title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 0
181k
| date
stringlengths 4
11
| open
float64 1.2k
1.71k
⌀ | close
float64 1.19k
1.71k
⌀ | high
float64 1.2k
1.72k
⌀ | low
float64 1.19k
1.71k
⌀ | trend
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการ รมว.สธ. คิกออฟโครงการ “นำวัคซีนมาหาประชาชน” ที่ จ.สระบุรี | เลขานุการ รมว.สธ. คิกออฟโครงการ “นําวัคซีนมาหาประชาชน” ที่ จ.สระบุรี
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คิกออฟโครงการ “นําวัคซีนมาหาประชาชน” จังหวัดสระบุรี ลงพื้นที่เชิงรุกสร้างวัคซีนใจในชุมชน ชักชวนกลุ่มเสี่ยงเข้าถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 พร้อมให้บริการ “ตรวจกาย-สํารวจใจ”
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คิกออฟโครงการ “นําวัคซีนมาหาประชาชน” จังหวัดสระบุรี ลงพื้นที่เชิงรุกสร้างวัคซีนใจในชุมชน ชักชวนกลุ่มเสี่ยงเข้าถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 พร้อมให้บริการ “ตรวจกาย-สํารวจใจ” ในประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ลดผลกระทบจากภาวะLong COVID
วันนี้ (15 มีนาคม 2565) ที่เทศบาลตําบลหินกอง อ.หนองแค จ.สระบุรี นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตและคณะ ร่วมเปิดโครงการ “นําวัคซีนมาหาประชาชน” เพื่อให้บริการเชิงรุกฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในกลุ่ม 608และสร้างความรู้ความเข้าใจในการรับวัคซีนอย่างถูกต้องและปลอดภัย พร้อมบริการ “ตรวจกาย-สํารวจใจ” ในประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่เคยติดเชื้อโควิดและมีภาวะLong COVID ให้ได้รับการช่วยเหลือดูแลจิตใจ จนสามารถกลับไปชีวิตได้อย่างมีความสุข ปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตใหม่ได้ โดยมีบุคลากรสาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน เข้าร่วมโครงการจํานวน 600 คน
นายวัชรพงศ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้ทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิต โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปและผู้ที่มีโรคประจําตัว รวมถึงป้องกันระบบสุขภาพของประเทศ ปกป้องบุคลากรด่านหน้าจากการดูแลผู้ติดเชื้อ โดยโครงการ “นําวัคซีนมาหาประชาชน” เป็นหนึ่งในการส่งเสริมให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุม เพิ่มศักยภาพหน่วยบริการด้านสาธารณสุขในทุกระดับ เพิ่มกําลังในการให้บริการประชาชนทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ผ่านกลไก 3 หมอ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ส่วนประชาชนบางรายที่ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องวัคซีนที่ถูกต้อง ทําให้ปฏิเสธการฉีดวัคซีน กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาเครื่องมือMI (Motivation Interviewing) หรือการให้คําปรึกษาแบบโน้มน้าวใจด้วยการพูดคุยทําให้เห็นถึงคุณค่าและประโยชน์ของการฉีดวัคซีน จนยอมรับการฉีดวัคซีนได้ในที่สุด
ด้านแพทย์หญิงอัมพร กล่าวว่า โรคโควิด 19 นอกจากผลกระทบทางกายแล้ว ยังมีผลกระทบทางใจที่มีแนวโน้มจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น จากข้อมูลพบว่าประชาชนมีความเครียด มีภาวะหมดไฟ ภาวะซึมเศร้าและมีความคิดทําร้ายตนเองเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และข้อจํากัดในการปรับตัวต่อวิถีNew Normal กรมสุขภาพจิตจึงมีการดูแลจิตใจบุคลากรสาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขที่มีภาวะ Long COVID โดยประเมินความสุขด้วยเครื่อง Smart Pulse ซึ่งใน จ.สระบุรี ดําเนินการแล้วใน อ.ดอนพุด และ อ.หนองโดน จํานวน 10 คน พบมีความเครียด 4 คน ปกติ 6 คน สามารถให้การช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการปฐมพยาบาลทางใจ และมีแผนดําเนินการต่อใน อ.หนองแค อ.วิหารแดง และอ.หนองแซง ต่อไป
“ผลกระทบทางจิตใจที่มีแนวโน้มเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ต้องอาศัยความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนและทุกระดับ ใช้ทั้งศักยภาพและสายสัมพันธ์ในชุมชนร่วมกันสร้างความรู้สึกปลอดภัยและสร้างความเข้าใจให้โอกาสกันและกัน เพื่อนําไปสู่การมีพลังใจที่จะก้าวผ่านวิกฤตการระบาดในครั้งนี้ไปด้วยกัน” แพทย์หญิงอัมพร กล่าว
************************************ 15 มีนาคม 2565 | 2022-03-15 | 1,656.780029 | 1,644.359985 | 1,663.319946 | 1,639.900024 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สงกรานต์ปีนี้ปลอดภัย ห่างไกลโควิด | สงกรานต์ปีนี้ปลอดภัย ห่างไกลโควิด
.....
มาร่วมกันทําให้สงกรานต์ปีนี้ปลอดภัย ห่างไกลโควิด ทั้ง “ก่อน - ระหว่าง - หลัง” เทศกาลสงกรานต์ ขอให้เตรียมตัวและปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 | 2022-04-04 | 1,704.640015 | 1,702.930054 | 1,706.77002 | 1,699.819946 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี - ครม.เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์งานแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION วันที่ 16 - 20 ก.พ.นี้ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน | นายกรัฐมนตรี - ครม.เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์งานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION วันที่ 16 - 20 ก.พ.นี้ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน
นายกรัฐมนตรี-ครม.เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์งานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION วันที่ 16 - 20 ก.พ.นี้ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน
นายกรัฐมนตรี-ครม.เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์งานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION วันที่ 16 - 20 ก.พ.นี้ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน โชว์ผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์จากทุนวัฒนธรรมชาติ CCPOT และ ICHAMP กว่า 5,000 รายการ
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมให้การต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และครม.พร้อมทั้งนําชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์งานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (CCPOT GRAND EXPOSITION) ประกอบด้วยนิทรรศการและตัวอย่างผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (CCPOT) ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 20 กุมภาพันธ์ 2565 จัดขึ้นที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)มุ่งขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG และผลักดัน "Soft Power" ความเป็นไทย เช่น งานฝีมือและหัตถกรรม ทัศนศิลป์ การออกแบบ แฟชั่น เป็นต้น และอุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5F เสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามนโยบายรัฐบาล และปีนี้วธ.มีวิสัยทัศน์ใหม่ คือ “วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ มีบทบาทนําในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย” และปรับเปลี่ยนภารกิจทั้งการสร้างคุณค่าทางสังคมและมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กลายเป็นกระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ จึงมีนโยบายส่งเสริมการนําวัฒนธรรมมาสร้างเศรษฐกิจด้วยการพัฒนายกระดับสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม ซึ่งการดําเนินการส่วนหนึ่งได้มุ่งพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่อุตสาหกรรมวัฒนธรรมและขยายตลาดสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมและทรัพย์สินทางปัญญาบนหลักการของโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ดังนั้น รัฐบาล โดยวธ.จึงได้ดําเนินการโครงการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (Community Cultural Product of Thailand : CCPOT) ที่มีเป้าหมายในการยกระดับสินค้าและบริการของชุมชนในภาพลักษณ์ใหม่ ให้เป็นที่สนใจของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นการใช้ทุนชุมชนที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาผสานกับความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้แนวคิด“สร้างความโดดเด่นและแตกต่าง”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (CCPOT) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์จากทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน หรือ Community Cultural Product of Thailand : CCPOT ระดับเอก(สินค้าระดับพรีเมียม) และระดับโท(สินค้าทั่วไป) 2. ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามากจากมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียน หรือ Intangible Cultural Heritage Art Made Product : ICHAMP ระดับเพชร(สินค้าระดับพรีเมียม) และระดับทอง (สินค้าทั่วไป) รวมทั้งสิ้นกว่า 5,000 รายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายและเสื้อผ้า เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ งานฝีมือ งานจักสาน ของที่ระลึก ฯลฯ ซึ่งนับเป็นการพลิกโฉมผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ที่นําเสนอสินค้าสร้างสรรค์ใหม่ที่มียังไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน ทั้งนี้ เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างชุมชน ผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมและนักออกแบบ โดยมีผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการออกแบบ การตลาดคอยให้คําปรึกษาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการตลาดทั้งในและต่างประเทศให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังช่วยพลิกฟื้นชุมชน ผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมให้กลับมามีรายได้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19)
นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า วธ.ได้จัดเตรียมจัดงานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION ครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อให้ชุมชนและผู้ประกอบการด้านวัฒนธรรมได้ใช้งานนี้เป็นเวทีในการขยายโอกาสทางการตลาด พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยโดยงานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย (CCPOT GRAND EXPOSITION) จัดขึ้น 5 วัน ระหว่างวันที่ 16 - 20 กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ใช้พื้นที่ 2 โซนของศูนย์การค้าสยามพารากอน คือ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 และ พาร์ค พารากอน ชั้น M ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยได้จัดแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จะนํามาจัดแสดงและจัดจําหน่ายในแต่ละโซน ประกอบด้วยบริเวณพาร์ค พารากอน ชั้น M จัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ CCPOT ขนาดเล็กและผลิตภัณฑ์อาหาร มีผลิตภัณฑ์ CCPOT ระดับโท ผลิตภัณฑ์ ICHAMP ระดับทอง รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารพื้นถิ่นแปรรูปจากทุกภูมิภาคของประเทศไทย อาหารประเภทสมุนไพรปลอดสารพิษ และบริเวณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 จัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปวัฒนธรรมไทยที่มีความโดดเด่น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ CCPOT ระดับเอก ผลิตภัณฑ์ CCPOT ระดับโท ผลิตภัณฑ์ ICHAMP ระดับเพชร และผลิตภัณฑ์ ICHAMP ระดับทอง อาทิ ผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายและเสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์เอกอรรถหัตถศิลป์ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ งานฝีมือ งานจักสานของที่ระลึก ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังสร้างประสบการณ์รับชมงานแสดงสินค้าทางเลือกใหม่ในรูปแบบไฮบริด (Hybrid) ที่ผสมผสานกันระหว่างการจัดงานในสถานที่จริง (on-site) และออนไลน์ (online) เปิดโอกาสให้กลุ่ม ผู้ส่งออก/ผู้นําเข้า/ตัวแทนจําหน่ายสินค้าและนักธุรกิจจากต่างประเทศได้มีโอกาสเข้าชมงานแสดงสินค้าเสมือนจริงในรูปแบบ Online Virtual Exhibition ที่ให้ความรู้สึกเหมือนมาเดินชมงานจริงและสามารถเจรจาจับคู่ธุรกิจสร้างมูลค่าทางการค้าให้เกิดขึ้น โดยได้ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมายกว่าหมื่นรายเน้นผู้ซื้อรายใหญ่ที่มีความสนใจในสินค้าวัฒนธรรมชุมชน คาดว่าจะเกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจในงานได้ไม่น้อยกว่า 200 คู่ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้ ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนในงานแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION ซึ่งการจัดงานดังกล่าวปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือรับชมงานในรูปแบบ Online Virtual Exhibition ได้ที่เว็บไซต์ www.ccpot.in.th และสายด่วนวัฒนธรรม 1765 | 2022-02-08 | 1,680.609985 | 1,684.22998 | 1,685.140015 | 1,677.47998 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ 5 เอกสารผลลัพธ์ การประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ขับเคลื่อนความร่วมมือหลากหลายมิติ | ครม.เห็นชอบ 5 เอกสารผลลัพธ์ การประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ขับเคลื่อนความร่วมมือหลากหลายมิติ
ครม.เห็นชอบ 5 เอกสารผลลัพธ์ การประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ขับเคลื่อนความร่วมมือหลากหลายมิติ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 ว่า ครม.เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง- ล้านช้าง ครั้งที่ 7 รวม 5 ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรองเอกสารผลลัพธ์ในการประชุมที่จัดขึ้นในวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 ที่เมืองพุกาม ประเทศเมียนมา ทั้งนี้ การจัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง และลดความเหลื่อมล้ําด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนามไทย และจีน
สําหรับร่างเอกสารผลลัพธ์ทั้ง 5 ฉบับ มีสาระสําคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในระดับรัฐมนตรีระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆอาทิ การบริหารจัดการภัยพิบัติ การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร การพัฒนาระบบศุลกากรกากร และการร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ฉบับแรก แถลงข่าวร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง- ล้านช้าง ครั้งที่ 7 มีสาระสําคัญเป็นการยืนยันหลักการและเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกในการรักษาความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือในหลากหลายสาขา เช่น การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การเกษตร สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ฉบับที่สอง แถลงการณ์ร่วมเพื่อการส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง โดยร่วมกันจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ
ฉบับที่สาม แถลงการณ์ร่วมการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง โดยส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารผ่านการเสริมสร้างผลิตภาพการผลิต ลดความฟุ่มเฟือย ส่งเสริมความร่วมมือด้านมาตรฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการอํานวยความสะดวกการค้าสินค้าเกษตร
ฉบับที่สี่ แถลงการณ์ร่วมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านศุลกากร เพื่อการส่งเสริมการค้าและการอํานวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากรภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง โดยสนับสนุนให้หน่วยงานด้านศุลกากรของประเทศสมาชิกส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาระบบศุลกากร ด่านและความเชื่อมโยงอัจฉริยะ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย และการอํานวยความสะดวกพิธีการศุลกากร
ฉบับที่ห้า แถลงการณ์ร่วมเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างอารยธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง โดยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนและความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว | 2022-06-28 | 1,580.680054 | 1,594.469971 | 1,596.27002 | 1,576.75 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-WHO สรุปถอดบทเรียนไทยรับมือวิกฤต “โควิด” สำเร็จจาก 5 ปัจจัย เตรียมแถลงในเวทีโลกปลาย พ.ค.นี้ | สธ.-WHO สรุปถอดบทเรียนไทยรับมือวิกฤต “โควิด” สําเร็จจาก 5 ปัจจัย เตรียมแถลงในเวทีโลกปลาย พ.ค.นี้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทน WHO ประจําประเทศไทย สรุปผลการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (UHPR) ถอดบทเรียนความสําเร็จการรับมือวิกฤต "โควิด" ของไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนWHOประจําประเทศไทย สรุปผลการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (UHPR)ถอดบทเรียนความสําเร็จการรับมือวิกฤต "โควิด" ของไทย พบมาจาก 5 ปัจจัย ทั้งผู้บริหารประเทศ ระบบหลักประกันสุขภาพ/ปฐมภูมิ ความร่วมมือทุกภาคส่วน ประชาชนและชุมชนเข้มแข็ง และการใช้เทคโนโลยี แนะเพิ่มการดูแลเรื่องกลุ่มเปราะบาง ขยายการพึ่งพาตนเองด้านยา วัคซีน ชุดตรวจ และเวชภัณฑ์ เตรียมแถลงประสบการณ์ต่อเวทีโลกWHAปลาย พ.ค.นี้
วันนี้ (5 พฤษภาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย แถลงผลสรุปการจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า หรือUniversal Health and Preparedness Review (UHPR)ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21-29 เมษายน 2565
นายอนุทินกล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO)เลือกประเทศไทยให้เป็นประเทศต้นแบบลําดับที่ 3 ในการนําร่องจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า จากการรับมือการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดี และข้อเสนอแนะระหว่างประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก ซึ่งข้อสรุปเบื้องต้นจากการจัดกิจกรรมฯ โดยคณะผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกและทีมประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยมีการบริหารจัดการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโควิด 19 เป็นอย่างดี มีความยืดหยุ่น ปรับตัวไปตามสถานการณ์ และเน้นการปฏิบัติได้จริง โดยพบปัจจัยสําคัญ คือ 1.มีการสนับสนุนโดยผู้บริหารระดับสูงที่กําหนดนโยบายประเทศ 2.ระบบสาธารณสุขไทยมีความเข้มแข็งจากการลงทุนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและระบบปฐมภูมิมาอย่างต่อเนื่องกว่า 4 ทศวรรษ 3.มีความร่วมมือเชื่อมต่อทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และภาคการศึกษา รวมถึง อสม. 4.มีกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนและชุมชน และ 5.มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมและการวิจัยเพื่อการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล
ส่วนอุปสรรคและความท้าทายที่ยังสามารถพัฒนาได้ คือ การบูรณาการข้อมูลจากหลายแหล่ง,การดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น แรงงาน ผู้อาศัยในชุมชนแออัด ให้เข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น,การเตรียมความพร้อมรับภาวะฉุกเฉินในเขตเมืองและระบบปฐมภูมิ,การต่อยอดหรือสร้างความยั่งยืนในการใช้นวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น และการจัดการกับขยะทางการแพทย์หรือขยะติดเชื้อ โดยมีข้อเสนอให้เพิ่มการลงทุนเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้สามารถใช้งานต่อเนื่อง พัฒนากําลังคนแบบสหสาขาและนํากลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีไปเตรียมพร้อมรับมือการระบาดครั้งต่อไป ให้ความสําคัญกับการพัฒนาสุขภาพ สุขภาวะของประชาชนที่ครอบคลุมถึงกลุ่มเปราะบาง ยกระดับขีดความสามารถการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ยา ชุดตรวจ และเวชภัณฑ์ พัฒนากลยุทธ์ในการบูรณาการข้อมูล รวมถึงค้นหาและบันทึกตัวอย่างที่ดี บทเรียนที่สําคัญในการจัดการกับการระบาดใหญ่เพื่อเผยแพร่ต่อไป
“ประเทศไทยได้รับคําชมจากผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก ถึงนโยบายและมาตรการแนวทางการดําเนินงานดูแลประชาชน ทั้งการรักษาพยาบาลผู้ป่วยและการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ทางองค์การอนามัยโลก ระบุว่ายินดีสนับสนุนและร่วมทํางานกับประเทศไทย โดยขอให้ประเทศไทยจัดทํารายงานUHPRและเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อขอความเห็นชอบรายงาน นอกจากนี้ ให้เตรียมการแถลงประสบการณ์UHPRในที่ประชุมWorld Health Assembly (WHA)ปลายเดือนพฤษภาคม 2565 และร่วมกับอีก 3 ประเทศนําร่องในการทบทวนปรับปรุงกระบวนการUHPRให้ดียิ่งขึ้นก่อนนําไปใช้ในประเทศอื่นๆ” นายอนุทินกล่าว
ด้าน นพ.จอส กล่าวว่า หลักพื้นฐานสําคัญที่จะทําให้ประเทศใดๆ เตรียมพร้อมและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขได้ดี จะต้องมี 1.ผู้นําทางการเมืองระดับสูงรับเรื่องเป็นพันธสัญญา 2.การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และ 3.กรอบความรับผิดชอบ 3 ด้าน ได้แก่ สุขภาพถ้วนหน้า การเตรียมพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และสุขภาวะที่ดีขึ้นของประชากร นอกจากนี้ ความสําเร็จจะเกิดได้ขึ้นกับการนําไปสู่การลงมือปฏิบัติโดยถือเป็นเรื่องสําคัญเร่งด่วน ซึ่ง ดร.สมิลา อัสมา ผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก แสดงความชื่นชมที่รัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งในเรื่องนี้
สําหรับกิจกรรมการทบทวนUHPRตลอดช่วงวันที่ 21-29 เมษายน 2565 มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องของการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ในสถานประกอบการและผู้ประกันตน การดูแลแรงงานทุกเชื้อชาติ ติดตามการดําเนินงานในพื้นที่ชลบุรี และสมุทรสาคร กิจกรรมหน่วยงานเครือข่ายและชุมชนในกรุงเทพมหานคร มีการฝึกซ้อมแผนด้วยสถานการณ์สมมติ โดยหน่วยงานจากกระทรวงต่างๆ ที่ร่วมดําเนินมาตรการรับมือภาวะฉุกเฉินกรณีโรคโควิด 19และสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการป้องกันควบคุมโรค ทําให้เห็นการประสานงานหลายภาคส่วนจนถึงในระดับชุมชน
******************************************5พฤษภาคม2565 | 2022-05-05 | 1,663.25 | 1,643.300049 | 1,667.119995 | 1,643.170044 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พบเห็น "การใช้ความรุนแรงในครอบครัว" แจ้งสายด่วน 1300, 1387, 191 และ 1157 | พบเห็น "การใช้ความรุนแรงในครอบครัว" แจ้งสายด่วน 1300, 1387, 191 และ 1157
....
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เผย ความรุนแรงในครอบครัว เป็นเรื่องของเราทุกคน ซึ่งการกระทําที่ทําให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ และสุขภาพ รวมถึงบังคับหรือใช้อํานาจครอบงําให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทํา/ไม่กระทํา หรือยอมรับ "เป็นการกระทําโดยมิชอบ"
.
หากประชาชนท่านใด พบเห็นการใช้ความรุนแรงในครอบครัว สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน : | 2021-11-03 | 1,620.52002 | 1,611.920044 | 1,623.079956 | 1,607.719971 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทสนับสนุนทางเข้าอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา เพิ่มศักยภาพการคมนาคมขนส่ง จังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว | กรมทางหลวงชนบทสนับสนุนทางเข้าอ่างเก็บน้ํานฤบดินทรจินดา เพิ่มศักยภาพการคมนาคมขนส่ง จังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว
ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลาดยางถนน 16 กิโลเมตร คืบหน้ากว่า 94% คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2565
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.304 - บ้านคลองผักขม อําเภอนาดีและอําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว เพื่อสนับสนุนทางเข้าอ่างเก็บน้ํานฤบดินทรจินดา (โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดําริ) และเพื่อป้องกันน้ําท่วมขังในเขตชุมชน จึงออกแบบก่อสร้างระบบระบายน้ําในชุมชนให้ผู้ใช้เส้นทางมีความปลอดภัย ทั้งยังช่วยแบ่งเบาการจราจรของถนนสายหลัก (ทล.304) รองรับการคมนาคมขนส่งระหว่างจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จากนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการยกระดับโครงข่ายทางเพื่อให้การคมนาคมที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดและอําเภอเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทช. จึงได้ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนสายแยก ทล.304 - บ้านคลองผักขม อําเภอนาดีและอําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว มีจุดเริ่มต้นโครงการบริเวณ กม. ที่ 0+000 (บ้านทุ่งโพธิ์) และสิ้นสุดโครงการบริเวณ กม. ที่ 16+000 (บ้านอ่างทอง) รวมระยะทาง 16 กิโลเมตร โดยได้ดําเนินการก่อสร้างขยายถนนแบบผิวจราจรแอสฟัลท์ติกคอนกรีตจากเดิมกว้าง 6 เมตร มีไหล่ทางกว้างข้างละ 1 เมตร เป็นผิวจราจรแอสฟัลท์ติกคอนกรีตกว้าง 7 เมตร มีไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร พร้อมงานปรับปรุงขยายสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 7 แห่ง การก่อสร้างงานระบบระบายน้ํา ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 145.400 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันผลงานการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 94 ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย ป้ายจราจร ไฟฟ้าแสงสว่าง และการตีเส้นจราจร ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนสิงหาคม 2565 | 2022-07-27 | 1,557.109985 | 1,576.410034 | 1,576.780029 | 1,555.640015 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM praised Thai researchers for developing medical devices to cope with COVID-19, reducing imports and enhancing the potential aiming to become a medical hub in the region | PM praised Thai researchers for developing medical devices to cope with COVID-19, reducing imports and enhancing the potential aiming to become a medical hub in the region
PM praised Thai researchers for developing medical devices to cope with COVID-19, reducing imports and enhancing the potential aiming to become a medical hub in the region
June 27, 2022, Ms. Rachada Dhnadirek, Deputy Government Spokesperson, disclosed that under promoting medical technology and innovation policyto support the region's medical center and create stability in the public health system, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha, has closely followed up on the invention of the works of Thai people, and most recently, he expressed his appreciation for researchers who have developed innovative results in health care, which is a product for prevention and control of infection, diagnosis, and care, making Thailand ready to cope with COVID-19 in the last two years under the supervision of the Office of Thailand Science Research and Innovation (TSRI) in order to allocate an overall budget of more than 3 billion baht. Examples of work are as follows:
1. High Flow Nasal Cannula (HFNC) has a production cost of approximately 50,000 baht per device, while the imported price per device requires 200,000–250,000 baht. As a result, the country can reduce imports by up to 150,000 baht per device, and currently, more than 500 devices are delivered to hospitals nationwide, helping to reduce imports and reduce government expenses by more than 75 million baht. Chulabhorn Hospital conducted this research, along with the Thai Red Cross Society (Chulalongkorn Hospital, Thai Red Cross Society, or Chulabhorn Hospital, Chulabhorn Royal College), and Intronic Co., Ltd.
2. A COVID test kit RT-LAMP has been installed and used at screening checkpoints at airports and hospitals; this rapid screening test can check the results within 1 hour. Significantly, this will help support more effective disease screening, leading to further pandemic control and prevention. This Covid test kit has now been delivered to government agencies and distributed over 260,000 sets, worth approximately 65 million baht. It is a research project by startup company "Zenostic" at Mahidol University.
3. The "COVITECT-1" test kit with Real-Time RT PCR has been certified as the international standard. More than 500,000 test kits have been delivered to the government sectors and 80,000 to ASEAN member states, including being sold to laboratories and hospitals, both public and private, in order to reduce the imported products from abroad. This product was generated by collaboration between the Department of Medical Sciences and Siam Bioscience Co., Ltd.
4. Blood collection tube made by Innomade. Blood collection tubes are now a high-volume medical device. This product was developed to replace imports and can continue to be exported. It is designed to replace the use of blood collection tubes from 2 tubes and is suitable for chronic patients who need to draw blood frequently and infectious disease patients. The products are now certified to meet the ISO 13485 standard. Moreover, if this self-made medical product is used, it will reduce the importation of blood collection tubes yearly. It is worth more than 2,700 million baht. Asst. Prof. Dr. Wanwisa Tribuphonchatsakul, Naresuan University and We Made Lab Center Co., Ltd.
