title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
0
181k
date
stringlengths
4
11
open
float64
1.2k
1.71k
close
float64
1.19k
1.71k
high
float64
1.2k
1.72k
low
float64
1.19k
1.71k
trend
stringclasses
2 values
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนำเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย
โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนําเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กําหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย โฆษกรัฐบาลแจงสิทธิถือครองที่ดินตามมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ใช่ขายที่ดิน ยึดเงื่อนไขนําเงินมาลงทุน เพื่ออยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ในพื้นที่ที่กําหนดเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์กฎหมายที่ดินปี 2542 เชื่อช่วย “บู๊ส อัพ” เศรษฐกิจไทย สอดคล้องกลยุทธ์ "3แกน วันนี้ (15 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายรัฐมนตรี เผยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจําพวกเข้ามา อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสูงประเทศไทย ประกาศเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายน 2565 นี้ เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มที่ต้องการทํางานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สามารถพํานักและทํางานในประเทศไทยได้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ทําให้ไทยมีคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอให้กับภาคธุรกิอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริม สําหรับการให้สิทธิในการถือครองที่ดินของคนต่างชาตินั้น เป็นเพียงมาตรการหนึ่ง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีการนําเงินมาลงทุนในประเทศไทย กรมที่ดินอยู่ระหว่างการจัดทําร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงประเทศไทย พ.ศ. .... ตามมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมีหลักเกณฑ์สําคัญ คือ ต้องเป็นคนต่างด้าวตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสุดประเทศไทย นําเงินมาลงทุนไม่ต่ํากว่า 40 ล้านบาท และต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 3 ปี ในธุรกิจหรือกิจการประเภทที่กําหนด เช่น การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง การลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ ที่จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรม ในตลาดทุน พ.ศ. 2550 และหากคนต่างด้าวที่ประสงค์จะได้มาซึ่งที่ดิน อยู่ 2 เงื่อนไขสําคัญ คือ รวมไม่เกิน 1 ไร่ และใช้เป็นที่อยู่อาศัย เท่านั้น โดยสอดคล้องกับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายในปัจจุบัน โฆษกรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงข้อเท็จจริง ประเด็นมาตรการลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินหรืออาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท จะได้สิทธิลดหย่อนค่าธรรมเนียมจาก 2% เป็น 0.01% ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 18 มกราคม นั้น ใช้เฉพาะผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น ยีนยันว่า รัฐบาลไม่เคยมีแนวคิดจะให้คนต่างชาติใช้สิทธิในเรื่องนี้ นายธนกร ย้ําว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติผู้มีความมั่งคั่งสูง ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ ผู้ที่ต้องการทํางานจากประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญพิเศษ โดยวางเป้าหมาย ภายใน 5 ปีงบประมาณ 2565 - 2569 จะช่วยเพิ่มจํานวนชาวต่างชาติที่พักอาศัยในประเทศไทย 1 ล้านคนเพิ่มปริมาณเงินใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 1 ล้านล้านบาทเพิ่มการลงทุนในประเทศ 8 แสนล้านบาทและสร้างรายได้จากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น 2.7 แสนล้านบาท ซึ่งหนึ่งในมาตรการสําคัญ “บู๊ส อัพ” เศรษฐกิจไทยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ด้วยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงทั่วโลก เดินหน้าตามกลยุทธ์ "3แกน สร้างอนาคต” ของนายกรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างโอกาส เชื่อมไทย ช่วยผู้ประกอบการ ประชาชนและแรงงานในประเทศให้มีรายได้ต่อเนื่อง
2022-07-15
1,538.76001
1,533.369995
1,539.959961
1,517.51001
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564
ออมสินร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 ออมสิน คัดสุดยอดโปรโมชันร่วม Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษดอกเบี้ยสูงสุด 10.80% ต่อปี เทียบเท่าฝากประจํา 3.00% ต่อปี ดอกเบี้ยบ้านปีแรก 0.250% สินเชื่อ SMEs ดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดโปรโมชันน่าสนใจเข้าร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 อีกหนึ่งงานสําคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้อย่างทั่วถึงด้วยหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ผ่านปรน รวมถึงโปรโมชันเงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยจูงใจ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 108 ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 10.80% ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเท่ากับ 2.55% ต่อปี เทียบเท่าเงินฝากประจํา 3.00% ต่อปี และ สลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบมีใบสลาก) ได้ร่วมลุ้นเงินรางวัลพิเศษ 1 ล้านบาท จํานวน 10 รางวัล ซึ่งจะออกรางวัลในวันที่ 30 ธ.ค.64 ไม่นับรวมการออกรางวัลปกติรวม 24 ครั้ง มีรางวัลที่ 1 จํานวนเงิน 5,000,000 บาท โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลจะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนโปรโมชันไฮไลท์ในด้านสินเชื่อประกอบด้วย สินเชื่อเคหะดอกเบี้ยพิเศษ ปีแรก 0.250% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.250% ต่อปี ทั้งการซื้อ/ปลูกสร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม/รีไฟแนนซ์ โดยยกเว้นค่าจัดทํานิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ สินเชื่อ GSB Smooth BIZ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือลงทุนในธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชําระนานสูงสุด 10 ปี วงเงินกู้สูงสุดถึง 20 ล้านบาท สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน สําหรับธุรกิจ Small SMEs เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ หรือนําไปไถ่ถอนสัญญาขายฝาก ใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน วงเงินกู้สูงสุดร้อยละ 70 ของราคาประเมินราชการ วงเงินกู้ 300,000 บาท ถึง 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.99% ตลอดสัญญา พร้อมด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพ โดยเฉพาะสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อ SMEs สําหรับภาคการท่องเที่ยว และ สินเชื่อจํานําทะเบียนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ที่นําเงินไปใช้จ่ายหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่องในยามฉุกเฉิน ธนาคารจึงขอเชิญชวนลูกค้าและประชาชนผู้สนใจ เยี่ยมชมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ที่ CentralwOrld LIVE HALL ชั้น 8 และใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ ที่บูธธนาคารออมสิน ด้วยโปรโมชันน่าสนใจส่งท้ายปี 2564 โดยทุกธุรกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ มีของที่ระลึกและรางวัลพิเศษสุดเฉพาะลูกค้าในงานเท่านั้น.
2021-12-09
1,621.630005
1,618.22998
1,623.819946
1,612.569946
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจงผลงานขับเคลื่อนแผนชาติ ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ หลังประกาศใช้เป็นประเทศแรกในเอเชีย ยกร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชน
รัฐบาลแจงผลงานขับเคลื่อนแผนชาติ ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ หลังประกาศใช้เป็นประเทศแรกในเอเชีย ยกร่างกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปากคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชน ไทยเป็นประเทศแรกในเอเซียที่ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อส่งเสริม คุ้มครอง ป้องกัน บรรเทา เยียวยา และแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการดําเนินธุรกิจ เร่งขับเคลื่อนมาตรการภาคบังคับและสมัครใจ วันที่ 6 มกราคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562-2565) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อ 29 ต.ค. 2562 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเซีย และเป็นหนึ่งใน 30 ประเทศของโลก ที่ได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจ และประชาสังคม ดําเนินการส่งเสริม คุ้มครอง ป้องกัน บรรเทา เยียวยา และแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเป็นผลจากการทําธุรกิจ ส่งเสริมการดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ในการนี้ รัฐบาลมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการขับเคลื่อนร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ โดยมีผลการดําเนินงานในช่วงครึ่งแรกของแผนฯ ประเด็นหลัก ๆใน 4 ด้าน ดังนี้ ด้านแรงงาน: 1) การกําหนดมาตรการลดหย่อนภาษีให้ภาคธุรกิจที่จ้างงานผู้พ้นโทษ 2) การบริหารจัดการแรงงานในช่วงสถานการณ์ COVID-19 3) การประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ ส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และการขจัดการเลือกปฏิบัติในที่ทํางาน ด้านชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม: 1) การกําหนดให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูลการดําเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนในรูปแบบ OneReport 2) การจัดตั้งศูนย์ ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ 3) กําหนดให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคม ได้รับการส่งเสริมในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ด้านนักปกป้องสิทธิมนษุยชน: 1) การยกร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ 2) การเสนอแก้ไข พ.ร.บ. คุ้มครองพยาน ในคดีอาญา เพื่อขยายขอบเขตบคุคลที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ฯ 3) การศึกษามาตรการที่เป็นรูปธรรมในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ: 1) การเพิ่มเงื่อนไขในการตรวจประเมินสิทธิมนุษยชน ก่อนการให้เงินกู้สําหรับดําเนินโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน 2) การลงนามและดําเนินการตาม MOU ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ยึดถือหลักการเงินที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Financing) และส่งเสริมหลักการ สิ่งแวดล้อม-สังคม-ธรรมาภิบาล 4) การจัดทํารูปแบบสัญญามาตรฐานที่เพิ่มประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะต้องพิจารณาเมื่อมีการเจรจาการค้าหรือการลงทุน นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ติดตามการดําเนินงานให้เป็นตามเป้าหมายของแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เสริมสร้างการทํางานภาคีเครือข่ายร่วมกัน ยกระดับให้ประเทศไทยมีหลักประกันด้านสิทธิมนุษยชนที่ทัดเทียมกับสากล ท้ายที่สุดส่งผลให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มั่นคง ปลอดภัย อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และท่านนายกฯ ยังได้ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนการทํางานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ มีการดําเนินการ อาทิ ออกคําแถลงนโยบายด้านการเคารพสิทธิมนุษยชนขององค์กร กําหนดแนวปฏิบัติของในการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปลูกฝังความรับผิดชอบและสร้างความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนในองค์กร ทั้งนี้รัฐบาลจะเร่งขยายผลต่อยอดการปฎิบัติตามแผนฯ ในภาคธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมต่อไป
