COVID-19 3) การประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ ส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และการขจัดการเลือกปฏิบัติในที่ทํางาน ด้านชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม: 1) การกําหนดให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูลการดําเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนในรูปแบบ OneReport 2) การจัดตั้งศูนย์ ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ 3) กําหนดให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคม ได้รับการส่งเสริมในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้านนักปกป้องสิทธิมนษุยชน: 1) การยกร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ 2) การเสนอแก้ไข พ.ร.บ. คุ้มครองพยาน ในคดีอาญา เพื่อขยายขอบเขตบคุคลที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ฯ 3) การศึกษามาตรการที่เป็นรูปธรรมในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ: 1) การเพิ่มเงื่อนไขในการตรวจประเมินสิทธิมนุษยชน ก่อนการให้เงินกู้สําหรับดําเนินโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน 2) การลงนามและดําเนินการตาม MOU ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ยึดถือหลักการเงินที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Financing) และส่งเสริมหลักการ สิ่งแวดล้อม-สังคม-ธรรมาภิบาล 4) การจัดทํารูปแบบสัญญามาตรฐานที่เพิ่มประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะต้องพิจารณาเมื่อมีการเจรจาการค้าหรือการลงทุน นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามการดําเนินงานให้เป็นตามเป้าหมายของแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เสริมสร้างการทํางานภาคีเครือข่ายร่วมกัน ยกระดับให้ประเทศไทยมีหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชนที่ทัดเทียมกับสากล ท้ายที่สุดส่งผลให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มั่นคง ปลอดภัย อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และท่านนายกฯ ยังได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนการทํางานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ มีการดําเนินการ อาทิ ออกคําแถลงนโยบายด้านการเคารพสิทธิมนุษยชนขององค์กร กําหนดแนวปฏิบัติของในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปลูกฝังความรับผิดชอบและสร้างความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนในองค์กร ทั้งนี้รัฐบาลจะเร่งขยายผลต่อยอดการปฎิบัติตามแผนฯ ในภาคธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50253
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เปิดใช้เครื่องฉายรังสีประสิทธิภาพสูงแห่งแรกจากงบประมาณรัฐบาลให้ 7 โรงพยาบาล
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 “อนุทิน” เปิดใช้เครื่องฉายรังสีประสิทธิภาพสูงแห่งแรกจากงบประมาณรัฐบาลให้ 7 โรงพยาบาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการใช้เครื่องฉายรังสี LINACสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้บริการได้ 40 – 50 รายต่อวัน เป็นแห่งแรกใน 7 โรงพยาบาลที่ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลตามโครงการลดผลกระทบโควิด 19 วงเงิน 878.20 ล้านบาท รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการใช้เครื่องฉายรังสี LINACสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้บริการได้ 40 – 50 รายต่อวัน เป็นแห่งแรกใน 7 โรงพยาบาลที่ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลตามโครงการลดผลกระทบโควิด 19 วงเงิน 878.20 ล้านบาท มีแขนกลฉายรังสีได้หลายทิศทาง เคลื่อนที่ได้เกือบรอบตัวผู้ป่วย ความแม่นยําสูง ลดระยะเวลารักษา ลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อ วันนี้ (13 กันยายน 2564) ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดการใช้เครื่องฉายรังสีสําหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 โดยมีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อํานวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เข้าร่วม นายอนุทินกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จัดซื้อเครื่องฉายรังสี LINAC วงเงิน 878.20 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสําหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้แก่โรงพยาบาล 7 แห่ง ได้แก่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลพุทธชินราชพิษณุโลก โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลสุรินทร์ และโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ทําให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงการฉายรังสีได้สะดวกมากขึ้นและสนับสนุนโครงการมะเร็งรักษาได้ทุกที่ (Cancer Any Where) โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างและติดตั้งแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยมะเร็งด้วยเครื่องฉายรังสี LINAC เป็นหน่วยงานแรกใน 7 โรงพยาบาล ให้บริการได้ 40–50 รายต่อวัน “การรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นสิ่งสําคัญที่จะสามารถเพิ่มศักยภาพการรักษาโรคมะเร็ง ลดระยะเวลาการฉายรังสีในผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากนี้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติยังมีระบบวางแผนรังสีรักษาทางไกลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษา ทําให้ไม่มีข้อจํากัดของระยะทาง ถือเป็น New Normal การแพทย์วิถีใหม่ ทําให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับการฉายรังสีได้อย่างรวดเร็ว การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น” นายอนุทินกล่าว ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เครื่องเร่งอนุภาคพลังงานสูงชนิดแปรความเชิงปริมาตร (Linear Accelerator Volumetric Modulated Arc Therapy) หรือ LINAC เป็นเครื่องฉายรังสีที่มีแขนกลฉายรังสีได้หลายทิศทาง เคลื่อนที่ได้เกือบรอบตัวผู้ป่วย มีการเพิ่มระบบอุปกรณ์ในการกําบังรังสีและกําหนดรูปร่างเพื่อปรับความเข้มของลํารังสี ทําให้สร้างรูปร่างของลํารังสีในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างอิสระ และมีการเพิ่มระบบติดตามเป้าหมายที่มีการเคลื่อนที่ตามการหายใจ เช่น ก้อนในปอด ก้อนในตับได้อย่างแม่นยํา ให้ความเข้มของรังสีได้สูง รวดเร็ว มีการกระจายของรังสีไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงน้อย ถือเป็นการรักษาที่มีความซับซ้อนและมีความละเอียดสูง ************************************ 13 กันยายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เปิดใช้เครื่องฉายรังสีประสิทธิภาพสูงแห่งแรกจากงบประมาณรัฐบาลให้ 7 โรงพยาบาล วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 “อนุทิน” เปิดใช้เครื่องฉายรังสีประสิทธิภาพสูงแห่งแรกจากงบประมาณรัฐบาลให้ 7 โรงพยาบาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการใช้เครื่องฉายรังสี LINACสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้บริการได้ 40 – 50 รายต่อวัน เป็นแห่งแรกใน 7 โรงพยาบาลที่ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลตามโครงการลดผลกระทบโควิด 19 วงเงิน 878.20 ล้านบาท รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการใช้เครื่องฉายรังสี LINACสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้บริการได้ 40 – 50 รายต่อวัน เป็นแห่งแรกใน 7 โรงพยาบาลที่ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลตามโครงการลดผลกระทบโควิด 19 วงเงิน 878.20 ล้านบาท มีแขนกลฉายรังสีได้หลายทิศทาง เคลื่อนที่ได้เกือบรอบตัวผู้ป่วย ความแม่นยําสูง ลดระยะเวลารักษา ลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อ วันนี้ (13 กันยายน 2564) ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดการใช้เครื่องฉายรังสีสําหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 โดยมีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อํานวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เข้าร่วม นายอนุทินกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จัดซื้อเครื่องฉายรังสี LINAC วงเงิน 878.20 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสําหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้แก่โรงพยาบาล 7 แห่ง ได้แก่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลพุทธชินราชพิษณุโลก โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลสุรินทร์ และโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ทําให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงการฉายรังสีได้สะดวกมากขึ้นและสนับสนุนโครงการมะเร็งรักษาได้ทุกที่ (Cancer Any Where) โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างและติดตั้งแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยมะเร็งด้วยเครื่องฉายรังสี LINAC เป็นหน่วยงานแรกใน 7 โรงพยาบาล ให้บริการได้ 40–50 รายต่อวัน “การรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นสิ่งสําคัญที่จะสามารถเพิ่มศักยภาพการรักษาโรคมะเร็ง ลดระยะเวลาการฉายรังสีในผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากนี้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติยังมีระบบวางแผนรังสีรักษาทางไกลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษา ทําให้ไม่มีข้อจํากัดของระยะทาง ถือเป็น New Normal การแพทย์วิถีใหม่ ทําให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับการฉายรังสีได้อย่างรวดเร็ว การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น” นายอนุทินกล่าว ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เครื่องเร่งอนุภาคพลังงานสูงชนิดแปรความเชิงปริมาตร (Linear Accelerator Volumetric Modulated Arc Therapy) หรือ LINAC เป็นเครื่องฉายรังสีที่มีแขนกลฉายรังสีได้หลายทิศทาง เคลื่อนที่ได้เกือบรอบตัวผู้ป่วย มีการเพิ่มระบบอุปกรณ์ในการกําบังรังสีและกําหนดรูปร่างเพื่อปรับความเข้มของลํารังสี ทําให้สร้างรูปร่างของลํารังสีในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างอิสระ และมีการเพิ่มระบบติดตามเป้าหมายที่มีการเคลื่อนที่ตามการหายใจ เช่น ก้อนในปอด ก้อนในตับได้อย่างแม่นยํา ให้ความเข้มของรังสีได้สูง รวดเร็ว มีการกระจายของรังสีไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงน้อย ถือเป็นการรักษาที่มีความซับซ้อนและมีความละเอียดสูง ************************************ 13 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ประธานฟรุ้ทบอร์ดปฏิรูปกลไกบริหารจัดการผลไม้ครั้งใหญ่