"Under the situation of the COVID-19 pandemic since 2019, it has now resulted in over 500 million infected people worldwide. In Thailand, in the beginning, there was a shortage of medical equipment, whether it was raw materials, equipment, or medical materials that could not be imported or produced in time to meet the demand. However, the Prime Minister, discussed with all relevant agencies to consider adjusting the management plan in order to contribute to supporting the development and design of products for infection prevention and control, diagnosis, and care to enable Thailand to be ready to cope with COVID-19. Over the past 2 years of the dedicated work of Thai researchers, they have now developed many medical innovations, and it is a confirmation of the Thai people's abilities and readiness to become a medical center in the region. " Ms. Rachada said. | 2022-06-27 | 1,577.890015 | 1,580.199951 | 1,584.050049 | 1,575.290039 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. คง 4 มาตรการป้องกันควบคุมโควิด-19 เตรียม จนท. เตียง ยา เวชภัณฑ์ พร้อมรับสงกรานต์ | ศบค. คง 4 มาตรการป้องกันควบคุมโควิด-19 เตรียม จนท. เตียง ยา เวชภัณฑ์ พร้อมรับสงกรานต์
.....
ที่ประชุม ศบค. (8 เม.ย. 65) เห็นชอบการคงมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ในพื้นที่สีฟ้า - เหลือง ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 ทั้งการจํากัดเวลาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ไม่เกิน 23.00 น./ ร้านอาหารจําหน่ายแอลกอฮอล์ ต้องผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2-Plus และมาตรการ COVID Free Setting/ สถานบริการ สถานบันเทิง เปิดแบบร้านอาหารได้ โดยขออนุญาต คกก.โรคติดต่อจังหวัด - กทม./ Work From Home ตามความเหมาะสม
.
นายกรัฐมนตรี ย้ําถึงกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ขอให้เป็นสงกรานต์ที่ปลอดภัย เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมตนเองในการเดินทางและเคารพกฎจราจร พร้อมกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแพทย์ บุคลากร เตียง ยา เวชภัณฑ์ ให้เพียงพอ
.
สําหรับมติ ศบค. อื่น ๆ ที่น่าสนใจมีดังนี้
1.รับทราบ (ร่าง) การปรับมาตรการผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ประเภท Test & Go Sandbox และ Quarantine ระยะ 2 (พ.ค. 65) โดยการยกเลิกการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางทั้ง 3 กลุ่ม ฯลฯ
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53432
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | 2022-04-11 | 1,683.449951 | 1,678.459961 | 1,685.949951 | 1,675.949951 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ดีอีเอส ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร – ลงนามถวายพระพร - ถวายเครื่องสักการะและพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา | รัฐมนตรี ดีอีเอส ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร – ลงนามถวายพระพร - ถวายเครื่องสักการะและพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา
รัฐมนตรี ดีอีเอส ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร – ลงนามถวายพระพร - ถวายเครื่องสักการะและพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา
เมื่อวันที่12สิงหาคม2565นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดีอีเอสร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลณท้องสนามหลวงโดยมีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมและภริยาเป็นประธานในพิธีฯ และร่วมลงนามถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา90พรรษา12สิงหาคม2565ณพระบรมมหาราชวังจากนั้นรัฐมนตรีดีอีเอสร่วมพิธีทางศาสนามหามงคล5ศาสนาซึ่งมีผู้นํา5ศาสนาและพระสงฆ์จากโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติฯจํานวน91รูปเข้าร่วมพิธีและถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มณพระบรมมหาราชวัง ณท้องสนามหลวง
**************** | 2022-08-12 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุมัติ 211 ล้านบาท ศึกษาวัคซีนใบยา ในมนุษย์ ระยะที่ 2 | อนุมัติ 211 ล้านบาท ศึกษาวัคซีนใบยา ในมนุษย์ ระยะที่ 2
วันพุทธที่ 13 เมษายน 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยอนุมัติโครงการศึกษาความปลอดภัย ความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ใช้พืชเป็นแหล่งผลิต ในมนุษย์ระยะที่ 2A กรอบวงเงิน 211 ล้านบาท โดยมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จํากัด เร่งจัดทําแผนฉุกเฉินสําหรับรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้การดําเนินการล่าช้า พร้อมทั้งให้จัดทําแผนเร่งรัดการดําเนินโครงการระยะที่ 3 เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองงบประมาณด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยมีความมั่นคงด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยีวัคซีน พร้อมรับมือกับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสและโรคอุบัติใหม่ในอนาคต
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2022-04-13 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ-กทม.-เอสซีจี ผนึกกำลังแก้ปัญหาน้ำเสียคลองแสนแสบ ผ่านนวัตกรรมระบบบำบัดน้ำเสียไซโคลนิก | ก.อุตฯ-กทม.-เอสซีจี ผนึกกําลังแก้ปัญหาน้ําเสียคลองแสนแสบ ผ่านนวัตกรรมระบบบําบัดน้ําเสียไซโคลนิก
กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือ กทม. เอสซีจี จัดทําโครงการจิตอาสาพัฒนาคลองแสนแสบ ติดตั้งระบบบําบัดน้ําเสียชุมชน ที่ชุมชนกมาลุลอิสลาม” เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ชุมชนก
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายจากศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.) ให้ร่วมบูรณาการพัฒนาคุณภาพน้ําในคลองเปรมประชากร และคลองแสนแสบตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อเทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) โดยในการดําเนินการนําร่องที่คลองแสนแสบร่วมกัน 3 กิจกรรม ได้แก่ 1. การร่วมตรวจกํากับดูแลโรงงานจําพวกที่ 2 จํานวน 62 แห่ง ดําเนินการเสร็จสิ้นแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2565 ซึ่งกระทรวงฯ พร้อมสนับสนุนเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้าหน้าที่ กทม. ในการให้ความรู้ การตรวจกํากับในเชิงแนะนําและการดําเนินคดีหากพบสถานประกอบการ กระทําผิดกฎหมาย รวมทั้งจัดทําคู่มือการกํากับดูแลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ทั้งทางเอกสารและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ปฏิบัติงานต่อไป 2. การติดตั้งและใช้งานระบบบําบัดน้ําเสียชุมชน ณ สถานที่จริง (Onsite) โดยกระทรวงฯ ร่วมกับ เอสซีจี ดําเนินการจัดสร้างระบบฯ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน ชุมชนกมาลุลอิสลาม ซึ่งจะช่วยลดการระบายน้ําเสียของชุมชนลงคลองแสนแสบตั้งแต่ต้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 3. การผลิตถังดักไขมัน 1,500 ถัง เพื่อนําไปติดตั้งแก่บ้านเรือนและชุมชนริมคลองแสนแสบและคลองสาขา ในพื้นที่ 21 เขต ปัจจุบันกระทรวงฯ ได้ส่งมอบถังดักไขมันแล้ว 1,122 ถัง ซึ่งจะส่งมอบครบถ้วนภายในเดือนนี้ “กระทรวงฯ ได้สนองพระบรมราโชบายเรื่องจิตอาสามาสู่การปฏิบัติด้วยการร่วมพัฒนาคุณภาพน้ํา ในแม่น้ําและลําคลองสายสําคัญของประเทศ เพื่อแก้ปัญหาน้ําเสีย ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ซึ่งนอกจากโครงการจิตอาสาพัฒนาคลองแสนแสบแล้ว ในปีนี้ กระทรวงฯ ได้ดําเนินการใน 10 คลองและแม่น้ําสายหลักทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยกิจกรรมส่งมอบพื้นที่เพื่อจัดสร้างระบบบําบัดน้ําเสียชุมชน และการส่งมอบถังดักไขมันในวันนี้ ได้รับความร่วมมือในการดําเนินงานจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากปราศจากพลังความสามัคคีของทุกฝ่าย”ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
นายยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง เอสซีจี กล่าวเพิ่มเติมว่า “เอสซีจีมีความมุ่งมั่นร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม ตามแนวทาง ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ํา – ย้ําร่วมมือ ภายใต้ความเชื่อมั่น โปร่งใส) และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกําลังกับกระทรวงอุตสาหกรรม ในโครงการ “จิตอาสาพัฒนาคลองแสนแสบ ติดตั้งระบบบําบัดน้ําเสียชุมชน ที่ชุมชนกมาลุลอิสลาม” เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อร่วมนํานวัตกรรมมาแก้ไขปัญหาน้ําเสียในลําน้ําสาธารณะและลุ่มน้ําสายหลักของประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนคุณภาพชีวิตของชุมชนเมืองที่อาศัยอยู่ติดกับลําน้ําสาธารณะสําหรับโครงการดังกล่าว เอสซีจีได้สนับสนุน นวัตกรรมระบบบําบัดน้ําเสียไซโคลนิก (Zyclonic) พัฒนาโดย เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ เอสซีจีซี (SCGC) ซึ่งเป็นนวัตกรรมขจัดของเสีย ฆ่าเชื้อโรคในน้ําจากห้องน้ําและครัวเรือน ด้วยกระบวนการชีวภาพและเคมีไฟฟ้า ติดตั้งและบํารุงรักษาง่าย ซึ่งจะช่วยบําบัดน้ําเสียจนได้น้ําที่ปราศจากสีและกลิ่น สามารถนํากลับมาใช้ซ้ําได้ เช่น รดน้ําต้นไม้ ทําความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง เป็นต้น อีกทั้งยังช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อโรค โดยจะติดตั้งนวัตกรรมดังกล่าว จํานวน 2 ชุด ซึ่งถังบําบัดน้ําเสีย 1 ชุด จะสามารถบําบัดน้ําเสียได้ถึง 1,000 ลิตรต่อวัน ตอบโจทย์การใช้งานที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม นอกจากนี้ เอสซีจีพี ยังได้ร่วมสนับสนุน ถังดักไขมัน นวัตกรรมแบบดีไอวาย ที่เอสซีจีพีพัฒนาขึ้น โดยทําจากวัสดุที่หาซื้อได้ทั่วไป ประกอบง่าย ราคาประหยัด เพื่อใช้กรองเศษอาหารและช่วยแยกไขมันออกจากน้ําก่อนปล่อยน้ําทิ้งสู่ท่อระบายน้ํา ช่วยเสริมสร้างสุขอนามัยให้ชุมชนน่าอยู่มากยิ่งขึ้น”
-----------------------------------------
12 กรกฎาคม 2565 | 2022-07-12 | 1,553.829956 | 1,546.800049 | 1,556.900024 | 1,542.949951 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทรางวัลเกียรติคุณ ในกลุ่มองค์กรรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2564 | ธอส. คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทรางวัลเกียรติคุณ ในกลุ่มองค์กรรัฐวิสาหกิจ ประจําปี 2564
สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประกาศให้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ “ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทรางวัลเกียรติคุณ ในกลุ่มองค์กรรัฐวิสาหกิจ” ประจําปี 2564 นับเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้
สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประกาศให้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ “ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทรางวัลเกียรติคุณ ในกลุ่มองค์กรรัฐวิสาหกิจ” ประจําปี 2564 นับเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่การนํากรอบการประเมินศักยภาพนวัตกรรมองค์กรของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการความคิดสร้างสรรค์ และพัฒนานวัตกรรมภายในองค์กร
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (5 ตุลาคม 2564) สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประกาศให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ “ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทรางวัลเกียรติคุณ ในกลุ่มองค์กรรัฐวิสาหกิจ” ประจําปี 2564 ซึ่งเป็นรางวัลนวัตกรรมอันทรงเกียรติสูงสุดของประเทศไทย ที่มอบให้กับองค์กรที่มีการบริหารจัดการโดยใช้ความรู้ เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดคุณค่าทั้งในเชิงธุรกิจและเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร โดยรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (National Innovation Awards) จัดขึ้นโดยสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน สําหรับรางวัลด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทรางวัลเกียรติคุณ ในกลุ่มองค์กรรัฐวิสาหกิจนั้น ธอส. เป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกที่ได้รับรางวัลนี้
สําหรับรางวัลที่ ธอส. ได้รับในครั้งนี้ เกิดจากการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการธนาคาร ผู้บริหาร พนักงาน และผู้ปฏิบัติงานทั้งองค์กรที่ร่วมกันคิด ร่วมกันปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และร่วมกันปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง โดยประยุกต์เกณฑ์การประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ต่อยอดสู่เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) รวมถึงการนํากรอบการประเมินศักยภาพนวัตกรรมองค์กรของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่บูรณาการร่วมกับเกณฑ์การประเมินกระบวนการปฏิบัติงานและการจัดการของรัฐวิสาหกิจ (Core Business Enablers) มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมภายในองค์กร มุ่งสู่วิสัยทัศน์ “เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม” เพื่อเป็น “ธนาคารที่ดีที่สุดสําหรับการมีบ้าน”
สําหรับการจัดการด้านนวัตกรรมของ ธอส. เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบใน 3 Level ครอบคลุม 8 มิติ ตั้งแต่ (1) Strategy Level ประกอบด้วยมิติด้านยุทธศาสตร์นวัตกรรม ที่เชื่อมโยงนโยบายการจัดการความรู้ และนโยบายส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการจัดการนวัตกรรมสู่การบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมทั้งจัดทําแผนแม่บทการจัดการความรู้ และแผนแม่บทการจัดการนวัตกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายองค์กร และมิติด้านการมุ่งเน้นธุรกิจ โดยวางแผนการตลาดด้วยข้อมูลเชิงลึกจากการรับฟังเสียงลูกค้าตาม Customer Lifecycle โดยรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนําไปพัฒนาและนวัตกรรมทางด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการที่ตอบโจทย์ลูกค้า
(2) Infrastructure Level ประกอบด้วย มิติด้านบุคลากร มิติด้านองค์ความรู้ มิติด้านวัฒนธรรม ซึ่ง ธอส. บูรณาการ โดยส่งเสริมให้บุคลากรมีองค์ความรู้ ความตระหนัก และมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พร้อมปลูกฝังให้พนักงานเกิดความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าเปลี่ยนแปลง จนฝังอยู่ในการปฏิบัติงานประจําวันของผู้ปฏิบัติงานทั่วทั้งองค์กร เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมของ ธอส. คือ Innovative Thoughts สร้างสรรค์สิ่งใหม่ และ (En)Courage to Change กล้าเปลี่ยนแปลง และมิติด้านทรัพยากร ธอส. จัดสรรทรัพยากรทั้งบุคลากร งบประมาณ เทคโนโลยี และเวลา เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึง (3) Operation Level ประกอบด้วย มิติด้านกระบวนการ ธอส.เชื่อว่า Good Result comes from Good Process หรือ ผลลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้นได้จากกระบวนการที่ดี จึงพัฒนากระบวนการสร้างนวัตกรรมโดยมุ่งเน้นนวัตกรรมที่เกิดจากการจัดการความรู้และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการบริหารจัดการเครือข่ายพันธมิตร เช่น โครงการ Fast Track กับกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง(Developer) เพื่อเป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวให้กับลูกค้ารายย่อยที่ซื้อที่อยู่อาศัยกับ Developer
ด้วยกระบวนการบริหารจัดการ “องค์กรนวัตกรรม” ที่ดี ส่งผลให้มิติด้านผลลัพธ์ ซึ่ง ธอส. สามารถยกระดับขีดความสามารถขององค์กรในการแข่งขันอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เช่น สลากออมทรัพย์ ธอส. ที่แตกต่างจากคู่แข่ง และการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่“ทําให้ผู้มีรายได้น้อยจ่ายค่าผ่อนบ้านได้เท่ากับค่าเช่าบ้าน” นวัตกรรมบริการด้วย Mobile Application “GHB ALL” เพื่อปิด Pain Point ของลูกค้าที่ต้องเดินทางมาทําธุรกรรมที่หน้าเคาน์เตอร์สาขาของ ธอส. และ นวัตกรรมกระบวนการ ด้วยการนํา Digital Dashboard มาแก้ Pain Point และแก้ Flow งานสินเชื่อระหว่างสาขากับสํานักงานใหญ่นําไปสู่การอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้ง ธอส. มี Innovation Value ที่สูงกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ “ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ธอส. ได้รับนี้ตอกย้ําว่า ธอส. เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมโดยแท้จริง เพื่อเป็น “ธนาคารที่ดีที่สุดสําหรับการมีบ้าน” | 2021-10-05 | 1,612.5 | 1,624.23999 | 1,626.439941 | 1,611.420044 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ลงพื้นที่ทันทีเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณีสะพานกลับรถพังถล่ม ย่านถนนพระราม 2 จังหวัดสมุทรสาคร โดยระบบประกันภัยพร้อมเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ | คปภ. ลงพื้นที่ทันทีเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านประกันภัย กรณีสะพานกลับรถพังถล่ม ย่านถนนพระราม 2 จังหวัดสมุทรสาคร โดยระบบประกันภัยพร้อมเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่
จากกรณีสะพานกลับรถหน้าโรงพยาบาลวิภาราม กม.ที่ 34 ต.บางกระเจ้า อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ที่อยู่ระหว่างปิดซ่อมบํารุงพังถล่มลงมาทับรถยนต์ที่สัญจรอยู่บน ถ.พระราม 2 ช่องทางด่วน ขาเข้ากรุงเทพฯ ส่งผลทําให้รถยนต์ได้รับความเสียหายหลายคัน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีสะพานกลับรถหน้าโรงพยาบาลวิภาราม กม.ที่ 34 ตําบลบางกระเจ้า อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ที่อยู่ระหว่างการปิดซ่อมบํารุง พังถล่มลงมาทับรถยนต์ที่สัญจรอยู่บนถนนพระราม 2 ช่องทางด่วน ขาเข้ากรุงเทพฯ ส่งผลทําให้รถยนต์ได้รับความเสียหายหลายคัน และทําให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 5 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2565 นั้น เบื้องต้นได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค สํานักงาน คปภ. ภาค 7 (นครปฐม) และสํานักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรสาคร ในฐานะเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจสอบการทําประกันภัยพร้อมเร่งอํานวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัย ตลอดจนติดตามรายงานความเสียหายอย่างเร่งด่วนผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งให้ลงพื้นที่เพื่ออํานวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับผู้ประสบภัยและครอบครัว เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบความเสียหายทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สินจากการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ พบว่า 1. รถยนต์เก๋ง ทะเบียน ชธ 6271 กรุงเทพมหานคร ถูกแผ่นปูนความยาวกว่า 10 เมตร น้ําหนักราว 5 ตัน หล่นลงมาทับทั้งคันจนรถขาดท่อน ผู้โดยสารเสียชีวิตติดอยู่ภายในรถยนต์ 1 ราย ส่วนคนขับได้รับบาดเจ็บ 1 ราย โดยรถยนต์คันดังกล่าวทําประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท ธนชาตประกันภัย จํากัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2566 โดยคุ้มครองกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน นอกจากนี้ยังได้ทําประกันภัยภาคสมัครใจไว้กับบริษัท ธนชาตประกันภัย จํากัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 27 เมษายน 2566 โดยให้ความคุ้มครองรับผิดต่อบุคคลภายนอกความเสียหายต่อชีวิตร่างกายหรืออนามัย เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุด ตาม พ.ร.บ. จํานวน 500,000 บาท รวม 10,000,000 บาท ต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก จํานวนเงิน 5,000,000 บาทต่อครั้ง และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลแนบท้าย กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร ของผู้ขับขี่ จํานวน 100,000 บาท และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลสําหรับผู้โดยสารกรณีเสียชีวิต 100,000 บาทต่อคน
2. รถกระบะ ทะเบียน 3 ฒธ 5940 กรุงเทพมหานคร ด้านหน้ารถถูกแผ่นปูนทับ มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย โดยรถยนต์คันดังกล่าวทําประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) ไว้กับ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 25 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 25 เมษายน 2566 และทําประกันภัยภาคสมัครใจ (ประเภท 1) ไว้กับบริษัท เมืองไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) เริ่มคุ้มครองวันที่ 25 เมษายน 2565 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 25 เมษายน 2566
3. รถยนต์บรรทุกน้ํามัน ทะเบียน 70-9316 พระนครศรีอยุธยา ทําประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท นําสินประกันภัย จํากัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2564 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2565 และทําประกันภัยภาคสมัครใจ ไว้กับบริษัท นําสินประกันภัย จํากัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2564 สิ้นสุดความคุ้มครองวันที่ 30 กันยายน 2565 โดยให้ความคุ้มครองรับผิดต่อบุคลภายนอกความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุด ตาม พ.ร.บ. จํานวน 500,000 บาท รวม 10,000,000 บาท ต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก จํานวนเงิน 10,000,000 บาท ต่อครั้ง และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลแนบท้ายกรณีเสียชีวิตสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร ของผู้ขับขี่ จํานวน 100,000 บาท และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลสําหรับผู้โดยสารกรณีค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาทต่อคน
4. คนงานก่อสร้างสะพานดังกล่าว เสียชีวิต 1 ราย โดยทําประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ไว้กับบริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) เริ่มความคุ้มครองวันที่ 23 ธันวาคม 2564 สิ้นสุดวันคุ้มครองวันที่ 22 ธันวาคม 2565 โดยความคุ้มครองการเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตาหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จํานวน 100,000 บาท และการรักษาพยาบาลต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งจํานวน 5,000 บาท
สําหรับการติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ สํานักงาน คปภ. จังหวัดสมุทรสาคร ได้ประสานบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุในครั้งนี้แล้ว เพื่ออํานวยความสะดวกด้านประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ สํานักงาน คปภ. อยู่ระหว่างการบูรณาการการทํางานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทําประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ หากตรวจสอบพบภายหลังว่าผู้ประสบภัยมีการทําประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก ก็จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมตามสัญญาประกันภัยที่ระบุไว้ทุกประการ
“สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและมีความห่วงใยต่อผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพร้อมจะดูแลในด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคน จึงควรให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย โดยเฉพาะการประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) การประกันภัยรถภาคสมัครใจ และการประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อให้ระบบประกันภัยช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย | 2022-08-02 | 1,588.76001 | 1,589.160034 | 1,598.540039 | 1,585.709961 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-15 - 17 ธ.ค. นี้ พม. จับมือ MBK เชิญชวนช้อปสินค้าฝีมือกลุ่มเปราะบาง ในงาน | 15 - 17 ธ.ค. นี้ พม. จับมือ MBK เชิญชวนช้อปสินค้าฝีมือกลุ่มเปราะบาง ในงาน
15 - 17 ธ.ค. นี้ พม. จับมือ MBK เชิญชวนช้อปสินค้าฝีมือกลุ่มเปราะบาง ในงาน "Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ" ครั้งที่ 3 ร่วมแบ่งปันความสุขรับปีใหม่ 2565
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 64เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพมหานครนางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า เนื่องด้วยเทศกาลปีใหม่ 2565 กําลังใกล้เข้ามาถึง เป็นช่วงเวลาแห่งการส่งมอบและแบ่งปันความสุข ด้วยการมอบคําอวยพร ของขวัญ และการทําความดีให้กันและกัน เพื่อเตรียมรับสิ่งดีๆ ที่กําลังจะเข้ามาในปีใหม่ 2565 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) เตรียมจัดงาน "Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ" ตอน Gift & Greet ซึ่งจัดเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ระหว่างวันที่ 15 - 17 ธันวาคม 2564 ณ บริเวณลานกิจกรรม ชั้น 4 โซน D ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ทั้งนี้ งานดังกล่าวเป็นการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่เป็นกลุ่มเปราะบาง อาทิ กลุ่มเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ในความดูแลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. รวมทั้งภาคีเครือข่าย เข้ามาร่วมออกร้านจําหน่ายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์งานฝีมือ อาทิ เทียนหอมอโรม่า ประดับดอกไม้หอม กระเป๋าใส่โทรศัพท์จากฝ้ายทอมือ กระเป๋าสานผักตบชวาสายหนังสไตล์วินเทจ เซ็ทผลิตภัณฑ์ครีมอาบข้าวบาร์เล่ย์ เสื้อมัดย้อม และเคสใส่เปรย์แอลกอฮอลล์ เป็นต้น ซึ่งศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ สนับสนุนพื้นที่ออกร้าน โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อีกทั้ง มีการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากกลุ่มศิลปินไอดอล และกิจกรรม Workshop ตกแต่งขวดสเปรย์แอลกอฮอลล์ และร่วมประมูลผลงาน D.I.Y. ของศิลปินไอดอล และนํารายได้จากการประมูลของขวัญบริจาคให้มูลนิธิเครือข่ายต่างๆ นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานสามารถกดรับสิทธิ์ในแอปพลิเคชัน MBK Plus เพื่อรับกระเป๋าที่ระลึกฟรี 1 ใบ เมื่อช้อปสินค้าภายในงานครบ 300 บาท ขึ้นไป (จํากัดจํานวน 150 สิทธิ์ ตลอดรายการ) พร้อมสะสมคะแนนแลกรับสิทธิและส่วนลดพิเศษภายในศูนย์การค้าในเครือ เอ็ม บี เค
นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนประชาชนร่วมสนับสนุนสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์งานฝีมือของกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. และภาคีเครือข่าย เป็นการร่วมแบ่งปันความสุขต้อนรับปีใหม่ 2565 พร้อมอิ่มบุญ อิ่มใจ ได้ที่งาน "Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ" ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2564 ณ บริเวณลานกิจกรรม ชั้น 4 โซน D ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ โดยวันพรุ่งนี้ (15 ธ.ค. 64) เวลา 13.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดงานครั้งนี้ | 2021-12-16 | 1,629.47998 | 1,645.319946 | 1,645.439941 | 1,624.310059 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ มอบโล่และประกาศเกียรติคุณแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น | รัฐมนตรีเกษตรฯ มอบโล่และประกาศเกียรติคุณแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น
รัฐมนตรีเกษตรฯ มอบโล่และประกาศเกียรติคุณแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น คนดีศรีข้าว ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวดีเด่น และศูนย์วิจัยข้าวดีเด่น ประจําปี พ.ศ. 2564 เนื่องในโอกาสครบรอบ 16 ปี กรมการข้าว
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีประกาศเกียรติคุณ ข้าราชการพลเรือนดีเด่น คนดีศรีข้าว ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวดีเด่น และศูนย์วิจัยข้าวดีเด่น ประจําปี พ.ศ. 2564 เนื่องในโอกาสครบรอบ 16 ปี วันคล้ายวันสถาปนากรมการข้าว โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ กรมการข้าว ว่า ข้าวและชาวนานับว่ามีความสําคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย ซึ่งข้าวถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงคนไทยมาอย่างช้านาน สามารถสร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ กรมการข้าวจึงมุ่งที่จะศึกษา วิเคราะห์ วิจัยหาแนวทางการดําเนินงาน เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการข้าวของประเทศแบบครบวงจร ทั้งในด้านการผลิต การแปรรูป การจําหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้หลักการ “ตลาดนําการผลิต” ซึ่งได้ดูแลชีวิตชาวนาถึง 4.7 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 18 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นจํานวนมากถึง 1 ใน 3 ของประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ตระหนักและเข้าใจปัญหาที่ชาวนาเผชิญอยู่ ทั้งในเรื่องราคาข้าวตกต่ํา การส่งออกลดลง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สถานการณ์ภัยธรรมชาติ ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลจึงได้กําหนดนโยบายประกันรายได้เกษตรกร โดยเริ่มดําเนินการตั้งแต่ปีการผลิต 2562 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งได้ดําเนินนโยบายคู่ขนานต่าง ๆ ที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวนาให้ดีขึ้น
สําหรับด้านการพัฒนาการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีนโยบายปรับปรุงพันธุ์ข้าวและผลิตพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ให้ตรงกับความต้องการของตลาด สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก รวมถึงการผลิตข้าวอินทรีย์ การตรวจรับรองการผลิตข้าวคุณภาพ การส่งเสริมการทํานาแบบแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่ โดยการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความหลากหลายมาประยุกต์ใช้ สร้างโอกาสในการเพิ่มคุณภาพการผลิต อีกทั้งยังมีการเชื่อมโยงการตลาดทําให้เกิดความร่วมมือในการผลิต สามารถผลักดันให้ชาวนารวมกลุ่มการผลิต เพื่อจะได้มีอํานาจในการต่อรองร่วมกัน เพื่อให้พี่น้องชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และสามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสําคัญที่จะเป็นกําลังในการพัฒนาการบริหารจัดการข้าวทั้งระบบคือบุคลากร ที่จะต้องเสียสละทุ่มเทอุทิศตน ทั้งกําลังกายและกําลังใจ ปฏิบัติงานหน้าที่ที่รับผิดชอบด้วยความขยันขันแข็งและซื่อสัตย์สุจริต ผู้บริหารจึงต้องให้ความสําคัญและให้โอกาสในการพัฒนาองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความชํานาญในสายงาน เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบเสื้อสามารถกรมการข้าว ให้แก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นประจําปี พ.ศ.2564 จํานวน 2 ราย มอบเสื้อสามารถกรมการข้าวและโล่รางวัลให้แก่ผู้ได้รับรางวัลคนดีศรีข้าวประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้แก่ ประเภทข้าราชการ จํานวน 3 ราย ประเภทลูกจ้างประจํา จํานวน 3 ราย ประเภทพนักงานราชการ จํานวน 3 ราย และประเภทจ้างเหมาบริการเพื่อเสริมการปฏิบัติงาน จํานวน 3 ราย มอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลชมเชยคนดีศรีข้าวประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๔ จํานวน 7 ราย ได้แก่ ประเภทข้าราชการ จํานวน 4 ราย ประเภทพนักงานราชการ จํานวน 2 ราย และประเภทจ้างเหมาบริการเพื่อเสริมการปฏิบัติงาน จํานวน 1 ราย มอบโล่รางวัลให้แก่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวดีเด่น จํานวน 3 ศูนย์ และศูนย์วิจัยข้าวดีเด่น จํานวน 3 ศูนย์ และเยี่ยมชมนิทรรศการวันสถาปนากรมการข้าว เนื่องในโอกาสครบรอบ 16 ปี | 2022-03-16 | 1,655.01001 | 1,667.920044 | 1,668.949951 | 1,653.869995 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. หารือผู้ประกอบการรถร่วมฯ หาทางรอดจากวิกฤติน้ำมันแพง | บขส. หารือผู้ประกอบการรถร่วมฯ หาทางรอดจากวิกฤติน้ํามันแพง
พร้อมเตรียมสรุปข้อเสนอให้บอร์ดบริษัทฯ และกระทรวงคมนาคมพิจารณาต่อไป
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในวันนี้ (21 มิถุนายน 2565) ได้เชิญผู้ประกอบการรถร่วมฯ ที่อยู่ในกํากับดูแลของ บขส. เข้าหารือ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ํามันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทําให้ผู้ประกอบการรถร่วมฯ ได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนดังกล่าวได้ เป็นที่มาของการปรับลดเที่ยววิ่งลง
จากการหารือกัน บขส. เข้าใจถึงความจําเป็นในการขอปรับลดจํานวนเที่ยววิ่งในครั้งนี้ โดยขอให้ผู้ประกอบการฯ ดําเนินการตามเงื่อนไขการเดินรถของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และขอให้แจ้งรายละเอียดและจํานวนเส้นทางที่จะปรับลดเที่ยววิ่งมายัง บขส. ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้มีการวางแผนจัดการเดินรถได้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
ส่วนข้อเสนอของผู้ประกอบการรถร่วมฯ อาทิ การขอปรับราคาค่าโดยสารให้สอดคล้องกับต้นทุนน้ํามัน การแก้ปัญหาเส้นทางเดินรถซ้ําซ้อน การปรับลดค่าธรรมเนียมการเดินรถ และการใช้สิทธิ์โครงการของรัฐบาลในการชําระค่าโดยสาร บขส. จะนําเข้าหารือกับคณะกรรมการบริษัทฯ ภายในเดือนมิถุนายนนี้ จากนั้นจะเสนอกระทรวงคมนาคมต่อไป | 2022-06-24 | 1,567.140015 | 1,568.76001 | 1,570.619995 | 1,559.73999 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เปิดงานวันส่งมอบปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกรโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ | รมช.ธรรมนัส เปิดงานวันส่งมอบปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกรโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
รมช.ธรรมนัส เปิดงานวันส่งมอบปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกรโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
จ.พะเยา เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ สืบสานพระปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการจัดงานวันส่งมอบปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกรโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ณ แปลงนายสุวัฒน์ พรมตุ้ย ม.3 ต.ท่าวังทอง อ.เมืองพะเยา จ.พะเยา ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทําโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ มาเป็นแนวทางในการดําเนินงาน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 บรรเทาปัญหาการว่างงาน สร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่น ให้มีความมั่งคงในการเป็นแหล่งผลิตอาหาร มีทางเลือก มีอาชีพ เพื่อมุ่งสู่ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน นอกจากจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นแล้ว ยังช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เกษตรกรสามารถเลี้ยงตนเองและสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้อย่างพอเพียงและยั่งยืน
“การดําเนินงานตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ ถือว่าเป็นทางออกของสภาวะวิกฤติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ในครั้งนี้ เพราะทําให้เกิดปัญหาการว่างงาน เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานภาคอุตสาหกรรมมาสู่ภาคเกษตร ดังนั้นเกษตรทฤษฎีใหม่จึงเป็นทางเลือกของเกษตรกรไทย และผลความก้าวหน้าของการดําเนินโครงการในจังหวัดพะเยา ได้มีการฝึกอบรมกระบวนการเรียนรู้ จํานวน 4 ครั้ง และดําเนินการขุดสระกักเก็บน้ํา จํานวน 68 ราย โดยสามารถเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ําในช่วงฤดูฝนได้ 50 – 100% และในช่วงฤดูแล้งสามารถกักเก็บน้ําได้ 30 – 50% จากการจัดงานภายในวันนี้จะเป็นการกระตุ้นให้เกษตรกรเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ พร้อมเป็นกําลังใจให้เกษตรกร และเป็นการสืบสานพระปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรด้วย” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว
ทั้งนี้ จังหวัดพะเยา ได้ดําเนินการขับเคลื่อนโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจํานวน 68 ราย ดําเนินการในพื้นที่ 4 อําเภอ 14 ตําบล ได้แก่ อ.เมือง อ.ดอกคําใต้ อ.ภูซาง และอ.เชียงม่วน โดยภายในงานมีการมอบใบประกาศแก่เกษตรกรผู้ผ่านการฝึกอบรมจํานวน 68 ราย มอบปัจจัยการผลิตให้แก่ตัวแทนเกษตรกรใน 4 อําเภอ ไก่ไข่ อาหารสัตว์ ปล่อยพันธุ์ปลาน้ําจืด และปลูกต้นไม้ ไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง อีกด้วย | 2021-08-12 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ภาคเอกชน-TDRI-ธปท. ขานรับปรับการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ 70% ชี้เหมาะสมเพิ่มความคล่องตัวให้รัฐ | โฆษกรัฐบาลเผย ภาคเอกชน-TDRI-ธปท. ขานรับปรับการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ 70% ชี้เหมาะสมเพิ่มความคล่องตัวให้รัฐ
โฆษกรัฐบาลเผย ภาคเอกชน-TDRI-ธปท. ขานรับปรับการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ 70% ชี้เหมาะสมเพิ่มความคล่องตัวให้รัฐ
วันนี้ (22 กันยายน 2564) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยความเห็นจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจการคลัง/การวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งภาคเอกชน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ชี้ว่าการปรับเพดานหนี้สาธารณะ จาก 60% เป็น 70% เหมาะสมกับสถานการณ์ประเทศในขณะนี้ โดยเป็นไปเพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดําเนินนโยบายเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ให้ความเห็นว่าการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ในขณะนี้ถือว่าเหมาะสม เพราะตัวเลขหนี้สาธารณะในระดับ 60% ถือว่าคาบเส้นมากเกินไป โดยที่ผ่านมาตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ลดลงจากวิกฤติโควิด-19 ทําให้เพดานหนี้ต่อ GDP จะแคบลงอีก นอกจากนี้ การขยายเพดานการกู้สามารถทําได้จากหลายสาเหตุ เช่น ตัวเลขหนี้ภาครัฐของไทยใช้นิยามที่มาตรฐานสูงกว่าสากล โดยรวมหนี้รัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีจํานวนกว่า 8 แสนล้านบาทเข้าไปด้วย ทําให้ตัวเลขโดยรวมสูงกว่าปกติถ้าวัดตามมาตรฐานสากล
ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็นว่าการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% เป็นไปเพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดําเนินนโยบายรัฐเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และยังคงมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในระดับต่ํา ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 55.6% เทียบกับระดับปัจจุบันของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ประมาณ 120% และกลุ่มประเทศที่กําลังพัฒนาในแถบเอเชียที่ประมาณ 70% นอกจากนี้ หนี้สาธารณะของไทยเกือบทั้งหมดเป็นหนี้ในประเทศ 98.2% และต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับต่ํา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของไทย ณ วันที่ 20 กันยายน 2564 ต่ํากว่า 1.8% ซึ่งต่ําสุดในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาในอาเซียน ที่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเกิน 3% และ ความเสี่ยงในการถูกปรับลด credit rating ของไทยอยู่ในระดับต่ํา ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าประเทศที่กําลังพัฒนาในแถบเอเชียที่มี credit rating ระดับเดียวกับไทย และมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงกว่าไทยเป็นส่วนใหญ่ อาทิ อินเดียที่ 87% และมาเลเซียที่ 67%
นอกจากนี้ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยยังเห็นว่ารัฐบาลมีความจําเป็นในการขยายเพดานหนี้สาธารณะ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเดินหน้าได้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดยื้อทําให้เศรษฐกิจไทยบอบช้ํา จึงจําเป็นต้องต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมิฉะนั้น อาจเกิดความเสียหายมหาศาล เช่นเดียวกับ หลายประเทศในขณะนี้ก็มีการขยายเพดานหนี้เช่นกัน ในส่วนของนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สนับสนุนการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะเพื่อเพิ่มกําลังซื้อให้ประชาชน ส่วนมาตรการที่รัฐบาลควรนํามาใช้เร่งด่วน เช่น การเยียวยาผู้ประกอบการทุกประเภท เป็นต้น
“ภาคเอกชนและนักวิชาการ เห็นสอดคล้องมาตรการปรับเพดานหนี้สาธารณะ 70% โดยชี้ว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ประเทศในขณะนี้ รัฐบาลมุ่งมันทํางานอย่างหนัก เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจประเทศซึ่งมีสัญญาณบวกหลายตัว อาทิ การส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง การท่องเที่ยวที่กําลังจะกลับมาฟื้นตัวและการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งช่วยสร้างเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุน และเร่งให้การบริโภคกลับมาสู่ภาวะปกติ ซึ่งส่งผลทําให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้น” นายธนกร ฯ กล่าว
--------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | 2021-09-22 | 1,614.73999 | 1,619.589966 | 1,623.859985 | 1,611.76001 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทย "เก่งดี มีทักษะ แข็งแรง" ในศตวรรษที่ ๒๑ | วธ.ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทย "เก่งดี มีทักษะ แข็งแรง" ในศตวรรษที่ ๒๑
วธ.ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทย "เก่งดี มีทักษะ แข็งแรง" ในศตวรรษที่ ๒๑
วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทย "เก่งดี มีทักษะ แข็งแรง" ในศตวรรษที่ ๒๑ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐ ภายใต้ความร่วมมือของกระทรวง ๑๒ กระทรวง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนจากกระทรวงต่าง ๆ เข้าร่วม ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล | 2022-06-09 | 1,637.530029 | 1,641.339966 | 1,646.439941 | 1,636.199951 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยและนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานมอบหนังสือพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี “รวมน้ำใจ สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” แก่กลุ่มทอผ้าฯ | ปลัดกระทรวงมหาดไทยและนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานมอบหนังสือพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี “รวมน้ําใจ สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน” แก่กลุ่มทอผ้าฯ
ปลัดกระทรวงมหาดไทยและนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานมอบหนังสือพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี “รวมน้ําใจ สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน” แก่กลุ่มทอผ้าอัตลักษณ์ประจําท้องถิ่นทั่วประเทศ
ปลัดกระทรวงมหาดไทยและนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานมอบหนังสือพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี “รวมน้ําใจ สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน” แก่กลุ่มทอผ้าอัตลักษณ์ประจําท้องถิ่นทั่วประเทศ พร้อมเน้นย้ํา ร่วมกันสืบสาน ถ่ายทอดส่งต่อภูมิปัญญาสู่ลูกหลาน เพื่อสนองพระราชปณิธานอันทรงคุณค่าให้คงอยู่คู่ประเทศไทยอย่างยั่งยืน
วันนี้ (21 มิ.ย. 65) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมอัษฎางค์ อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบหนังสือพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี “รวมน้ําใจ สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน” โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายวิฑูรย์ นวลนุกูล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ผ้าไทย จํานวน 41 ราย ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนร่วมในพิธี
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดกรวยถวายราชสักการะและกล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ใจความสําคัญว่า “นับเนื่องแต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้พระราชทานพระราชดํารัสแก่ผู้นําสตรี ในวันสตรีไทย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ที่จะสนองพระเดชพระคุณและพระมหากรุณาธิคุณ ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งโดยแท้ว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงช่วยเหลือพสกนิกรชาวไทย เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด และในภาวการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พระองค์ได้พระราชทานขวัญกําลังใจ ด้วยการทรงเลือกและบรรจุถุงกําลังใจพระราชทานด้วยพระองค์เอง สําหรับพระราชทานแก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนที่เดือดร้อน พระราชทานอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหาร อีกทั้งส่งเสริมให้ราษฎรมีรายได้ โดยพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ผู้ประกอบการ OTOP จําหน่ายผลิตภัณฑ์ในบริเวณพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและเสด็จพระราชดําเนินเยี่ยมราษฎร เยี่ยมผู้ประกอบการ ในช่วงพักพิธีพระราชทานปริญญาบัตรทุกวัน นับเป็นเป็นขวัญกําลังใจให้ประชาชนได้ต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าได้อย่างมาก อีกทั้งยังทรงฉลองพระองค์ผ้าไทยที่ออกแบบอย่างงดงาม ทําให้ผ้าไทยได้รับการสืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน ทั้งทรงมีพระจริยาวัตรที่งดงามเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาคุณ ยังคงประทับอยู่ในดวงใจของคนไทยทั้งชาติ"
“เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้กระทรวงมหาดไทย นําผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ผ้าไทย เข้าเฝ้าถวายผ้าอัตลักษณ์ประจําท้องถิ่นทั่วประเทศ จํานวน 44 ผืน และมีพระดําริจัดทําหนังสือรวบรวมภาพและเรื่องราวของผ้าถิ่นไทยทั้ง 44 ผืน ซึ่งเป็นของขวัญอันทรงคุณค่าที่กลุ่มบุคคลที่มีความรักผ้าไทยได้ถักทอขึ้นด้วยความตั้งใจเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 จึงได้พระราชทานชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า “รวมน้ําใจ สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน” พร้อมทั้งชื่นชมในความสามารถของทุกกลุ่ม ที่ร่วมกันรังสรรค์ผลงาน ผ้าบางผืนอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จัก เพราะเป็นผ้าทอที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นที่ใช้เทคนิคพิเศษในการทอ มีการสร้างสรรค์ลายใหม่เพื่อให้เป็นลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มทอผ้า มีการใช้สีธรรมชาติและสีเคมีในการย้อมเส้นใย แต่ศิลปะและลวดลายที่ปรากฏบนผืนผ้าทุกผืน ยังคงคุณค่าแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น สมควรเป็นอย่างยิ่งที่นําภาพผ้าและเรื่องราวของผ้าทั้ง 44 ผืน มาบอกเล่าให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นการส่งเสริมอาชีพการทอผ้าและการสร้างรายได้แล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์ผ้าถิ่นไทยให้คงอยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สําคัญยิ่งของชาติ โดยกระทรวงมหาดไทยจะมุ่งมั่นน้อมนําแนวพระดําริในการเพิ่มคุณค่าและมูลค่า ยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ให้สามารถก้าวไกลสู่ระดับสากล เพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป รวมตลอดจนถึงจะจงรักภักดีและสนองพระเดชพระคุณในการสืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน สนองตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในเรื่องการธํารงรักษาภูมิปัญญาแห่งผ้าไทยให้ยั่งยืนสืบไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ถือเป็นวันมหามงคลยิ่งของพี่ ๆ น้อง ๆ ผู้ดํารงศิลป์ผ้าถิ่นไทยให้คงอยู่คู่กับแผ่นดินทุกชีวิต ทุกครอบครัว ทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งเป็นสิ่งที่เป็นมงคลยิ่งกับชีวิตข้าราชการกระทรวงมหาดไทยในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ คือ เมื่อปี 2564 ท่านประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชูปถัมภ์สมัยที่ 26 และประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชนในขณะนั้น คือ ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ได้มีดําริและหารือร่วมกับพี่น้องกลุ่ม OTOP ผ้าไทย ในการร่วมกันถวายความจงรักภักดี ด้วยการรังสรรค์ผ้าไทย จํานวนเท่ากับพระชนมายุในปี 2564 คือ จํานวน 43 ผืน + 1 ผืน เพื่อเป็นการถวายพระพรให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุยั่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญให้กับพวกเราสืบต่อไป และเป็นการถวายความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมทั้งก่อนหน้านั้น ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้พี่น้องผู้ประกอบการ OTOP ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ไปชุมนุมรวมกันที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร พี่น้องภาคเหนือรวมตัวที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ พี่น้องภาคใต้รวมตัวที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เพื่อจําหน่ายผลิตภัณฑ์และสร้างรายได้ หาเลี้ยงชีพในยามที่โควิด-19 ระบาดมาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปีแล้ว พร้อมกันนั้น พระองค์ได้เสด็จพระราชดําเนินเยี่ยมเยียนพวกเราทุกคนถึงบูธที่เราได้นําผ้าไปจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ซึ่งกาลเวลาก็ล่วงเลยเนื่องจากโควิด-19 ระบาดรุนแรง ทําให้ผ้าที่เตรียมไว้เพื่อที่จะถวายก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถวายในช่วงปลายปี หลังวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 มาหลายเดือน นํามาซึ่งความตื้นตัน ความปลื้มปีติยินดี ที่เห็นพวกเราทุกคนได้รับโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งกับวงศ์ตระกูล โอกาสอันสําคัญยิ่งของชีวิต ที่ได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายผ้า และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสในการเสด็จพระราชดําเนินมาประทับเป็นขวัญกําลังใจให้พวกเราทุกคนอีกด้วย
“โดยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ตนและ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดําเนินมาด้วย ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้พระราชทานหนังสือที่อยู่ในมือแนบอกพวกเราทุกคนในขณะนี้ ให้กับ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และตน เพื่อเชิญมามอบให้กับพี่น้องผู้มีความจงรักภักดี และเป็นกําลังสําคัญของแผ่นดินในการสืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน เพื่อเป็นมรดกสําคัญของประเทศชาติต่อไป และที่สําคัญยิ่งกว่านั้น พระองค์ได้ตรัสเล่าให้ฟังว่า “พระองค์มีความรู้สึกตื้นตันใจ ขอบคุณและขอบใจพวกเราที่ระลึกถึงพระองค์ท่านและร่วมกันทอผ้าขึ้นทูลเกล้าถวายเป็นของขวัญ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้นําผ้าทั้ง 44 ผืน โปรดให้ถ่ายภาพเก็บรายละเอียด และติดต่อช่างทอเพื่อไปถ่ายรูปและนํามาร้อยเรียงเป็นผืนผ้าแห่งความจงรักภักดีที่พวกเราได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายนั้น ลงไว้ในหนังสือพระราชทาน “รวมน้ําใจ สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน” ซึ่งไม่ว่าเราทุกคนจะตายแล้วกลับมาเกิดใหม่อีกกี่ชาติก็แล้วแต่ ตํานานของเรื่องนี้ก็จะปรากฏอยู่คู่กับแผ่นดินไทย อยู่ในหนังสือ ในห้องสมุด ในพระราชวังของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เพื่อเป็นประจักษ์พยานและหลักฐานว่า ผ้าไทยที่เกิดจากความจงรักภักดีนั้นมีหน้าตาอย่างไร ใช้เทคนิคอย่างไร ใครเป็นผู้ทอ ผู้ถวาย แต่สําคัญยิ่งกว่านั้น รายละเอียดทุกอย่างของหนังสือเล่มนี้ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงทําด้วยพระองค์เอง ทรงพระราชทานพระวินิจฉัยประดุจดั่งทรงเป็นบรรณาธิการด้วยพระองค์เอง ซึ่งทรงคุณค่าต่อพวกเราทุกคนในฐานะพสกนิกรของพระองค์ท่าน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า เชือกสีเหลืองที่พันผูกเคียงคู่กับเชือกสีม่วงที่ถูกร้อยถูกผูกมากับหนังสือพระราชทาน “รวมน้ําใจ สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน” นั้น เป็นเครื่องหมายแทนความรักความห่วงใยและพระมหากรุณาธิคุณอันเปี่ยมล้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เชือกสีเหลือง สื่อความหมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชือกสีม่วง สื่อความหมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และปกหนังสือได้อัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ท. ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โดยใช้สีม่วงซึ่งเป็นสีประจําพระองค์จัดพิมพ์รูปเล่มอย่างสวยงาม ซึ่งสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนก่อเกิดจากพระวิริยะอุตสาหะที่ทรงรําลึกนึกถึงและพระราชทานกําลังใจให้กับพวกเราทุกคน อันสัมผัสได้ถึงน้ําพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นที่ทรงมีให้กับทุกคน และพวกเราทุกคนจะยังอยู่ในพระหทัยของพระองค์ท่านในฐานะพสกนิกรผู้มีความจงรักภักดีและเป็นผู้ที่ช่วยอนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทยให้ดํารงไว้ในแผ่นดิน เหมือนดังพระราชปณิธานที่พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้เมื่อวันสตรีไทย 1 สิงหาคม 2562 “ข้าพเจ้ามีความตั้งมั่นที่จะสนองพระเดชพระคุณพระมหากรุณาธิคุณในการสืบสานรักษาและต่อยอดพระราชปณิธานแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เหมือนดั่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชปณิธานที่จะสืบสานรักษาและต่อยอดและแผ่ขยายพระบารมีแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนี...”
“พระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชดํารัสตรัสว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกที่พระองค์ท่านทรงมีพระราชดําริด้วยพระองค์เองทั้งเล่ม เพื่อพระราชทานให้กับพวกเรา และทรงมีพระราชกระแส ให้นําเอาคําขอบคุณ ขอบใจ มาให้พวกเราทุกคนด้วย ที่ระลึกนึกถึงพระองค์ท่านและร่วมกันถวายพระพรเนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2564 ซึ่งขอให้พวกเราได้รับพระราชกระแสขอบใจ กลับไปเป็นสิริมงคลและขวัญกําลังใจในชีวิต และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ทุกท่านได้รับมอบในวันนี้จะเป็นขวัญกําลังใจให้พวกเรามีแรงฮึกเหิมที่จะช่วยกันพัฒนา ช่วยกันต่อยอด งานผ้าไทยให้แผ่ขยายออกไปและมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น และส่งต่อถ่ายทอดสู่ลูกหลานคนรอบตัวให้ได้มีฝีมือในการทอผ้าเพิ่มมากขึ้น และขอให้เก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นเกียรติประวัติของตระกูลอย่างยั่งยืนสืบไป” ดร. วันดีฯ กล่าวเน้นย้ํา | 2022-06-21 | 1,568.630005 | 1,574.52002 | 1,576.050049 | 1,563.140015 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผย WHO ชมไทยรับมือโควิดได้ดี เตรียมเสนอยกเลิก Thailand Pass สำหรับ คนไทย เหตุพบคนเข้าประเทศติดเชื้อลดลง | “อนุทิน” เผย WHO ชมไทยรับมือโควิดได้ดี เตรียมเสนอยกเลิก Thailand Pass สําหรับ คนไทย เหตุพบคนเข้าประเทศติดเชื้อลดลง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย WHO ชื่นชมไทยตอบโต้ “โควิด” ได้ดี เพราะมีความยืดหยุ่น ปรับตัว และมีแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง ระบุพบการติดเชื้อในคนเข้าประเทศลดลง อาจเสนอยกเลิก Thailand Pass สําหรับคนไทย ก่อนขยายในกลุ่มต่างชาติ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยWHO ชื่นชมไทยตอบโต้ “โควิด” ได้ดี เพราะมีความยืดหยุ่น ปรับตัว และมีแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง ระบุพบการติดเชื้อในคนเข้าประเทศลดลง อาจเสนอยกเลิก Thailand Pass สําหรับคนไทย ก่อนขยายในกลุ่มต่างชาติ ย้ําให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นลดอาการรุนแรงและเสียชีวิต ช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้
วันนี้ (5 พฤษภาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ประจําเดือนพฤษภาคม 2565 ว่า ก่อนการประชุม มีการนําเสนอผลการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า หรือUniversal Health and Preparedness Review (UHPR) กรณีการรับมือโควิด 19 ที่มีรองผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกนําคณะมาดําเนินการ ซึ่งมีผลสรุปในทิศทางที่ดีและมีประโยชน์ต่อประเทศไทย ทําให้ทั่วโลกให้ความมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทยมากขึ้น โดย นพ.จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย ระบุว่า ประเทศไทยสามารถตอบโต้กับสถานการณ์โรคระบาดได้อย่างน่าประทับใจ โดยอาศัยความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับตัว และการใช้แนวทางที่นําไปปฏิบัติได้จริง โดยมีประเด็นที่นําไปพัฒนาต่อได้ เช่น การบูรณาการข้อมูล การนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสนับสนุน การพึ่งพาตนเองด้านยา วัคซีน และชุดตรวจ ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขกําลังดําเนินการอยู่
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการนําเสนอความก้าวหน้าการดําเนินงาน เช่น แผนการคัดกรองวัณโรค โดยกรมควบคุมโรค การจัดบริการโรคมะเร็ง โดยกรมการแพทย์ ขณะที่กรมอนามัยจะมีความร่วมมือกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยสนับสนุนผ้าอ้อมสําเร็จรูปสําหรับผู้สูงอายุติดเตียง มีโรคประจําตัว ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ซึ่งได้กําชับเรื่องคุณภาพมาตรฐาน
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า สําหรับสถานการณ์โควิด 19 ขณะนี้การติดเชื้อและการเสียชีวิตเริ่มลดลง เป็นไปตามคาดการณ์ อัตราครองเตียงและการใช้เครื่องช่วยหายใจประมาณ 20% สอดคล้องกับนโยบาย 3 พอ คือ หมอพอ เตียงพอ และยาพอ ขณะที่อัตราติดเชื้อในผู้เดินทางมาจากต่างประเทศถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการติดเชื้อในประเทศ อาจจะเสนอยกเลิกThailand Pass สําหรับคนไทยให้เดินทางเข้าประเทศโดยเสรี เพราะหากติดเชื้อจะได้รับการดูแลตามสิทธิสุขภาพอยู่แล้ว และประชาชนส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 2 เข็มส่วนคนต่างชาติจะพิจารณาในลําดับต่อไป ทั้งนี้ ผู้ที่เสียชีวิตจากโควิด 19 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น จึงขอให้มารับวัคซีนตามกําหนด ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตลงได้ และเมื่อมีการฉีดวัคซีนมากขึ้นจะช่วยให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น
*****************************************5 พฤษภาคม 2565 | 2022-05-05 | 1,663.25 | 1,643.300049 | 1,667.119995 | 1,643.170044 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟฟท. เผยผลสำรวจความพึงพอใจผู้โดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง | รฟฟท. เผยผลสํารวจความพึงพอใจผู้โดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง
ในช่วงครึ่งปีแรกหลังเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์
นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) กระทรวงคมนาคม ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเปิดเผยว่า เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูล และเข้าถึงความต้องการของผู้โดยสารสําหรับนําข้อมูลมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทจึงได้ดําเนินการจ้างหน่วยงานภายนอกที่เชี่ยวชาญจัดทําแบบสํารวจความพึงพอใจผู้โดยสาร หลังเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงมาเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยผลปรากฎว่าจากคะแนนเต็ม 5 ผู้โดยสารมีความพึงพอใจด้านการให้บริการ 4.40 , ด้านความปลอดภัย 4.39 , ด้านคุณภาพและสิ่งอํานวยความสะดวกบนสถานีและในขบวนรถ 4.39 , ด้านการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูล 4.26 , ด้านเหรียญโดยสาร/บัตรโดยสาร และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด 4.25 และด้านความน่าเชื่อถือต่อความตรงต่อเวลา ความถี่ และคุณภาพในการเดินรถไฟฟ้า 4.23 ซึ่งผลสํารวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้โดยสารมีความเชื่อมั่นต่อการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นผลมาจากการที่บริษัทให้ความสําคัญในการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้โดยสาร โดยเฉพาะมาตรฐานการให้บริการที่บริษัทยึดถือปฏิบัติมาตลอด โดยล่าสุดบริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 ขอบเขตการปฏิบัติการเดินรถไฟฟ้า ความปลอดภัย และวิศวกรรมซ่อมบํารุง จากหน่วยรับรอง Bureau Veritas (BV)
หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริการลูกค้า 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง | 2022-05-17 | 1,595.599976 | 1,614.48999 | 1,615.47998 | 1,590.959961 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมชลประทาน ปล่อยน้ำลงทุ่งบางระกำ 2.65 แสนไร่ ตั้งแต่ 15 มี.ค.นี้ | “รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมชลประทาน ปล่อยน้ําลงทุ่งบางระกํา 2.65 แสนไร่ ตั้งแต่ 15 มี.ค.นี้
“รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมชลประทาน ปล่อยน้ําลงทุ่งบางระกํา 2.65 แสนไร่ ตั้งแต่ 15 มี.ค.นี้ ช่วยลดพื้นที่นาข้าวเสียหายจากน้ําหลาก เกษตรกรมีรายได้เสริมจากการประมงภายหลังเก็บเกี่ยวเสร็จ และบรรเทาอุทกภัยในเขตพิษณุโลกและสุโขทัย ตอบโจทย์เกษตรกรผู้ทํานาปีในพื้นที่
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการรับน้ําเข้าระบบส่งน้ํา พื้นที่ลุ่มต่ําบางระกํา ตามแผนการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีให้เร็วขึ้น เพื่อลดผลกระทบผลผลิตข้าวเสียหายในช่วงฤดูน้ําหลาก ณ บริเวณท่อระบายน้ําคลองแยงมุม ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ รวมทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง กลุ่มผู้ใช้น้ํา และเกษตรกรในพื้นที่ บูรณาการการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ลุ่มต่ําบางระกําตามโครงการบางระกําโมเดล ในรูปแบบประชารัฐ เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ําที่อยู่ระหว่างลุ่มน้ํายมและลุ่มน้ําน่าน ที่ประสบปัญหาอุทกภัยเป็นประจําทุกปี โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ ให้สอดคล้องกับภูมิสังคมและวิถีชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ํา
โครงการบางระกําโมเดล เป็นการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีพื้นที่ลุ่มต่ําในเขตชลประทานที่อยู่ระหว่างแม่น้ํายมกับแม่น้ําน่าน ที่เกิดผลกระทบจากอุทกภัยช่วงฤดูน้ําหลากในทุกปี ครอบคลุมพื้นที่ 265,000 ไร่ โดยการบริหารจัดการน้ําในรูปแบบประชารัฐ ที่ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี และได้ดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ปี 2565 โดยการเลื่อนเวลาการเพาะปลูกข้าวฤดูนาปีในพื้นที่ลุ่มต่ําเร็วขึ้น ส่งน้ําให้เกษตรกรทําการเพาะปลูกข้าวนาปีในพื้นที่โครงการ จากเดิมที่เริ่มในเดือนพฤษภาคม มาทําการเพาะปลูกเร็วขึ้นเริ่มเดือนเมษายน เพื่อให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อนฤดูน้ําหลาก ทําให้ประหยัดงบประมาณภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร และสามารถใช้พื้นที่นาเก็บเกี่ยวผลผลิต และเป็นพื้นที่รองรับน้ําหลากจากลุ่มน้ํายม ลดผลกระทบจากอุทกภัยทั้งในพื้นที่การเกษตร และพื้นที่ชุมชนเมืองของจังหวัดสุโขทัย ชะลอการระบายน้ําลงสู่ลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา ได้สูงสุด 400 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เสริมจากผลิตภัณฑ์ข้าว และการทําอาชีพประมง การแปรรูปผลผลิตจากปลา ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมในช่วงที่รับน้ําเข้าทุ่งได้อีกด้วย
สําหรับการบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําบางระกํา ในปี 2565 นี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จะเริ่มส่งน้ําจากเขื่อนสิริกิติ์ให้ทุ่งบางระกําพื้นที่ 265,000 ไร่ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2565 ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด 5 อําเภอ ได้แก่ อ.พรหมพิราม อ.บางระกํา อ.เมือง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก และ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย รวม 21 ตําบล 97 หมู่บ้าน อีกทั้งกระทรวงเกษตรฯ จะนําแนวทางการบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําบางระกํา ขยายผลสู่พื้นที่ลุ่มต่ําของลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่างต่อไปด้วย
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังมีนโยบายในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีประสบภัย และโครงการสร้างอาชีพเสริมในช่วงฤดูน้ําหลากให้เกษตรกรในเขตพื้นที่ลุ่มต่ําบางระกํา โดยการบูรณาการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ทั้งในด้านประมงและปศุสัตว์ อาทิ การส่งเสริมการปลูกพืชหลังนา การนําปลาและกุ้งมาปล่อย เพื่อเพิ่มปริมาณสัตว์น้ํา ให้เกษตรกรมีรายได้เสริมเพิ่มมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมการแปรรูปจากผลผลิตจากข้าวและสัตว์น้ํา เป็นต้น
“ขอขอบคุณทุกหน่วยงานโดยเฉพาะเกษตรกรในพื้นที่ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการดําเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความพึงพอใจและการตอบรับที่ดีจากประชาชนในพื้นที่และเกษตรกรผู้ใช้น้ํา กระทรวงเกษตรฯ มุ่งหวังว่าจะสามารถช่วยบรรเทาปัญหาน้ําท่วมที่เกิดขึ้นซ้ําซาก แก้ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ํา ตลอดจนสร้างความมั่นคงด้านน้ําให้กับผู้ใช้น้ําได้ทั้งลุ่มน้ํายมและลุ่มน้ําเจ้าพระยา และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวด้วย” ดร.เฉลิมชัย กล่าว | 2022-03-14 | 1,656.359985 | 1,660.150024 | 1,662.660034 | 1,651.900024 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดำเนินงานวิสาหกิจชุมชน บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (Brand AVAUTIS) | ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงานวิสาหกิจชุมชน บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด (Brand AVAUTIS)
ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงานวิสาหกิจชุมชน บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด (Brand AVAUTIS)
ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงานวิสาหกิจชุมชน บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด (Brand AVAUTIS)
พังงา - วันนี้ (20 พฤษภาคม 2565) เวลา 13.00 น. นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสกล จุลาภา รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายธีระ แก้วพิมล อุตสาหกรรมจังหวัดพังงา และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงานวิสาหกิจชุมชน บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด (Brand AVAUTIS) โดยมี นายกัมปนาท มหันต์ ผู้ก่อตั้ง วิสาหกิจชุมชน บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด และคณะผู้ปกครองเด็กพิเศษ ให้การต้อนรับ ณ บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด ตําบลเหล อําเภอปะกง จังหวัดพังงา
สําหรับ บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด เป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ปกครองเด็กพิเศษ ในจังหวัดพังงา โดยเมื่อปี พ.ศ.2553 ได้จัดตั้ง “ชมรมผู้ปกครองบุคคลออทิสติก จังหวัดพังงา” ขึ้นเพื่อเป็นกําลังใจให้กันและกัน แลกเปลี่ยนการดูแลและพัฒนาเด็กพิเศษ เพื่อให้เขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจําวัน และสามารถดํารงชีวิตได้ในสังคมปัจจุบัน ซึ่งเด็กพิเศษเมื่อเข้าสู่วัยทํางานแล้วส่วนใหญ่ไม่สามารถทํางานได้ด้วยตังเอง หากไม่มีผู้ปกครองคอยช่วยในการทํางาน และการใช้ชีวิตประจําวัน อีกทั้งเด็กพิเศษยังต้องการสภาวะแวดล้อมที่เข้าใจปลอดภัย ด้วยต้นทุนในตัวของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน (ระดับความรุนแรงไม่เท่ากัน) ซึ่งเด็กต้องการการดูเป็นพิเศษ ทั้งความรัก ความเข้าใจ ทั้งนี้กลุ่มผู้ปกครองเด็กพิเศษจึงรวมตัวกัน สร้างงานที่ผู้ปกครองสามารถทํางานร่วมกันกับเด็กพิเศษ ด้วยความรักและเข้าใจในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เป็นการพัฒนาอาชีพก่อให้เกิดรายได้เลี้ยงตนเอง จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ ภายใต้ แบรนด์ "AVAUTIS" (เอวาร์ติส) ซึ่งเป็นผลิตภันฑ์สกินแคร์ที่มีคุณภาพ เป็นมิตรต่อผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นไปที่การคัดสรรค์วัตถุดิบจากธรรมชาติอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ปลอดภัย 100% พร้อมสรรพคุณที่ช่วยบํารุงผิวอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และได้รับการรับรองจากองค์กรต่าง ๆ อย่างถูกต้อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านมาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมจังหวัดพังงา ได้สนับสนุนส่งเสริมโครงการกิจกรรมให้คําปรึกษาเชิงลึกด้านการส่งเสริมและพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) เพื่อเพิ่มความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ช่วยปรับปรุงในกระบวนการผลิต ทั้งในด้านรักษาสิ่งแวดล้อม ต้นทุนการผลิต และในอีกหลายขั้นตอน | 2022-05-23 | 1,627.709961 | 1,635.280029 | 1,635.349976 | 1,623.599976 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ พร้อมเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) ระหว่างการประชุมสามัญประจำปีของสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH Spring Conference 2022) | กระทรวงเกษตรฯ พร้อมเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) ระหว่างการประชุมสามัญประจําปีของสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH Spring Conference 2022)
กระทรวงเกษตรฯ พร้อมเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) ระหว่างการประชุมสามัญประจําปีของสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH Spring Conference 2022)
วันที่ 7 มีนาคม 2565 เวลา 17.40 น.( หรือเวลา 14.40 น. ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมาย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดํารง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) เข้าร่วมนําเสนอความพร้อมของประเทศไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) ระหว่างการประชุมสามัญประจําปีของสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH Spring Conference 2022) ณ Crowne Plaza Dubai Marina เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งคณะกรรมการของ AIPH จะประกาศผลในวันที่ 8 มีนาคม นี้ | 2022-03-07 | 1,654.430054 | 1,626.699951 | 1,655.189941 | 1,616.079956 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๗๐ พรรษา (๒๘ ก.ค.๖๕) | สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๗๐ พรรษา (๒๘ ก.ค.๖๕)
เช้าวันนี้ (วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๗.๓๐ น.) พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๗๐ พรรษา (๒๘ ก.ค.๖๕)
โดยมีพิธีถวายพระพรชัยมงคลและพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน ๗๑ รูป ถวายเป็นพระราชกุศล และพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคลณ ศาลาว่าการกลาโหม
ทั้งนี้ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ด้วยพระวิริยอุตสาหะและพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตา เพื่อให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่ามีความร่มเย็นเป็นสุข เป็นที่ประจักษ์ประทับอยู่ในใจของพสกนิกรตลอดมา | 2022-07-28 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงดำเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 33 บ้านภาชี - บ้านหินกอง | กรมทางหลวงดําเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 33 บ้านภาชี - บ้านหินกอง
สายอําเภอบางปะหัน - อําเภอนครหลวง - อําเภอภาชี - บ้านหินกอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 4 ช่องจราจร แล้วเสร็จ
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักก่อสร้างทางที่ 1 ดําเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 33 สายอําเภอบางปะหัน - อําเภอนครหลวง - อําเภอภาชี - บ้านหินกอง ตอนบ้านภาชี - บ้านหินกอง แล้วเสร็จ ระยะทาง 26.72 กิโลเมตร ในพื้นที่อําเภอนครหลวงและภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอําเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ เร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 33 มีความสําคัญทางด้านการคมนาคมและทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างจังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออกในประเทศไทย โดยเริ่มต้นจากทางหลวงหมายเลข 340 จังหวัดสุพรรณบุรี ไปสิ้นสุดที่อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว (เขตแดนไทย/กัมพูชา) รวมระยะทาง 299 กิโลเมตร โดยช่วงจังหวัดสุพรรณบุรี - ป่าโมก - ถนนสายเอเชียเป็นทาง 4 ช่องจราจร มีเพียงช่วงเขตบางปะอิน - นครหลวง - ภาชี - หินกอง ที่เป็นทาง 2 ช่องจราจร ซึ่งไม่สามารถรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างสะดวก และปลอดภัยแก่ผู้ใช้เส้นทาง ทล. จึงได้ศึกษาถึงความเหมาะสมและความจําเป็นดังกล่าวได้พิจารณาปรับปรุงและกําหนดมาตรฐานการออกแบบชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทาง
โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 33 สายอําเภอบางปะหัน - อําเภอนครหลวง - อําเภอภาชี - บ้านหินกอง ตอนบ้านภาชี - บ.หินกอง อยู่ในพื้นที่อําเภอนครหลวงและภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอําเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เดิมทางสายนี้เป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร ไป - กลับ แต่เนื่องจากปัจจุบันไม่สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มจํานวนมากขึ้น จึงได้ทําการขยายช่องจราจร โดยก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร ระหว่าง กม. ที่ 54+273 - 81+000 ระยะทาง 26.72 กิโลเมตร ขยายคันทางจาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร (ไป - กลับ ข้างละ 2 ช่องจราจร) กว้างช่องละ 3.5 เมตร ผิวทางและไหล่ทางเป็นคอนกรีต ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.5 เมตร แบ่งทิศทางจราจรด้วยเกาะกลางแบบยก พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง ไฟสัญญาณจราจร ไฟกะพริบบนทางหลวงเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด งบประมาณ 1,257,757,580 บาท
โครงการดังกล่าวเมื่อแล้วเสร็จจะเป็นทางหลวงที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย เพื่อให้มีประสิทธิภาพสามารถรองรับการจราจรที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต และมีความปลอดภัยในการใช้ทางมากยิ่งขึ้น ช่วยส่งเสริมศักยภาพการกระจายความเจริญทางด้านเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นและในระดับประเทศ เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางปฏิบัติตาม “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและผู้ร่วมทาง ประชาชนสามารถสอบถามเส้นทางการเดินทางได้ที่สายด่วน ทล. โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) | 2022-06-30 | 1,587.819946 | 1,568.329956 | 1,591.22998 | 1,564.819946 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วัคซีนไฟเซอร์เด็ก 3 แสนโดสแรกถึงไทยแล้ว เริ่มฉีด 31 ม.ค. นี้ ณ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี | วัคซีนไฟเซอร์เด็ก 3 แสนโดสแรกถึงไทยแล้ว เริ่มฉีด 31 ม.ค. นี้ ณ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
.....
กระทรวงสาธารณสุข เผยวัคซีนไฟเซอร์เด็กที่จะฉีดให้เด็กอายุ 5 - 11 ปี ล็อตแรก 3 แสนโดสถึงไทยแล้ว ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กําลังตรวจสอบคุณภาพ และจะส่งไปยังจุดฉีดทั่วประเทศต่อไป ส่วนวัคซีนที่เหลือจะทยอยส่งทุกสัปดาห์จนครบ 3.5 ล้านโดส ภายในไตรมาสแรก
.
วัคซีนสูตรเด็กอายุ 5 - 11 ปีนั้น จะฉีดคนละ 0.2 มิลลิลิตร (10 ไมโครกรัม) 1 ขวดฉีดได้ 10 คน ข้อดีคือ เก็บในอุณหภูมิ 2 - 8 องศาเซลเซียสได้นานขึ้นเป็น 10 สัปดาห์ และหลังเปิดใช้แล้วต้องฉีดให้หมดภายใน 2 - 6 ชั่วโมง
.
มีขั้นตอนการฉีด ดังนี้
.
การคัดกรอง กุมารแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน หากกําลังมีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย หรือโรคประจําตัวอาการรุนแรงขึ้น อาการไม่คงที่ จะให้ชะลอการฉีดออกไปก่อน
.
การลงทะเบียน มีการเซ็นใบยินยอมของผู้ปกครอง
.
การฉีดวัคซีน จัดสถานที่มิดชิด มีม่านหรือฉากกั้น หรือฉีดในห้อง เพื่อลดผลกระทบด้านจิตใจ เนื่องจากเด็กเล็กเมื่อเห็นเด็กถูกฉีดแล้วร้อง อาจเกิดอุปาทานหมู่ยอมรับการฉีดยากขึ้น
.
หลังฉีดรอดูอาการ 30 เมื่อกลับบ้านแล้วไม่ควรออกกําลังกายหรือทํากิจกรรมที่ใช้แรง 1 สัปดาห์
.