2022-01-06
1,663.589966
1,653.030029
1,666.219971
1,653.030029
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เปิดใช้เครื่องฉายรังสีประสิทธิภาพสูงแห่งแรกจากงบประมาณรัฐบาลให้ 7 โรงพยาบาล
“อนุทิน” เปิดใช้เครื่องฉายรังสีประสิทธิภาพสูงแห่งแรกจากงบประมาณรัฐบาลให้ 7 โรงพยาบาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการใช้เครื่องฉายรังสี LINACสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้บริการได้ 40 – 50 รายต่อวัน เป็นแห่งแรกใน 7 โรงพยาบาลที่ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลตามโครงการลดผลกระทบโควิด 19 วงเงิน 878.20 ล้านบาท รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการใช้เครื่องฉายรังสี LINACสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้บริการได้ 40 – 50 รายต่อวัน เป็นแห่งแรกใน 7 โรงพยาบาลที่ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลตามโครงการลดผลกระทบโควิด 19 วงเงิน 878.20 ล้านบาท มีแขนกลฉายรังสีได้หลายทิศทาง เคลื่อนที่ได้เกือบรอบตัวผู้ป่วย ความแม่นยําสูง ลดระยะเวลารักษา ลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อ วันนี้ (13 กันยายน 2564) ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดการใช้เครื่องฉายรังสีสําหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 โดยมีนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อํานวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เข้าร่วม นายอนุทินกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จัดซื้อเครื่องฉายรังสี LINAC วงเงิน 878.20 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสําหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้แก่โรงพยาบาล 7 แห่ง ได้แก่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลพุทธชินราชพิษณุโลก โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลสุรินทร์ และโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ทําให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้าถึงการฉายรังสีได้สะดวกมากขึ้นและสนับสนุนโครงการมะเร็งรักษาได้ทุกที่ (Cancer Any Where) โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างและติดตั้งแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยมะเร็งด้วยเครื่องฉายรังสี LINAC เป็นหน่วยงานแรกใน 7 โรงพยาบาล ให้บริการได้ 40–50 รายต่อวัน “การรักษาด้วยเครื่องฉายรังสีที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นสิ่งสําคัญที่จะสามารถเพิ่มศักยภาพการรักษาโรคมะเร็ง ลดระยะเวลาการฉายรังสีในผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากนี้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติยังมีระบบวางแผนรังสีรักษาทางไกลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษา ทําให้ไม่มีข้อจํากัดของระยะทาง ถือเป็น New Normal การแพทย์วิถีใหม่ ทําให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับการฉายรังสีได้อย่างรวดเร็ว การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น” นายอนุทินกล่าว ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เครื่องเร่งอนุภาคพลังงานสูงชนิดแปรความเชิงปริมาตร (Linear Accelerator Volumetric Modulated Arc Therapy) หรือ LINAC เป็นเครื่องฉายรังสีที่มีแขนกลฉายรังสีได้หลายทิศทาง เคลื่อนที่ได้เกือบรอบตัวผู้ป่วย มีการเพิ่มระบบอุปกรณ์ในการกําบังรังสีและกําหนดรูปร่างเพื่อปรับความเข้มของลํารังสี ทําให้สร้างรูปร่างของลํารังสีในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างอิสระ และมีการเพิ่มระบบติดตามเป้าหมายที่มีการเคลื่อนที่ตามการหายใจ เช่น ก้อนในปอด ก้อนในตับได้อย่างแม่นยํา ให้ความเข้มของรังสีได้สูง รวดเร็ว มีการกระจายของรังสีไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงน้อย ถือเป็นการรักษาที่มีความซับซ้อนและมีความละเอียดสูง ************************************ 13 กันยายน 2564
2021-09-13
1,634.430054
1,633.76001
1,642.630005
1,627.290039
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ประธานฟรุ้ทบอร์ดปฏิรูปกลไกบริหารจัดการผลไม้ครั้งใหญ่
“เฉลิมชัย” ประธานฟรุ้ทบอร์ดปฏิรูปกลไกบริหารจัดการผลไม้ครั้งใหญ่ วาง 3 กระทรวง “เกษตร-อุตสาหกรรม-พาณิชย์” รับผิดชอบการผลิตการแปรรูปการตลาด พร้อมเห็นชอบแผนและงบประมาณปี 2565 และตั้งทีมขับเคลื่อนศูนย์บริหารจัดการมหานครผลไม้และสนามบินจันทบุรีมอบ “อลงกรณ์” เป็นประธาน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฟรุ้ทบอร์ด) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) Application ZOOM Cloud Meetings เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา พร้อมด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.สมบัติ ตงเต๊า รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายอนันต์ แก้วกําเนิด รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนผู้ประกอบการ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนเกษตรกรชาวสวนผลไม้ และนายขจร เราประเสริฐ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ร่วมกันหารือประชุมขับเคลื่อน โดยมีประเด็นผลการดําเนินงานการบริหารจัดการผลไม้ในรอบฤดูกาลผลิตที่ 2/2564 ทั่วประเทศ ผลการจัดประชุมกลุ่มย่อย Focus group เพื่อวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบ คําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทํางาน ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ มาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2565 โดย กระทรวงพาณิชย์ และร่วมกันพิจารณาโครงการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2565 ที่เสนอโดยสํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ตามยุทธศาสตร์ “ตลาดนําการผลิต” และนโยบาย “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ต่อไป สําหรับ การบริหารจัดการผลไม้ปี 2564 ของภาคเหนือ (ลําไย) และภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ในภาพรวมสอดคล้องกับแนวทางบริหารจัดการผลไม้ปี 2564 - 2566 โดยจังหวัดสามารถบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จด้วยตัวเอง โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการเพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ในเชิงคุณภาพสอดคล้องตามยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ.2558 - 2564 และในเชิงปริมาณที่เน้นการจัดสมดุลอุปสงค์และอุปทาน โดยผลไม้ภาคเหนือ (ลําไย) ปริมาณ 671,308 ตัน และผลไม้ภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ปริมาณ 785,459 ตัน มีการกระจายผลผลิตผ่านกลไกตลาดปกติ โดย คพจ. และเกษตรกรสามารถจําหน่ายผลผลิตในราคาไม่ต่ํากว่าราคาต้นทุนการผลิต และราคาเฉลี่ยของผลผลิตตลอดฤดูกาลสูงกว่าราคาต้นทุนการผลิตไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 นายอลงกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ได้กระทบต่อแผนการบริหารจัดการผลไม้ทําให้ทั้งการส่งออก การแปรรูป และการกระจายในประเทศ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนนั้น ได้มีการจัด Focus group วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้ โดยร่วมกันระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเชิงตั้งข้อสังเกตถึง “ปัญหาและอุปสรรค” (Pain Point) ใน ประเด็นโครงสร้าง ระบบ และการบริหารจัดการ Fruit Board ประเด็นกลไกการทํางานในภาวะวิกฤต ประเด็นแผนงาน โครงการ และงบประมาณ รวมไปถึงแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มและแบรนดิ้ง (Branding) ผลไม้ การพัฒนากลไกการค้าผลไม้และการตลาดเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ การบริหารจัดการล้ง การบริหารจัดการระดับ Area based ผลไม้ภาคตะวันออก-ใต้-ใต้ชายแดน การบริหารจัดการระดับ Area based ผลไม้ภาคเหนือ การจัดการปัญหาและอุปสรรคการบริหารจัดการผลไม้รายสินค้า (ทุเรียน, ลําไย, มังคุด, เงาะ, ลองกอง และมะม่วง) โดยข้อมูลดังกล่าวได้ให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร รับทราบและพิจารณาใช้ประโยชน์ และนํามาวางแผนเพื่อรับมือวิกฤติการณ์ในรูปแบบต่างๆ ในอนาคต ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ รับทราบคําสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานฟรุ้ทบอร์ดในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทํางาน ครอบคลุมทั้งระบบ ประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ 1) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลิต 2) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า 3) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการตลาด 4) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลไม้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5) คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารการผลไม้ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคอื่นๆ 2. คณะทํางานภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ 1) คณะทํางานพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ 2) คณะทํางานศึกษาเสถียรภาพกลุ่มสินค้าลําไย 3) คณะทํางานศึกษาเสถียรภาพกลุ่มสินค้าทุเรียน 4) คณะทํางานแก้ไขปัญหาผลไม้ล่วงหน้าทั้งระบบ ในด้านการรองรับและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นประกอบกับภาพรวมผลไม้ไทยจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3,500,000 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 8% โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้กําหนด 17 มาตรการรองรับผลไม้ ปี 2565 ล่วงหน้า 6 เดือน ประกอบด้วย 1.มาตรการเร่งรัดตรวจและรับรอง GAP ซึ่งมีเป้าหมายในปี 2565 ไม่ต่ํากว่า 120,000 แปลง 2.มาตรการช่วยผู้ประกอบการหรือเกษตรกรหรือล้งกระจายผลผลิตผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท ปริมาณ 80,000 ตัน 3.