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2564 “เฉลิมชัย” ประธานฟรุ้ทบอร์ดปฏิรูปกลไกบริหารจัดการผลไม้ครั้งใหญ่ วาง 3 กระทรวง “เกษตร-อุตสาหกรรม-พาณิชย์” รับผิดชอบการผลิตการแปรรูปการตลาด พร้อมเห็นชอบแผนและงบประมาณปี 2565 และตั้งทีมขับเคลื่อนศูนย์บริหารจัดการมหานครผลไม้และสนามบินจันทบุรีมอบ “อลงกรณ์” เป็นประธาน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุ้ทบอร์ด) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) Application ZOOM Cloud Meetings เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา พร้อมด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.สมบัติ ตงเต๊า รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายอนันต์ แก้วกําเนิด รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนผู้ประกอบการ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนเกษตรกรชาวสวนผลไม้ และนายขจร เราประเสริฐ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ร่วมกันหารือประชุมขับเคลื่อน โดยมีประเด็นผลการดําเนินงานการบริหารจัดการผลไม้ในรอบฤดูกาลผลิตที่ 2/2564 ทั่วประเทศ ผลการจัดประชุมกลุ่มย่อย Focus group เพื่อวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบ คําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทํางาน ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ มาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2565 โดย กระทรวงพาณิชย์ และร่วมกันพิจารณาโครงการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2565 ที่เสนอโดยสํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ตามยุทธศาสตร์ “ตลาดนําการผลิต” และนโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ต่อไป สําหรับ การบริหารจัดการผลไม้ปี 2564 ของภาคเหนือ (ลําไย) และภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ในภาพรวมสอดคล้องกับแนวทางบริหารจัดการผลไม้ปี 2564 - 2566 โดยจังหวัดสามารถบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จด้วยตัวเอง โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการเพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ในเชิงคุณภาพสอดคล้องตามยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ.2558 - 2564 และในเชิงปริมาณที่เน้นการจัดสมดุลอุปสงค์และอุปทาน โดยผลไม้ภาคเหนือ (ลําไย) ปริมาณ 671,308 ตัน และผลไม้ภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ปริมาณ 785,459 ตัน มีการกระจายผลผลิตผ่านกลไกตลาดปกติ โดย คพจ. และเกษตรกรสามารถจําหน่ายผลผลิตในราคาไม่ต่ํากว่าราคาต้นทุนการผลิต และราคาเฉลี่ยของผลผลิตตลอดฤดูกาลสูงกว่าราคาต้นทุนการผลิตไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 นายอลงกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ได้กระทบต่อแผนการบริหารจัดการผลไม้ทําให้ทั้งการส่งออก การแปรรูป และการกระจายในประเทศ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนนั้น ได้มีการจัด Focus group วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้ โดยร่วมกันระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเชิงตั้งข้อสังเกตถึง “ปัญหาและอุปสรรค” (Pain Point) ใน ประเด็นโครงสร้าง ระบบ และการบริหารจัดการ Fruit Board ประเด็นกลไกการทํางานในภาวะวิกฤต ประเด็นแผนงาน โครงการ และงบประมาณ รวมไปถึงแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มและแบรนดิ้ง (Branding) ผลไม้ การพัฒนากลไกการค้าผลไม้และการตลาดเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ การบริหารจัดการล้ง การบริหารจัดการระดับ Area based ผลไม้ภาคตะวันออก-ใต้-ใต้ชายแดน การบริหารจัดการระดับ Area based ผลไม้ภาคเหนือ การจัดการปัญหาและอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้รายสินค้า (ทุเรียน, ลําไย, มังคุด, เงาะ, ลองกอง และมะม่วง) โดยข้อมูลดังกล่าวได้ให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร รับทราบและพิจารณาใช้ประโยชน์ และนํามาวางแผนเพื่อรับมือวิกฤติการณ์ในรูปแบบต่างๆ ในอนาคต ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ รับทราบคําสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานฟรุ้ทบอร์ดในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทํางาน ครอบคลุมทั้งระบบ ประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ 1) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลิต 2) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า 3) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการตลาด 4) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลไม้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลไม้ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคอื่นๆ 2. คณะทํางานภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ 1) คณะทํางานพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ 2) คณะทํางานศึกษาเสถียรภาพกลุ่มสินค้าลําไย 3) คณะทํางานศึกษาเสถียรภาพกลุ่มสินค้าทุเรียน 4) คณะทํางานแก้ไขปัญหาผลไม้ล่วงหน้าทั้งระบบ ในด้านการรองรับและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นประกอบกับภาพรวมผลไม้ไทยจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3,500,000 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 8% โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้กําหนด 17 มาตรการรองรับผลไม้ ปี 2565 ล่วงหน้า 6 เดือน ประกอบด้วย 1.มาตรการเร่งรัดตรวจและรับรอง GAP ซึ่งมีเป้าหมายในปี 2565 ไม่ต่ํากว่า 120,000 แปลง 2.มาตรการช่วยผู้ประกอบการหรือเกษตรกรหรือล้งกระจายผลผลิตผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท ปริมาณ 80,000 ตัน 3.มาตรการเสริมสภาพคล่องให้ผู้ส่งออกโดยจะช่วยเหลือดอกเบี้ยร้อยละ 3 และช่วยผู้ส่งออกที่ส่งออกผลไม้อีกกิโลกรัมละ 5 บาท ปริมาณ 60,000 ตัน 4. กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตร สนับสนุนให้มีการใช้พระราชบัญญัติเกษตรพันธสัญญา การทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้านผลไม้ โดยจะสนับสนุนให้มีการทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเกษตรกรได้ทราบว่าขายผลไม้ได้เท่าไหร่ มีคนซื้อที่มีหลักประกัน เซ็นสัญญาตามกฎหมายชัดเจนไม่ต่ํากว่า 30,000 ตัน 5. มาตรการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ในประเทศ ประสานงานกับสายการบินต่างๆ เปิดโอกาสให้โหลดผลไม้ขึ้นเครื่องบินในประเทศไทยฟรี 25 กิโลกรัม ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2565 เป็นต้นไป 6. มาตรการช่วยสนับสนุนกล่อง พร้อมค่าจัดส่งผลไม้ที่ขายตรงจากเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ไปยังผู้บริโภคโดยตรงโดยสนับสนุนกล่องมากขึ้นกว่าปี 2564 ที่สนับสนุน 200,000 กล่อง ปี 2565 จะสนับสนุนถึง 300,000 กล่อง 7. ในช่วงที่ผลไม้ออกเยอะ กระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนให้มีรถเร่ รถโมบาย ไปรับซื้อผลไม้และนําออกจําหน่ายสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยปี 2557 จะสนับสนุนที่ 15,000 ตัน 8. ประสานงานกับห้างท้องถิ่นและปั๊มน้ํามันต่างๆ เปิดพื้นที่ระบายผลไม้ให้กับเกษตรกรโดยเพิ่มปริมาณจากปี 2564 ที่ช่วย 1,500 ตัน ปี 2565 จะเพิ่มเป็น 5,000 ตัน 9. จะทําเซลล์โปรโมชั่นในการส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศซึ่งใช้ชื่อโครงการ Thai Fruits Golden Months ดําเนินการในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ 12 เมือง เช่นเดียวกับปี 2564 ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้ผลดีมาก 10. จะจัดการเจรจาจับคู่ซื้อขายผลไม้ทางธุรกิจในระบบออนไลน์หรือที่เรียกว่า OBM มุ่งเน้นตลาดใหม่ เช่น อินเดียและรัสเซียเป็นต้น 11. จะส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศในรูปแบบ THAIFEX – Anuga Asia จัดงานส่งเสริมการบริโภคผลไม้ระดับนานาชาติ ช่วงเดือนพฤษภาคม 65 ที่ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี 12. เร่งจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็น 5 ภาษา เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทย 13. จะจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกษตรกรกลุ่มเกษตรกรในเรื่องของการค้าออนไลน์เพื่อขายตรงให้กับผู้บริโภคและจะเพิ่มเติมหลักสูตรการส่งออกเบื้องต้นให้ด้วย ตั้งเป้าอบรมเกษตรกรให้ได้อย่างน้อย 1,000 ราย 14. มาตรการขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายแรงงาน เพื่อให้สามารถดําเนินการเก็บผลไม้และส่งเสริมการขายผลไม้ได้ต่อไป 15. ในบางช่วงที่ขาดแคลนแรงงาน ให้ กอ.รมน.ส่งกําลังพลเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวและขนย้ายผลไม้ 16.