โดยจะเริ่มต้นฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5 - 11 ปี กลุ่มโรคประจําตัว วันที่ 31 ม.ค. นี้ ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | 2022-01-27 | 1,633.780029 | 1,634.170044 | 1,635.140015 | 1,617.869995 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ยังไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 22 สายทาง พร้อมเร่งฟื้นฟูเส้นทางอย่างเร่งด่วน | กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ยังไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 22 สายทาง พร้อมเร่งฟื้นฟูเส้นทางอย่างเร่งด่วน
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด รวม 30 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 8 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 22 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยในวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม นครสวรรค์ และสุพรรณบุรี รวม 30 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 8 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 22 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 16 สายทาง (16 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 6 สายทาง (6 แห่ง) รายละเอียดดังนี้
1. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100)
2. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800)
3. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600)
4. สายทาง ขก.026 สะพานข้ามห้วยน้ําชี อําเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 5+700)
5. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800)
6. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+400 - 1+700)
7. สายทาง ขก.4008 แยก ทล. 2062 - บ้านเหล่านาดี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 42+800 - 44+200)
8. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อําเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+800)
9. สายทาง ขก.020 สะพานข้ามลําน้ําชี อําเภอโคกโพธิ์ไชย และแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 0+500 - 5+400)
10. สายทาง ขก.3029 แยก ทล.229 - บ้านโนนสะอาด อําเภอชนบท และแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 30 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 12+000 - 15+320)
11. สายทาง ขก.3037 แยก ทล.229 - บ้านสําราญ อําเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 45 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+200 - 5+100)
12. สายทาง ขก.1039 แยก ทล.2 - บ้านหนองไห อําเภอบ้านแฮด และมัจฉาคีรี จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 30 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 10+200 - 14+250)
13. สายทาง ขก.3054 แยก ทล.229 - บ้านโพธิ์ไชย อําเภอมัจฉาคีรี และโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 11+000 - 16+600)
14. สายทาง มค.005 ถนนเชิงลาดสะพานลดาวัลย์ข้ามลําน้ําชี อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร
15. สายทาง มค.009 ถนนเชิงลาดสะพานบ้านคุยเชือก อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร
16. สายทาง มค.3062 แยก ทล.208 - บ้านหนองผือ อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 7+500 - 8+450)
17. สายทาง อย.019 สะพานข้ามแม่น้ําน้อย อําเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+050)
18. สายทาง อย.026 สะพานวัดอินทาราม อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 56 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+100)
19. สายทาง อย.4055 แยก ทล.3267 - บ้านตาลเอน อําเภอมหาราช และบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 35 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+300 - 4+100)
20. สายทาง อท.2034 แยก ทล.32 - บ้านมหานาม อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+500 - 7+300)
21. สายทาง สห.5042 แยกทางหลวงชนบท สห.3008 - แยกทางหลวงชนบท สห.5043 อําเภอค่ายบางระจัน และท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี น้ําท่วมสูง 30 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 4+700 - 5+150)
22. สายทาง ลบ.1030 แยก ทล.1 - บ้านถลุงเหล็ก อําเภอโคกสําโรง จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 11+600 - 11+650)
ทั้งนี้ ทช. ได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือนในเส้นทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภัย จัดเจ้าหน้าที่เข้าอํานวยความสะดวกให้ประชาชน และดําเนินการฟื้นฟูซ่อมแซมเส้นทางที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งจัดชุดลาดตระเวนติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 | 2021-10-11 | 1,644.380005 | 1,633.439941 | 1,646.5 | 1,629.949951 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) (7 ก.ย.64) | โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) (7 ก.ย.64)
สู่เป้าหมาย 33,000 คน ภายใน กันยายน 2564
อัปเดต “ศูนย์ฉีดวัคซีนทางเลือก ซิโนฟาร์ม”อํานวยความสะดวกให้ประชาชน พื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ฉีดวันที่ 7 ก.ย.64 จํานวน 900 คน
ฉีดไปแล้ว 18,800 คน
ต้องฉีดอีก 14,200 คน | 2021-09-08 | 1,632.180054 | 1,640.449951 | 1,641.290039 | 1,627.170044 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชี้ช่องโอกาสส่งออกสินค้าหมวดขนม จีน/ญี่ปุนมาแรง ก.พาณิชย์พร้อมสนับสนุนข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค | รัฐบาลชี้ช่องโอกาสส่งออกสินค้าหมวดขนม จีน/ญี่ปุนมาแรง ก.พาณิชย์พร้อมสนับสนุนข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค
รัฐบาลชี้ช่องโอกาสส่งออกสินค้าหมวดขนม จีน/ญี่ปุนมาแรง ก.พาณิชย์พร้อมสนับสนุนข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค
วันที่ 21 มีนาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายการตลาดนําการผลิตของรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ ในประเทศที่เป็นตลาดส่งออก เพื่อนํามาใช้ในการวางแผนการผลิตและส่งออกให้กับผู้ประกอบการของไทย ซึ่งกลุ่มสินค้าขนม เป็นหนึ่งในสินค้าหมวดอาหารที่มีโอกาสเติบโตอย่างมากในหลายประเทศ โดยเฉพาะ ในจีน และญี่ปุ่น กอปรกับภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่คนหาสิ่งเพลิดเพลินทําในบ้านแทนการออกไปใช้เวลาในที่สาธารณะ ถือเป็นปัจจัยเสริมการส่งออกในภาพรวมอีกด้วย
นางสาวรัชดา กล่าวว่า การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยผลิตสินค้าให้ตรงกับพฤติกรรมการบริโภค เอาผู้ซื้อเป็นตัวตั้ง เป็นนโยบายหลักของกระทรวงพาณิชย์ และที่ผ่านมา ตัวเลขการส่งออกสินค้าอาหารที่โตขึ้นอย่างมาก สะท้อนให้เห็นถึงความสําเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว ข้อมูลที่น่าสนใจจากการศึกษา อาทิ กลุ่มนักศึกษาจีน กลุ่มเพศหญิงจะนิยม ขนมแป้งเส้นรสเผ็ด ขนมหรืออาหารกระป๋อง และคุกกี้หรือเค้ก กลุ่มเพศชายจะนิยมบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ถั่ว และผลไม้อบแห้ง เครื่องดื่ม กลุ่มนักศึกษาที่เกิดหลังปี 2000 ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชายนิยมดื่มน้ําผลไม้และชานม ขณะที่ชาวญี่ปุ่นมีความต้องการสินค้าใหม่ ๆ รองรับสังคมผู้สูงอายุ เช่น ขนมที่มีการพัฒนาเป็นFunctional foodที่มีคุณสมบัติการให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เยลลี่เหลวแบบสําหรับดื่มที่ให้พลังงานและเส้นใย หรือขนมที่มีนวัตกรรม เช่น ลูกอมดับกลิ่นปากที่ลดความแรงของมินท์ เพื่อให้เหมาะกับเวลาใส่หน้ากากอนามัย และขนมเคี้ยวหนึบ ที่มีการใช้นวัตกรรมในการผลิต เพื่อสร้างความแปลกใหม่ รวมถึงให้ความสําคัญกับการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิตเปลี่ยนจากการใช้พลาสติกมาเป็นกระดาษมากขึ้น และลดปริมาณบรรจุภัณฑ์มากเกินจําเป็นลงมา เช่น ใช้พลาสติกที่บางลง หรือยกเลิกการใช้ถาดพลาสติก เป็นต้น
“สินค้าขนมของไทยมีโอกาสเติบโตในหลายประเทศ ซึ่งในการผลิตต้องให้ความสําคัญกับคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย โดยเป็นปัจจัยที่ผู้ผลิตผู้ส่งออกไทยจะต้องให้ความสําคัญเป็นอันดับแรก นอกจากนั้น จะต้องพิจารณาใช้บรรจุภัณฑ์และขนาดบรรจุที่เหมาะสมกับแนวโน้มของตลาด รวมทั้งควรติดตามศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมในช่วงนั้น ๆ สําหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)กระทรวงพาณิชย์www.ditp.go.thหรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169” นางสาวรัชดา กล่าว
------------ | 2022-03-21 | 1,683.689941 | 1,673.869995 | 1,685.780029 | 1,671.079956 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบสินค้าและบริการควบคุมปี 2565 จำนวน 51 รายการ 11 หมวดสินค้า รวมทั้งปุ๋ย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง ผลปาล์มน้ำมัน น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ | ครม. เห็นชอบสินค้าและบริการควบคุมปี 2565 จํานวน 51 รายการ 11 หมวดสินค้า รวมทั้งปุ๋ย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ํามันเชื้อเพลิง ผลปาล์มน้ํามัน น้ํามัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์
ครม. เห็นชอบสินค้าและบริการควบคุมปี 2565 จํานวน 51 รายการ 11 หมวดสินค้า รวมทั้งปุ๋ย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ํามันเชื้อเพลิง ผลปาล์มน้ํามัน น้ํามัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ ยังคงให้เป็นสินค้าควบคุม
วันที่ 28 มิถุนายน 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบการกําหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 65 จํานวน 51รายการ ใน 11 หมวด โดยเป็นสินค้าและบริการควบคุมเช่นเดียวกับ ปี 64 จํานวน 51 รายการ จําแนกเป็น 46 สินค้า 5 บริการ 11 หมวด ได้แก่ (1) หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ (2) หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง (3) หมวดปัจจัยทางการเกษตร (4) หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (5) หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ (6) หมวดวัสดุก่อสร้าง (7) หมวดสินค้าเกษตรที่สําคัญ (8) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค (9) หมวดอาหาร (10) หมวดอื่น ๆ และ (11) หมวดบริการ ซึ่งเป็นตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565
สําหรับ รายการสินค้าและบริการควบคุม ปี 65
(1) หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กระดาษทําลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน
(2) หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์บรรทุก
(3) หมวดปัจจัยทางการเกษตร กากดีดีจีเอส เครื่องสูบน้ํา ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกําจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช รถเกี่ยวข้าว รถไถนา หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์
(4) หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ํามันเชื้อเพลิง
(5) หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ เกี่ยวกับการรักษาโรค
(6) หมวดวัสดุก่อสร้าง ท่อพีวีซี ปูนซีเมนต์ สายไฟฟ้า เหล็กโครงสร้าง รูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น
(7) หมวดสินค้าเกษตรที่สําคัญ ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสําลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ต้นพันธุ์ ท่อนพันธุ์ มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์ ผลปาล์มน้ํามัน มะพร้าวผลแก่ และผลิตภัณฑ์ ยางพารา ได้แก่ น้ํายางสด ยางก้อน เศษยาง น้ํายางข้น ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ
(8) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค กระดาษชําระ กระดาษเช็ดหน้า แชมพู ผงซักฟอก น้ํายาซักฟอก ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผ้าอนามัย ผ้าอ้อมสําเร็จรูปเด็กและผู้ใหญ่ สบู่ก้อน สบู่เหลว
(9) หมวดอาหาร กระเทียม ไข่ไก่ ทุเรียน นมผง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว ไม่รวมถึงนมเปรี้ยว น้ํามัน และไขมัน ที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ แป้งสาลี มังคุด ลําไย สุกร เนื้อสุกร หอมหัวใหญ่ อาหารกึ่งสําเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
(10) หมวดอื่น ๆ เครื่องแบบนักเรียน
(11) หมวดบริการ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการซื้อขาย และหรือบริการขนส่งสินค้าสําหรับธุรกิจออนไลน์ บริการทางการเกษตร บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค และบริการรับชําระเงิน ณ จุดบริการ
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 เห็นชอบกําหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 2564 ซึ่งจะสิ้นสุดการบังคับใช้ในวันที่ 30 มิถุนายน 65 นี้ เพื่อเป็นการดูแลสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจําวันของพี่น้องประชาชน เพื่อป้องกันการกําหนดราคาซื้อ ราคาจําหน่าย หรือกําหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม ไม่เกี่ยวกับกรณีราคาสินค้าหรือบริการแพงขึ้นตามกลไกตลาดปกติ | 2022-06-28 | 1,580.680054 | 1,594.469971 | 1,596.27002 | 1,576.75 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รณรงค์ “สวมหมวก ใส่แมส ไม่เมา” ลดบาดเจ็บ – เสียชีวิต จากอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 | รณรงค์ “สวมหมวก ใส่แมส ไม่เมา” ลดบาดเจ็บ – เสียชีวิต จากอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565
.....
คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ กําหนดแนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 รณรงค์ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” ภายใต้คําขวัญ 3 ม “สวมหมวก ใส่แมส ไม่เมา”
.
เน้นผู้ขับขี่ยานยนต์ทุกประเภท โดยเฉพาะกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ เยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี รวมถึงควบคุมการจําหน่ายให้กับเยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี ห้ามมีโปรโมชั่นและการโฆษณาในสื่อทุกประเภท จําหน่ายตามเวลาและสถานที่ และเปิด - ปิด ตามเวลาที่กฎหมายกําหนด
.
นอกจากนี้ ยังเพิ่มมาตรการที่เข้มข้นขึ้น เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ได้แก่
• เพิ่มมาตรการทดสอบผู้ขับขี่ที่สงสัยดื่มแอลกอฮอล์ที่ด่านชุมชน คัดกรอง และรายงานข้อมูลผ่านระบบ E-Report ของศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน
• ส่งต่อผู้กระทําความผิดฐานเมาแล้วขับทุกรายที่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการบําบัดรักษาที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
• ร่วมมือกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์และสนับสนุนด่านชุมชน สุ่มตรวจสถานบริการ และบริเวณที่จัดงานเทศกาล
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | 2021-12-16 | 1,629.47998 | 1,645.319946 | 1,645.439941 | 1,624.310059 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลชี้แจงขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศต้องลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass ยืนยันขั้นตอนการขอ SHA+ ไม่ยุ่งยาก | โฆษกรัฐบาลชี้แจงขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศต้องลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass ยืนยันขั้นตอนการขอ SHA+ ไม่ยุ่งยาก
โฆษกรัฐบาลชี้แจงขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศทุกรูปแบบต้องลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass ยืนยันขั้นตอนการขอ SHA+ ไม่ยุ่งยาก "นายกฯ" ย้ําต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการยื่นเรื่องลงทะเบียน SHA Plus สําหรับร้านอาหาร สถานประกอบการ ธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อได้รับสัญลักษณ์ SHA+ ผ่านเว็บไซต์ www.thailandsha.com ยืนยันว่าระบบไม่ล่ม และไม่ได้ล่าช้า แต่มีผู้ประกอบจํานวนมาก ให้ความสนใจยื่นขอเข้ามาเป็นจํานวนมาก โดยเจ้าของธุรกิจสามารถยื่นเรื่องลงทะเบียน SHA Plus ได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นอกเหนือจากระบบออนไลน์อีกด้วย ขอยืนยันว่าระบบขั้นตอนการขอไม่ยุ่งยาก เอกสารที่ใช่ในการยื่นขอเพียง ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ แบบแสดงรายการส่งเงินสมทบ ใบเสร็จรับเงินกองทุนประกันสังคมมาตรา 33 และรายชื่อลูกจ้าง/พนักงาน พร้อมเอกสารรับการฉีดวัคซีนของพนักงานในสถานประกอบการมากกว่าร้อยละ 70 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว และผู้เดินทางว่ากิจการ/สถานประกอบการ ได้รับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ล่าสุด (4 พ.ย. ) ททท. เปิดเผยว่า มีสถานประกอบการในกรุงเทพมหานคร ที่ผ่านมาตราฐานแล้ว 4,272 สถานประกอบการ
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศไทย สําหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หรือชาวไทยที่มีความประสงค์เดินทางกลับเข้าประเทศไทย ภายหลังการประกาศเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป ผ่านระบบ Thailand Pass และการติดตามโดยแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อลดขั้นตอนการกรอกเอกสาร อํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และเป็นไปตามมาตรการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยชาวต่างชาติและชาวไทยจะต้องลงทะเบียนในระบบ Thailand Pass ออนไลน์ เพื่อเดินทางเข้าประเทศไทยที่เว็บไซต์ https://tp.consular.go.th/ โดยเตรียมเอกสาร อาทิ หนังสือเดินทาง เอกสารรับรองการฉีดวัคซีน และหลักฐานการจองโรงแรม จากนั้นจะได้รับ Thailand Pass QR Code เพื่อใช้แสดงต่อสายการบิน และเจ้าหน้าที่คัดกรอง ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง พร้อมด้วยผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
สําหรับผู้ที่เดินทางจาก 63 ประเทศ/พื้นที่ ต้นทางที่สามารถเดินทางเข้าไทยได้โดยยกเว้นการกักตัว ภายใต้โครงการ “Test & Go” เมื่อผ่านด่านควบคุมโรคแล้วจะต้องเข้าพักในโรงแรม SHA+/AQ อย่างต่ํา 1 คืน เพื่อรอผลตรวจการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เมื่อผลเป็นลบสามารถออกเดินทางทั่วประเทศได้โดยไม่มีข้อจํากัด ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าข่ายไม่ต้องกักตัวจะต้องพํานักอยู่ในประเทศที่ได้รับอนุญาตไม่ต่ํากว่า 21 วัน ยกเว้นเดินทางมาจากประเทศไทย และด็กอายุต่ํากว่า 12 ปี ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน แต่เดินทางพร้อมผู้ปกครองที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนตามเกณฑ์แล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ภายใต้เงื่อนไข ไม่ต้องกักตัวเช่นเดียวกับผู้ปกครอง
สําหรับผู้ที่เดินทางเข้าพื้นที่นําร่องท่องเที่ยว (Sandbox) ในประเทศไทย 17 จังหวัด จะต้องพํานักในพื้นที่ Sandbox ครบ 7 วันและมีผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 ครั้งที่ 2 เพื่อรับ Release Form ในการเดินทางไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทยต่อไป
สําหรับการเดินทางเข้าประเทศไทยนอกเหนือ 63 ประเทศ/พื้นที่ ที่กําหนด เข้าพักในสถานที่กักกันทางเลือก (Alternative Quarantine) จะต้องเข้ารับการกักตัวในโรงแรม SHA+ เป็นเวลา 10 วัน และต้องมีประกันภัยที่มีวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ยกเว้นผู้มีสัญชาติไทย
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมขอให้ประชาชนทุกคนร่วมใจกันปฏิบัติตามมาตรการของ ศบค. เพื่อต้อนรับการเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ โดยเลือกไปสถานที่ที่มีสัญลักษณ์ CFS, SHA+ พร้อมการแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนหรือผลตรวจ ATK ก่อนเข้าสถานที่ ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันตัวเองแบบ Universal Prevention ด้วย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยอีกด้วย” นายธนกรฯ กล่าว | 2021-11-04 | 1,613.449951 | 1,626.27002 | 1,627.569946 | 1,607.72998 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ให้แนวคิดบุคลากร รพ. “จัดบริการมีประสิทธิภาพ บุคลากรปฏิบัติหน้าที่ด้วยความภาคภูมิใจ” | ปลัด สธ. ให้แนวคิดบุคลากร รพ. “จัดบริการมีประสิทธิภาพ บุคลากรปฏิบัติหน้าที่ด้วยความภาคภูมิใจ”
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บรรยายพิเศษ “ทิศทางโรงพยาบาลไทย เรื่องเล่าจากพี่สู่น้อง” มอบแนวคิดให้บุคลากรการแพทย์ รพ.สมุทรปราการ ยึดหลัก EMS จัดระบบบริการก้าวหน้า ให้ประชาชนได้รับบริการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพและประทับใจ บุคลากรภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บรรยายพิเศษ “ทิศทางโรงพยาบาลไทย เรื่องเล่าจากพี่สู่น้อง” มอบแนวคิดให้บุคลากรการแพทย์ รพ.สมุทรปราการ ยึดหลัก EMS จัดระบบบริการก้าวหน้า ให้ประชาชนได้รับบริการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพและประทับใจ บุคลากรภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมเปิดศูนย์รับบริจาคอวัยวะ รพ.บางพลี เพิ่มโอกาสเข้าถึงการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะให้ประชาชน
วันนี้ (16 สิงหาคม 2565) ที่ โรงพยาบาลสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บรรยายพิเศษ เรื่อง “ทิศทางโรงพยาบาลไทย เรื่องเล่าจากพี่สู่น้อง” และเปิดกิจกรรม Mission to Smart and Modernized Hospital โดยมี นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ นายแพทย์นําพล แดนพิพัฒน์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสมุทรปราการ ให้การต้อนรับ
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า ในฐานะปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายให้สถานบริการจัดระบบบริการสุขภาพก้าวหน้า (Innovative Healthcare Management ) ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 3 ส่วน คือ EMS : Environment พัฒนาอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมให้มีความร่มรื่น สะอาด, Modernization มีความทันสมัยในการบริการ และ Smart Service ให้ความสําคัญกับระบบและพฤติกรรมบริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมสถานพยาบาลเอกชน มีความสะดวก รวดเร็ว ทันสมัย ลดความแออัดและเกิดความประทับใจ ส่วนบุคลากรผู้ให้บริการได้เกิดความภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ และยังจะเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดพัฒนางานในด้านอื่นๆ อาทิ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และงานวิชาการ ต่อไป
สําหรับการจัดกิจกรรม Mission to Smart and Modernized Hospital ของโรงพยาบาลสมุทรปราการครั้งนี้ เป็นการดําเนินงานที่สอดรับกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งการพัฒนาอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล รวมถึงการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการ เช่น หุ่นยนต์คัดกรองอาการเบื้องต้น ระบบคิวอัตโนมัติ ตู้ชําระเงินอัตโนมัติ เป็นต้น ช่วยอํานวยความสะดวกให้กับผู้มารับบริการ และช่วยลดความแออัดในจุดบริการต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังได้เปิดศูนย์รับบริจาคอวัยวะและดวงตา โรงพยาบาลบางพลี ซึ่งเป็นศูนย์ประสานงานเกี่ยวกับการรับบริจาคอวัยวะและดวงตา บูรณาการการทํางานร่วมกับศูนย์การรักษาแบบประคับประคอง โดยในปี 2566 มีแผนที่จะลงพื้นที่เชิงรุกเพื่อเก็บดวงตาผู้ป่วยระยะประคับประคองที่เสียชีวิตถึงบ้าน เป็นการช่วยให้ผู้ที่มีความประสงค์จะบริจาคอวัยวะได้เข้าถึงการบริจาคมากขึ้น และเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยที่รอคิวได้รับรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะมากขึ้นด้วย
************************************ 16 สิงหาคม 2565 | 2022-08-16 | 1,629.439941 | 1,629.949951 | 1,632.859985 | 1,624.920044 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาคธุรกิจโรงแรม ภาคบริการการท่องเที่ยว ร้านอาหาร ได้รับผลดีช่วงหยุดยาวปีใหม่ไทย หลัง ศบค. ผ่อนคลายมาตรการให้จัดงานเทศกาลสงกรานต์ปี 65 ตามประเพณี | โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาคธุรกิจโรงแรม ภาคบริการการท่องเที่ยว ร้านอาหาร ได้รับผลดีช่วงหยุดยาวปีใหม่ไทย หลัง ศบค. ผ่อนคลายมาตรการให้จัดงานเทศกาลสงกรานต์ปี 65 ตามประเพณี
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาคธุรกิจโรงแรม ภาคบริการการท่องเที่ยว ร้านอาหาร ได้รับผลดีช่วงหยุดยาวปีใหม่ไทย หลัง ศบค. ผ่อนคลายมาตรการให้จัดงานเทศกาลสงกรานต์ปี 65 ตามประเพณี ดันยอดจองที่พัก-สถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
วันที่ 14 เมษายน 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 9-17 เม.ย. 65 มีมูลค่า 2.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทย จํานวน 4.6 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนภายหลังจากที่ ศบค. ได้ผ่อนคลายมาตรการให้จัดงานเทศกาลสงกรานต์ในปี 2565 ตามประเพณีไทย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวที่พบว่ามียอดการจองใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งภาคธุรกิจโรงแรม ภาคบริการสถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหารต่าง ๆ ส่งผลดีต่อชุมชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการภาคธุรกิจโรงแรม-ภาคบริการการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลดีจากช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทยในช่วงเวลานี้ รวมถึงการขับเคลื่อนในโอกาสต่อไป
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีย้ําให้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันดําเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้มากที่สุด ภายใต้สถานการณ์ของจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันที่ยังทรงตัวสูง ขณะที่รายจ่ายในชีวิตประจําวันของประชาชนยังปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการเดินทางท่องเที่ยว และทําให้การฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างจํากัด จึงขอให้ผู้ประกอบการมีการปรับตัวและดําเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างสอดคล้องกับพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภค หรือนักท่องเที่ยว ซึ่งในปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจต่อการเดินทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวระยะใกล้ หรือเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวหลัก ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล อาทิ พัทยาและสัตหีบ จ.ชลบุรี เกาะกูดและเกาะช้าง จ.ตราด หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ภูเก็ต เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี รวมถึงจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ภูเขา น้ําตก เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.กาญจนบุรี และจ.เชียงใหม่ เป็นต้น โดยควรปรับหรือใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการเพิ่มขึ้น ตลอดจนปรับให้สอดคล้องกับการเดินทางท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์หลากหลายขึ้น เหมาะสําหรับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน (Leisure Travel) การเปลี่ยนบรรยากาศการทํางานในสถานที่ท่องเที่ยว (Workcations) เป็นต้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของทุกฝ่าย ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลอดจนภาคส่วนอื่น ๆ ที่ทําให้เกิดการลงทุนใหม่ขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการเปิดโรงงานใหม่ที่ส่งผลดีต่อการจ้างงานทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ การท่องเที่ยว ฯลฯ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพฝีมือแรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับแรงงานต่าง ๆ ด้วย
“ช่วงสงกรานต์นี้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวเป็นจํานวนมาก เป็นเรื่องที่น่ายินดีสําหรับภาคธุรกิจโรงแรมและร้านค้า อย่างไรก็ตามนายกฯ ได้เน้นย้ําให้เป็นสงกรานต์ที่ปลอดภัย พร้อมส่งความห่วงใยมายังประชาชนที่เดินทางทุกคนให้เตรียมพร้อมตัวเองให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ควรตรวจสอบความพร้อมของยานพาหนะให้เรียบร้อย ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เคารพกฎหมาย ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างขับรถ เพื่อให้ทุกคนเดินทางท่องเที่ยวและกลับบ้านไปฉลองสงกรานต์กับครอบครัวอย่างปลอดภัย และมีความสุขในเทศกาลปีใหม่ไทยนี้” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว | 2022-04-14 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมติดตามผลการดำเนินงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรม | ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมติดตามผลการดําเนินงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรม
การประชุมติดตามผลการดําเนินงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรม ผ่านระบบประชุมทางไกล (Zoom)
วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามผลการดําเนินงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรม ผ่านระบบประชุมทางไกล (Zoom) โดยมีนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา นายชัยพล สุขเอี่ยม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม | 2021-08-18 | 1,546.709961 | 1,551.869995 | 1,557.079956 | 1,545.329956 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) | Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2564 บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2564 บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความแข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง แม้ว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อสนับสนุนการดําเนินมาตรการทางการคลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 เช่น การจัดทํางบประมาณรายจ่ายขาดดุล การตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท และพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท แต่ Fitch เชื่อมั่นว่า รัฐบาลไทย สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่เข้มแข็ง ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ เดือนเมษายน 2564 มีอายุเฉลี่ย (Average Time to Maturity: ATM) ค่อนข้างยาว คือ 9.5 ปี และมีสัดส่วนหนี้สาธารณะสกุลเงินบาทมากกว่าร้อยละ 98 ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (BBB peers) เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โปรตุเกส ฮังการี บัลกาเรีย รัสเซีย และคาซัคสถาน เป็นต้น ที่มีค่ากลางของหนี้สกุลท้องถิ่นอยู่ที่ร้อยละ 68.8
Fitch คาดว่า สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ต่อ GDP ของประเทศไทย ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 52.7 ต่อ GDP จากการดําเนินนโยบายการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และการมีกฎหมายการกู้เงินเพิ่มเติม ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ํากว่าค่ากลางของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันที่ร้อยละ 59.4 อย่างไรก็ดี Fitch เชื่อมั่นว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 จะเริ่มฟื้นตัวเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าและการเร่งรัดการเบิกจ่ายโครงการลงทุนของภาครัฐ อีกทั้ง คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 เนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายนอกประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์การระบาดคลี่คลาย เศรษฐกิจฟื้นตัวและรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจะทําให้รัฐบาลจัดทํางบประมาณขาดดุลลดลง
2) ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่ยังคงมีความเข้มแข็ง และส่งผลต่อการจัดอันดับความเชื่อถือของประเทศไทย โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและทุนสํารองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง เพียงพอสําหรับใช้จ่ายถึง 10.8 เดือน ขณะที่กลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Peers) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9.3 เดือน นอกจากนี้ คาดว่าในปี 2564 ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะยังคงเกินดุลที่ร้อยละ 0.5 ต่อ GDP และจะเกินดุลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างกว้างขวางให้ครอบคลุมประชากรกว่าร้อยละ 70 ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน 2564 และแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ําและปานกลาง ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยจะเริ่มจากจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนําร่อง (Phuket Sandbox) ภายในเดือนตุลาคม 2564