มาตรการเสริมสภาพคล่องให้ผู้ส่งออกโดยจะช่วยเหลือดอกเบี้ยร้อยละ 3 และช่วยผู้ส่งออกที่ส่งออกผลไม้อีกกิโลกรัมละ 5 บาท ปริมาณ 60,000 ตัน 4. กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตร สนับสนุนให้มีการใช้พระราชบัญญัติเกษตรพันธสัญญา การทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้านผลไม้ โดยจะสนับสนุนให้มีการทําสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเกษตรกรได้ทราบว่าขายผลไม้ได้เท่าไหร่ มีคนซื้อที่มีหลักประกัน เซ็นสัญญาตามกฎหมายชัดเจนไม่ต่ํากว่า 30,000 ตัน 5. มาตรการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ในประเทศ ประสานงานกับสายการบินต่างๆ เปิดโอกาสให้โหลดผลไม้ขึ้นเครื่องบินในประเทศไทยฟรี 25 กิโลกรัม ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2565 เป็นต้นไป 6. มาตรการช่วยสนับสนุนกล่อง พร้อมค่าจัดส่งผลไม้ที่ขายตรงจากเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ไปยังผู้บริโภคโดยตรงโดยสนับสนุนกล่องมากขึ้นกว่าปี 2564 ที่สนับสนุน 200,000 กล่อง ปี 2565 จะสนับสนุนถึง 300,000 กล่อง 7. ในช่วงที่ผลไม้ออกเยอะ กระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนให้มีรถเร่ รถโมบาย ไปรับซื้อผลไม้และนําออกจําหน่ายสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยปี 2557 จะสนับสนุนที่ 15,000 ตัน 8. ประสานงานกับห้างท้องถิ่นและปั๊มน้ํามันต่างๆ เปิดพื้นที่ระบายผลไม้ให้กับเกษตรกรโดยเพิ่มปริมาณจากปี 2564 ที่ช่วย 1,500 ตัน ปี 2565 จะเพิ่มเป็น 5,000 ตัน 9. จะทําเซลล์โปรโมชั่นในการส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศซึ่งใช้ชื่อโครงการ Thai Fruits Golden Months ดําเนินการในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ 12 เมือง เช่นเดียวกับปี 2564 ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้ผลดีมาก 10. จะจัดการเจรจาจับคู่ซื้อขายผลไม้ทางธุรกิจในระบบออนไลน์หรือที่เรียกว่า OBM มุ่งเน้นตลาดใหม่ เช่น อินเดียและรัสเซียเป็นต้น 11. จะส่งเสริมการขายผลไม้ในต่างประเทศในรูปแบบ THAIFEX – Anuga Asia จัดงานส่งเสริมการบริโภคผลไม้ระดับนานาชาติ ช่วงเดือนพฤษภาคม 65 ที่ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี 12. เร่งจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็น 5 ภาษา เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทย 13. จะจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกษตรกรกลุ่มเกษตรกรในเรื่องของการค้าออนไลน์เพื่อขายตรงให้กับผู้บริโภคและจะเพิ่มเติมหลักสูตรการส่งออกเบื้องต้นให้ด้วย ตั้งเป้าอบรมเกษตรกรให้ได้อย่างน้อย 1,000 ราย 14. มาตรการขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายแรงงาน เพื่อให้สามารถดําเนินการเก็บผลไม้และส่งเสริมการขายผลไม้ได้ต่อไป 15. ในบางช่วงที่ขาดแคลนแรงงาน ให้ กอ.รมน.ส่งกําลังพลเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวและขนย้ายผลไม้ 16.กระทรวงพาณิชย์จะสั่งการให้ทีมเซลล์แมนจังหวัดและทีมเซลล์แมนประเทศประสานงานกันช่วยระบายผลไม้ของเกษตรกรทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศต่อไป ให้มีความเข้มข้นขึ้น และ 17. กระทรวงพาณิชย์และจังหวัดจะบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายผลไม้ที่มีคุณภาพ และได้ราคาดีไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าและกฎหมายชั่งตวงวัดโดยเคร่งครัดต่อไป พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบ โครงการบริหารจัดการผลไม้ 2565 เสนอโดยสํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ประกอบด้วย งบประมาณ เงินจ่ายขาด จํานวนเงิน 113.13726 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงิน 109.842 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนค่าบริหารจัดการกระจายผลไม้ออกนอกแหล่งผลิต และวงเงิน 3.29526 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินการและติดตามกํากับดูแลของ หน่วยงาน นายอลงกรณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการ fruit Board ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ และ คณะทํางานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้จัดตั้งตามโครงสร้างใหม่นําเสนอแผนงานโครงการและงบประมาณเพื่อ ขับเคลื่อนการบริหารจัดการผลไม้ในการประชุมคราวหน้า นอกจากนี้ Fruit Board ยังมีมติจัดตั้งคณะทํางานศึกษาโครงการศูนย์บริหารจัดการมหานครผลไม้และสนามบินจังหวัดจันทบุรี โดยให้นําเสนอผลการพิจารณาในการประชุมฟรุ้ทบอร์ดครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม
2021-10-15
1,646.349976
1,638.339966
1,651.410034
1,635.140015
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA
Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA Thailand-Chile to increase mutual trade value through FTA June 14, 2021, at 1500hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Christian Rehren Bargetto, Ambassador of the Republic of Chile to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his completion of tenure in Thailand. Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister thanked the Ambassador for his active role in deepening relations between Thailand and Chile. As the year 2022 will mark the 60thanniversary of diplomatic relations between the two countries, Thailand hopes to further strengthen relations and cooperation with Chile. He also conveyed his regards to President Sebastián Piñera, and congratulated Chile’s successful chairmanship of the Pacific Alliance (PA), which has contributed to the region’s effective economic rehabilitation through the development of digital economy and free trade promotion. The Ambassador expressed pleasure to have been tenured in Thailand. Throughout the 3-year tenure, he has been well cooperated by the Thai Government and other sectors in the country for the best interest of both Thailand and Chile. He also commended Thailand’s approach and response to the COVID-19 situation, especially the Phuket Sandbox scheme, which could be a model for the reopening of the country to foreign tourists in an efficient manner. The Chilean Ambassador affirmed his intention to continue promoting Thailand-Chile cooperation, especially post COVID-19 economic cooperation even after his tenure completion. Both parties came to terms to promote cooperation through existing bilateral mechanism, i.e., FTA, which would be an opportunity to increase mutual trade value and product diversification. The Prime Minister mentioned the Thai Government’s policy on sustainable economic rehabilitation through investment promotion in the Eastern Economic Corridor (EEC), and in environmental-friendly areas and alternative energy under the BCG principle. He also endorsed the cooperation between Thailand’s National Innovation Agency and Chilean Production Development Agency (CORFO) on startup promotion. The Chilean Ambassador would also like to promote the cooperation on fishery and quinoa cultivation to help increase Thai farmers’ revenue. With regard to the cooperation under ASEAN framework, Thailand endorses Chile’s policy to deepen relations with ASEAN through the Pacific Alliance (PA) and Forum for East Asia (FEALAC) in a bid to link the Asian region with Latin American counterpart.
2021-06-15
1,634.449951
1,622.310059
1,636.099976
1,618.599976
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล
กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม” ประจําปี 2564 วันที่ 28 ธันวาคม 2564 นายสมชาย สุมนัสขจรกุล รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านวิชาการ เป็นประธานมอบเกียรติบัตรองค์กรคุณธรรมและพิธีมอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เกียรติบัตรและโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม ประจําปี 2564” เป็นรางวัลที่ได้รับการยกย่องสําหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใสและมีคุณธรรม มีความพากเพียรมุ่งมั่นทุ่มเทจนเกิดผลเป็นที่ประจักษ์ ให้บุคลากรท่านอื่นๆยึดมั่นถือเป็นต้นแบบ โดยในปีนี้กรมเจ้าท่า ได้มอบเกียรติบัตรพร้อมโล่รางวัล “คนต้นแบบคมนาคม ประจําปี 2564” จํานวน 1 รางวัล ให้แก่ นางสิริธิติ อิ่มพ่วง ตําแหน่งเจ้าพนักงานขนส่งปฏิบัติงาน สังกัดสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาจันทบุรี รางวัลองค์กรส่งเสริมคุณธรรม จํานวน 3 รางวัล และรางวัลองค์กรคุณธรรม จํานวน 13 หน่วยงาน ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวม 17 รางวัล ทั้งนี้ พิธีมอบเกียรติบัตรและโล่รางวัลฯ จัดขึ้นเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณ "คนต้นแบบคมนาคม" และองค์กรคุณธรรม เป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้รับมีความภาคภูมิใจ เชื่อมั่นในการทําความดี เป็นบุคคลต้นแบบสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บุคลากรในหน่วยงานได้ยึดมั่น เป็นแบบอย่างในการประกอบคุณงามความดี คิด พูด ปฏิบัติบนความถูกต้องตามหลักคุณธรรมและจริยธรรมต่อไป
2021-12-28
1,640.969971
1,641.52002
1,650.280029
1,640.609985
up
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564
ออมสินร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 ออมสิน คัดสุดยอดโปรโมชันร่วม Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษดอกเบี้ยสูงสุด 10.80% ต่อปี เทียบเท่าฝากประจํา 3.00% ต่อปี ดอกเบี้ยบ้านปีแรก 0.250% สินเชื่อ SMEs ดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดโปรโมชันน่าสนใจเข้าร่วมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2021 ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 10-12 ธันวาคม 2564 อีกหนึ่งงานสําคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้อย่างทั่วถึงด้วยหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ผ่านปรน รวมถึงโปรโมชันเงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยจูงใจ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 108 ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 10.80% ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเท่ากับ 2.55% ต่อปี เทียบเท่าเงินฝากประจํา 3.00% ต่อปี และ สลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบมีใบสลาก) ได้ร่วมลุ้นเงินรางวัลพิเศษ 1 ล้านบาท จํานวน 10 รางวัล ซึ่งจะออกรางวัลในวันที่ 30 ธ.ค.64 ไม่นับรวมการออกรางวัลปกติรวม 24 ครั้ง มีรางวัลที่ 1 จํานวนเงิน 5,000,000 บาท โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลจะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนโปรโมชันไฮไลท์ในด้านสินเชื่อประกอบด้วย สินเชื่อเคหะดอกเบี้ยพิเศษ ปีแรก 0.250% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.250% ต่อปี ทั้งการซื้อ/ปลูกสร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม/รีไฟแนนซ์ โดยยกเว้นค่าจัดทํานิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ สินเชื่อ GSB Smooth BIZ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือลงทุนในธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชําระนานสูงสุด 10 ปี วงเงินกู้สูงสุดถึง 20 ล้านบาท สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน สําหรับธุรกิจ Small SMEs เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ หรือนําไปไถ่ถอนสัญญาขายฝาก ใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน วงเงินกู้สูงสุดร้อยละ 70 ของราคาประเมินราชการ วงเงินกู้ 300,000 บาท ถึง 50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.99% ตลอดสัญญา พร้อมด้วยสินเชื่อเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพ โดยเฉพาะสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้แก่ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อ SMEs สําหรับภาคการท่องเที่ยว และ สินเชื่อจํานําทะเบียนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ที่นําเงินไปใช้จ่ายหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่องในยามฉุกเฉิน ธนาคารจึงขอเชิญชวนลูกค้าและประชาชนผู้สนใจ เยี่ยมชมงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ที่ CentralwOrld LIVE HALL ชั้น 8 และใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ ที่บูธธนาคารออมสิน ด้วยโปรโมชันน่าสนใจส่งท้ายปี 2564 โดยทุกธุรกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ มีของที่ระลึกและรางวัลพิเศษสุดเฉพาะลูกค้าในงานเท่านั้น https://www.gsb.or.th/news/gsbpr68-2/
2021-12-09
1,621.630005
1,618.22998
1,623.819946
1,612.569946
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบการให้บริการลูกค้าชั่วคราว วันที่ 19 มิถุนายน 2564 เวลา 00.30 – 08.30 น.