กระทรวงพาณิชย์จะสั่งการให้ทีมเซลล์แมนจังหวัดและทีมเซลล์แมนประเทศประสานงานกันช่วยระบายผลไม้ของเกษตรกรทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศต่อไป ให้มีความเข้มข้นขึ้น และ 17. กระทรวงพาณิชย์และจังหวัดจะบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายผลไม้ที่มีคุณภาพ และได้ราคาดีไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าและกฎหมายชั่งตวงวัดโดยเคร่งครัดต่อไป พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบ โครงการบริหารจัดการผลไม้ 2565 เสนอโดยสํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ประกอบด้วย งบประมาณ เงินจ่ายขาด จํานวนเงิน 113.13726 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงิน 109.842 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนค่าบริหารจัดการกระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต และวงเงิน 3.29526 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินการและติดตามกํากับดูแลของ หน่วยงาน นายอลงกรณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการ fruit Board ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ และ คณะทํางานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้จัดตั้งตามโครงสร้างใหม่นําเสนอแผนงานโครงการและงบประมาณเพื่อ ขับเคลื่อนการบริหารจัดการผลไม้ในการประชุมคราวหน้า นอกจากนี้ Fruit Board ยังมีมติจัดตั้งคณะทํางานศึกษาโครงการศูนย์บริหารจัดการมหานครผลไม้และสนามบินจังหวัดจันทบุรี โดยให้นําเสนอผลการพิจารณาในการประชุมฟรุ้ทบอร์ดครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ประธานฟรุ้ทบอร์ดปฏิรูปกลไกบริหารจัดการผลไม้ครั้งใหญ่ วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม 2564 “เฉลิมชัย” ประธานฟรุ้ทบอร์ดปฏิรูปกลไกบริหารจัดการผลไม้ครั้งใหญ่ วาง 3 กระทรวง “เกษตร-อุตสาหกรรม-พาณิชย์” รับผิดชอบการผลิตการแปรรูปการตลาด พร้อมเห็นชอบแผนและงบประมาณปี 2565 และตั้งทีมขับเคลื่อนศูนย์บริหารจัดการมหานครผลไม้และสนามบินจันทบุรีมอบ “อลงกรณ์” เป็นประธาน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุ้ทบอร์ด) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) Application ZOOM Cloud Meetings เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา พร้อมด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.สมบัติ ตงเต๊า รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายอนันต์ แก้วกําเนิด รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนผู้ประกอบการ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนเกษตรกรชาวสวนผลไม้ และนายขจร เราประเสริฐ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ร่วมกันหารือประชุมขับเคลื่อน โดยมีประเด็นผลการดําเนินงานการบริหารจัดการผลไม้ในรอบฤดูกาลผลิตที่ 2/2564 ทั่วประเทศ ผลการจัดประชุมกลุ่มย่อย Focus group เพื่อวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบ คําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทํางาน ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ มาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2565 โดย กระทรวงพาณิชย์ และร่วมกันพิจารณาโครงการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2565 ที่เสนอโดยสํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ตามยุทธศาสตร์ “ตลาดนําการผลิต” และนโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ต่อไป สําหรับ การบริหารจัดการผลไม้ปี 2564 ของภาคเหนือ (ลําไย) และภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ในภาพรวมสอดคล้องกับแนวทางบริหารจัดการผลไม้ปี 2564 - 2566 โดยจังหวัดสามารถบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จด้วยตัวเอง โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการเพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ในเชิงคุณภาพสอดคล้องตามยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ.2558 - 2564 และในเชิงปริมาณที่เน้นการจัดสมดุลอุปสงค์และอุปทาน โดยผลไม้ภาคเหนือ (ลําไย) ปริมาณ 671,308 ตัน และผลไม้ภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ปริมาณ 785,459 ตัน มีการกระจายผลผลิตผ่านกลไกตลาดปกติ โดย คพจ. และเกษตรกรสามารถจําหน่ายผลผลิตในราคาไม่ต่ํากว่าราคาต้นทุนการผลิต และราคาเฉลี่ยของผลผลิตตลอดฤดูกาลสูงกว่าราคาต้นทุนการผลิตไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 นายอลงกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ได้กระทบต่อแผนการบริหารจัดการผลไม้ทําให้ทั้งการส่งออก การแปรรูป และการกระจายในประเทศ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนนั้น ได้มีการจัด Focus group วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้ โดยร่วมกันระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเชิงตั้งข้อสังเกตถึง “ปัญหาและอุปสรรค” (Pain Point) ใน ประเด็นโครงสร้าง ระบบ และการบริหารจัดการ Fruit Board ประเด็นกลไกการทํางานในภาวะวิกฤต ประเด็นแผนงาน โครงการ และงบประมาณ รวมไปถึงแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มและแบรนดิ้ง (Branding) ผลไม้ การพัฒนากลไกการค้าผลไม้และการตลาดเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ การบริหารจัดการล้ง การบริหารจัดการระดับ Area based ผลไม้ภาคตะวันออก-ใต้-ใต้ชายแดน การบริหารจัดการระดับ Area based ผลไม้ภาคเหนือ การจัดการปัญหาและอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้รายสินค้า (ทุเรียน, ลําไย, มังคุด, เงาะ, ลองกอง และมะม่วง) โดยข้อมูลดังกล่าวได้ให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร รับทราบและพิจารณาใช้ประโยชน์ และนํามาวางแผนเพื่อรับมือวิกฤติการณ์ในรูปแบบต่างๆ ในอนาคต ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ รับทราบคําสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานฟรุ้ทบอร์ดในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทํางาน ครอบคลุมทั้งระบบ ประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ 1) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลิต 2) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า 3) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการตลาด 4) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลไม้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลไม้ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคอื่นๆ 2. คณะทํางานภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ 1) คณะทํางานพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ 2) คณะทํางานศึกษาเสถียรภาพกลุ่มสินค้าลําไย 3) คณะทํางานศึกษาเสถียรภาพกลุ่มสินค้าทุเรียน 4) คณะทํางานแก้ไขปัญหาผลไม้ล่วงหน้าทั้งระบบ ในด้านการรองรับและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นประกอบกับภาพรวมผลไม้ไทยจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3,500,000 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 8% โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้กําหนด 17 มาตรการรองรับผลไม้ ปี 2565 ล่วงหน้า 6 เดือน ประกอบด้วย 1.มาตรการเร่งรัดตรวจและรับรอง GAP ซึ่งมีเป้าหมายในปี 2565 ไม่ต่ํากว่า 120,000 แปลง 2.มาตรการช่วยผู้ประกอบการหรือเกษตรกรหรือล้งกระจายผลผลิตผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท ปริมาณ 80,000 ตัน 3.มาตรการเสริมสภาพคล่องให้ผู้ส่งออกโดยจะช่วยเหลือดอกเบี้ยร้อยละ 3 และช่วยผู้ส่งออกที่ส่งออกผลไม้อีกกิโลกรัมละ 5 บาท ปริมาณ 60,000 ตัน 4. กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตร สนับสนุนให้มีการใช้พระราชบัญญัติเกษตรพันธสัญญา การทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้านผลไม้ โดยจะสนับสนุนให้มีการทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเกษตรกรได้ทราบว่าขายผลไม้ได้เท่าไหร่ มีคนซื้อที่มีหลักประกัน เซ็นสัญญาตามกฎหมายชัดเจนไม่ต่ํากว่า 30,000 ตัน 5. มาตรการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ในประเทศ ประสานงานกับสายการบินต่างๆ เปิดโอกาสให้โหลดผลไม้ขึ้นเครื่องบินในประเทศไทยฟรี 25 กิโลกรัม ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2565 เป็นต้นไป 6. มาตรการช่วยสนับสนุนกล่อง พร้อมค่าจัดส่งผลไม้ที่ขายตรงจากเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ไปยังผู้บริโภคโดยตรงโดยสนับสนุนกล่องมากขึ้นกว่าปี 2564 ที่สนับสนุน 200,000 กล่อง ปี 2565 จะสนับสนุนถึง 300,000 กล่อง 7. ในช่วงที่ผลไม้ออกเยอะ กระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนให้มีรถเร่ รถโมบาย ไปรับซื้อผลไม้และนําออกจําหน่ายสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยปี 2557 จะสนับสนุนที่ 15,000 ตัน 8. ประสานงานกับห้างท้องถิ่นและปั๊มน้ํามันต่างๆ เปิดพื้นที่ระบายผลไม้ให้กับเกษตรกรโดยเพิ่มปริมาณจากปี 2564 ที่ช่วย 1,500 ตัน ปี 2565 จะเพิ่มเป็น 5,000 ตัน 9. จะทําเซลล์โปรโมชั่นในการส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศซึ่งใช้ชื่อโครงการ Thai Fruits Golden Months ดําเนินการในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ 12 เมือง เช่นเดียวกับปี 2564 ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้ผลดีมาก 10. จะจัดการเจรจาจับคู่ซื้อขายผลไม้ทางธุรกิจในระบบออนไลน์หรือที่เรียกว่า OBM มุ่งเน้นตลาดใหม่ เช่น อินเดียและรัสเซียเป็นต้น 11. จะส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศในรูปแบบ THAIFEX – Anuga Asia จัดงานส่งเสริมการบริโภคผลไม้ระดับนานาชาติ ช่วงเดือนพฤษภาคม 65 ที่ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี 12. เร่งจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็น 5 ภาษา เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทย 13. จะจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกษตรกรกลุ่มเกษตรกรในเรื่องของการค้าออนไลน์เพื่อขายตรงให้กับผู้บริโภคและจะเพิ่มเติมหลักสูตรการส่งออกเบื้องต้นให้ด้วย ตั้งเป้าอบรมเกษตรกรให้ได้อย่างน้อย 1,000 ราย 14. มาตรการขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายแรงงาน เพื่อให้สามารถดําเนินการเก็บผลไม้และส่งเสริมการขายผลไม้ได้ต่อไป 15. ในบางช่วงที่ขาดแคลนแรงงาน ให้ กอ.