ประเด็นที่ Fitch ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ธรรมาภิบาล รายได้เฉลี่ยต่อหัวหนี้ครัวเรือน และความเสี่ยงทางการเมือง รวมทั้งโครงสร้างประชากรสูงอายุที่จะส่งผลต่อการเติบโตของประเทศในระยะปานกลาง
สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารสาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5516 | 2021-06-21 | 1,596.959961 | 1,601.130005 | 1,602.660034 | 1,590.550049 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร้อง WTO ต่อเนื่อง เหตุอินเดียบล็อกนำเข้าแอร์ไทยที่ใส่สารทำความเย็น อ้างปฏิบัติตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล | ก.อุตฯ ร้อง WTO ต่อเนื่อง เหตุอินเดียบล็อกนําเข้าแอร์ไทยที่ใส่สารทําความเย็น อ้างปฏิบัติตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล
ก.อุตฯ เร่งช่วยเหลือผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทย เหตุอินเดียห้ามนําเข้าเครื่องปรับ
อากาศที่มีสารทําความเย็น อ้างความปลอดภัยด้านสุขภาพ ตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล สั่ง สมอ. จี้อินเดียแจ้งเวียนมาตรการต่อ WTO พร้อมขอหลักฐานพันธกรณีที่อ้าง
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประเทศอินเดียกําหนดมาตรการห้ามนําเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทําความเย็น ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความเย็นของไทยเป็นอย่างมาก ตนจึงสั่งการให้สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะผู้แทนประเทศไทยในคณะกรรมการว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (Committee on Technical Barriers to Trade : TBT) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ดําเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยอย่างเร่งด่วน
ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการที่สมอ. ได้รับเมื่อเดือนกันยายน 2564 สมอ. ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยหยิบยกประเด็นดังกล่าวเข้าในการประชุม Committee on TBT ครั้งที่ 86 เมื่อวันที่ 8-11 มีนาคม 2565 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามพันธกรณีความตกลงที่ประเทศสมาชิกต้องถือปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศและนําเข้าจากต่างประเทศ และถือเป็นอุปสรรคทางการค้าโดยไม่จําเป็น แต่อินเดียยังไม่ปฏิบัติตาม และอ้างความปลอดภัยด้านสุขภาพ ตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล โดยชี้แจงว่ามาตรการห้ามนําเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทําความเย็นแล้ว เป็นมาตรการที่มีความจําเป็นเพื่อความปลอดภัยของชีวิตและสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืช สอดคล้องกับพันธกรณีตามพิธีสารมอนทรีออลที่อินเดียเข้าร่วมเป็นภาคี สมอ. จึงได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวอีกครั้งในการประชุม Committee on TBT ครั้งที่ 87 เมื่อวันที่ 13 - 15 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดย สมอ. ได้เน้นย้ําให้อินเดียแจ้งเวียนมาตรการดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณี WTO รวมทั้งขอหลักฐานพันธกรณีที่อ้างว่า มาตรการห้ามนําเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทําความเย็นเป็นไปตามที่กําหนดในพิธีสารมอนทรีออล
เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “การร้องเรียนต่อ WTO ที่ สมอ. ดําเนินการนี้ เป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานของประเทศสมาชิกของ WTO และถือเป็นเรื่องที่ทุกประเทศสามารถกระทําได้ หากเห็นว่ามีกฎระเบียบใด ๆ ที่ไม่เป็นธรรมหรือเป็นอุปสรรคทางการค้าของประเทศนั้น ๆ ซึ่ง สมอ. ก็จะร้องเรียนต่อ WTO ในกรณีดังกล่าวจนกว่าอินเดียจะยกเลิกกฎระเบียบที่ทําให้ผู้ประกอบการไทยต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มในการส่งออกเครื่องปรับอากาศไปจําหน่ายในอินเดีย โดยถือเป็นการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศและนําเข้าจากต่างประเทศ” เลขาธิการ สมอ. กล่าว
3 สิงหาคม 2565 | 2022-08-04 | 1,599.959961 | 1,598.75 | 1,604.849976 | 1,592.280029 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. รับทราบความคืบหน้าโครงการ Factory Sandbox นำร่องดูแลแรงงาน 9.2 หมื่นคน ปลอดโควิด19 สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน | ครม. รับทราบความคืบหน้าโครงการ Factory Sandbox นําร่องดูแลแรงงาน 9.2 หมื่นคน ปลอดโควิด19 สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
ครม. รับทราบความคืบหน้าโครงการ Factory Sandbox นําร่องดูแลแรงงาน 9.2 หมื่นคน ปลอดโควิด19 สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
วันที่ 30 ส.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 ว่า ครม.รับทราบความคืบหน้าการดําเนินโครงการนําร่องการป้องกันและการควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน (Factory Sandbox) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งโครงการนี้เป็นการดําเนินการภายใต้แนวคิด “เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข”โดยมุ่งเน้นให้สถานประกอบการ กิจการ โรงงานภาคการผลิตส่งออกขนาดใหญ่ (แรงงาน 500 คนขึ้นไป) ที่มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถดําเนินการต่อไปได้ภายใต้มาตรการควบคุมและป้องกันโรคโควิด19 สําหรับการดําเนินการโครงการ Factory Sandbox ในพื้นที่เป้าหมาย จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และชลบุรี ระยะที่ 2 อยุธยา ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ซึ่งจะมุ่งเป้าไปยังกลุ่มสถานประกอบการ 4 ประเภทอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.ยานยนต์ 2.ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ 3.อาหาร และ 4.อุปกรณ์การแพทย์ โดยขับเคลื่อนภายใต้ 4 หลักการสําคัญคือ
1.ตรวจ ดําเนินการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด19 ด้วยวิธี RT-PCR แรงงานในสถานประกอบการทุกคน เพื่อแยกคนป่วยไปรักษาทันทีและดําเนินการตรวจโดยชุดตรวจ ATK ทุกสัปดาห์
2.รักษา สถานประกอบการจัดให้มีสถานพยาบาลขึ้นดังนี้ 1)สถานแยกกักตัว (Factory Isolation: FAI) และ Hospitel สําหรับผู้ป่วยสีเขียว 2)โรงพยาบาลสนาม สําหรับผู้ป่วยสีเหลือง และ3)ICU สําหรับผู้ป่วยสีแดง
3.ดูแล ดําเนินฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ให้แรงงาน โดยเน้นกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง คนท้อง และออกใบรับรอง "โรงงานสีฟ้า" เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน
4.ควบคุม ให้สถานประกอบการดําเนินการตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ(Bubble and Seal) และมาตรการด้านสาธารณสุข (DMHTT)
เบื้องต้น ข้อมูล ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2562 มีสถานการประกอบการร่วมโครงการ โดยลงนามทําข้อตกลง (MOU) แล้วจํานวน 46 แห่ง และมีสถานพยาบาลเข้าร่วมโครงการ 4 แห่ง สามารถดูแลผู้ประกันได้จํานวน 9.2 หมื่นคน นอกจากนี้ การดําเนินการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด19 ด้วยวิธี RT-PCR ได้ดําเนินการตรวจเชื้อในสถานประกอบการแล้วจํานวน 11 แห่ง มีผู้ประกันตนที่ได้รับคัดกรอง จํานวน 1.2 หมื่นคน
นางสาวรัชดากล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินโครงการ Factory Sandbox นี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการ 1)รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตส่งออก ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า 7แสนล้านบาท 2)ป้องกันคลัสเตอร์โรงงานจากการติดเชื้อ สร้างสมดุลระหว่างมาตรการด้านสาธารณสุขและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ 3.สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 4.รักษาระดับการจ้างงานในภาคการผลิตส่งออกได้กว่า 3ล้านตําแหน่ง และจากที่เริ่มดําเนินโครงการ สมาคมผู้ประกอบการญี่ปุ่นในพื้นที่ชลบุรี-ระยอง ได้ทําหนังสือขอบคุณมายังนายกรัฐมนตรีด้วย
--------------------- | 2021-08-30 | 1,621.680054 | 1,633.77002 | 1,634.920044 | 1,621.420044 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานเปิดการสัมมนา Thailand Tourism Congress 2022 ขอบคุณชาวภูเก็ตและหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อน Phuket Sandbox จนเป็นต้นแบบฟื้นฟูการท่องเที่ยวประเทศ | นายกฯ เป็นประธานเปิดการสัมมนา Thailand Tourism Congress 2022 ขอบคุณชาวภูเก็ตและหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อน Phuket Sandbox จนเป็นต้นแบบฟื้นฟูการท่องเที่ยวประเทศ
นายกฯ เป็นประธานเปิดการสัมมนา Thailand Tourism Congress 2022 ขอบคุณชาวภูเก็ตและหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อน Phuket Sandbox จนเป็นต้นแบบฟื้นฟูการท่องเที่ยวประเทศและเป็นแบบอย่างให้หลายประเทศ พร้อมฝากกลยุทธ์รอยยิ้ม “SMILES” ให้ภาคการท่องเที่ยว
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (6 มิ.ย. 2565) เวลาประมาณ 15.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนากําหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวประเทศไทย (Thailand Tourism Congress 2022) ณ โรงแรมบียอนด์ รีสอร์ท กะตะจ.ภูเก็ต โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมคณะผู้บริหาร ททท. เข้าร่วม และมีนายณรงค์ วุ่นซิ่ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และภาคธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต ให้การต้อนรับ
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ยุทธศาสตร์การยกระดับการท่องเที่ยวไทย สู่การท่องเที่ยวคุณภาพที่ยั่งยืน” ขอบคุณชาวจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รวมกันผลักดัน Phuket Sandbox จนกลายเป็นแบบอย่างให้ของหลายประเทศ มีการร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชนในการผ่านความยากลําบากตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวไทยกําลังเริ่มต้นกลับมาอีกครั้ง จากจํานวนตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆและสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ด้วยการปรับปรุงเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศ ตลอดจนมาตรการต่าง ๆ ที่จะทําให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะต้องมีรูปแบบที่เปลี่ยนไป โดยต้องเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้ ให้ประชาชน ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยรัฐบาลสนับสนุนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ให้ความสนใจกับมิติคุณภาพของนักท่องเที่ยว มากกว่าปริมาณนักท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อคุณค่าสิ่งแวดล้อม ต่อคุณค่าวัฒนธรรม และต่อคุณค่าความเป็นไทย แต่การสร้างการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพนี้ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ต้องร่วมกันทั้งรัฐบาลกับผู้ที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยวทุกคน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อนาคตการท่องเที่ยวโลกจะเผชิญกับภาวะที่เรียกว่า VUCA World คือโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่บนความแน่นอน และเต็มไปด้วยความท้าทายทุกรูปแบบ การจะรับมือกับ VUCA World ทุกฝ่ายต้องร่วมกันกําหนดยุทธศาสตร์ที่มีความยืดหยุ่น และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีความเปราะบาง และอ่อนไหวมาก ซึ่งขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวของไทยก็มีความร่วมมือได้อย่างน่าชื่นชม
อย่างไรก็ตาม ประเด็นขอฝากให้ธุรกิจการท่องเที่ยวนําไปประกอบการกําหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวร่วมกันคือ แนวโน้มของกลุ่มประเทศลูกค้าหลักของการท่องเที่ยวไทยที่หลายประเทศให้ความสนใจคือ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสังคม โดยเฉพาะ เรื่องความเหลื่อมล้ํา และเรื่องธรรมมาภิบาล ทั้งของภาครัฐและเอกชน รวมถึงการให้ความสําคัญกับการใช้โลกของดิจิทัลเข้ามาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเรื่อง Metaverse กับการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ รัฐบาลขอมอบยุทธศาสตร์แห่งรอยยิ้ม (SMILES) ให้ภาคการท่องเที่ยวได้นําไปเป็นกรอบในการระดมสมองในโครงการสัมมนา Thailand Tourism Congress 2022 ได้แก่ S – Sustainability ให้ความสําคัญกับความยั่งยืน ทั้งเรื่องการใช้พลังงาน Carbon Footprint ไปจนถึง Food Waste , M – Manpower ให้ความสําคัญกับทรัพยากรมนุษย์ทางด้านการท่องเที่ยว ที่มีทักษะในระดับนานาชาติ แต่รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างมีเสน่ห์
I – Inclusive Economy ให้ความสําคัญกับเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม ให้ความสําคัญกับคนทุกเพศ ทุกวัย เด็ก คนชรา ออกแบบสถานที่การท่องเที่ยวให้ตอบสนองทุกกลุ่มคน และสร้างโอกาสในการทํางานด้านการท่องเที่ยวให้กับผู้ด้อยโอกาส, L – Localization ให้ความสําคัญกับอัตลักษณ์ท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ ชูจุดเด่นที่แตกต่างกัน และนํามาร้อยเรียงกันให้สนับสนุนกัน รัฐบาลอยากเห็น การเชื่อมโยงของภูมิภาค ที่สามารถนํากลุ่มจังหวัดไปประสานและสอดรับกันได้
E – Ecosystems ให้ความสําคัญกับระบบนิเวศทางการท่องเที่ยว ทั้งเรื่องระบบนิเวศธรรมชาติ และระบบนิเวศทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงการลดเงื่อนไข ทอนขั้นตอนทางด้านกฎหมาย เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงได้ และ S – Social Innovation ให้ความสําคัญกับนวัตกรรมด้านสังคม ที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป จากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงให้ความสําคัญกับ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้กําลังใจกับทุก ๆ ฝ่ายที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ในการจะร่วมกันแก้ปัญหาที่ค้างคามานาน ตั้งแต่เรื่องพระราชบัญญัติโรงแรมที่กําลังปรับปรุงให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป รวมถึงการจะให้ภูเก็ตเป็นพื้นที่นําร่อง ในรูปแบบ sandbox ในหลายมิติสําคัญ เช่น การปรับปรุงกฎหมายบางฉบับที่สนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งเรื่องนี้คณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ใน ศบค. ได้ให้ความสนใจและประสานงานกับทางจังหวัดภูเก็ตอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด
พร้อมกับขอให้ร่วมกันระดมความคิดในการกําหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย เพราะนี่จะเป็นโอกาสสําคัญของคนท่องเที่ยวทั่วประเทศไทยที่จะได้กําหนดอนาคตท่องเที่ยวไทย ด้วยคนท่องเที่ยวเอง โดยรัฐบาลจะรอรับบทสรุปจากการระดมสมองกําหนดยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวไทยในครั้งนี้ จะนําทุกข้อเสนอไปพิจารณา และจะลงมือทําในสิ่งที่ทําได้ทันที เพื่อให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจสําคัญนี้ เป็นกําลังหลักให้ประเทศไทยต่อไป
ในการนี้นายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับฟังสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวภายหลังรัฐบาลทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 การผ่อนปรนข้อกําหนดการเดินทางเข้าราชอาณาจักร รวมถึงรับฟังแนวคิดและเป้าหมายการจัดสัมมนา Thailand Tourism Congress 2022 จาก ททท. และภาคเอกชน ที่ต้องการให้งานในครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนระดมสมองของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งรัฐ เอกชน เพื่อให้ได้ข้อสรุปองค์ความรู้ในการไปพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวสําคัญของโลกอย่างยั่งยืนและสมดุล โดยมีเครือข่ายของภาครัฐและเอกชนร่วมกันขับเคลื่อน | 2022-06-06 | 1,650.410034 | 1,646.079956 | 1,652.109985 | 1,636.079956 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด สัญจรผ่านได้ 19 สายทาง ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 28 สายทาง | กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด สัญจรผ่านได้ 19 สายทาง ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 28 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ (5 ตุลาคม 2564 เวลา 12.00 น.) ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด รวม 47 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 19 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 28 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ (5 ตุลาคม 2564 เวลา 12.00 น.) ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ ขอนแก่น นครสวรรค์ อุทัยธานี สุโขทัย และสระแก้ว รวม 47 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 19 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 28 สายทาง แบ่งเป็น
- น้ําท่วมสูง 21 สายทาง (21 แห่ง)
- ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 3 สายทาง (3 แห่ง)
- สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว 4 สายทาง (4 แห่ง)
1. สายทาง สท.4001 แยก ทล.1293 - บ้านหนองกระดิ่ง อําเภอกงไกรลาศ และคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย น้ําท่วมสูง 33 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+300 - 2+500)
2. สายทาง นว.4048 แยก ทล.3004 - บ้านเขาน้อย อําเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม.ที่ 14+461)
3. สายทาง นว.2057 แยก ทล.11 - บ้านโคกเดื่อ อําเภอท่าจะโก จังหวัดนครสวรรค์ คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 13+000)
4. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100)
5. สายทาง นม.1015 แยก ทล.2 - บ้านหนองหัวฟาน อําเภอโนนสูง และขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+000 - 4+200)
6. สายทาง นม.6019 บ้านโนนสูง - บ้านโนนไทย อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง 120 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+700 - 7+500)
7. สายทาง นม.4027 แยก ทล.2160 - บ้านโคก อําเภอคง และแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 36+500 - 36+935)
8. สายทาง นม.1046 แยก ทล.2 - บ้านสะแทด อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+800 - 1+550)
9. สายทาง นม.1063 แยก ทล.2 - บ้านบุหญ้าคา อําเภอคง โนนสูง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+200)
10. สายทาง ชย.3002 แยก ทล.201 - บ้านเขว้า อําเภอเมืองชัยภูมิ และบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 3+900)
11. สายทาง ชย.3003 แยก ทล.202 - แยก ทล.2065 อําเภอเมือง และคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 4+300 - 5+800)
12. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800)
13. สายทาง ชย.4040 แยก ทล.2065 - แยก ทล.2233 อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+500 - 5+350)
14. สายทาง ชย.5041 แยกทางหลวงชนบท ชย.3003 - แยก ทล.202 อําเภอคอนสวรรค์ และแก้งสนามนาง จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+600 - 3+800)
15. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อําเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+800)
16. สายทาง ขก.3037 แยก ทล.229 - บ้านสําราญ อําเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 150 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+300 - 4+300)
17. สายทาง ขก.1039 แยก ทล.2 ข บ้านหนองไห อําเภอบ้านแฮด และมัจฉาคีรี จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 10+200 - 14+250)
18. สายทาง ขก.3054 แยก ทล.229 - บ้านโพธิ์ไชย อําเภอมัจฉาคีรี และโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 150 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 5+900 - 16+600)
19. สายทาง ขก.3029 แยก ทล.229 - บ้านโนนสะอาด อําเภอชนบท และแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+200 - 30+000)
20. สายทาง อท.2034 แยก ทล. 32 - บ้านมหานาม อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ท่วมสูง 35 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 5+000 - 7+300)
21. สายทาง สห.2006 แยก ทล.32 แยก ทล.311 อําเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+429 - 1+800)
22. สายทาง ลบ.1030 แยก ทล.1 - บ้านถลุงเหล็ก อําเภอโคกสําโรง จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 9+800 - 12+463)
23. สายทาง ลบ.5129 เลียบเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ฝั่งซ้าย (ตอนลพบุรี) อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 90 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 6+000)
24. สายทาง ลบ.5183 แยกทางหลวงชนบท ลบ.4056 - บ้านเขาราบ อําเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 1+135)
25. สายทาง สบ.3004 แยก ทล.362 - บ้านหาดสองแคว อําเภอเมือง จังหวัดสระบุรี คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 1+900)
26. สายทาง สบ.4016 แยก ทล.3224 - บ้านแสลงพัน อําเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 7+000 - 7+150)
27. สายทาง สบ.4020 แยก ทล.3017 - บ้านดงมะเกลือ อําเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 6+200 - 6+450)
28. สายทาง สก.3007 แยก ทล.348 - บ้านเขาน้อยพรมสุวรรณ อําเภอโคกสูง และวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 11+450 - 11+650)
ทั้งนี้ สํานักงานทางหลวงชนบทและแขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่ประสบภัย ได้ติดตั้งป้ายเตือนห้ามผ่านทาง และจัดเจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออํานวยความสะดวก บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ดําเนินการติดตั้งสะพานเบลีย์ให้ประชาชนสามารถสัญจรได้ชั่วคราว พร้อมเร่งดําเนินการวางแผนเพื่อฟื้นฟูเส้นทางที่ได้รับผลกระทบต่อไป ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร.1146 | 2021-10-05 | 1,612.5 | 1,624.23999 | 1,626.439941 | 1,611.420044 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมัชชาอนามัยโลกสมัยพิเศษเริ่มแล้วภายใต้มาตรการเข้มงวด รองนายกฯ อนุทิน นำคณะร่วม ณ ห้องประชุมใหญ่องค์การอนามัยโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส สานต่อนโยบายนายกรัฐมนตรี | สมัชชาอนามัยโลกสมัยพิเศษเริ่มแล้วภายใต้มาตรการเข้มงวด รองนายกฯ อนุทิน นําคณะร่วม ณ ห้องประชุมใหญ่องค์การอนามัยโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส สานต่อนโยบายนายกรัฐมนตรี
สมัชชาอนามัยโลกสมัยพิเศษเริ่มแล้ว รองนายกฯ อนุทิน นําคณะร่วม ณ ห้องประชุมใหญ่องค์การอนามัยโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส สานต่อนโยบายนายกรัฐมนตรี แสดงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการร่วมมือกับทั่วโลกสร้างกลไกและเครื่องมือตอบโต้โควิด-19และโรคอุบัติใหม่
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (29 พ.ย.64 ) เวลา 10.00 น. ตามเวลา นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส(ช้ากว่าประเทศไทย 6 ชม.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข นําคณะผู้แทนประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค ที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ กองการต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยพิเศษ ณ สํานักงานใหญ่องค์การอนามัยโลก(WHO) นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
ทั้งนี้ WHO ได้ตัดสินใจเดินหน้าการจัดประชุมตามที่กําหนดระหว่างวันที่ 29 พ.ย-1ธ.ค.64 แม้จะมีกรณีการพบการระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธ์ุโอไมคอนในแอฟริกาใต้ เนื่องจากเห็นว่าการประชุมนี้มีขึ้นเพื่อเริ่มต้นพิจารณาการจัดทํากฏหมายระหว่างประเทศเพื่อสร้างพันธสัญญาระหว่างประชาคมโลก ในการร่วมกันป้องกัน ตรวจจับและตอบโต้โรคระบาดระดับโลก ไม่จํากัดเฉพาะ โควิด-19 ซึ่งระหว่างการประชุมผู้จัดประชุมดําเนินมาตรการคัดกรองที่เข้มงวด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การเปิดประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยพิเศษ ครั้งนี้ สืบเนื่องจากการประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 74 เมื่อเดือนพ.ค. 64 ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เข้าร่วม มีสมาชิก WHO รวม 25 ประเทศ ที่เรียกว่า “Group of Friends of the Treaty” ซึ่งรวมถึงประเทศไทย เสนอให้มีการจัดการประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยพิเศษ เพื่อพิจารณาการจัดทําสนธิสัญญา (Treaty) หรืออนุสัญญา (Convention) หรือข้อตกลง (agreement) หรือ ตราสารระหว่างประเทศประเภทอื่น (international instrument) ว่าด้วยการเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ และให้มีการจัดตั้งกระบวนการเพื่อร่างและหารือเครื่องมือดังกล่าว
ทั้งนี้ เนื่องจากการเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อการระบาดใหญ่นั้นเกินขอบเขตของกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation, IHR 2005) ที่ประเทศต่างๆทั่วโลกใช้อยู่ในปัจจุบัน จึงจําเป็นต้องมีการจัดทําข้อตกลงระหว่างประเทศขึ้นใหม่ ที่มีสาระสําคัญกว้างขวางมากกว่าเดิม เพื่อให้ประเทศต่างๆทั่วโลกสามารถรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัส2019 (โควิด-19) หรือโรคอุบัติใหม่ในอนาคต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะประเด็นของความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ รวมถึงศักยภาพในการผลิตยา และเวชภัณฑ์ในภาวะฉุกเฉิน การคลังด้านสุขภาพที่เพียงพอต่อการให้บริการต่างๆ ศักยภาพของระบบสาธารณสุขในการรับมือต่อการระบาดใหญ่ การปฏิบัติตาม IHR (2005) การแลกเปลี่ยนตัวอย่างเชื้อและข้อมูลต่างๆ ผ่านเครือข่าย การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ผลลัพธ์จากการประชุมที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-1 ธ.ค. จะเป็นข้อตัดสินใจ(Decision) ว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือและต่อรองระหว่างประเทศสมาชิก หรือที่เรียกว่า Intergovernmental Negotiating Body (INB) ให้เป็นกลไกการหารือระหว่างประเทศสมาชิก ในการกําหนดการจัดทําข้อผูกพันต่างๆ ข้อกําหนดการทํางาน ตลอดจนระยะเวลาการทํางานของ INB โดยมีเป้าหมายว่าจะสามารถนําเสนอผลการทํางานของ INB ต่อที่ประชุมสมัชชาสุขภาพ สมัยที่ 76 ในปี 2566 ซึ่งจะเป็นการยกระดับกฎเกณฑ์สําหรับการตอบสนองต่อโรคระบาดขึ้นไปเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ประชาคมโลกสามารถจัดการกับโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
“จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ร่วมกับประเทศสมาชิก WHO รวม 25 ประเทศเสนอให้มีการจัดทําข้อตกลงระหว่างประเทศ ต่อเนื่องมาถึงที่รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขนําคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยพิเศษครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของไทยในการร่วมกับทุกประเทศทั่วโลกในการหากลไกที่จะเพิ่มประสิทธิภาพต่อการตอบโต้ต่อภัยคุกคามจากโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่ ด้วยเป้าหมายสําคัญว่าคนไทยจะได้รับประโยชน์ เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้รับการปกป้องจากโรคระบาดอย่างเท่าเทียม” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมสมัยชาอนามัยโลกสมัยพิเศษ วันที่ 30 พ.ย. 64 ซึ่งเป็นวันที่2 ของการประชุม รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข มีกําหนดจะกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม เพื่อแสดงจุดยืนของประเทศไทยในการพิจารณาจัดทําข้อตกลงระหว่างประเทศเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่ในอนาคต
............................... | 2021-11-30 | 1,601.52002 | 1,568.689941 | 1,612.099976 | 1,565.949951 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3423 สายสมุทรสาคร - ตำบลโคกขาม จังหวัดสมุทรสาคร แล้วเสร็จ | กรมทางหลวงดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3423 สายสมุทรสาคร - ตําบลโคกขาม จังหวัดสมุทรสาคร แล้วเสร็จ
ทล. จึงขอความร่วมมือผู้ใช้ทาง “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและผู้ร่วมทาง
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักก่อสร้างทางที่ 1 ดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 3423 สายสมุทรสาคร - ตําบลโคกขาม จังหวัดสมุทรสาคร ระหว่าง กม. ที่ 0 - กม. ที่ 7 ระยะทางยาวประมาณ 6.93 กิโลเมตร จาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร แล้วเสร็จ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ แก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและเมืองหลัก
โครงการทางหลวงหมายเลข 3423 หรือถนนสหกรณ์ เป็นเส้นทางสายสําคัญในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดสมุทรสาครกับเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และจังหวัดสมุทรปราการ อีกทั้งยังแบ่งเบาปริมาณจราจรบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) สําหรับสายสมุทรสาคร - ตําบลโคกขาม อยู่ในพื้นที่ตําบลบางหญ้าแพรก และตําบลโคกขาม อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร จุดเริ่มต้นโครงการ ที่ กม. 0 เริ่มจากบริเวณสี่แยกเชิงสะพาน
วัดเจษฎาราม (สะพานมหาชัย) และจุดสิ้นสุดโครงการที่ กม. 7 บริเวณเชิงสะพานวัดสหกรณ์โฆสิตาราม เดิมเป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร ซึ่งต่อมาชุมชนมีการขยายตัวจึงทําให้มีการเพิ่มการจราจรมากขึ้น ทล. จึงได้ดําเนินการเพิ่มศักยภาพทางหลวงโดยก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร (ไป - กลับ ข้างละ 2 ช่องจราจร) ผิวจราจรเป็นแบบแอสฟัลท์คอนกรีต กว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้างข้างละ 2.5 เมตร เกาะกลางแบบยกและมีงานก่อสร้างทางเท้าบริเวณย่านชุมชนกว้างข้างละ 3.45 เมตร รวมงานไฟฟ้าแสงสว่างและไฟกะพริบบนทางเท้า งบประมาณ 150,099,000 บาท
โครงการดังกล่าวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่งบนโครงข่ายทางหลวงที่สําคัญของประเทศ มีความปลอดภัยในการใช้งานช่วยให้การเดินทางและจราจรขนส่งมีความสะดวกรวดเร็ว ส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจในพื้นที่โครงการฯ เช่น ด้านอุตสาหกรรมและการคมนาคมขนส่ง ทล. จึงขอความร่วมมือผู้ใช้ทาง “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและผู้ร่วมทาง ประชาชนสามารถสอบถามเส้นทางการเดินทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) | 2021-12-15 | 1,628.01001 | 1,623.660034 | 1,630.890015 | 1,622.48999 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง ขยายทางคู่ขนานรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก) เพื่อแก้ปัญหาจราจรเชื่อมต่อโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในอนาคต | กรมทางหลวง ขยายทางคู่ขนานรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก) เพื่อแก้ปัญหาจราจรเชื่อมต่อโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในอนาคต
ตามนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองหลัก
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3901 และ 3902 สายทางคู่ขนานวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก) ว่า กรมทางหลวง (ทล.) ได้ตระหนักถึงความสําคัญในการคมนาคมขนส่งที่มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยพร้อมทั้งอํานวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน รองรับการพัฒนาเครือข่ายการขนส่งและระบบบริหารขนส่งสินค้าและบริการ จึงได้มีการออกแบบก่อสร้างทางคู่ขนาน 3 ช่องจราจร เพื่อให้สามารถรองรับกับปริมาณจราจรในอนาคต ซึ่งได้ทําการออกแบบให้สอดคล้องกับลักษณะภูมิประเทศและเขตทางหลวงที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและพัฒนาส่งเสริมโครงข่ายถนนด้านทิศตะวันตกของกรุงเทพมหานคร ลดปัญหาการจราจรในพื้นที่ เชื่อมต่อโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย M6 บางปะอิน - นครราชสีมา และ M81 บางใหญ่ - กาญจนบุรี ต่อลงภาคใต้ และโครงข่ายอื่น ๆ ในอนาคต เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งของประเทศที่ปัจจุบันมีปริมาณจราจรสูง โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทและแผนดําเนินการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของ ทล.
โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3901 และ 3902 สายทางคู่ขนานวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก) แบ่งการก่อสร้างเป็น 8 ตอน ฝั่งซ้าย 4 ตอน และฝั่งขวา 4 ตอน มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่บริเวณทางแยกต่างระดับบางบัวทองไปสิ้นสุดที่ทางแยกต่างระดับบางปะอิน ระหว่าง กม. ที่ 59+988 - 86+559 ระยะทางยาวประมาณ 35.57 กิโลเมตร แล้วเสร็จจํานวน 1 ตอน ได้แก่ ตอน 1 ด้านขวาทาง บริเวณ กม. ที่ 62 - 73 ลักษณะโครงการก่อสร้างเป็นงานก่อสร้างทางคู่ขนาน เป็นการก่อสร้างขยายช่องจราจร จากเดิม 2 ช่องจราจร มาตรฐานทางชั้นพิเศษ ขนาด 3 ช่องจราจร ผิวจราจรแบบคอนกรีต กว้างช่องจราจรละ 3.5 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 1.5 - 2.5 เมตร ด้านในกว้าง 1.5 เมตร กั้นขอบทางด้านในด้วยคอนกรีตแบริออร์ กว้าง 0.45 เมตร ผิวทาง แบบคอนกรีต งานก่อสร้างสะพานใหม่ จํานวน 7 แห่ง และขยายความกว้างสะพานเดิม จํานวน 1 แห่ง พร้อมทั้งออกแบบระบบระบายน้ําและการติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด งบประมาณ 7,376.59 ล้านบาท ปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 78 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2566
ทั้งนี้เมื่อโครงการดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จจะทําให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทาง ทําให้โครงข่ายทางหลวงและทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของประเทศ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดการเกิดอุบัติเหตุบนถนน ช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดลดการสิ้นเปลืองพลังงานจากการจราจรติดขัดที่ทําให้ต้นทุนการขนส่งของประเทศลดลง ทําให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของจังหวัดใกล้เคียง เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานครให้มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น และเป็นการพัฒนาและปรับปรุงทัศนียภาพสองข้างทางให้ดูเรียบร้อยสวยงาม อีกทั้งยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานสําคัญ ที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคให้ดีขึ้น ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทาง “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านและผู้ร่วมทาง ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) | 2022-04-04 | 1,704.640015 | 1,702.930054 | 1,706.77002 | 1,699.819946 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเปิดทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร สมัครผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 – 16 มกราคม 2565 | กรมสรรพากรเปิดทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร สมัครผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 – 16 มกราคม 2565
กรมสรรพากรเปิดรับสมัครผู้สําเร็จศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการบัญชี หรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี เข้ารับการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) สมัครผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2565
กรมสรรพากรเปิดรับสมัครทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) ครั้งที่ 52 (1/2565) โดยผู้ประสงค์เข้ารับการทดสอบต้องสําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการบัญชี หรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี ผู้สนใจสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและยื่นคําขอเข้ารับการทดสอบผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมงไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2565 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 และดําเนินการทดสอบในวันที่ 5 - 6 กุมภาพันธ์ 2565 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เขตดุสิต กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ผลการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากรจะประกาศที่เว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) ในวันที่ 30 เมษายน 2565
หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2272 8188 ในวันและเวลาราชการ หรือที่กองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร เลขที่ ๙๐ ซอยพหลโยธิน ๗ ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ | 2021-12-27 | 1,641.280029 | 1,636.5 | 1,642.420044 | 1,632.790039 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง เชิญ 127 บ.รับอนุญาตจัดหางาน เร่งเครื่องหารือขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ | รมว.เฮ้ง เชิญ 127 บ.รับอนุญาตจัดหางาน เร่งเครื่องหารือขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ
วันที่ 22 เมษายน 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายด้านการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศ ประจําปี 2565
โดยมีคณะผู้บริหารฝ่ายการเมือง นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติ นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวรายงาน และผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ จํานวน 127 บริษัท ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
โดยนายสุชาติฯ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา ทําให้มีข้อจํากัดในการเดินทางระหว่างประเทศ เพราะประเทศผู้รับแรงงานบางประเทศ มีการปรับนโยบายและชะลอการรับแรงงานต่างชาติเข้าไปทํางาน แต่ปัจจุบันประเทศผู้รับแรงงานเริ่มมีมาตรการผ่อนคลายในการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตั้งเป้าหมายจัดส่งแรงงานไปทํางานต่างประเทศไว้ประมาณ 50,000 คน ไม่รวมการเดินทางแบบ Re-entry จึงเป็นโอกาสที่ดีสําหรับแรงงานไทย และภาคเอกชนที่ดําเนินธุรกิจด้านการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศ ในวันนี้กระทรวงแรงงานได้เชิญผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานต่างประเทศ จํานวน 127 บริษัท และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในภารกิจการจัดส่งแรงงานไปทํางานต่างประเทศ มาร่วมกันหารือ รับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ เพื่อให้การจัดส่งแรงานไทยไปทํางานในต่างประเทศเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม แรงงานไทยได้รับประโยชน์สูงสุด รับค่าจ้าง สวัสดิการ และการคุ้มครองที่เหมาะสม ตลอดจนป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อปลดล็อก Tier 2 Watch List
“ผมขอขอบคุณ ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศที่มีการจัดหางานอย่างมีจริยธรรม ให้ความสําคัญกับประโยชน์สูงสุดของแรงงานไทยซึ่งเป็นกลไกหลักในระบบเศรษฐกิจของประเทศ และมาร่วมงานในวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ทั้ง 2 ท่านต่างให้ความสําคัญกับการสร้างโอกาสให้แรงงานไทยในการไปทํางานในต่างประเทศมาโดยตลอด ในปีนี้กระทรวงแรงงานจะเป็นเรี่ยวแรงหลัก ในการเจรจากับทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรค ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มแรงจูงใจในการจ้างแรงงานไทยของนายจ้างในต่างประเทศ เพื่อรักษาตลาดแรงงานเดิม และเร่งขยายตลาดแรงงานใหม่” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่าหนึ่งในภารกิจสําคัญของกรมการจัดหางาน คือการส่งเสริมแรงงานไทยไปทํางานในต่างประเทศ ซึ่งนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีนโยบายขยายตลาดแรงงานใหม่ในต่างประเทศ โดยปีที่ผ่านมาสามารถจัดทําข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานกับซาอุดีอาระเบีย ลงนามบันทึกความร่วมมือด้านข้อมูลพื้นฐานเพื่อการจัดระบบและการพํานักของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ ร่วมกับประเทศญี่ปุ่น อยู่ระหว่างความพยายามในการจัดทําบันทึกความร่วมมือโครงการวีซ่าเกษตรออสเตรเลีย (Australian Agriculture Visa (AAV) Program) กับออสเตรเลีย และเสนอให้มีการจัดส่งแรงงานรูปแบบ G to G (Government to Government) และ A to A (Agency to Agency) ภายใต้การกํากับดูแล ควบคุมของกระทรวงแรงงาน กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยดําเนินการควบคู่กับการคุ้มครองดูแลสิทธิประโยชน์ของแรงงานไทยไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน มิให้แรงงานไทยถูกหลอกลวงจากสาย/นายหน้าจัดหางานเถื่อน ที่ปัจจุบันนิยมใช้สื่อโซเชียลมีเดียที่มีอิทธิพลอย่างมากในการโฆษณาเชิญชวนหลอกลวงแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ ซึ่งผู้รับอนุญาตจัดหางานฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในภารกิจการจัดส่งแรงงานไปทํางานต่างประเทศที่มาร่วมประชุมหารือในวันนี้ มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศผ่านช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย | 2022-04-22 | 1,686.26001 | 1,690.589966 | 1,690.589966 | 1,680.859985 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ | กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
ในวันพุธที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ ร่วมกับคณะกรรมการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม ๑๐ - ๐๑ ชั้น ๑๐ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร โดยผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
โดยที่ประชุมรับทราบรายงานสถานะความคืบหน้าการเสนอร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ในการนี้ คณะกรรมการฯ ได้หารือร่วมกันในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเสนอ โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ.๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของชื่อพระราชบัญญัติ บทนิยาม การเพิ่มการคุ้มครองช่วยเหลือผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน การขยายการช่วยเหลือจําเลยในชั้นสอบสวน การแจ้งสิทธิผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จําเลยในคดีอาญา รวมทั้งพิจารณาขยายระยะเวลาการยื่นขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่ผู้ต้องหาและจําเลยในคดีอาญา | 2021-06-16 | 1,622.780029 | 1,624.790039 | 1,631.22998 | 1,619.22998 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีปิดการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการอุตสาหกรรมระดับกลาง (นบก.) รุ่นที่ 39 ของกระทรวงอุตสาหกรรม | พิธีปิดการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการอุตสาหกรรมระดับกลาง (นบก.) รุ่นที่ 39 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีปิดการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการอุตสาหกรรมระดับกลาง (นบก.) รุ่นที่ 39 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม - 17 กันยายน 2564
พิธีปิดการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการอุตสาหกรรมระดับกลาง (นบก.) รุ่นที่ 39 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (17 กันยายน 2564) เวลา 10.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีปิดการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการอุตสาหกรรมระดับกลาง (นบก.) รุ่นที่ 39 ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม – 17 กันยายน 2564 โดยมีผู้ผ่านการอบรม จํานวน 46 คน ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผ่านระบบ Web Conference (ZOOM)
ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 32 ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2564 | 2021-09-17 | 1,632.180054 | 1,625.650024 | 1,635.040039 | 1,617.310059 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทริป รถไฟ ม่วนแต้ ๆ แอ่ว “แม่เมาะ” By SRT x EGAT เส้นทาง กรุงเทพ - ลำปาง สุดปัง!!! จองเต็มเร็วภายใน 1 ชั่วโมง การรถไฟแห่งประเทศไทย ลั่นเตรียม จัดทริปท่องเที่ยวทางรถไฟต่อเนื่อง | ทริป รถไฟ ม่วนแต้ ๆ แอ่ว “แม่เมาะ” By SRT x EGAT เส้นทาง กรุงเทพ - ลําปาง สุดปัง!!! จองเต็มเร็วภายใน 1 ชั่วโมง การรถไฟแห่งประเทศไทย ลั่นเตรียม จัดทริปท่องเที่ยวทางรถไฟต่อเนื่อง
ทริป รถไฟ ม่วนแต้ ๆ แอ่ว “แม่เมาะ” By SRT x EGAT เส้นทาง กรุงเทพ - ลําปาง สุดปัง!!! จองเต็มเร็วภายใน 1 ชั่วโมง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลั่นเตรียม จัดทริปท่องเที่ยวทางรถไฟต่อเนื่องทุกเดือน ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ
ทริป รถไฟ ม่วนแต้ ๆ แอ่ว “แม่เมาะ” By SRT x EGAT เส้นทาง กรุงเทพ - ลําปาง สุดปัง!!! จองเต็มเร็วภายใน 1 ชั่วโมง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลั่นเตรียม จัดทริปท่องเที่ยวทางรถไฟต่อเนื่องทุกเดือน ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ นั่งรถไฟ ม่วนแต้ ๆ แอ่ว “แม่เมาะ” By SRT x EGAT กรุงเทพ - ลําปาง แบบ 3 วัน 2 คืน ในราคาโปรโมชั่น 1,999 บาท และได้มีการเปิดจองเป็นวันแรกเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งปรากฏว่าได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนจํานวนมาก เข้าจองเต็มทุกที่นั่งอย่างรวดเร็วภายใน 1 ชั่วโมง “รฟท. และ กฟผ. จึงขอแจ้งปิดการจองตั๋ว และขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจเดินทางท่องเที่ยวในทริปนี้ ส่วนประชาชนที่พลาดหวังไป ไม่ต้องเสียใจ ขอให้คอยติดตามทริปการท่องเที่ยวดี ๆ ทางรถไฟ ได้ที่เฟซบุ๊คเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งจะคอยประชาสัมพันธ์ทริปการท่องเที่ยวของ รฟท. อย่างต่อเนื่องเป็นประจําทุกเดือน เพื่อช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และรองรับการเปิดประเทศตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม” สําหรับโครงการ นั่งรถไฟ ม่วนแต้ ๆ แอ่ว "แม่เมาะ" By SRT x EGAT จัดทําขึ้นตามนโยบายของนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ต้องการร่วมมือกันส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และสนับสนุนให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ตลอดจนลดการใช้รถส่วนบุคคลและหันมาเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น
ท้ายนี้ รฟท. ขอฝากถึงนักท่องเที่ยวที่ร่วมเดินทางทริปการท่องเที่ยว จะต้องได้รับการฉีดวัคซีน ครบ 2 เข็ม ซึ่งสามารถแสดงหลักฐานผ่าน Digital Health Pass บนหมอพร้อม Application หรือแสดงผลตรวจ ATK ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ต่อเจ้าหน้าที่ ณ จุดคัดกรองในวันเดินทาง | 2021-11-29 | 1,608.01001 | 1,589.689941 | 1,617.550049 | 1,587.780029 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท สร้างถนนบนเกาะลันตา จ.กระบี่ กว่า 21 กิโลเมตร แล้วเสร็จ รองรับปริมาณการจราจร ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในอนาคต | กรมทางหลวงชนบท สร้างถนนบนเกาะลันตา จ.กระบี่ กว่า 21 กิโลเมตร แล้วเสร็จ รองรับปริมาณการจราจร ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในอนาคต
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนสายบ้านศาลาด่าน - บ้านสังกาอู้ อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ แล้วเสร็จ
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนสายบ้านศาลาด่าน – บ้านสังกาอู้ อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ แล้วเสร็จ
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ถนนสายบ้านศาลาด่าน – บ้านสังกาอู้ อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เป็นโครงข่ายคมนาคมขนส่งด้านทิศตะวันออกของเกาะลันตาใหญ่ แต่เดิมถนนมีสภาพเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กและผิวทางลาดยางในบางช่วง ขนาด 2 ช่องจราจร มีสภาพคับแคบ ซึ่งถนนดังกล่าวมีการสัญจรของประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเป็นจํานวนมาก ส่งผลให้การจราจรไม่คล่องตัว ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวบริเวณเกาะลันตาและยกระดับการคมนาคมขนส่งในเกาะลันตา
ให้มีความสะดวกรวดเร็วปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รองรับนักท่องเที่ยวและปริมาณการจราจรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สอดรับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ทช. จึงได้ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนสายบ้านศาลาด่าน – บ้านสังกาอู้ อําเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรคอนกรีต ขนาด 2 ช่องจราจร กว้าง 6 เมตร ไหล่ทางข้างละ 0 - 2 เมตรพร้อมก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 แห่ง จุดจอดรถบริการนักท่องเที่ยว 1 แห่ง ระบบระบายน้ํา ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างบริเวณย่านชุมชน งานเครื่องหมายจราจร งานอํานวยความปลอดภัย และปรับปรุงภูมิทัศน์ตลอดสายทาง โดยมีจุดเริ่มต้นสายทางบริเวณสามแยกที่เชื่อมต่อกับสะพานสิริลันตา (กม.ที่ 0+000) และไปสิ้นสุดสายทางที่โรงเรียนบ้านสังกาอู้ (กม.ที่ 20+498) พร้อมทางเชื่อม (บริเวณ กม.ที่ 10+668)รวมระยะทางประมาณ 21.698 กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันได้ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรเรียบร้อยแล้ว | 2021-08-24 | 1,590.119995 | 1,586.97998 | 1,598.390015 | 1,585.459961 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กอช. หยุดส่งเงินออมจากพิษโควิด-19 ไม่เสียสิทธิ | สมาชิก กอช. หยุดส่งเงินออมจากพิษโควิด-19 ไม่เสียสิทธิ
วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระและเยาวชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป สร้างระบบบํานาญด้วยตนเองกับกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. โดยรัฐบาลจ่ายเงินสมทบให้ตามระดับอายุของผู้เป็นสมาชิกและเป็นอัตราส่วนกับจํานวนเงินสะสม สําหรับสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 จนไม่สามารถส่งเงินออมสะสมได้ทุกเดือนจะไม่เสียสิทธิความเป็นสมาชิก เมื่อมีรายได้เพียงพอแล้วสามารถกลับมาส่งเงินสะสมต่อได้ ผู้สนใจสมัครและส่งเงินออมได้ที่ แอปพลิเคชัน กอช. หรือ หน่วยรับสมัครใกล้บ้าน เช่น ที่ว่าการอําเภอ ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธนาคารกรุงไทย ไปรษณีย์ และเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่เข้าร่วมทั่วประเทศ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม 02-049-9000
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2022-02-15 | 1,688.670044 | 1,701.449951 | 1,702.73999 | 1,687.180054 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ เร่งปลูกและศึกษายาฟ้าทะลายโจร ทั้งการรักษาและสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมเตรียมแผน EXIT เรือนจำเพิ่ม หลังเริ่มควบคุมโรคได้ | กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ เร่งปลูกและศึกษายาฟ้าทะลายโจร ทั้งการรักษาและสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมเตรียมแผน EXIT เรือนจําเพิ่ม หลังเริ่มควบคุมโรคได้
กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ เร่งปลูกและศึกษายาฟ้าทะลายโจร ทั้งการรักษาและสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมเตรียมแผน EXIT เรือนจําเพิ่ม หลังเริ่มควบคุมโรคได้
ในวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 10.30 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 51/2564 โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พันตํารวจโท มนตรี บุญยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผย ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถาน ในวันนี้ สถานะเรือนจําที่แพร่ระบาดคงที่ มีเรือนจําสีแดง 29 แห่ง เรือนจําสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาดลดลงอยู่ที่ 106 แห่ง และที่สิ้นสุดการระบาดแล้ว 7 แห่งคงเดิม
ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ จํานวน 175 ราย (พบในเรือนจําสีแดง 168 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 7 ราย) รักษาหายเพิ่ม 372 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต รวมมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 7,715 ราย (กลุ่มสีเขียว 80.1% สีเหลือง 19.5% และสีแดง 0.4%) มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 39,258 ราย หรือ 82.6% ของผู้ติดเชื้อสะสม 47,551 ราย เสียชีวิตสะสมรวม 61 ราย คิดเป็นอัตรา 0.1% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมฯ ในช่วงเช้าวันนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้เกียรติเข้าร่วมประชุมเพื่อมอบนโยบายแก่ผู้บริหารสถานที่ควบคุมทุกแห่งโดยได้เน้นย้ําให้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ที่ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ถือว่ามีประโยชน์มาก โดยจากการใช้เพื่อรักษาโรคที่ผ่านมานับว่ามีประสิทธิผลมากสามารถลดความรุนแรงของโรคได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องเร่งศึกษาข้อมูลและลักษณะการใช้งานให้ถูกต้อง ทั้งในแง่ของการใช้เพื่อการรักษา และการสร้างภูมิคุ้มกันรวมถึงการปลูกและผลิตยาแคปซูลฟ้าทะลายโจรด้วย ที่ได้สั่งการไปยังเรือนจําและทัณฑสถานแต่ละแห่งให้เริ่มดําเนินการแล้ว โดยวันที่ 2 กันยายน 2564 จะเก็บเกี่ยวได้ 8 ไร่ ซึ่งจะผลิตได้ประมาณ 8 ล้านแคปซูล และวันที่ 22 ตุลาคม 2564 จะเก็บเกี่ยวได้อีก 50 ไร่ และวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 จะเก็บเกี่ยวได้อีก 7 ไร่ ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานจะมียาฟ้าทะลายโจรใช้อย่างเพียงพอทั้งต่อผู้ต้องขังในเรือนจําและทัณฑสถาน และกับคนทั้งประเทศต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยท่านปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมในวันนี้ ได้มีข้อสั่งการให้สํารวจเรือนจําและทัณฑสถานที่เข้าเกณฑ์ตามแผนการสิ้นสุดการระบาดของโรค (EXIT) เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะมีเรือนจํากลางสมุทรปราการ เรือนจําพิเศษมีนบุรี ทัณฑสถานหญิงสงขลา และเรือนจําจังหวัดสตูล รวมถึงเรือนจําขนาดเล็กที่พบว่ามีแพร่ระบาดของเชื้อมาแล้วไม่ต่ํากว่า 2 สัปดาห์ โดยให้ดําเนินการจัดทําแผนเพื่อ EXIT และประสานหน่วยงานสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่เพื่อจัดทําแผน ก่อนจะเสนอแผนการ EXIT เข้าที่ประชุมฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้งจึงจะสามารถดําเนินการในระยะต่อไปได้ ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําการป้องกันเชื้อที่จะถูกนําเข้าเรือนจําและทัณฑสถาน ด้วยการตรวจหาเชื้อในเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าเวรรักษาการณ์ทุกครั้ง โดยเฉพาะในเรือนจําสีแดงที่พบการแพร่ระบาดแล้ว จะต้องตรวจหาเชื้อโควิด -19 ทั้งก่อนเข้าและก่อนออก และห้ามเจ้าหน้าที่ทุกรายเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย พร้อมให้รักษามาตรการ D-M-H-T อย่างเคร่งครัด
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจําวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อเป็นเยาวชน 32 ราย เเละเจ้าหน้าที่ 12 ราย รวมผู้ติดเชื้อทั้งหมด 44 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 43 แห่ง หรือคิดเป็น 76.7% จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 13 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 6 แห่ง หมดสถานะสีขาว 2 แห่ง และติดเชื้อ 5 แห่ง สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน คงที่ 121 ราย หรือคิดเป็น 2.84% จากทั้งหมด 4,245 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนคงที่ 3,792 ราย หรือคิดเป็น 86% จากทั้งหมด 4,394 ราย | 2021-08-02 | 1,523.420044 | 1,525.109985 | 1,525.72998 | 1,513.709961 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดี “บาส-ปอป้อ” คว้าแชมป์การแข่งขันแบดมินตันในประเภทคู่ผสม และวิว กุลวุฒิ คว้าแชมป์ในประเภทชายเดี่ยว ในรายการ Yonex Gainward German Open 2022 | นายกฯ ยินดี “บาส-ปอป้อ” คว้าแชมป์การแข่งขันแบดมินตันในประเภทคู่ผสม และวิว กุลวุฒิ คว้าแชมป์ในประเภทชายเดี่ยว ในรายการ Yonex Gainward German Open 2022
นายกฯ ยินดี “บาส-ปอป้อ” คว้าแชมป์การแข่งขันแบดมินตันในประเภทคู่ผสม และวิว กุลวุฒิ คว้าแชมป์ในประเภทชายเดี่ยว ในรายการ Yonex Gainward German Open 2022
วันที่ 14 มี.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความยินดีที่ บาส เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ ปอป้อ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 1 ของโลก ชนะ Ou Xuan Yi และ Huang Ya Qiong จากจีน ด้วยคะแนน 21-11 และ 21-9 ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแบดมินตันคู่ผสม รายการ โยเน็กซ์ เกนวอร์ด เยอรมัน โอเพน 2022 (Yonex Gainward German Open 2022) ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 300 ที่เมืองมูลไฮม์อันแดร์รูร์ ประเทศเยอรมนี
โฆษกรัฐบาลระบุว่า การได้แชมป์รายการนี้ส่งผลให้บาสและปอป้อได้แชมป์เวิลด์ทัวร์เป็นรายการที่ 6 ติดต่อกัน ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว นับเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของนักแบดมินตันประเภทคู่ผสมของไทย
ด้านประเภทชายเดี่ยว วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักกีฬาแบดมินตันดาวรุ่งมือ 20 ของไทย ในรอบชิงชนะเลิศ พบกับ Sen Lakshya ของอินเดีย ที่ชนะ Viktor Axelsen มือ 1 ของโลก จากเดนมาร์ก มาในรอบก่อนชิงชนะเลิศ โดยในรอบชิงชนะเลิศ วิวสามารถเอาชนะไปได้ทั้ง 2 เซต ด้วยคะแนน 21-18 และ 21-15
“ความสําเร็จของนักกีฬาไทยในรายการแข่งขันกีฬาระดับโลกสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพ และความสามารถของนักกีฬาไทยที่สามารถสร้างผลงานได้โดดเด่น นําความสุขมาสู่คนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งเป็นแบบอย่างของเยาวชนที่ประสบความสําเร็จจากความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวชื่นชมสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมถึงทุกคน ที่มีส่วนสนับสนุนผลักดันนักกีฬาแบดมินตันของไทย” นายธนกร กล่าว | 2022-03-14 | 1,656.359985 | 1,660.150024 | 1,662.660034 | 1,651.900024 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ขนส่ง จำกัด จัดรถโดยสารรับส่ง “กลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น” กลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว | บริษัท ขนส่ง จํากัด จัดรถโดยสารรับส่ง “กลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น” กลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว
...