ธ.ออมสิน แจ้งปิดปรับปรุงระบบการให้บริการลูกค้าชั่วคราว วันที่ 19 มิถุนายน 2564 เวลา 00.30 – 08.30 น. ธนาคารออมสินจะปิดปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายข้อมูลการให้บริการลูกค้า เป็นการชั่วคราว ในวันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 00.30 - 08.30 น. เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายข้อมูลการให้บริการลูกค้า รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่า ธนาคารฯ จะปิดปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายข้อมูลการให้บริการลูกค้า เป็นการชั่วคราว ในวันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564 ตั้งแต่เวลา 00.30 - 08.30 น. เพื่อพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายข้อมูลการให้บริการลูกค้า ให้สามารถรองรับการขยายตัวของปริมาณธุรกรรมทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตให้ดียิ่งขึ้น โดยการปิดระบบในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อผู้ใช้บริการให้มากที่สุด ซึ่งจะทําให้ไม่สามารถทําธุรกรรมทางการเงิน และใช้บริการ ฝาก ถอน โอน จ่ายได้ ทั้งในและต่างประเทศทุกช่องทาง อาทิ MyMo, พร้อมเพย์, บัตรเดบิต, บัตรเอทีเอ็ม, Internet Banking, Corporate Internet Banking, เครื่อง ATM, ADM, VTM, Passbook Update รวมถึงตู้เติมเงิน และเคาน์เตอร์เซอร์วิส ธนาคารออมสิน ต้องขออภัยลูกค้าในความไม่สะดวก มา ณ โอกาสนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะเร่งดําเนินการดังกล่าวให้เสร็จสิ้น เพื่อให้สามารถกลับมาใช้บริการได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society
2021-06-16
1,622.780029
1,624.790039
1,631.22998
1,619.22998
up
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจกรุงเทพฯ เป็นขึ้นแท่นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก ดึงงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศได้สูงสุด
นายกฯ พอใจกรุงเทพฯ เป็นขึ้นแท่นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก ดึงงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศได้สูงสุด นายกฯ พอใจกรุงเทพฯ เป็นขึ้นแท่นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก ดึงงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศได้สูงสุด จากรายงานวิจัยประจําปี “Leveraging Intellectual Capital” โดย GainingEdge สสปน. คาดไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค ปีนี้ ช่วยผลักดันนักเดินทาง MICE นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่กรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก ที่สามารถดึงงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศได้สูงสุดจากผลรายงานวิจัยประจําปี “Leveraging Intellectual Capital” ซึ่งเป็นการวัดอันดับการใช้ประโยชน์จากทุนทางปัญญาของแต่ละประเทศ จัดทําโดยบริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศด้านการจัดประชุม GainingEdge เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า กรุงเทพมหานคร สามารถดึงงานประชุมมาจัดในประเทศได้มากถึง 123 งาน ทั้งที่มีบุคลากรเข้าเป็นกรรมการบริหารสมาคมระหว่างประเทศ 194 สมาคม โดยคิดเป็นอัตราการใช้ประโยชน์ (Harnessing Ratio) ถึง 63.4 % ทําให้กรุงเทพเป็นอันดับ 1 ของเอเชียแปซิฟิก และเป็นอันดับ 6 ของโลก จากการคํานวณอัตราการใช้ประโยชน์ การจัดอันดับดังกล่าว เป็นการจัดอันดับเมืองจุดหมายปลายทาง MICE (Meetings, Incentives, Conferences and Exhibitions) ทั่วโลกที่ใช้ประโยชน์จากบุคลากรที่เป็นต้นทุนทางปัญญาเพื่อดึงงานประชุมนานาชาติมาจัดในเมืองได้สูงสุด โดยพิจารณาจากจํานวนผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพที่ได้เข้าไปดํารงตําแหน่งในคณะกรรมการบริหารของสมาคมวิชาชีพระหว่างประเทศ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2565 นี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ระดับผู้นํา รวมถึงการประชุมที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี เป็นสัญญาณและโอกาสที่ดีที่จะดึงการจัดงานต่าง ๆ เข้ามาในประเทศไปจนถึงปีหน้า ซึ่งสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน. หรือ TCEB) ยังระบุว่า หากสามารถผลักดันการจัดประชุมให้เกิดขึ้นได้ตามแผน ปีนี้จะมีจํานวนนักเดินทาง MICE ไมซ์รวมมากกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้รวมกว่า 28,400 ล้านบาท ต่อเนื่องถึงในปี 2566 “นายกรัฐมนตรี พร้อมสนับสนุนภาคบริการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไมซ์ ในการพัฒนาความรู้ ฝีมือ ทักษะแก่บุคลากร เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม MICE ไทยในหลาย ๆ ด้าน ทั้งนี้ เชื่อมั่นศักยภาพไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ MICE อยู่ในลําดับต้นๆ ของภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ขยายผลต่อยอดในการพัฒนาประเทศ” นายธนกร กล่าว
2022-08-11
1,624.75
1,622.26001
1,626.280029
1,612.609985
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ขานรับนโยบายนายกฯ สั่ง กสร.สร้างความเข้าใจสิทธิ หน้าที่ของนายจ้าง ลูกจ้าง กรณีโควิด-19
รมว.สุชาติ ขานรับนโยบายนายกฯ สั่ง กสร.สร้างความเข้าใจสิทธิ หน้าที่ของนายจ้าง ลูกจ้าง กรณีโควิด-19 กระทรวงแรงงานขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ดูแลลูกจ้างในสถานประกอบกิจการภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สั่งการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งสร้างความเข้าใจนายจ้างพร้อมดูแลให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย นาย สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานได้มีความห่วงใยลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ โดยมีความต้องการให้ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัยที่ดีภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงแรงงานจึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เข้าไปชี้แจงทําความเข้าใจกับนายจ้าง และลูกจ้างเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ดําเนินการตามแนวทางป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง หรือเกิดผลกระทบต่อกิจการของนายจ้าง และหากทราบว่ามีการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ดําเนินการให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยเร็ว นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร. ได้ดําเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานโดยกรมฯ ได้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมายให้แก่นายจ้างและลูกจ้างได้รับทราบ ในกรณีหากนายจ้างสงสัยว่าลูกจ้างเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และสั่งให้ลูกจ้างกักตัว ณ ที่พักอาศัยเพื่อเฝ้าดูอาการ นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้าง เพราะถือว่าปฏิบัติตามคําสั่งของนายจ้าง ไม่ใช่การขาดงานหรือละทิ้งหน้าที่ แต่นายจ้างสามารถตกลงกับลูกจ้างให้ใช้สิทธิการลาป่วย หรือใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจําปีได้ รวมไปถึงสามารถสั่งให้ลูกจ้างเข้ารับการตรวจจากแพทย์ ด้วยเหตุที่ลูกจ้างเสี่ยงเป็นผู้ติดเชื้อ เพราะหากไม่ดําเนินการอาจเป็นอันตรายและกระทบต่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้างคนอื่น หรือกระทบต่อกิจการของนายจ้างได้และหากนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุลูกจ้างติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ถือว่าไม่ได้เป็นความผิดร้ายแรงที่เกิดจากการกระทําของลูกจ้าง ไม่ใช่การกระทําผิดวินัย ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรสายด่วน 1506 กด 3 หรือ 1546
2022-05-20
1,618.920044
1,622.949951
1,626.160034
1,616.459961
up
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ" แนะชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบศาสนกิจหรือประกอบพิธีฮัจญ์ ขอให้ยึดมาตรการดูแลสุขภาพ เพื่อความปลอดภัย โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 3,955 ราย
โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ" แนะชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบศาสนกิจหรือประกอบพิธีฮัจญ์ ขอให้ยึดมาตรการดูแลสุขภาพ เพื่อความปลอดภัย โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 3,955 ราย โฆษกรัฐบาล เผย "นายกฯ" แนะชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบศาสนกิจหรือประกอบพิธีฮัจญ์ ขอให้ยึดมาตรการดูแลสุขภาพ เพื่อความปลอดภัย โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 3,955 ราย วันนี้ (31 พ.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความห่วงใยชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบศาสนกิจหรือทําพิธีฮัจญ์ ณ มหานครเมกกะห์และเมืองมะดีนาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากการประกอบพิธีฮัจญ์เป็นกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโรคติดต่ออื่น ๆ ได้ง่าย ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดระบบบริการสุขภาพตั้งแต่ก่อนเดินทาง ทั้งการอบรมให้ความรู้การดูแลตนเองด้านสุขภาพ ฉีดวัคซีน คัดกรองความเสี่ยงรวมไปถึงสนับสนุนยาสามัญประจําบ้าน หน้ากากอนามัย และให้บริการเชิงรุกด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในที่พักของผู้แสวงบุญ และจัดตั้งคลินิกฮัจญ์ในสถานบริการสาธารณสุข พร้อมส่งทีมแพทย์ไปให้การดูแลผู้ที่เดินทางไปเข้าร่วมพิธี มีการจัดตั้งโรงพยาบาลชั่วคราวที่มีเตียงสําหรับผู้ป่วยใน 20 เตียง เพื่อให้บริการตรวจรักษา ทําหัตถการฉุกเฉิน และส่งรักษาต่อสําหรับมาตรการภายหลังเสร็จสิ้นการแสวงบุญ ได้จัดบริการคัดกรองความเสี่ยงและเฝ้าระวังป้องกันโรคติดต่ออย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับผู้เดินทางกลับภูมิลําเนาอย่างปลอดโรค ปลอดภัยซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนรักษามาตรการความปลอดภัย ดูแลตนเองด้านสุขภาพ ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคโควิด-19 สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันโรค รักษาระยะห่าง หมั่นนล้างบ่อย ๆลดการสัมผัสจุดเสี่ยงร่วม ตลอดจนหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ พร้อมทั้งขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 3,955 ราย จําแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 3,954 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 21 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 39,861 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 6,607 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 2,227,022 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 2,212,083 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 880 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 11 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 12.3 ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 29 พ.ค. 65 รวม 137,590,155 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 56,731,873 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 52,627,141 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ขึ้นไป สะสม 28,231,141 โดส
2022-05-31
1,654.27002
1,663.410034
1,663.52002
1,649.599976
up
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทม. ใช้ศูนย์พักคอยสะพานสูง รับคนไร้บ้านที่ป่วยโควิด-19