รมน.ส่งกําลังพลเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวและขนย้ายผลไม้ 16.กระทรวงพาณิชย์จะสั่งการให้ทีมเซลล์แมนจังหวัดและทีมเซลล์แมนประเทศประสานงานกันช่วยระบายผลไม้ของเกษตรกรทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศต่อไป ให้มีความเข้มข้นขึ้น และ 17. กระทรวงพาณิชย์และจังหวัดจะบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายผลไม้ที่มีคุณภาพ และได้ราคาดีไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าและกฎหมายชั่งตวงวัดโดยเคร่งครัดต่อไป พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบ โครงการบริหารจัดการผลไม้ 2565 เสนอโดยสํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ประกอบด้วย งบประมาณ เงินจ่ายขาด จํานวนเงิน 113.13726 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงิน 109.842 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนค่าบริหารจัดการกระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต และวงเงิน 3.29526 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินการและติดตามกํากับดูแลของ หน่วยงาน นายอลงกรณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการ fruit Board ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ และ คณะทํางานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้จัดตั้งตามโครงสร้างใหม่นําเสนอแผนงานโครงการและงบประมาณเพื่อ ขับเคลื่อนการบริหารจัดการผลไม้ในการประชุมคราวหน้า นอกจากนี้ Fruit Board ยังมีมติจัดตั้งคณะทํางานศึกษาโครงการศูนย์บริหารจัดการมหานครผลไม้และสนามบินจังหวัดจันทบุรี โดยให้นําเสนอผลการพิจารณาในการประชุมฟรุ้ทบอร์ดครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA
วันอังคารที่ 15 มิถุนายน 2564 Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA June 14, 2021, at 1500hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Christian Rehren Bargetto, Ambassador of the Republic of Chile to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his completion of tenure in Thailand. Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister thanked the Ambassador for his active role in deepening relations between Thailand and Chile. As the year 2022 will mark the 60thanniversary of diplomatic relations between the two countries, Thailand hopes to further strengthen relations and cooperation with Chile. He also conveyed his regards to President Sebastián Piñera, and congratulated Chile’s successful chairmanship of the Pacific Alliance (PA), which has contributed to the region’s effective economic rehabilitation through the development of digital economy and free trade promotion. The Ambassador expressed pleasure to have been tenured in Thailand. Throughout the 3-year tenure, he has been well cooperated by the Thai Government and other sectors in the country for the best interest of both Thailand and Chile. He also commended Thailand’s approach and response to the COVID-19 situation, especially the Phuket Sandbox scheme, which could be a model for the reopening of the country to foreign tourists in an efficient manner. The Chilean Ambassador affirmed his intention to continue promoting Thailand-Chile cooperation, especially post COVID-19 economic cooperation even after his tenure completion. Both parties came to terms to promote cooperation through existing bilateral mechanism, i.e., FTA, which would be an opportunity to increase mutual trade value and product diversification. The Prime Minister mentioned the Thai Government’s policy on sustainable economic rehabilitation through investment promotion in the Eastern Economic Corridor (EEC), and in environmental-friendly areas and alternative energy under the BCG principle. He also endorsed the cooperation between Thailand’s National Innovation Agency and Chilean Production Development Agency (CORFO) on startup promotion. The Chilean Ambassador would also like to promote the cooperation on fishery and quinoa cultivation to help increase Thai farmers’ revenue. With regard to the cooperation under ASEAN framework, Thailand endorses Chile’s policy to deepen relations with ASEAN through the Pacific Alliance (PA) and Forum for East Asia (FEALAC) in a bid to link the Asian region with Latin American counterpart.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA วันอังคารที่ 15 มิถุนายน 2564 Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA June 14, 2021, at 1500hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Christian Rehren Bargetto, Ambassador of the Republic of Chile to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his completion of tenure in Thailand. Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister thanked the Ambassador for his active role in deepening relations between Thailand and Chile. As the year 2022 will mark the 60thanniversary of diplomatic relations between the two countries, Thailand hopes to further strengthen relations and cooperation with Chile. He also conveyed his regards to President Sebastián Piñera, and congratulated Chile’s successful chairmanship of the Pacific Alliance (PA), which has contributed to the region’s effective economic rehabilitation through the development of digital economy and free trade promotion. The Ambassador expressed pleasure to have been tenured in Thailand. Throughout the 3-year tenure, he has been well cooperated by the Thai Government and other sectors in the country for the best interest of both Thailand and Chile. He also commended Thailand’s approach and response to the COVID-19 situation, especially the Phuket Sandbox scheme, which could be a model for the reopening of the country to foreign tourists in an efficient manner. The Chilean Ambassador affirmed his intention to continue promoting Thailand-Chile cooperation, especially post COVID-19 economic cooperation even after his tenure completion. Both parties came to terms to promote cooperation through existing bilateral mechanism, i.e., FTA, which would be an opportunity to increase mutual trade value and product diversification. The Prime Minister mentioned the Thai Government’s policy on sustainable economic rehabilitation through investment promotion in the Eastern Economic Corridor (EEC), and in environmental-friendly areas and alternative energy under the BCG principle. He also endorsed the cooperation between Thailand’s National Innovation Agency and Chilean Production Development Agency (CORFO) on startup promotion. The Chilean Ambassador would also like to promote the cooperation on fishery and quinoa cultivation to help increase Thai farmers’ revenue. With regard to the cooperation under ASEAN framework, Thailand endorses Chile’s policy to deepen relations with ASEAN through the Pacific Alliance (PA) and Forum for East Asia (FEALAC) in a bid to link the Asian region with Latin American counterpart.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42741
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม” ประจําปี 2564 วันที่ 28 ธันวาคม 2564 นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านวิชาการ เป็นประธานมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและพิธีมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เกียรติบัตรและโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม ประจําปี 2564” เป็นรางวัลที่ได้รับการยกย่องสําหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใสและมีคุณธรรม มีความพากเพียรมุ่งมั่นทุ่มเทจนเกิดผลเป็นที่ประจักษ์ ให้บุคลากรท่านอื่นๆยึดมั่นถือเป็นต้นแบบ โดยในปีนี้กรมเจ้าท่า ได้มอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม ประจําปี 2564” จํานวน 1 รางวัล ให้แก่ นางสิริธิติ อิ่มพ่วง ตําแหน่งเจ้าพนักงานขนส่งปฏิบัติงาน สังกัดสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาจันทบุรี รางวัลองค์กรส่งเสริมคุณธรรม จํานวน 3 รางวัล และรางวัลองค์กรคุณธรรม จํานวน 13 หน่วยงาน ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวม 17 รางวัล ทั้งนี้ พิธีมอบเกียรติบัตรและโล่รางวัลฯ จัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณ "คนต้นแบบคมนาคม" และองค์กรคุณธรรม เป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้รับมีความภาคภูมิใจ เชื่อมั่นในการทําความดี เป็นบุคคลต้นแบบสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากรในหน่วยงานได้ยึดมั่น เป็นแบบอย่างในการประกอบคุณงามความดี คิด พูด ปฏิบัติบนความถูกต้องตามหลักคุณธรรมและจริยธรรมต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม” ประจําปี 2564 วันที่ 28 ธันวาคม 2564 นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านวิชาการ เป็นประธานมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและพิธีมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เกียรติบัตรและโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม ประจําปี 2564” เป็นรางวัลที่ได้รับการยกย่องสําหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใสและมีคุณธรรม มีความพากเพียรมุ่งมั่นทุ่มเทจนเกิดผลเป็นที่ประจักษ์ ให้บุคลากรท่านอื่นๆยึดมั่นถือเป็นต้นแบบ โดยในปีนี้กรมเจ้าท่า ได้มอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม ประจําปี 2564” จํานวน 1 รางวัล ให้แก่ นางสิริธิติ อิ่มพ่วง ตําแหน่งเจ้าพนักงานขนส่งปฏิบัติงาน สังกัดสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาจันทบุรี รางวัลองค์กรส่งเสริมคุณธรรม จํานวน 3 รางวัล และรางวัลองค์กรคุณธรรม จํานวน 13 หน่วยงาน ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวม 17 รางวัล ทั้งนี้ พิธีมอบเกียรติบัตรและโล่รางวัลฯ จัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณ "คนต้นแบบคมนาคม" และองค์กรคุณธรรม เป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้รับมีความภาคภูมิใจ เชื่อมั่นในการทําความดี เป็นบุคคลต้นแบบสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากรในหน่วยงานได้ยึดมั่น เป็นแบบอย่างในการประกอบคุณงามความดี คิด พูด ปฏิบัติบนความถูกต้องตามหลักคุณธรรมและจริยธรรมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยนำข้าราชการและประชาชนชาวชัยนาท ร่วมกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น ในโอกาส 130 ปี กระทรวงมหาดไทย"
วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทยนําข้าราชการและประชาชนชาวชัยนาท ร่วมกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น ในโอกาส 130 ปี กระทรวงมหาดไทย" ปมท. นําข้าราชการและประชาชนชาวชัยนาท ร่วมกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น ในโอกาส 130 ปี กระทรวงมหาดไทย" พร้อมย้ํา กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว เช่นเดียวกับเขาขยายที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันปลูกต้นไม้ ทําให้เป็นเขาสวรรค์ดังที่ทุกคนตั้งใจ วันนี้ (12 มิ.ย. 65) เวลา 14.00 น. ที่พื้นที่โครงการฟื้นฟูเขาขยาย เขาทะเลทรายสู่เขาสวรรค์ "สวน 130 ปี กระทรวงมหาดไทย" นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี ในปี พ.ศ. 2565" โดยมี นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายนที มนตริวัต นางสาวชไมพร อําไพจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายสุวัฒน์ ชํานาญกิจ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายยุทธพร พิรุณสาร ปลัดจังหวัดชัยนาท นายวิฑูรย์ สิรินุกูล หัวหน้าสํานักงานจังหวัดชัยนาท นางฉลอม สงล่า นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดชัยนาท นายจรรยงค์ พุ่มมูล รองผู้อํานวยการโรงเรียนอนุบาลชัยนาท กํานันสุบิน เมืองข้องน้อย กํานันตําบลเขาท่าพระ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอําเภอ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนมูลนิธิรักษ์เขาขยาย และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรม โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมปลูกต้นสะเดา ต้นมะขามเปรี้ยว ต้นขี้เหล็ก และต้นมะพร้าว บริเวณพื้นที่จัดงาน และเดินทางขึ้นไปร่วมปลูกต้นไทร หว่านเมล็ดมะขาม และปรับปรุงพื้นที่บนเขาขยาย ร่วมกับข้าราชการและประชาชนชาวจังหวัดชัยนาท นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จังหวัดชัยนาทมีพื้นที่สาธารณะเพื่อจังหวัดชัยนาทและเพื่อโลกเป็นจํานวนมาก เช่น เขาราวเทียน เขาพลอง เขาธรรมามูล โดยพื้นที่เขาขยายของจังหวัดชัยนาทแห่งนี้ ได้เริ่มดําเนินการฟื้นฟูกันมาตั้งแต่ปี 2557 เมื่อครั้งที่ตนดํารงตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทคนที่ 52 บนพื้นที่ประมาณ 1,100 ไร่เศษ มีสภาพเป็นทะเลทราย เพราะบริเวณนี้สมัยก่อนเป็นภูเขาดินลูกรังปนกรวดซึ่งดินถูกขุดไปถมถนนสายต่างๆ ทําให้หน้าดินเป็นหลุมลึกประมาณ 1 - 3 เมตร พอถึงฤดูฝนก็ถูกน้ําชะกรวดหินดินทรายลงมาอยู่บนพื้น ทําให้ปลูกต้นไม้ได้ยาก ซึ่งทางจังหวัดได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย พัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ ด้วยโครงการฟื้นฟูเขาขยาย จากเขาทะเลทรายสู่เขาสวรรค์ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลา 8 ปีแล้ว "วันนี้ดีใจที่เห็นพวกเราชาวชัยนาทมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน ปลูกต้นสะเดา ต้นมะขามเปรี้ยว ต้นขี้เหล็ก และต้นมะพร้าว รวมจํานวน 131 ต้น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสที่กระทรวงมหาดไทยครบ 130 ปี ซึ่งโบราณท่านว่าทําอะไรเป็นมงคลให้บวกจํานวนไปอีก 1 เพื่อเป็นเคล็ดว่าหน่วยงานองค์กรหรือบุคคลจะได้มีความก้าวหน้าต่อไป นอกจากนี้ การปลูกต้นไม้ 131 ต้นในวันนี้ เป็นอุทาหรณ์ว่าเรามากัน 131 คน ช่วยกันปลูกคนละ 1 ต้น รวม 131 ต้น วันหน้ามากัน 2 คนปลูก 4 ต้น ท้ายที่สุดก็จะมีต้นไม้เป็นหมื่น ๆ ต้น ถ้าเรามีความเพียร ความอดทน ความมานะพยายาม ไม่ย่อท้อ การทํางานใหญ่โดยค่อย ๆ ทําทีละเล็กละน้อย งานใหญ่ก็จะสําเร็จ แม้แต่การขุดย้ายภูเขาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เราค่อย ๆ ขุดดินวันละ 10-20 บุ้งกี๋ 50 ปีเราก็จะย้ายภูเขาได้สําเร็จ ทําให้เป็นที่ราบได้ ดังนั้น การที่เราช่วยกันปลูกต้นไม้ในแปลงทีละเล็กละน้อย จะเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญที่ทําให้พื้นที่พันกว่าไร่มีต้นไม้เต็มพื้นที่ในอนาคตอันใกล้ เกิดประโยชน์ในการช่วยลดภาวะโลกร้อน รักษาโลกใบเดียวนี้ของเราให้มีชีวิตยืนยาว เพราะเราได้ช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียว และขอให้ได้ช่วยกันชักชวนสมัครพรรคพวกมาปลูกต้นไม้ยืนต้นให้มากขึ้น ๆ เพื่อที่จะให้ร่มเงา ให้ความร่มเย็น ทําให้ดินอุดมสมบูรณ์ เพราะร่มเงาต้นไม้ยังผลทําให้สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ทั้งฮิวมัส ไส้เดือน กิ้งกือ หนอน และแมลงต่าง ๆ ในดินสามารถอยู่สร้างปุ๋ย สร้างความอุดมสมบูรณ์ในดินได้" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต่ออีกว่า เนื่องในวาระครบ 130 ปีการสถาปนากระทรวงมหาดไทย 1 เมษายน 2565 พวกเราชาวมหาดไทยมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ในการมุ่งมั่นร่วมกันทําทุกวิถีทางเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และในขณะเดียวกันก็จะช่วยกันพัฒนาประเทศของเราให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการร่วมมือกับทุกภาคีเครือข่ายมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ทั้ง 17 เป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยของเราเป็นสมาชิกที่ดีของโลก และทําให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดี ลูกหลานได้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี ขณะเดียวกันก็มุ่งพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้เป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการให้ลูกหลานหรือผู้สนใจด้านพฤกษศาสตร์ ด้านต้นไม้ มาศึกษาเรียนรู้ รวมทั้งเป็นที่ออกกําลังกายที่พักผ่อนของคนในครอบครัว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับต้นสะเดา ต้นมะขามเปรี้ยว ต้นขี้เหล็ก และต้นมะพร้าว ที่พวกเราทุกคนได้ร่วมมือร่วมใจร่วมแรงกันปลูกในวันนี้ จะเป็นแหล่งอาหาร เช่น ต้นสะเดา ต้นมะขาม ก็สามารถกินได้ตั้งแต่ใบ และยังสามารถนํามาใช้เป็นเครื่องไม้ใช้สอย ทําโต๊ะ เก้าอี้ ไม้กวาด ทําเชื้อเพลิง ทําที่อยู่อาศัยได้ และในอดีตไม้มะขามยังถูกนํามาทําเป็นไม้เรียวสร้างคนเป็นคนดี คนเก่งได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประโยชน์ของไม้มีมากมายมหาศาล ทําให้พวกเรามีความสุข ซึ่งการที่พวกเรามาช่วยกันปลูกต้นไม้ในวันนี้ เป็นการช่วยกันทําความดีให้กับแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเรา คือแผ่นดินไทยที่เขาขยาย จังหวัดชัยนาท เป็นเรื่องที่ควรค่าแห่งการอนุโมทนาสาธุการ และขอให้ได้ช่วยกันขยายผลไปยังคนรุ่นต่อไป ช่วยกันเติมเต็มต่อไป เพื่อให้สีเขียวในวันนี้ เป็นสีเขียวตลอดทั้งปี และมีสีสันที่สวยงาม ด้วยการเพิ่มเติมไม้ดอก ไม้ประดับ ที่เป็นไม้ยืนต้น หรือไม้ล้มลุก เช่น ต้นราชพฤกษ์ ในบริเวณพื้นที่นี้ ที่พวกเราเคยช่วยกันปลวกเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ก็เติบโต เพื่อสามารถนําไปใช้สอยให้เกิดประโยชน์ได้ในเวลาหน้า "กรุงโรมไม่ได้สร้างวันเดียวเสร็จ "เขาขยายก็เช่นกัน" จะสําเร็จกลายเป็นเขาสวรรค์ได้ พวกเราทุกคน และชาวจังหวัดชัยนาท ต้องมีหัวใจที่รักและเห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ของเขาขยายที่มีร่มเงาของต้นไม้งอกเงย ซึ่งการปลูกต้นไม้ยืนต้นที่มีดอกสวยงาม และมีความอดทน เช่น หางนกยูง จามจุรี บนพื้นที่เขาขยายนี้ เป็นเสมือนการปักดอกไม้ในแจกัน โดยมีเขาขยายเป็นเหมือนแจกัน และต้องมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมช่วยกันดูแลไม่ให้ต้นไม้ต้องเสียหาย ทําให้เขาขยายของเราพลิกฟื้นจากเขาทะเลทรายเป็นเขาสวรรค์ได้ในเร็ววันอย่างยั่งยืน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสานต่อโครงการฟื้นฟูเขาทะเลทราย สู่เขาสวรรค์ ในการฟื้นฟูพื้นที่เขาขยายที่มีความแห้งแล้งให้กลับฟื้นคืนเป็นพื้นที่สีเขียวเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งเรียนรู้การดําเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ รวมทั้งเป็นสถานที่สําหรับออกกําลังกายท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ซึ่งเป็นโครงการที่ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ริเริ่มไว้เมื่อครั้งที่ท่านดํารงตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท คนที่ 52 และเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี ในปีพุทธศักราช 2565 นี้ โดยกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น" จะมีการปลูกต้นสะเดา 51 ต้น ต้นมะขามเปรี้ยว 40 ต้น และต้นขี้เหล็ก 40 ต้น นอกจากจะเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติให้มีความยั่งยืนแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และมูลนิธิรักษ์เขาขยายชัยนาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยนำข้าราชการและประชาชนชาวชัยนาท ร่วมกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น ในโอกาส 130 ปี กระทรวงมหาดไทย" วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทยนําข้าราชการและประชาชนชาวชัยนาท ร่วมกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น ในโอกาส 130 ปี กระทรวงมหาดไทย" ปมท. นําข้าราชการและประชาชนชาวชัยนาท ร่วมกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น ในโอกาส 130 ปี กระทรวงมหาดไทย" พร้อมย้ํา กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว เช่นเดียวกับเขาขยายที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันปลูกต้นไม้ ทําให้เป็นเขาสวรรค์ดังที่ทุกคนตั้งใจ วันนี้ (12 มิ.