กทม. ใช้ศูนย์พักคอยสะพานสูง รับคนไร้บ้านที่ป่วยโควิด-19 กทม. ใช้ศูนย์พักคอยสะพานสูง รับคนไร้บ้านที่ป่วยโควิด-19 กทม. ใช้ศูนย์พักคอยเขตสะพานสูง เป็นศูนย์กลางรับ-ส่งต่อ คนไร้บ้านที่ติดโควิด-19 โดยจะส่งรักษาที่ Hospitel ของ รพ.ปิยะเวท แต่หากพบว่ามีอาการทางจิตร่วมด้วยจะส่งรักษาที่ รพ.สมเด็จเจ้าพระยา ของกรมสุขภาพจิต ส่วนคนไร้บ้านที่ไม่มีเลข 13 หลัก จะรักษาที่ศูนย์พักคอยเขตสะพานสูง ซึ่งอยู่ในความดูแลของ รพ.คลองสามวา . ทุกกรณี จะรักษาจนหาย และประสานกระทรวง พม. หาที่พักพิงให้ หรือส่งกลับภูมิลําเนาตามความสมัครใจ ประชาชนที่พบเห็นคนไร้บ้านที่สงสัยว่าติดโควิด-19 แจ้งได้ที่ศูนย์พักคอยเขตสะพานสูง โทร 0944505204 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
2021-10-11
1,644.380005
1,633.439941
1,646.5
1,629.949951
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สูตินรีแพทย์เผยโควิดเพิ่มความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนหญิงตั้งครรภ์ แนะฉีดวัคซีนลดติดเชื้อถึงลูก
สูตินรีแพทย์เผยโควิดเพิ่มความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนหญิงตั้งครรภ์ แนะฉีดวัคซีนลดติดเชื้อถึงลูก ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เผยหญิงตั้งครรภ์ติดโควิดมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่าครึ่ง เหตุโรคโควิดทําลายหลอดเลือดที่รก และสายสะดือ ทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้ง่าย ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เผยหญิงตั้งครรภ์ติดโควิดมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่าครึ่ง เหตุโรคโควิดทําลายหลอดเลือดที่รก และสายสะดือ ทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้ง่าย ห่วงท้องแก่ 8 เดือน มีน้ําคร่ําในมดลูกมากส่งผลดันจนปอดขยายตัวยากขึ้น ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ขณะที่ทารกติดเชื้อจากแม่มากถึง 11.8% ย้ําต้องฉีดวัคซีน ช่วยส่งผ่านภูมิคุ้มกันถึงลูกด้วย วันนี้ (13 สิงหาคม 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี พลอากาศโท นายแพทย์การุณ เก่งสกุล ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย แถลงข่าว การดูแลหญิงตั้งครรภ์ในสถานการณ์โควิด 19 ว่า สถานการณ์หญิงตั้งครรภ์ติดโควิดเริ่มพบมากขึ้นหลังสงกรานต์ปี 2564 ข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่ ธันวาคม 2563 – 11 สิงหาคม 2564 พบหญิงตั้งครรภ์ติดโควิด 1,993 ราย คลอดแล้ว 1,129 ราย (คิดเป็น 55% ) และกลุ่มนี้มีการฉีดวัคซีนเพียง 10 ราย พบทารกติดเชื้อจากแม่ 113 คน คิดเป็น 11.8% ถือว่าสูงกว่าต่างประเทศมาก ส่วนหนึ่งเพราะเทียบกับข้อมูลจากประเทศที่ฉีดวัคซีนจํานวนมากแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น “ที่น่าห่วงคือหญิงตั้งครรภ์ติดโควิดเสียชีวิตถึง 37 ราย คิดเป็น 1.85% เทียบกับคนทั่วไปที่ติดเชื้อเสียชีวิต 0.83% ถือว่าสูงกว่าคนทั่วไป 2 เท่าครึ่ง ทารกเสียชีวิต 36 ราย คิดเป็น 1.8% เป็นคลอดแล้วเสียชีวิตเลย 11 ราย และเสียชีวิตภายใน 7 วันหลังคลอด 9 ราย อีก 16 ราย เสียชีวิตในท้องพร้อมแม่ ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุด คือการรับวัคซีน ซึ่งภูมิต้านทานจะถึงทารกด้วย ขณะนี้มีรายงานจากต่างประเทศแล้วว่าการฉีดแบบมิกซ์แอนด์แมชต์ได้ผลภูมิคุ้มกันสูง ไม่จําเป็นต้องเลือกวัคซีน แต่ควรรีบฉีดวัคซีนให้ได้ภูมิคุ้มกันขั้นแรกจากเข็มแรกก่อน และเมื่อตามด้วยเข็ม 2 ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว” พลอากาศโท นายแพทย์การุณกล่าว พลอากาศโท นายแพทย์การุณ กล่าวอีกว่า รกและสายสะดือมีหลอดเลือดจํานวนมาก ขณะที่โรคโควิด 19เป็นโรคที่ทําให้หลอดเลือดชํารุดเสียหาย ทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์สูงมาก ทั้งภาวะความดันโลหิตสูงเลือดออกง่ายกว่าปกติ หลอดเลือดอุดตันที่ปอดมากกว่าปกติ รกลอกก่อนกําหนด จึงเป็นสาเหตุของการแท้งการคลอดก่อนกําหนด เด็กน้ําหนักน้อยกว่ากําหนด รวมถึงทําให้แม่เสียชีวิตได้ง่ายกว่าปกติ รวมถึงสรีระหญิงตั้งครรภ์ ช่วง 32 สัปดาห์หรือ 8 เดือน ครรภ์จะใหญ่ขึ้น น้ําคร่ําในมดลูกมีมากที่สุดประมาณ 1-1.3 ลิตรจึงดันมดลูกขึ้นไปทําให้ปอดขยายตัวลําบาก เกิดภาวะปอดแฟบตามธรรมชาติ ทําให้เกิดปัญหาหายใจล้มเหลวได้มาก ส่วนกรณีหญิงตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ ฉีดวัคซีนโควิดแล้วลูกเสียชีวิตในท้องนั้น ธรรมชาติของการตั้งครรภ์ สามารถพบทารกเสียชีวิตในท้องได้ประมาณ 1% มีหลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อ หลอดเลือด สายสะดือ รก ความดันโลหิตสูง จะระบุว่ามาจากการฉีดวัคซีนคงไม่สามารถจะสรุปได้ อย่างไรก็ตาม วัคซีนมีความปลอดภัยและจําเป็นสําหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรฉีดเมื่ออายุครรภ์12 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะใน 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือนแรกเป็นช่วงที่ร่างกายเด็กกําลังสร้างอวัยวะ ทุกอย่างเช่น ระบบสมอง ประสาท กล้ามเนื้อ ระบบต่อมไร้ท่อ ต้องไม่มียาหรือวัคซีนใดๆเข้ามาแทรกซ้อน สําหรับยาฟาวิพิราเวียร์มีการระบุว่าห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ สามารถใช้ยาเรมเดซิเวียร์แบบฉีดได้ในกรณีอาการรุนแรงเช่นโควิดลงปอด “ในช่วง 1 ปีของโควิดทําให้ทราบว่าไวรัสกระจายไปอยู่ในทุกส่วนของการตั้งครรภ์ ได้แก่ เลือดแม่ น้ําคร่ํารอบตัวเด็ก เนื้อรก หรือน้ําคัดหลั่งในช่องคลอด ไม่ว่าคลอดทางไหนมีสิทธิติดถึงลูกได้ รวมถึงผ่านน้ํานมไปได้ด้วย แต่ผ่านไปได้มากแค่ไหนกําลังมีการศึกษา ดังนั้น การให้นมบุตรยังมีความจําเป็น เพราะลูกจะได้ภูมิต้านทานจากโรคอื่นด้วย” พลอากาศโท นายแพทย์การุณกล่าว *********************************** 13 สิงหาคม 2564
2021-08-13
1,530.680054
1,528.319946
1,541.079956
1,525.51001
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ ๓๐ ปีความสัมพันธ์ฯ วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ ๓๐ ปีความสัมพันธ์ฯ วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ ๓๐ ปีความสัมพันธ์ฯ ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ ๓๐ ปีความสัมพันธ์ฯ * * * * * ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และ ฯพณฯ ทั้งหลาย ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับผู้นําอาเซียนต้อนรับท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เข้าร่วมการประชุมสุดยอดฯ สมัยพิเศษ ในวันนี้ ผมขอแสดงความยินดีต่อวาระครบรอบ ๓๐ ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน และการประชุมในวันนี้ ถือว่าเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความสัมพันธ์ฯ ในฐานะ“หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน”ซึ่งจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ของเราให้แน่นแฟ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้น นําไปสู่การขยายความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ในทุกมิติ เพื่อให้เราก้าวสู่ทศวรรษใหม่ร่วมกันได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอด ๓ ทศวรรษที่ผ่านมาความสัมพันธ์อาเซียน-จีนมีความโดดเด่นเฉพาะตัว โดยเป็นเสาหลักของความร่วมมือเพื่อส่งเสริมสันติภาพที่ยั่งยืนและความไพบูลย์ร่วมกันของภูมิภาค ความสําเร็จร่วมกันของเรา ที่มีมาอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงนามปฏิญญาDOC (ดีโอซี) เมื่อปี ๒๕๔๕ การที่จีนเป็นคู่เจรจาแรกที่มีสถานะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เมื่อปี ๒๕๔๖ และล่าสุด การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้านในปีนี้ รวมไปถึงการที่เราได้กลายเป็นคู่ค้าอันดับ ๑ ของกันและกันเมื่อปี ๒๕๖๓ อีกทั้งได้ร่วมกันต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นพัฒนาการที่สําคัญในการต่อยอดความเป็นหุ้นส่วนระหว่างเราให้แนบแน่นยิ่งขึ้นในอนาคต ผมขอใช้โอกาสนี้แสดงความยินดีต่อท่านประธานาธิบดีและประชาชนจีน ในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และขอชื่นชมความสําเร็จอย่างเป็นที่ประจักษ์ในหลายมิติ ทั้งในด้านการพัฒนา และการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเพิ่มผลผลิตควบคู่ไปกับนโยบายการลงทุนอย่างมีเป้าหมาย เพื่อสร้างสังคมกินดีอยู่ดีอย่างรอบด้าน และการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอํานาจของโลกที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งล้วนเป็นผลจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างแท้จริง เริ่มต้นจากการพลิกโฉมประเทศผ่านการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายฝั่งตะวันออก เหล่านี้นับเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นานาประเทศทั้งที่พัฒนาแล้วและกําลังพัฒนาได้ วิสัยทัศน์ที่ท่านประธานาธิบดีสีฯ ได้ประกาศไว้ในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีการก่อตั้งพรรคฯ ซึ่งมุ่งสร้าง“ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ”แสดงถึงความมุ่งมั่นของจีนที่จะรับมือกับประเด็นท้าทายร่วมกัน และสร้างสรรค์โลกที่น่าอยู่สําหรับเราทุกคน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอาเซียนในการเสริมสร้างประชาคม ที่เข้มแข็งและความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ประเทศไทยได้กําหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาศักยภาพของประชาชนให้พร้อมก้าวสู่ศตวรรษที่ ๒๑ โดยท่ามกลางสถานการณ์โควิด-๑๙ และประเด็นท้าทายอื่น ๆ ที่รายล้อม เรากําลังมุ่งสู่Next Normalด้วยการพลิกโฉมประเทศไทย ซึ่งในวันนี้ผมขอเสนอประเด็นที่เราทุกคนควรให้ความสําคัญเป็นลําดับต้น ดังนี้ ประการแรกเราควรมุ่งเน้นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความกินดีอยู่ดี ด้วยนโยบายที่มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาช่องว่างทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนบนหลักการของความสมดุลตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ให้ประชาชนสามารถดํารงชีวิตบนพื้นฐานของความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล และการมีภูมิคุ้มกันในการรับมือกับความท้าทายและสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคต อาเซียนสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากตัวอย่างความสําเร็จของจีนในการขจัดความยากจน และความหิวโหย การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารผ่านนโยบาย“คลีนเพลท”การฟื้นฟูชนบทที่เน้นการกระจายความเจริญการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ตลอดจนการทําการเกษตรอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป และการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตร โดยอาจพิจารณาเรื่องการส่งเสริมการทําการตลาดร่วมกัน รวมทั้งแนวทางความร่วมมืออื่น ๆ ภายใต้“ข้อเสนอการพัฒนาแห่งโลก”ของจีนในกรอบสหประชาชาติ นอกจากนี้ ไทยสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์และต่อเนื่องของจีนในเรื่องการลดช่องว่างด้านการพัฒนา ทั้งในอาเซียนและอนุภูมิภาค โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างซึ่งไทยจะเข้ารับตําแหน่งประธานร่วมกับจีนในปี ๒๕๖๕ และACMECSซึ่งจีนเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่สําคัญ ประการที่สองเราควรมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมจากฐานราก ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนทุกช่วงวัย โดยการนําวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและปลอดภัย เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน ตลอดจนยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในแง่ของขนาดและความรวดเร็ว รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะMSMEผู้ประกอบการสตรี และกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ เพื่อให้สามารถรับมือกับยุค4IRและการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล อาเซียนและจีนควรเพิ่มมูลค่าของความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่โลกกําลังก้าวสู่สังคมดิจิทัลเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในยุคNext Normalโดยที่จีนเป็นประเทศชั้นนําของโลกที่มีความก้าวหน้า ทั้งทางด้านAI (เอไอ)Big Data และเทคโนโลยีล้ําสมัยอื่น ๆ ซึ่งกําลังมีการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทุกประเทศน่าจะได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญนี้ผ่านความร่วมมือที่อยู่บนพื้นฐานของความเจริญร่วมกันอย่างสันติสุขของภูมิภาคและของโลก ประการที่สามการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่อยู่บนพื้นฐานที่จะสร้างความมั่นคงให้กับมนุษย์อย่างแท้จริง ซึ่งในเรื่องนี้ประเทศไทยให้ความสําคัญกับการพัฒนาที่สร้างความสมดุลของสรรพสิ่งและความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งรวมถึงอาหาร พลังงาน และการทํานุบํารุงสิ่งแวดล้อม อันเป็นสิ่งจําเป็นต่อความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ โดยการเชื่อมโยงกันอย่างสมดุลของเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ บี ซี จี ซึ่งจะนําไปสู่ความมั่นคงของการมีชีวิตอยู่ของประชาชน ที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียเปล่า ทั้งนี้ ไทยพร้อมจะยกระดับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มที่และด้วยทุกวิถีทาง เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ.๒๐๕๐ และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ.๒๐๖๕ ตามที่ผมได้ให้คํามั่นไว้ในการประชุมCOP26ที่ผ่านมา ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และทุกท่าน การธํารงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคเป็นวัตถุประสงค์หลักของเราตั้งแต่ก่อตั้งอาเซียน ดังนั้น ไทยขอเน้นย้ําความสําคัญของการรักษาดุลยภาพเชิงยุทธศาสตร์ในสถาปัตยกรรมของภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง รวมถึงการเสริมสร้างบรรยากาศแห่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอํานาจ เรายินดีต่อการหารือระหว่างท่านประธานาธิบดีสี กับประธานาธิบดีไบเดน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งการที่จีนและสหรัฐฯ จับมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกและหวังว่า สปิริตแห่งความร่วมมือดังกล่าวจะสามารถขยายไปสู่ความร่วมมือในด้านอื่น ๆ บนพื้นฐานของหลักการ ๓ เอ็ม ซึ่งคือMutual Trust, Mutual Respect,และMutual Benefitเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยต่อการฟื้นฟูของทุกประเทศจากความบอบช้ําที่เกิดจากโควิด-๑๙ ในประเด็นทะเลจีนใต้ ไทยให้ความสําคัญต่อการหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ เรามุ่งมั่นที่จะสานต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะการผลักดันความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย และสนับสนุนการดําเนินการตามกลไกอาเซียน-จีนที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการปฏิบัติตามปฏิญญาDOC ซึ่งเราจะฉลองโอกาสครบรอบ ๒๐ ปี ในปี ๒๕๖๕ และการเจรจาจัดทําCOC ที่มีประสิทธิภาพ มีเนื้อหาที่ครอบคลุม และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ให้สําเร็จโดยเร็ว สุดท้ายนี้ ผมขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พบกันในวาระพิเศษของการครบรอบ ๓๐ ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน และขอยืนยันเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของไทยเพื่อร่วมมือในการพัฒนา ความเป็นหุ้นส่วนของเราให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ขอบคุณครับ * * * * *
2021-11-22
1,648.140015
1,649.540039
1,653.329956
1,645.089966
up
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบ ขยายระยะเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม 40 บาท / ห้องพักให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม อีก 2 ปี เริ่ม 1 กรกฎาคม 2565 - 30 มิถุนายน 2567
ครม. เห็นชอบ ขยายระยะเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม 40 บาท / ห้องพักให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม อีก 2 ปี เริ่ม 1 กรกฎาคม 2565 - 30 มิถุนายน 2567 ครม. เห็นชอบ ขยายระยะเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรม 40 บาท / ห้องพักให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม อีก 2 ปี เริ่ม 1 กรกฎาคม 2565 - 30 มิถุนายน 2567 วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมสําหรับการประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. โดยสาระสําคัญ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ 40 บาท/ห้องพัก เป็นเวลา 2 ปีตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 65 - 30 มิถุนายน 2567 จากที่กฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมสําหรับการประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2563 จะสิ้นสุดผลใช้บังคับในวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบัน จะมีมาตรการผ่อนคลายกิจการกิจกรรมหลายอย่างให้สามารถบริการได้แต่เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจต้องใช้ระยะเวลาไปอีกระยะหนึ่ง และแม้ว่ามาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมดังกล่าวจะทําให้ภาครัฐสูญเสียรายได้เฉลี่ยประมาณปีละ 24,893,080 บาท แต่สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมจะที่ต้องชําระค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมคิดเป็นเงินจํานวน 47,354,200 บาท เป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19
2022-07-05
1,566.51001
1,541.300049
1,569.959961
1,539.319946
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน แจง ไม่นิ่งนอนใจ ติดตามแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานต่างด้าว อย่างเป็นระบบมาโดยตลอด
กรมการจัดหางาน แจง ไม่นิ่งนอนใจ ติดตามแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานต่างด้าว อย่างเป็นระบบมาโดยตลอด อธิบดีกรมการจัดหางาน ยืนยันวางแผนบริหารจัดการแรงงาน 3 สัญชาติ เพื่อแก้ปัญหาตามสถานการณ์และระยะเวลาที่เหมาะสม พร้อมขอความร่วมมือนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยการนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ขับเคลื่อนนโยบายแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนนายจ้าง/สถานประกอบการ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาโดยตลอด ทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันที่พบการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่อย่างโอมิครอน กระทรวงแรงงานจําเป็นต้องบริหารจัดการการทํางานของแรงงานข้ามชาติอย่างรอบคอบมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการควบคุมป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพราะคํานึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชนคนไทยเป็นสําคัญ นายไพโรจน์ฯ กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่ปี 2563 ที่ประเทศไทยเข้าสู่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดําเนินการปรับเปลี่ยนระเบียบ นโยบาย รวมถึงมาตรการต่างๆ เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ โดยเสนอครม.เพื่อมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา อยู่ในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษภายใต้สถานการณ์ โควิด - 19 ระลอกใหม่ โดยให้นายจ้างที่จ้างแรงงานข้ามชาติ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ยื่นบัญชีรายชื่อแจ้งความต้องการจ้างคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ และยื่นคําขอรับใบอนุญาตทํางาน (บต.48) ซึ่งทําให้แรงงาน 3 สัญชาติ จํานวน 496,055 คน ได้รับโอกาสเป็นแรงงานที่สามารถอยู่ในประเทศไทยและทํางานได้อย่างถูกกฎหมาย หากเจ็บป่วยหรือได้รับเชื้อโควิดสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาตามสิทธิได้ ต่อมาเสนอครม.เพื่อมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 โดยมีเป้าหมายบริหารจัดการให้แรงงานข้ามชาติที่ทํางานอยู่ในประเทศไทยตามมติครม.คราวต่างๆ (มติ 20 ส.ค. 62 , มติ 4 ส.ค. 63 , มติ 10 พ.ย. 63 , กลุ่ม MoU ที่ครบวาระการจ้างงาน และกลุ่มใบอนุญาตทํางานสิ้นสุดโดยผลของกฎหมาย) จํานวน 1,695,416 คน สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อการทํางานได้ต่อไปถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 หรือ 2 ปี นับแต่วันที่การอนุญาตเดิมสิ้นสุด รวมทั้งขยายระยะเวลาการหานายจ้างจาก 30 วัน เป็น 60 วัน เพื่อแก้ปัญหาให้นายจ้างที่ขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากสถานการณ์ด้านวัคซีนภายในประเทศขณะนั้นยังไม่เอื้ออํานวยที่จะนําแรงงานข้ามชาติเข้ามา อย่างไรก็ดีผลการดําเนินการจนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2564 มีนายจ้าง/สถานประกอบการดําเนินการตามขั้นตอนจนแรงงานต่างด้าวได้รับอนุญาตทํางานแล้ว เพียง 272,322 คน จนถึงมติครม.เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 เป็นอีกครั้งที่กระทรวงแรงงานเก็บตกแรงงาน 3 สัญชาติ ที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยดําเนินการตรวจสถานที่ก่อสร้าง สถานประกอบการ โรงงาน และสถานที่ทํางาน เพื่อให้คําแนะนําการปฏิบัติตนตามมาตรการทางสาธารณสุขแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าว เป็นระยะเวลา 30 วัน หากพบแรงงานต่างด้าวที่ทํางานโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จะบันทึกข้อมูลนายจ้างและแรงงานต่างด้าว พร้อมกําหนดวันนัดหมายให้นายจ้างมาดําเนินการยื่นคําขออนุญาตทํางานแทนแรงงงานต่างด้าว ณ สํานักงาน เพื่อเข้าสู่ระบบการจ้างงานตามกฎหมาย และได้รับการดูแลตามสิทธิที่พึงมี หากอยู่ในกิจการที่มีประกันสังคมมีสิทธิเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา33 และได้รับการคุ้มครอง และสิทธิการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกับคนไทยที่อยู่ในระบบประกันสังคม หรือหากไม่อยู่ในกิจการที่มีประกันสังคมก็ได้รับสิทธิประกันสุขภาพตามสิทธิประกันที่มีการกําหนดให้ทําเมื่อเข้ามาทํางานในประเทศไทย โดยมีนายจ้าง/สถานประกอบการดําเนินการยื่นขอรับใบอนุญาตทํางานแทนคนต่างด้าวทั้งสิ้น 353,776 คน และล่าสุดจากกําหนดการเปิดประเทศของรัฐบาล เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 64 กระทรวงแรงงานได้เตรียมการล่วงหน้า เพื่อนําเข้าแรงงาน 3 สัญชาติ ตาม MoU เพื่อให้นายจ้างมีแรงงานในการขับเคลื่อนกิจการสอดรับกับการเปิดประเทศ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 64 เป็นต้นมากระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้เปิดให้นายจ้าง/สถานประกอบการยื่นคําร้องขอนําเข้าแรงงาน 3 สัญชาติ (เมียนมา ลาว กัมพูชา) ตาม MoU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการนําเข้าตาม MoU สามารถดําเนินการได้ตลอดทั้งปี ตามความจําเป็นในการประกอบกิจการ มีค่าใช้จ่ายรวมในการนําเข้าฯ อยู่ระหว่าง 11,490 – 24,250 บาทต่อแรงงานข้ามชาติ 1 คน ขึ้นอยู่กับการเลือกสถานที่กักตัว ระยะเวลาที่ต้องอยู่ในสถานที่กักตัว รวมถึงการเลือกประกันสุขภาพ ซึ่งราคาจะขึ้นยู่กับระยะเวลา “กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน มีการวางแผนบริหารจัดการแรงงาน 3 สัญชาติ ในทุกระยะ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แต่สิ่งสําคัญที่จะแก้ปัญหาได้คือ นายจ้าง/สถานประกอบการจําเป็นต้องร่วมมือใช้แรงงานที่เข้ามาทํางานอย่างถูกกฎหมาย ไม่รับแรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศมาทํางาน เพราะแรงงานกลุ่มดังกล่าวไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรองโควิดตามมาตรการสาธารณสุข ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด ส่งผลกระทบโดยตรงทั้งต่อกิจการท่าน ชุมชนใกล้เคียง จนถึงประเทศชาติ ดังนั้นหากท่านต้องการแรงงาน 3 สัญชาติ นายจ้างที่มีความพร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดหาสถานที่กักตัว สามารถยื่นคําร้องขอนําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานในประเทศ (Demand) กับกรมการจัดหางานหรือสํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ โดยข้อมูล ณ วันที่ 20 ธ.ค. 64 มีนายจ้างยื่นคําร้องแล้ว 255 คําร้อง ต้องการแรงงาน 3 สัญชาติ 32,295 คน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
2021-12-21
1,623.199951
1,622.25
1,628.839966
1,618.569946
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 2
การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ เรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 2 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ เรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 2 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับความพร้อมในการดําเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของโครงการและรองรับความผันผวนของราคาน้ํามันในตลาดโลก จึงจําเป็นต้องปรับแผนการกู้เงินสําหรับโครงการลงทุนให้สะท้อนกับความคืบหน้าของโครงการ อาทิ โครงการระบบรถไฟฟ้าและรถไฟทางคู่ แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนปรับแผนการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องและสนับสนุนการดําเนินกิจการ ปรับแผนการบริหารหนี้เดิมโดยการยืดอายุหนี้ที่ครบกําหนด และบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด อีกทั้งการพิจารณาการชําระหนี้ตามแผนที่กําหนด ประกอบด้วย 1) แผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่มสุทธิ 49,619.73 ล้านบาท จากเดิม 1,365,483.84 ล้านบาท เป็น 1,415,103.57 ล้านบาท 2) แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับลดสุทธิ 35,794.42 ล้านบาท จากเดิม 1,536,957.98 ล้านบาท เป็น 1,501,163.56 ล้านบาท และ 3) แผนการชําระหนี้ ปรับเพิ่มสุทธิ 1,035.29 ล้านบาท จากเดิม 362,233.72 ล้านบาท เป็น 363,269.01 ล้านบาท หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีจํานวน 9,828,268.17 ล้านบาท โดยประมาณร้อยละ 70 ของหนี้สาธารณะเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อาทิเช่น คมนาคม การศึกษาและวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคมสาธารณูปการ และสาธารณสุข เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 2 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 คาดว่า จะอยู่ที่ร้อยละ 62.76 ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังที่ร้อยละ 70 สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5517
2022-04-13
null
null
null
null
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือน รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดกิจกรรม “OPEN HOUSE”
สถาบันการบินพลเรือน รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดกิจกรรม “OPEN HOUSE” ในรูปแบบออนไลน์ (Online) บน Facebook เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 64 สถาบันการบินพลเรือน รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม โดย กองวิชาวิศวกรรมการบิน จัดกิจกรรม “OPEN HOUSE” ในรูปแบบออนไลน์ (Online) บน Facebook Live CATCthailand สถาบันการบินพลเรือน โดย ดร.อุสาห์ ต่อเทียนชัย ผู้อํานวยการกองวิชาวิศวกรรมการบิน สถาบันการบินพลเรือน พร้อมด้วยคณาจารย์ และนายกุลฉัตร เชยทอง ศิษย์เก่าหลักสูตรวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์การบิน รุ่นที่ 6 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย ร่วมพุดคุยเกี่ยวกับหลักสูตรเตรียมวิศวกรรมการบิน รายวิชาที่เปิดสอนในหลักสูตรเตรียมวิศวกรรมการบิน เส้นทางการประกอบอาชีพเมื่อจบการศึกษา ค่าเล่าเรียน - ทุนการศึกษา และตอบคําถามประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับหลักสูตร รวมถึงพาชมห้องเรียน อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเรียนการสอน ซึ่งในปีนี้ หลักสูตรเตรียมวิศวกรรมการบิน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการบิน) หลักสูตรสองภาษา เปิดรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) หรือเทียบเท่า ในปีการศึกษา 2565 ดังนี้ 1. รอบโควตา (เตรียมวิศวกรรมการบิน) ระหว่างวันที่ 4 ต.ค. - 25 พ.ย. 2564 2. รอบรับตรง (เตรียมวิศวกรรมการบิน) ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2564 - 3 มี.ค. 2565 โดยมี นายศิครินทร์ เศรษฐ์สุรปรีชา พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ เป็นผู้ดําเนินรายการดังกล่าว ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงาน “OPEN HOUSE” ที่อัดแน่นไปด้วยความรู้และสาระประโยชน์อย่างมากจากอาจารย์ผู้สอน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ ผู้ปกครอง ผู้ที่สนใจเข้าศึกษาหลักสูตรเตรียมวิศวกรรมการบินได้เป็นอย่างมาก สามารถชมวีดีโอคลิป Facebook Live “OPEN HOUSE” หลักสูตรเตรียมวิศวกรรมการบิน ได้ที่ • https://www.facebook.com/100000038431842/posts/4946978538646712/?d=n • https://www.facebook.com/catcthailand/videos/592349145145462/
2021-11-04
1,613.449951
1,626.27002
1,627.569946
1,607.72998
up
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวให้การยาสูบแห่งประเทศไทยจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นเสริมสภาพคล่อง วงเงิน 1,500 ล้านบาท หลังรับผลกระทบหนักจากสภาพเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคกำลังซื้อลดลง และ น้ำมันขึ้นราคา
ครม.ไฟเขียวให้การยาสูบแห่งประเทศไทยจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นเสริมสภาพคล่อง วงเงิน 1,500 ล้านบาท หลังรับผลกระทบหนักจากสภาพเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคกําลังซื้อลดลง และ น้ํามันขึ้นราคา ครม.ไฟเขียวให้การยาสูบแห่งประเทศไทยจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นเสริมสภาพคล่อง วงเงิน 1,500 ล้านบาท หลังรับผลกระทบหนักจากสภาพเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคกําลังซื้อลดลง และ น้ํามันขึ้นราคา วันที่ 16 สิงหาคม 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นโดยวิธีกู้เบิกเกินบัญชี วงเงิน 1,500 ล้านบาท อายุเงินกู้ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2565 -16 มีนาคม 2566 เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินสําหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดําเนินกิจการทั่วไปของ ยสท. ซึ่งวงเงินกู้ดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2565 แล้ว โดยผลประกอบการล่าสุดในรอบ 6 เดือน ปี 2565 ของ ยสท. มีรายได้รวม 17,748 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวม 17,783 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 35 ล้านบาท นอกจากนี้ ยสท. ยังได้จัดทําประมาณการเงินสดรับ-จ่าย ประจําปีงบประมาณ 2565-2566 กรณีที่ประมาณการยอดจําหน่ายบุหรี่ในประเทศต่ําที่สุด (Worst Case) โดยในปีงบประมาณ 2565 คาดการณ์ว่าจะจําหน่ายบุหรี่ในประเทศได้จํานวน 12,050 ล้านมวน และผลกระทบจากโควิด 19 ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจถดถอยและผู้บริโภคมีกําลังซื้อลดลง ประกอบกับปัญหาจากการปรับขึ้นราคาน้ํามันอย่างต่อเนื่อง ทําให้ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าสาธารณูปโภค และอื่นๆที่ยสท.ต้องนํามาใช้ในการผลิตยาสูบและดําเนินกิจกรรมในองค์กรเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงปัญหาการแพร่กระจายของบุหรี่ผิดกฎหมาย จะส่งผลให้ยสท.มีรายรับรวม 38,338 ล้านบาท รายจ่ายรวม 44,571 ล้านบาท ขาดทุนรวม 6,233 ล้านบาท และเงินสดปลายงวดคงเหลือจํานวน 2,684 ล้านบาท สําหรับปีงบประมาณ 2566 ยสท. คาดการณ์ว่าจะจําหน่ายบุหรี่ในประเทศได้จํานวน 11,552 ล้านมวน มีรายรับรวม 36,711 ล้านบาท รายจ่ายรวม 40,323 ล้านบาท ขาดทุน 3,612 ล้านบาท และเงินสดปลายงวดติดลบจํานวน 928 ล้านบาท ดังนั้น ยสท.จึงมีความต้องการจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นโดยวิธีกู้เบิกเกินบัญชี วงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องและใช้เป็นทุนหมุนเวียน เพื่อให้ดําเนินธุรกิจต่อไปได้
2022-08-16
1,629.439941
1,629.949951
1,632.859985
1,624.920044
up
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับลดอัตราค่ารักษาพยาบาลโควิด 19 ให้สอดคล้องกับต้นทุนในปัจจุบัน เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เป็นไปอย่างคุ้มค่า
กรมบัญชีกลางปรับลดอัตราค่ารักษาพยาบาลโควิด 19 ให้สอดคล้องกับต้นทุนในปัจจุบัน เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เป็นไปอย่างคุ้มค่า กรมบัญชีกลางปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในสถานพยาบาลทางราชการ กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด 19 เพื่อให้สอดคล้องกับบริการและต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง อีกทั้งช่วยลดงบประมาณร่ายจ่ายที่ไม่จําเป็น นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ด้วยปัจจุบันการบริหารจัดการของทรัพยากรที่ใช้เพื่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 มีความพร้อมมากขึ้น ประกอบกับผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง ส่งผลให้ต้นทุนต่าง ๆ ในการรักษาพยาบาลปรับราคาลดลง กรมบัญชีกลางจึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางราชการ กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยงหรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 เพื่อให้สอดคล้องกับบริการและต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง อีกทั้งช่วยลดงบประมาณร่ายจ่ายที่ไม่จําเป็น แต่ยังคงประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยตามเดิม โดยมีการปรับปรุงรายละเอียด ดังนี้ ประเภทผู้ป่วยนอก 1. การตรวจยืนยันการติดเชื้อโควิด 19 1.1 การตรวจยืนยันการติดเชื้อด้วยวิธี Real Time PCR โดยการทําป้ายหลังโพรงจมูกและลําคอ ประเภท 2 ยีน ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 900 บาท จากเดิม 1,300 บาท 1.2 การตรวจยืนยันการติดเชื้อด้วยวิธี Real Time PCR โดยการทําป้ายหลังโพรงจมูกและลําคอ ประเภท 3 ยีนขึ้นไป ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,100 บาท จากเดิม 1,500 บาท 1.3 การตรวจการติดเชื้อด้วยวิธี Antigen test ด้วยเทคนิค Chromatography ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 250 บาท จากเดิม 300 บาท 1.4 การตรวจการติดเชื้อด้วยวิธี Antigen test ด้วยเทคนิค Fluorescent Immuunoassay (FIA) ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 350 บาท จากเดิม 400 บาท 1.5 การตรวจการติดเชื้อด้วยวิธีอื่น ๆ นอกเหนือจาก 1.3 – 1.4 ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 350 บาท จากเดิม 400 บาท 2. การเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Isolation) หรือที่ที่ชุมชนจัดไว้ (Community Isolation) หรือสถานที่อื่นของสถานพยาบาลของทางราชการ 2.1 ค่าบริการของสถานพยาบาลและการดูแลผู้ป่วย ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาทต่อวัน ไม่เกิน 10 วัน 2.2 ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นต้องใช้ในการติดตามอาการผู้ป่วย ค่ายา ค่าเอกซเรย์ ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ และค่ารักษาพยาบาลอื่น ๆ ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,000 บาทต่อราย ประเภทผู้ป่วยใน 1. ค่าห้องพักสําหรับควบคุมหรือดูแลรักษาผู้ป่วยใน 1.1 ผู้ป่วยอาการสีเขียว กรณีไม่ใช้ Oxygen ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 1,000 บาท จากเดิม1,500 บาท (กรณีที่ไม่สามารถให้การรักษาพยาบาลที่บ้านหรือสถานที่ที่ชุมชนจัดไว้ได้ 1.2 ผู้ป่วยอาการสีเหลือง - กรณีใช้ Oxygen Canula เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,500 บาทต่อวัน - กรณีใช้ Oxygen High Flow เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 3,000 บาทต่อวัน 1.3 ผู้ป่วยอาการสีแดง กรณีใส่เครื่องช่วยหายใจ ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 7,500 บาทต่อวัน (อัตราเดิม) 2. ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล 2.1 ผู้ป่วยอาการสีเขียว ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 300 บาทต่อวัน (อัตราเดิม) 2.2 ผู้ป่วยอาการสีเหลือง - กรณีใช้ Oxygen Canula เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 550 บาทต่อชุด (เดิม 600 บาทต่อชุด) ไม่เกิน 5 ชุดต่อวัน - กรณีใช้ Oxygen High Flow เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 550 บาทต่อชุด (เดิม 600 บาทต่อชุด) ไม่เกิน 10 ชุดต่อวัน 2.3 ผู้ป่วยอาการสีแดง - กรณีใส่เครื่องช่วยหายใจ ให้เบิกได้ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 550 บาทต่อชุด (เดิม 600 บาทต่อชุด) ไม่เกิน 20 ชุดต่อวัน (เดิม 30 ชุดต่อวัน) “สําหรับหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางราชการ กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเสี่ยงหรือติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0416.4/ว 157 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองสวัสดิการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 02 127 7000 ต่อ 6854 4441 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
2022-03-08
1,622.030029
1,619.099976
1,633.5
1,580.800049
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 4/2564
ผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 4/2564 คณะกรรมการ PPP เห็นชอบการนําข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) มาใช้กับโครงการ PPP ยกระดับความโปร่งใส เสริมความเชื่อมั่นนักลงทุน พร้อมเร่งรัดโครงการในกลุ่ม High Priority ให้ลงทุนได้ตามแผนงาน นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564 โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบหลักการแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งประกาศ สคร. สําหรับการนําข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) มาใช้กับโครงการร่วมลงทุนที่ดําเนินการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562) ในขั้นตอนของการคัดเลือกเอกชน โดยกําหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องจัดให้มีการดําเนินการจัดทําข้อตกลงคุณธรรมในโครงการร่วมลงทุนที่มีมูลค่าตั้งแต่ห้าพันล้านบาทขึ้นไป หรือโครงการร่วมลงทุนที่คณะกรรมการ PPP พิจารณาเห็นสมควร โดยในชั้นของการคัดเลือกเอกชน จะมีผู้สังเกตการณ์ที่มีความรู้ความสามารถ และไม่มีส่วนได้เสียกับโครงการ ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากหน่วยงานที่ สคร. มอบหมาย เข้าร่วมสังเกตการณ์ตั้งแต่ในขั้นตอนการจัดทําร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสําหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน เพื่อรายงานผลการดําเนินงานตามข้อตกลงคุณธรรม ประกอบการนําเสนอผลการคัดเลือกเอกชนให้กระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ การนําข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) มาปรับใช้กับโครงการร่วมลงทุน จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการดําเนินโครงการ รวมถึงกระบวนการตัดสินใจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าประสงค์สําคัญของการร่วมลงทุนตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 และยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนภาคเอกชนมากขึ้น 2. คณะกรรมการ PPP มอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัด หน่วยงานเจ้าของโครงการ และ สคร. ทําหน้าที่เร่งรัดโครงการในกลุ่มที่มีความสําคัญและจําเป็นเร่งด่วน (High Priority PPP Project) ภายใต้แผนการจัดทําโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 - 2570 ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาและแล้วเสร็จตามกําหนด เพื่อกระตุ้นการลงทุนของประเทศในภาพรวม ลดข้อจํากัดการลงทุนจากเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินกู้ รวมทั้งสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3. คณะกรรมการ PPP มีมติเห็นชอบให้โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้น และกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโครงการขนาดกลางที่มีมูลค่า 4,374 ล้านบาท ถือปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 แบบเต็มรูปแบบ เนื่องจากรัฐมีสัดส่วนการลงทุนในโครงการอยู่ในระดับสูง และโครงการอาจมีผลกระทบต่อการดําเนินงานของอุตสาหกรรมการบินในภาพรวม ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดทําและดําเนินโครงการดังกล่าวในขั้นตอนต่อไป เป็นไปด้วยความโปร่งใสและมีความรอบคอบ
2021-10-29
1,626.27002
1,623.430054
1,629.25
1,619.140015
down
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไฟเขียว! รถบ้าน รถส่วนบุคคล จดทะเบียนให้บริการรับจ้างผ่านแอปฯ
ไฟเขียว! รถบ้าน รถส่วนบุคคล จดทะเบียนให้บริการรับจ้างผ่านแอปฯ .... เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ประกาศเผยแพร่กฎกระทรวง รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2564 โดยมีสาระสําคัญอนุญาตให้ “รถยนต์ส่วนบุคคล” สามารถจดทะเบียนเปลี่ยนประเภท เป็นรถยนต์รับจ้างผ่านให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือแอปพลิเคชัน แพลทฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ได้ . ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนนําทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทางเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) โดยสามารถนํารถยนต์ส่วนบุคคลมาให้บริการรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน รวมถึงอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน และเพิ่มทางเลือกในการใช้บริการรถยนต์รับจ้าง . สําหรับขั้นตอนหลังจากนี้ กรมการขนส่งทางบก จะต้องออกประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข การรับรองผู้ให้บริการ และแอปพลิเคชัน ที่จะนํามาให้บริการ โดยจะรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องและออกประกาศให้ทราบอีกครั้ง . อ่านประกาศฉบับเต็ม คลิกhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/.../2564/A/041/T_0004.PDF #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
2021-06-28
1,572.180054
1,579.170044
1,581.339966
1,565.310059
up
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) เตรียมความพร้อมรองรับน้ำท่วม พร้อมเฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินสถานการณ์น้ำประจำวัน
ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) เตรียมความพร้อมรองรับน้ําท่วม พร้อมเฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินสถานการณ์น้ําประจําวัน ... วันที่ 5 ต.ค.64 เวลา 14.00 น. ร.ต.ธานี ช่วงชู ผู้อํานวยการท่าอากาศยานดอนเมือง (ผดม.) พร้อมด้วยนาย กีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) (รญว.) ผู้แทนกองทัพอากาศ, ผู้แทนกองอุตุนิยมวิทยาการบิน กรมอุตุนิยมวิทยา, ผู้แทนคณะกรรมการธุรกิจการบินกรุงเทพ ณ ทดม., ผู้แทนสํานักงานเขตดอนเมือง และผู้บริหาร ทดม. ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมป้องกันน้ําท่วม ติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด พร้อมเฝ้าระวังปริมาณฝนที่จะเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกําลังแรงขึ้น ร.ต.ธานี กล่าวว่า ทดม.ให้ความสําคัญในเรื่องปัญหาฝนตกหนักน้ําท่วมขังเป็นเรื่องเร่งด่วน ระบบระบายน้ํา ทดม.ถูกออกแบบให้สามารถรองรับการระบายน้ําฝนสูงสุดที่ 80 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง (ในชั่วโมงแรก) โดยจะมีการแบ่งพื้นที่ระบายน้ําออกเป็น 3 ส่วน ดังต่อไปนี้ 1. ด้านทิศเหนือ ได้มีการจัดเตรียมบ่อรับน้ําจํานวน 3 บ่อ มีพื้นที่โดยประมาณ 8.2 แสน ตร.ม. และได้มีการรักษาระดับน้ําที่ 0.35 เมตรจากท้องบ่อรับน้ํา เพื่อให้มีระดับเพื่อรองรับปริมาณน้ําที่ 1.50 เมตร ซึ่งทําให้มีปริมาณการรับน้ําได้อีกประมาณ 1,000,000 ลบ.ม. ซึ่งจะเพียงพอต่อการรองรับปริมาณน้ําฝนที่ตกหนัก ​2. ด้านทิศตะวันตก ได้มีการติดตั้งโรงสูบระบายน้ําเพื่อรองรับการระบายน้ําออกโดยตรงสู่คลองเปรมประชากรผ่านท่อลอดถนนวิภาวดีรังสิต ​3. ด้านทิศตะวันออก ได้มีการติดตั้งโรงสูบระบายน้ําร่วมกับกองทัพอากาศเพื่อรองรับการระบายน้ําออกสู่คลองถนน และถ้าหากมีปริมาณฝนตกหนัก หรือนํา้ท่วมขังทาง ทดม.จะดําเนินการสูบระบายน้ําออกสู่ภายนอกทันที เพื่อไม่ให้เกิดน้ําท่วมขังภายใน ทดม. จะการดําเนินการจัดการอยู่ในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง ซึ่งจะไม่มีน้ําท่วมขังในบริเวณตําแหน่งสําคัญ อันได้แก่ ทางวิ่ง ทางขับ และหลุมจอดอากาศยาน ​ ร.ต.ธานี กล่าวต่อว่า นอกจากการรองรับการจัดการปัญหาฝนตกหนักแล้ว ทดม.ยังมีการเตรียมแผนรองรับการจัดการปัญหาน้ําท่วมที่มาจากพื้นที่ภายนอก ทดม. ดังต่อไปนี้ 1. ทดม.มีกําแพงกันน้ําโดยรอบและจะปิดประตูด้านถนนวิภาวดีรังสิตหากมีปริมาณน้ําท่วมภายนอก ทดม.ด้านถนนวิภาวดีรังสิต และจะประสานกองทัพอากาศปิดประตูด้านถนนพหลโยธิน 2. การเตรียมถุงบรรจุทรายขนาดใหญ่และขนาดเล็กสําหรับเสริมการกั้นน้ําในบางจุด 3. การตรวจสอบระบบไฟฟ้าสํารอง ระบบปั๊มสํารองเคลื่อนที่ให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง 4. การจัดการจราจรภายใน ทดม.เพื่อแก้ไขการจราจรบนพื้นที่น้ําขัง 5. การประสานงานหน่วยงานและผู้ประกอบการเพื่อจัดการระบบต่างๆใน ทดม.ให้ใช้งานได้ตลอดเวลา ร.ต.ธานี กล่าวทิ้งท้ายว่า ทดม.มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและรักษาความต่อเนื่องในการให้บริการแก่ผู้โดยสาร ผู้ขนส่งสินค้า เพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการกิจการท่าอากาศยาน รวมถึงชุมชนโดยรอบ ทดม.ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกรมชลประทาน สํานักการระบายน้ํา กทม.และกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังระดับน้ํา นอกจากนี้ ทดม.ได้เร่งดําเนินการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินสถานกาณ์น้ําประจําวัน ตั้งแต่วันที่ 6 - 15 ต.ค.64 หรือจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ
2021-10-06
1,626.650024
1,619.47998
1,631.810059
1,617.23999
down
README.md exists but content is empty. Use the Edit dataset card button to edit it.
Downloads last month
29
Edit dataset card