ย. 65) เวลา 14.00 น. ที่พื้นที่โครงการฟื้นฟูเขาขยาย เขาทะเลทรายสู่เขาสวรรค์ "สวน 130 ปี กระทรวงมหาดไทย" นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี ในปี พ.ศ. 2565" โดยมี นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายนที มนตริวัต นางสาวชไมพร อําไพจิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายสุวัฒน์ ชํานาญกิจ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายยุทธพร พิรุณสาร ปลัดจังหวัดชัยนาท นายวิฑูรย์ สิรินุกูล หัวหน้าสํานักงานจังหวัดชัยนาท นางฉลอม สงล่า นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดชัยนาท นายจรรยงค์ พุ่มมูล รองผู้อํานวยการโรงเรียนอนุบาลชัยนาท กํานันสุบิน เมืองข้องน้อย กํานันตําบลเขาท่าพระ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอําเภอ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนมูลนิธิรักษ์เขาขยาย และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรม โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมปลูกต้นสะเดา ต้นมะขามเปรี้ยว ต้นขี้เหล็ก และต้นมะพร้าว บริเวณพื้นที่จัดงาน และเดินทางขึ้นไปร่วมปลูกต้นไทร หว่านเมล็ดมะขาม และปรับปรุงพื้นที่บนเขาขยาย ร่วมกับข้าราชการและประชาชนชาวจังหวัดชัยนาท นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จังหวัดชัยนาทมีพื้นที่สาธารณะเพื่อจังหวัดชัยนาทและเพื่อโลกเป็นจํานวนมาก เช่น เขาราวเทียน เขาพลอง เขาธรรมามูล โดยพื้นที่เขาขยายของจังหวัดชัยนาทแห่งนี้ ได้เริ่มดําเนินการฟื้นฟูกันมาตั้งแต่ปี 2557 เมื่อครั้งที่ตนดํารงตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทคนที่ 52 บนพื้นที่ประมาณ 1,100 ไร่เศษ มีสภาพเป็นทะเลทราย เพราะบริเวณนี้สมัยก่อนเป็นภูเขาดินลูกรังปนกรวดซึ่งดินถูกขุดไปถมถนนสายต่างๆ ทําให้หน้าดินเป็นหลุมลึกประมาณ 1 - 3 เมตร พอถึงฤดูฝนก็ถูกน้ําชะกรวดหินดินทรายลงมาอยู่บนพื้น ทําให้ปลูกต้นไม้ได้ยาก ซึ่งทางจังหวัดได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย พัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ ด้วยโครงการฟื้นฟูเขาขยาย จากเขาทะเลทรายสู่เขาสวรรค์ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลา 8 ปีแล้ว "วันนี้ดีใจที่เห็นพวกเราชาวชัยนาทมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน ปลูกต้นสะเดา ต้นมะขามเปรี้ยว ต้นขี้เหล็ก และต้นมะพร้าว รวมจํานวน 131 ต้น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสที่กระทรวงมหาดไทยครบ 130 ปี ซึ่งโบราณท่านว่าทําอะไรเป็นมงคลให้บวกจํานวนไปอีก 1 เพื่อเป็นเคล็ดว่าหน่วยงานองค์กรหรือบุคคลจะได้มีความก้าวหน้าต่อไป นอกจากนี้ การปลูกต้นไม้ 131 ต้นในวันนี้ เป็นอุทาหรณ์ว่าเรามากัน 131 คน ช่วยกันปลูกคนละ 1 ต้น รวม 131 ต้น วันหน้ามากัน 2 คนปลูก 4 ต้น ท้ายที่สุดก็จะมีต้นไม้เป็นหมื่น ๆ ต้น ถ้าเรามีความเพียร ความอดทน ความมานะพยายาม ไม่ย่อท้อ การทํางานใหญ่โดยค่อย ๆ ทําทีละเล็กละน้อย งานใหญ่ก็จะสําเร็จ แม้แต่การขุดย้ายภูเขาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เราค่อย ๆ ขุดดินวันละ 10-20 บุ้งกี๋ 50 ปีเราก็จะย้ายภูเขาได้สําเร็จ ทําให้เป็นที่ราบได้ ดังนั้น การที่เราช่วยกันปลูกต้นไม้ในแปลงทีละเล็กละน้อย จะเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญที่ทําให้พื้นที่พันกว่าไร่มีต้นไม้เต็มพื้นที่ในอนาคตอันใกล้ เกิดประโยชน์ในการช่วยลดภาวะโลกร้อน รักษาโลกใบเดียวนี้ของเราให้มีชีวิตยืนยาว เพราะเราได้ช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียว และขอให้ได้ช่วยกันชักชวนสมัครพรรคพวกมาปลูกต้นไม้ยืนต้นให้มากขึ้น ๆ เพื่อที่จะให้ร่มเงา ให้ความร่มเย็น ทําให้ดินอุดมสมบูรณ์ เพราะร่มเงาต้นไม้ยังผลทําให้สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ทั้งฮิวมัส ไส้เดือน กิ้งกือ หนอน และแมลงต่าง ๆ ในดินสามารถอยู่สร้างปุ๋ย สร้างความอุดมสมบูรณ์ในดินได้" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต่ออีกว่า เนื่องในวาระครบ 130 ปีการสถาปนากระทรวงมหาดไทย 1 เมษายน 2565 พวกเราชาวมหาดไทยมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ในการมุ่งมั่นร่วมกันทําทุกวิถีทางเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และในขณะเดียวกันก็จะช่วยกันพัฒนาประเทศของเราให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการร่วมมือกับทุกภาคีเครือข่ายมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ทั้ง 17 เป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยของเราเป็นสมาชิกที่ดีของโลก และทําให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดี ลูกหลานได้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี ขณะเดียวกันก็มุ่งพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้เป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการให้ลูกหลานหรือผู้สนใจด้านพฤกษศาสตร์ ด้านต้นไม้ มาศึกษาเรียนรู้ รวมทั้งเป็นที่ออกกําลังกายที่พักผ่อนของคนในครอบครัว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับต้นสะเดา ต้นมะขามเปรี้ยว ต้นขี้เหล็ก และต้นมะพร้าว ที่พวกเราทุกคนได้ร่วมมือร่วมใจร่วมแรงกันปลูกในวันนี้ จะเป็นแหล่งอาหาร เช่น ต้นสะเดา ต้นมะขาม ก็สามารถกินได้ตั้งแต่ใบ และยังสามารถนํามาใช้เป็นเครื่องไม้ใช้สอย ทําโต๊ะ เก้าอี้ ไม้กวาด ทําเชื้อเพลิง ทําที่อยู่อาศัยได้ และในอดีตไม้มะขามยังถูกนํามาทําเป็นไม้เรียวสร้างคนเป็นคนดี คนเก่งได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประโยชน์ของไม้มีมากมายมหาศาล ทําให้พวกเรามีความสุข ซึ่งการที่พวกเรามาช่วยกันปลูกต้นไม้ในวันนี้ เป็นการช่วยกันทําความดีให้กับแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเรา คือแผ่นดินไทยที่เขาขยาย จังหวัดชัยนาท เป็นเรื่องที่ควรค่าแห่งการอนุโมทนาสาธุการ และขอให้ได้ช่วยกันขยายผลไปยังคนรุ่นต่อไป ช่วยกันเติมเต็มต่อไป เพื่อให้สีเขียวในวันนี้ เป็นสีเขียวตลอดทั้งปี และมีสีสันที่สวยงาม ด้วยการเพิ่มเติมไม้ดอก ไม้ประดับ ที่เป็นไม้ยืนต้น หรือไม้ล้มลุก เช่น ต้นราชพฤกษ์ ในบริเวณพื้นที่นี้ ที่พวกเราเคยช่วยกันปลวกเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ก็เติบโต เพื่อสามารถนําไปใช้สอยให้เกิดประโยชน์ได้ในเวลาหน้า "กรุงโรมไม่ได้สร้างวันเดียวเสร็จ "เขาขยายก็เช่นกัน" จะสําเร็จกลายเป็นเขาสวรรค์ได้ พวกเราทุกคน และชาวจังหวัดชัยนาท ต้องมีหัวใจที่รักและเห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ของเขาขยายที่มีร่มเงาของต้นไม้งอกเงย ซึ่งการปลูกต้นไม้ยืนต้นที่มีดอกสวยงาม และมีความอดทน เช่น หางนกยูง จามจุรี บนพื้นที่เขาขยายนี้ เป็นเสมือนการปักดอกไม้ในแจกัน โดยมีเขาขยายเป็นเหมือนแจกัน และต้องมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมช่วยกันดูแลไม่ให้ต้นไม้ต้องเสียหาย ทําให้เขาขยายของเราพลิกฟื้นจากเขาทะเลทรายเป็นเขาสวรรค์ได้ในเร็ววันอย่างยั่งยืน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสานต่อโครงการฟื้นฟูเขาทะเลทราย สู่เขาสวรรค์ ในการฟื้นฟูพื้นที่เขาขยายที่มีความแห้งแล้งให้กลับฟื้นคืนเป็นพื้นที่สีเขียวเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งเรียนรู้การดําเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ รวมทั้งเป็นสถานที่สําหรับออกกําลังกายท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ซึ่งเป็นโครงการที่ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ริเริ่มไว้เมื่อครั้งที่ท่านดํารงตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท คนที่ 52 และเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี ในปีพุทธศักราช 2565 นี้ โดยกิจกรรม "จังหวัดชัยนาทร่วมใจ ปลูกต้นไม้ 131 ต้น" จะมีการปลูกต้นสะเดา 51 ต้น ต้นมะขามเปรี้ยว 40 ต้น และต้นขี้เหล็ก 40 ต้น นอกจากจะเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติให้มีความยั่งยืนแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และมูลนิธิรักษ์เขาขยายชัยนาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55633
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เกษตรกร Happy” phase 2
วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2564 “เกษตรกร Happy” phase 2 กระทรวงเกษตรฯ จัดโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 2 เพื่อช่วยเกษตรกรชาวสวนลําไย เงาะ ลองกอง ในการขายผลไม้คุณภาพดี สดจากสวน ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ Live สดผ่าน facebook : คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัวโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 2 เพื่อช่วยเกษตรกรชาวสวนลําไย เงาะ ลองกอง ในการขายผลไม้คุณภาพดี สดจากสวน ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นแผนการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงและเข้าขั้นวิกฤต จนทําให้มีการเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ทั้งในและต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น ระบบขนส่งระหว่างประเทศเกิดความติดขัด ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน แรงงานและผู้ค้า รวมทั้งบริษัทขนส่งในประเทศติดโควิดเพิ่มมากขึ้น ผู้ส่งออกและล้งลดจํานวนลง ในขณะที่ผลไม้อยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพร้อม ๆ กัน ทั้งมังคุด เงาะ ลําไย และลองกอง เป็นต้น โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดนมีวัตถุประสงค์ คือ 1) รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยภายในประเทศ 2) เพิ่มกิจกรรมการค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อระบบการค้าที่เป็นธรรม และ 3) ยกระดับราคา เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ภายใต้แนวคิด "คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้" และ "คนไทยไม่ทิ้งกัน" และจากการดําเนินโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 1 ในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนมังคุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งได้รับความรวมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กรมประชาสัมพันธ์ ททบ.5 กองทัพบก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด, บริษัท แกร็บ ประเทศไทย จํากัด, บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป จํากัด, เครือข่ายร้านธงฟ้า คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce คณะกรรมการธุรกิจเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะสื่อมวลชนทุกแขนงที่ช่วยในการสื่อสารรณรงค์จนประสบความสําเร็จ และสามารถระบายมังคุดออกจากกลไกตลาดและรักษาเสถียรภาพราคาได้ในระดับที่น่าพอใจ "ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันดําเนินโครงการเกษตรกร Happy ซึ่งในวันนี้เป็นการดําเนินโครงการเฟส 2 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่กําลังออกตามฤดูกาล ทั้งลําไย ลองกอง และเงาะ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้ดําเนินการในหลายมิติ ทั้งการรณรงค์บริโภคผลไม้ไทย การขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้อุดหนุนผลไม้ไทย และได้มอบ หมายปลัดเกษตรฯ ตั้งทีมกระจายผลไม้เฉพาะกิจ เพื่อประสานงานไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ และสําหรับการแก้ไขปัญหาด้านการส่งออก ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานและเจรจากับประเทศคู่ค้า โดยไทยจะมีมาตรการตรวจสอบให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การดําเนินการจะประสบความสําเร็จได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรฯ จึงพยายามเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นและง่ายที่สุด จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องหันมาบริโภคผลไม้ไทย และร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน" ดร.เฉลิมชัย กล่าว ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในตลาดโลกและตลาดภูมิภาค เช่น มีพื้นที่เพาะปลูกถึง 7 ล้านไร่ สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แปรรูป ซึ่งในปี 2564 ได้ประมาณการว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 23% จากปีที่ผ่านมา จาก 4.4 ล้านตัน เป็น 5.4 ล้านตัน และถึงแม้ว่าเราจะเผชิญกับสถานการณ์การโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 กระทรวงเกษตรฯ ได้บริหารจัดการเชิงรุก โดยได้เร่งพัฒนาการบริหารผลไม้จัดการทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต การสร้างมาตรฐาน GAP/GMP การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างแบรนด์ผลไม้ การบริหารโลจิสติกส์ ตลอดจนการตลาดสมัยใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทําให้ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ผลไม้สามารถครองแชมป์การส่งออก ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 185% ทุเรียนส่งออกขยายตัว 172% และมังคุดเติบโตถึง 488% ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวม มีมูลค่า 71,473 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงสุดถึง 59.8% นับเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี และเป็นการขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่องกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เกษตรกร Happy” phase 2 วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2564 “เกษตรกร Happy” phase 2 กระทรวงเกษตรฯ จัดโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 2 เพื่อช่วยเกษตรกรชาวสวนลําไย เงาะ ลองกอง ในการขายผลไม้คุณภาพดี สดจากสวน ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ Live สดผ่าน facebook : คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัวโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 2 เพื่อช่วยเกษตรกรชาวสวนลําไย เงาะ ลองกอง ในการขายผลไม้คุณภาพดี สดจากสวน ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นแผนการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงและเข้าขั้นวิกฤต จนทําให้มีการเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ทั้งในและต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น ระบบขนส่งระหว่างประเทศเกิดความติดขัด ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน แรงงานและผู้ค้า รวมทั้งบริษัทขนส่งในประเทศติดโควิดเพิ่มมากขึ้น ผู้ส่งออกและล้งลดจํานวนลง ในขณะที่ผลไม้อยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพร้อม ๆ กัน ทั้งมังคุด เงาะ ลําไย และลองกอง เป็นต้น โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดนมีวัตถุประสงค์ คือ 1) รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยภายในประเทศ 2) เพิ่มกิจกรรมการค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อระบบการค้าที่เป็นธรรม และ 3) ยกระดับราคา เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ภายใต้แนวคิด "คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้" และ "คนไทยไม่ทิ้งกัน" และจากการดําเนินโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 1 ในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนมังคุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งได้รับความรวมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กรมประชาสัมพันธ์ ททบ.5 กองทัพบก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด, บริษัท แกร็บ ประเทศไทย จํากัด, บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป จํากัด, เครือข่ายร้านธงฟ้า คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce คณะกรรมการธุรกิจเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะสื่อมวลชนทุกแขนงที่ช่วยในการสื่อสารรณรงค์จนประสบความสําเร็จ และสามารถระบายมังคุดออกจากกลไกตลาดและรักษาเสถียรภาพราคาได้ในระดับที่น่าพอใจ "ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันดําเนินโครงการเกษตรกร Happy ซึ่งในวันนี้เป็นการดําเนินโครงการเฟส 2 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่กําลังออกตามฤดูกาล ทั้งลําไย ลองกอง และเงาะ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้ดําเนินการในหลายมิติ ทั้งการรณรงค์บริโภคผลไม้ไทย การขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้อุดหนุนผลไม้ไทย และได้มอบ หมายปลัดเกษตรฯ ตั้งทีมกระจายผลไม้เฉพาะกิจ เพื่อประสานงานไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ และสําหรับการแก้ไขปัญหาด้านการส่งออก ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานและเจรจากับประเทศคู่ค้า โดยไทยจะมีมาตรการตรวจสอบให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การดําเนินการจะประสบความสําเร็จได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรฯ จึงพยายามเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นและง่ายที่สุด จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องหันมาบริโภคผลไม้ไทย และร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน" ดร.เฉลิมชัย กล่าว ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในตลาดโลกและตลาดภูมิภาค เช่น มีพื้นที่เพาะปลูกถึง 7 ล้านไร่ สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แปรรูป ซึ่งในปี 2564 ได้ประมาณการว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 23% จากปีที่ผ่านมา จาก 4.4 ล้านตัน เป็น 5.4 ล้านตัน และถึงแม้ว่าเราจะเผชิญกับสถานการณ์การโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 กระทรวงเกษตรฯ ได้บริหารจัดการเชิงรุก โดยได้เร่งพัฒนาการบริหารผลไม้จัดการทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต การสร้างมาตรฐาน GAP/GMP การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างแบรนด์ผลไม้ การบริหารโลจิสติกส์ ตลอดจนการตลาดสมัยใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทําให้ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ผลไม้สามารถครองแชมป์การส่งออก ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 185% ทุเรียนส่งออกขยายตัว 172% และมังคุดเติบโตถึง 488% ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวม มีมูลค่า 71,473 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงสุดถึง 59.8% นับเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี และเป็นการขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่องกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44771
"รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน(...TRUNCATED)
"วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564\nออมสินร่(...TRUNCATED)
"รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน(...TRUNCATED)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49301

ThaiGov V2 Corpus

GitHub: https://github.com/PyThaiNLP/thaigov-v2-corpus

English

  • Data from Thai government website. https://www.thaigov.go.th
  • This part of PyThaiNLP Project.
  • Compiled by Mr.Wannaphong Phatthiyaphaibun
  • License Dataset is public domain.

Data format

  • 1 file, 1 news, which is extracted from 1 url.
topic
(Blank line)
content
content
content
content
content
(Blank line)
ที่มา (URL source) : http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN

Thai

  • เป็นข้อมูลที่รวบรวมข่าวสารจากเว็บไซต์รัฐบาลไทย https://www.thaigov.go.th
  • โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนา PyThaiNLP
  • รวบรวมโดย นาย วรรณพงษ์ ภัททิยไพบูลย์
  • ข้อมูลที่รวบรวมในคลังข้อความนี้เป็นสาธารณสมบัติ (public domain) ตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 7 (สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ (1) ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสารอันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ [...] (3) ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือตอบโต้ของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น [...])

สามารถติดตามประวัติการแก้ไขคลังข้อความนี้ได้ผ่านระบบ Git

จำนวนข่าว

  • วันเริ่มต้นโครงการ 17 ก.ย. 2563

รูปแบบข้อมูล

  • 1 ไฟล์ 1 ข่าว ซึ่งดึงมาจาก 1 url
หัวเรื่อง
(บรรทัดว่าง)
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
(บรรทัดว่าง)
ที่มา : http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN

รายละเอียดชื่อไฟล์

  • ชื่อหมวดหมู่_จำนวนที่ของข่าว.txt

Script

  • run.py สำหรับเก็บข้อมูลจากหน้าเว็บ โดยจะดึงหน้าเว็บจาก url http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN โดยที่ NNN คือเลขจำนวนเต็ม
    • เปลี่ยนค่าตัวแปร i ในไฟล์เป็นเลขที่ต้องการเริ่มเก็บ
  • clean.py สำหรับทำความสะอาดข้อมูลเบื้องต้น โดยจะลบช่องว่างหน้าและท้ายบรรทัด ลบบรรทัดว่าง
    • clean.py ชื่อไฟล์
    • clean.py ชื่อไฟล์1 ชื่อไฟล์2
    • clean.py *.txt

We build Thai NLP.

PyThaiNLP

Downloads last month
58
Edit dataset card

Collection including pythainlp/thaigov-v2-corpus-31032024