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ บขส. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ให้จัดรถโดยสารเพื่อรับ - ส่งกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น ผู้ร่วมชุมนุมบริเวณหน้าทําเนียบรัฐบาล กลับไปส่งที่อําเภอจะนะ จังหวัดสงขลา นั้น
บขส. ได้ดําเนินการในภารกิจดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยจัดรถโดยสาร 2 คัน เดินทางออกจากหน้าทําเนียบรัฐบาล เวลา 07.30 น. และถึงจุดหมายปลางทางอําเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เวลา 23.00 น. ของวันที่ 15 ธันวาคม 2564 ด้วยความปลอดภัย | 2021-12-16 | 1,629.47998 | 1,645.319946 | 1,645.439941 | 1,624.310059 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมนำคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร และลงพื้นที่ ณ กระบี่/ตรัง ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ย. นี้ เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งแรกของปี | นายกรัฐมนตรีเตรียมนําคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร และลงพื้นที่ ณ กระบี่/ตรัง ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ย. นี้ เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งแรกของปี
นายกรัฐมนตรีเตรียมนําคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่และประชุม ครม. สัญจร และลงพื้นที่ ณ กระบี่/ตรัง ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ย. นี้ เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งแรกของปีนี้ พร้อมพบปะผู้ประกอบการเดินหน้าการท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน
วันนี้ (9 พ.ย.64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมเดินทางตรวจราชการจังหวัดกระบี่ และจังหวัดตรัง และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม. สัญจร) ครั้งที่ 1/2564 ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2564 ณ จังหวัดกระบี่ ติดตามความก้าวหน้าพร้อมหารือผู้ประกอบการในพื้นที่ ภายหลังจากที่มีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจนายกรัฐมนตรี ดังนี้
วันที่ 15 พ.ย. ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปจังหวัดกระบี่ เพื่อรับฟังบรรยายสรุป โครงการปรับปรุงอาคารที่พักผู้โดยสารท่าอากาศยานนานาชาติ จ.กระบี่ จากนั้นไปยังศูนย์พัฒนาประสิทธิภาพการให้ความช่วยเหลือและสร้างความปลอดภัยทางการท่องเที่ยว จ.กระบี่ ต.ไสไทย อ.เมืองกระบี่ ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ และสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกระบี่ ได้ดําเนินการจัดตั้งศูนย์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมให้ความช่วยเหลือประชาชน ที่ได้คุณภาพมาตรฐานสากล เป็นสถานที่ฝึกอบรมฝึกสอนด้านการดับเพลิงและกู้ภัยแก่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจจากจังหวัดอื่นๆ ให้มาศึกษาหลักสูตรการดับเพลิงและการกู้ภัยที่ครบวงจร จากนั้น ไปยังศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมอันดามันเทศบาลเมืองกระบี่ ต.ปากน้ํา เพื่อเป็นประธานพิธีในเปิดศูนย์จําหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนสินค้าโอทอปชุมชน(ANDAMAN OTOP SHOP) 6 จังหวัด (ระนอง ภูเก็ต พังงาน กระบี่ ตรัง และสตูล) พร้อมเยี่ยมชมศูนย์จําหน่ายและทักทายผู้ประกอบการร้านค้าและประชาชน
ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและคณะจะตรวจเยี่ยมชุมชนท่องเที่ยวคลองหรูด (คลองน้ําใส) ต.หนองทะเล และ เป็นประธานพิธีเปิดอุทยานต้อนรับการท่องเที่ยวเมืองกระบี่ และพบผู้ประกอบการ ผู้นําท้องถิ่น และประชาชน พร้อมร่วมปลูกต้นจิกทะเล ณ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่
รุ่งขึ้น วันที่ 16 พ.ย. นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุม ครม.สัญจร ณ โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท โดยก่อนการประชุม นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมนิทรรศการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน จากนั้นเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ร่วมกับผู้ว่าราชการ 6 จังหวัด ต่อด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งภายหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ไปยัง จังหวัดตรัง เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิด "ท่าเรือปากเมงเปิดประตูสู่อันดามัน" ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างท่าเรือฯ เนื่องมาจากอายุการใช้งานของท่าเรือที่มีมากกว่า 20 ปี ทําให้ท่าเรือฯ มีสภาพชํารุดทรุดโทรม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อนักม่องเที่ยวที่ใช้บริการ ปัจจุบันการปรับปรุงแล้วเสร็จ คาดว่าจะพร้อมให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมต้อนรับการเปิดประเทศและการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดตรัง รับนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากหาดปากเมงไปยังแหล่งท่องเที่ยวตามเกาะต่างๆ คาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการจํานวนมาก โอกาสนี้ นายกฯ พบผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า การประชุม ครม.สัญจร จังหวัดกระบี่ในครั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวฝั่งอันดามันที่จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา ภายหลังจากที่ได้มีการประกาศ "เปิดประเทศ" รับนักท่องเที่ยว โดยได้มีการบริหารจัดการรองรับนักท่องเที่ยวเพื่อเชื่อมโยง Phuket SandboxและSamui Plus Modelเป็นจุดที่จะส่งต่อนักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นมากที่สุด ยกระดับการท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและคุณภาพระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีการหารือกับภาคธุรกิจ เอกชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ เพี่อส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่ในประเทศ จําเป็นต้องทีการปรับตัวและแก้ไขปัญหา ควบคู่ไปกับการพัฒนา โดยต้องอาศัยเทคโนโลยีและการเชื่อมโยงของแหล่งท่องเที่ยวให้มีศักยภาพซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังการลงพื้นที่ในครั้งนี้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ตามมาตรการด้านสาธารณสุข การป้องกันโรคที่ยังเข้มงวด และอีกด้านหนึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง | 2021-11-09 | 1,626.800049 | 1,631.689941 | 1,633.76001 | 1,623.640015 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. กำชับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ผู้รับจ้างขุดลอกท่อระบายน้ำและลำรางในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า | รฟม. กําชับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ผู้รับจ้างขุดลอกท่อระบายน้ําและลํารางในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา และเตรียมพร้อมรับมือช่วงพายุฤดูร้อน
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบดําเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ได้ติดตามเฝ้าระวังพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าตลอดแนวถนนรามคําแหงในช่วงฤดูฝน โดยกําชับให้ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาทุกสัญญา ดําเนินการลอกท่อระบายน้ําและลํารางสาธารณะในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือช่วงพายุ ฤดูร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําให้ดีมากยิ่งขึ้น โดย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาอุโมงค์ทางวิ่งและสถานีใต้ดิน สัญญาที่ 3 ช่วงหัวหมาก - คลองบ้านม้า ได้ดําเนินการลอกท่อระบายน้ําถนนรามคําแหง บริเวณพื้นที่ก่อสร้างสถานีแยกลําสาลี สถานีศรีบูรพา และสถานีคลองบ้านม้า เพื่อป้องกันเศษวัสดุ อุดตันในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า และบรรเทาปัญหาน้ําท่วมขังบนถนนรามคําแหง
ทั้งนี้ รฟม. ได้เน้นย้ําให้ที่ปรึกษาโครงการ กํากับดูแลให้ผู้รับจ้าง ลอกท่อระบายน้ําตามแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า อย่างต่อเนื่องทุก ๆ 3 เดือน เพื่อเตรียมพร้อมหากกรณีเกิดฝนตกในพื้นที่ พร้อมจัดเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องสูบน้ํา เพื่อช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ตามนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในการให้ความสําคัญแก่ประชาชนและชุมชนตามแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้าซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบจากการดําเนินงานก่อสร้างโครงการฯ ติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เว็บไซต์โครงการ www.mrta-orangelineeast.com และ Line Official : OrangeLine | 2022-05-09 | 1,623.709961 | 1,604.48999 | 1,624.26001 | 1,604.060059 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2564 Thailand Quality Award 2021 (TQA) | ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2564 Thailand Quality Award 2021 (TQA)
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2564 Thailand Quality Award 2021 (TQA)
ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2564 Thailand Quality Award 2021 (TQA)
วันนี้ (3 มีนาคม 2565) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2564 Thailand Quality Award 2021 (TQA) พร้อมมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีแก่ผู้บริหารองค์กรที่ได้รับรางวัล และมอบรางวัล APO National Award แก่ ดร.อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย ทั้งนี้การมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) จัดขึ้นเพื่อเชิดชูองค์กรจากหลากหลายภาคส่วนที่มุ่งมั่นปรับปรุงและพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง จนสามารถคว้ารางวัลคุณภาพแห่งชาติ รางวัลที่การันตีถึงศักยภาพ ความพร้อมด้านสมรรถนะ และมาตรฐานการดําเนินงานที่เป็นเลิศ ทัดเทียมระดับสากล โดยมี ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อํานวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และคณะผู้บริหารสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ร่วมงาน ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
ปลัดกอบชัยฯ กล่าวว่า รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) เปรียบเสมือนกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมในภาพรวม อีกทั้งยังมุ่งส่งเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และกระตุ้นให้เกิดการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการปรับปรุงกระบวนการดําเนินงานให้มีความทันสมัย พร้อมสร้างคุณค่าให้แก่องค์กรไทยทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาครัฐวิสาหกิจ และภาคการศึกษา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรี่ยวแรงสําคัญของการพัฒนาประเทศ รวมถึงภาครัฐที่มีบทบาทต่อการสนับสนุนให้การดําเนินกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจดําเนินไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว และมีผลิตภาพสอดรับกับกรอบทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 13 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อพลิกโฉมประเทศไทย หรือเปลี่ยนแปลงประเทศขนานใหญ่ ภายใต้แนวคิด Resilience มุ่งลดความเปราะบาง และสร้างความพร้อมต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและวิกฤตต่าง ๆ สามารถเติบโตและอยู่รอดท่ามกลางความท้าทาย
ทั้งนี้ มีองค์กรที่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2564 จํานวนทั้งสิ้น 14 องค์กร ประกอบด้วย
รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) จํานวน 1 องค์กร ได้แก่ บริษัท เคาท์เตอร์เซอร์วิส จํากัด ซึ่งเคยได้รับรางวัล TQC ในปี 2549 และ 2555-2557
รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม (Thailand Quality Class Plus: Innovation - TQC Plus: Innovation) จํานวน 2 องค์กร ได้แก่
1. คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2. บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จํากัด
รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านลูกค้า (Thailand Quality Class Plus: Customer - TQC Plus: Customer) จํานวน 1 องค์กร ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านบุคลากร (Thailand Quality Class Plus: People - TQC Plus: People) จํานวน 2 องค์กร ได้แก่
1. คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2. โรงพยาบาลพญาไท 2
รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class: TQC) จํานวน 8 องค์กร ได้แก่
1. เขื่อนสิริกิติ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
2. คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
3. คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
4. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
5. บริษัท อาร์เอฟเอส จํากัด
6. มหาวิทยาลัยมหิดล
7. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
8. โรงไฟฟ้าวังน้อย
#TQA 2564 #กระทรวงอุตสาหกรรม | 2022-03-04 | 1,687.98999 | 1,671.719971 | 1,689.890015 | 1,671.699951 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้ม "กรุงเทพฯ" ถูกจัดอันดับ 1 "Best City" ภูเก็ต - สมุย ได้อันดับ 3 และ 4 "เกาะที่ดีที่สุด" โดยนิตยสาร DestinAsian | นายกฯ ปลื้ม "กรุงเทพฯ" ถูกจัดอันดับ 1 "Best City" ภูเก็ต - สมุย ได้อันดับ 3 และ 4 "เกาะที่ดีที่สุด" โดยนิตยสาร DestinAsian
....
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้รับทราบและร่วมยินดี หลังจากที่นิตยสาร DestinAsian จัดให้ "กรุงเทพฯ" เป็นอันดับ 1 เมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบมากที่สุด (Best City) ในการท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิค ซึ่งมาจากผลการคัดเลือกของผู้อ่าน (Reader's Choice Awards 2022)
.
โดย 5 อันดับแรก คือ กรุงเทพฯ สิงคโปร์ โตเกียว ฮ่องกง และโซล ทั้งนี้ กรุงเทพฯ เคยได้รับเลือกอันดับ 1 มาแล้วเมื่อปี 2020
.
นอกจากนี้ เกาะภูเก็ต และสมุย ยังได้รับการเสนอให้เป็น "เกาะที่ดีที่สุด" ลําดับ 3 และ 4 รวมทั้งท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิที่ได้รับเลือกให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดอันดับ 3 อีกด้วย
.
นิตยสาร DestinAsian ถือเป็นนิตยสารท่องเที่ยวชั้นนํา และได้จัดงาน Readers’ Choice Awards เป็นประจําทุกปีและต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี เป็นการจัดอันดับความเป็นเลิศในภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยตัดสินจากผลโหวตของผู้อ่านทั่วโลก
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52752
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | 2022-03-21 | 1,683.689941 | 1,673.869995 | 1,685.780029 | 1,671.079956 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดันร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ผ่านสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดันร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ผ่านสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดันร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ผ่านสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1
สืบเนื่องจาก เมื่อวันพุธที่ 15 กันยายน 2564 เวลา 16.30 -18.00 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อํานวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และคณะเจ้าหน้าที่จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 3 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจําปี ครั้งที่ 1) เพื่อชี้แจงร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1 โดยมี นายชวน หลีกภัย เป็นประธาน
สําหรับในการประชุมฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แถลงเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว โดยได้เน้นย้ําความสําคัญของการผลักดันร่างพระราชบัญญัติฯ พร้อมทั้งชี้แจงหลักการ เหตุผล ความจําเป็น และสรุปสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ ประโยชน์ที่จะได้รับหากร่างพระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้ อาทิ การยืนยันนโยบายของรัฐบาลว่าไม่สนับสนุนการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นด้านกระบวนการยุติธรรมและลดความเหลื่อมล้ําให้กับประชาชน เป็นต้น
ทั้งนี้ ในวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564 ) เวลา 13.40 น. ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ วาระ 1 โดยมีมติเห็นด้วย จํานวนทั้งสิ้น 368 คน (จํานวนผู้ลงมติ 365 คน เห็นด้วย 363 คน งดออกเสียง 1 คน ไม่ลงคะแนนเสียง 1 คน และ ขอโหวตเห็นด้วยเพิ่มเติม อีก 5 คน รวม 368 คน) โดยให้ใช้ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับของกระทรวงยุติธรรม เป็นหลัก รวมทั้งได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ในรายละเอียดต่อไป | 2021-09-16 | 1,633.280029 | 1,631.699951 | 1,636.01001 | 1,628.569946 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผย ผลตรวจผู้ป่วยสงสัยจากประเทศเฝ้าระวังยังไม่พบ “ฝีดาษวานร” | “อนุทิน” เผย ผลตรวจผู้ป่วยสงสัยจากประเทศเฝ้าระวังยังไม่พบ “ฝีดาษวานร”
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ไทยมีมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรคฝีดาษวานรในผู้เดินทางจากประเทศเฝ้าระวัง ผลตรวจเชื้อของผู้ป่วยสงสัยยังไม่พบฝีดาษวานร แต่เป็นเชื้อเริม เตรียมการรับมือโดยส่งวัคซีนฝีดาษคนที่องค์การเภสัชกรรมแช่แข็งรักษา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ไทยมีมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรคฝีดาษวานรในผู้เดินทางจากประเทศเฝ้าระวัง ผลตรวจเชื้อของผู้ป่วยสงสัยยังไม่พบฝีดาษวานร แต่เป็นเชื้อเริม เตรียมการรับมือโดยส่งวัคซีนฝีดาษคนที่องค์การเภสัชกรรมแช่แข็งรักษาไว้กว่า 40 ปี ตรวจสอบคุณภาพที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
วันนี้ (27 พฤษภาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการเฝ้าระวังโรคฝีดาษวานร (Monkeypox) ว่า หลังเดินทางกลับจากการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA) สมัยที่ 75 มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับรายงานการเฝ้าระวังโรคฝีดาษวานรและมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรค จาก นายแพทย์โรม บัวทอง ผู้อํานวยการกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค กรมควบคุมโรค ซึ่งผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยยังต้องลงทะเบียนผ่าน Thailand pass หากพบผู้ป่วยที่สงสัยโรคฝีดาษวานร จะส่งมายังสถาบันบําราศนราดูร เพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยขณะนี้ผลการตรวจผู้ป่วยสงสัยที่เดินทางมาจากประเทศที่เฝ้าระวังยังไม่พบเชื้อโรคฝีดาษวานร แต่พบเป็นเชื้อเริม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคใดก็ต้องระวังเรื่องการสัมผัสใกล้ชิด ดังนั้น การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ และการเว้นระยะห่าง สามารถช่วยป้องกันได้
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก ได้เข้าพบ นายเท็ดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก หารือเรื่องการขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษ ซึ่งรับปากว่าหากมีความจําเป็นจะให้การสนับสนุนตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้เตรียมการพึ่งพาตนเองด้วยโดยองค์การเภสัชกรรมมีการเก็บวัคซีนโรคฝีดาษคนแช่แข็งไว้กว่า 40 ปี ได้ส่งไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อตรวจสอบคุณภาพแล้ว
******************************************** 27 พฤษภาคม 2565 | 2022-05-27 | 1,643.180054 | 1,638.75 | 1,646.369995 | 1,632.660034 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานช่วงวันหยุดยาว ขอประชาชนเดินทางท่องเที่ยวกลับภูมิลำเนาอย่างมีความสุข ปลอดภัย ย้ำกลุ่ม 608 นักเรียน นักศึกษา ฉีดวัคซีนให้ครบโดส | นายกฯ ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานช่วงวันหยุดยาว ขอประชาชนเดินทางท่องเที่ยวกลับภูมิลําเนาอย่างมีความสุข ปลอดภัย ย้ํากลุ่ม 608 นักเรียน นักศึกษา ฉีดวัคซีนให้ครบโดส
นายกฯ ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานช่วงวันหยุดยาว ขอประชาชนเดินทางท่องเที่ยวกลับภูมิลําเนาอย่างมีความสุข ปลอดภัย ย้ํากลุ่ม 608 นักเรียน นักศึกษา ฉีดวัคซีนให้ครบโดส เตือน การเว้นระยะห่าง-สวมหน้ากาก ยังมีความจําเป็น
วันนี้ (12 กรกฎาคม 2565) เวลา 12.00 น. ณ ทางเชื่อมตึกสันติไมตรีและตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า รัฐบาลเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนงานด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง ยืนยันรัฐบาลมีสถานะทางการคลังที่มีเสถียรภาพและมีความมั่นคง จากโอกาสใหม่ ๆ ในการเจรจากับต่างประเทศ รวมทั้งรายได้จากภาคการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง ตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาล ทั้งนี้ ขอให้เฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีขอบคุณพร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เสียสละ ทุ่มเท และอุทิศตนทํางานหนักเพื่ออํานวยความสะดวกและให้บริการประชาชนในการเดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลําเนา รวมทั้งเจ้าหน้าที่ กําลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังในพื้นที่ทุรกันดารและแนวชายแดนด้วย พร้อมขอให้ประชาชนเดินทางไป-กลับด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท ดูแลรักษาสุขภาพ ปฏิบัติตนตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตนเองและครอบครัว และขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดช่วงวันหยุดยาวนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ (BA.4 - BA.5) ที่กําลังแพร่ระบาดในประเทศ จากรายงานพบว่ามีการติดเชื้อได้ง่าย อัตราการแพร่เชื้อเร็ว และหลบภูมิได้ และข้อมูลสถิติยอดผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือฉีดไม่ครบโดส หรือมีโรคประจําตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคเป็นสิ่งสําคัญ ดังนั้น จึงขอความร่วมมือกลุ่มเสี่ยง 608 นักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ฉีดไม่ครบ หรือครบรอบการฉีดเข็มกระตุ้น เข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อตนเองและครอบครัว โดยรัฐบาลได้เตรียมสถานที่ฉีด จํานวนวัคซีน และบุคลากรทางการแพทย์ไว้เพียงพอสําหรับให้บริการประชาชน อย่างไรก็ตาม แม้เข้ารับการฉีดวัคซีนครบจํานวนแล้ว การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เช่น การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก ยังเป็นสิ่งจําเป็นที่ต้องปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐนตรีกล่าวแสดงความมั่นใจในระบบสาธารณสุขของไทย รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่มีศักยภาพในการดูแลประชาชนหากสถานการณ์การแพร่ระบาดเปลี่ยนแปลงหรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น | 2022-07-12 | 1,553.829956 | 1,546.800049 | 1,556.900024 | 1,542.949951 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เจ๋ง! ไทยติดระดับโลก ลดเชื้อ HIV - ซิฟิลิส จากแม่สู่ลูก | เจ๋ง! ไทยติดระดับโลก ลดเชื้อ HIV - ซิฟิลิส จากแม่สู่ลูก
....
ถือเป็นข่าวดี ที่ประเทศไทยได้รับการประกาศรับรองคุณภาพความสําเร็จในการยุติการถ่ายทอดเชื้อ HIV และซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก เป็นครั้งที่ 3 และยังได้รับรางวัลจากองค์การอนามัยโลกอีกด้วย
.
ถือว่าเป็นประเทศที่ 2 ของโลกที่ได้ประกาศความสําเร็จดังกล่าว ในเวทีการประชุม Global Validation Advisory Committee ณ นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
.
ต่อจากนี้ไป รัฐบาลจะดําเนินการดูแลควบคุมป้องกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กทารกที่เกิดจากแม่ติดเชื้อ HIV มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
.
โดยช่วงเวลาที่ผ่าน สามารถป้องกันเด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ HIV ขณะตั้งครรภ์ ได้ปีละประมาณ 3,500 คน ทําให้มีเด็กทารกที่ติดเชื้อ HIV ต่ํากว่า 50 รายต่อปี
.
ระยะต่อไป จะเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลสําหรับการติดตามสถานการณ์การแพร่ของโรคให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ว่า ภายในปี 2573 จะต้องลดการติดเชื้อรายใหม่ให้ต่ํากว่า 1,000 ราย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | 2021-06-17 | 1,621.380005 | 1,617.650024 | 1,631.689941 | 1,615.619995 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังรักษ์โลก หนุนพลังงานสะอาด จับมือ EGAT เปิดสถานีอัดประจุไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในสถานที่ราชการแห่งแรก | กระทรวงการคลังรักษ์โลก หนุนพลังงานสะอาด จับมือ EGAT เปิดสถานีอัดประจุไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในสถานที่ราชการแห่งแรก
ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุน ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และมลภาวะทางอากาศ รวมถึงตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สําคัญของโลก
นายธีรัชย์ อัตนวานิช รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุน ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และมลภาวะทางอากาศ รวมถึงตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สําคัญของโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
กระทรวงการคลัง ตระหนักดีถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานสะอาด จึงได้สนับสนุนการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ในการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า EleX by EGAT ภายในพื้นที่ของกระทรวงการคลัง เพื่อใช้สําหรับรถยนต์ของทางราชการ อํานวยความสะดวกให้ข้าราชการและผู้มาติดต่อราชการกระทรวงการคลัง โดยสถานีดังกล่าวเป็นสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบ Normal Charge ขนาด 22 กิโลวัตต์ จํานวน 2 เครื่อง ซึ่งจะเป็นโมเดลสถานีอัดประจุไฟฟ้าต้นแบบสถานีอัดประจุไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในสถานที่ราชการแห่งแรก และจะใช้เป็นตัวอย่างให้กับหน่วยงานราชการอื่นต่อไป
“โครงการนี้นับเป็นก้าวสําคัญในการสร้างสรรค์แนวทางการใช้พลังงานสะอาดในหน่วยงานราชการ ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ซึ่งจะมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในส่วนราชการ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) แก้ปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นจากภาคขนส่งในปัจจุบัน และบรรลุเป้าหมายการสร้างเศรษฐกิจใหม่ผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยต่อไปในอนาคต”
สํานักบริหารกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
0 2126 5800 ต่อ 2237, 2277 | 2021-11-25 | 1,654.939941 | 1,648.459961 | 1,656.459961 | 1,644.869995 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 หายป่วยแล้วกว่า 80% พร้อมเตรียมลดสถานะ 2 เรือนจำสีแดงเป็นเรือนจำสีขาว | กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 หายป่วยแล้วกว่า 80% พร้อมเตรียมลดสถานะ 2 เรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําสีขาว
กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 หายป่วยแล้วกว่า 80% พร้อมเตรียมลดสถานะ 2 เรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําสีขาว
นายวัลลภฯ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในเรือนจําและทัณฑสถานในวันนี้ พบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่าผู้ติดเชื้อที่รักษาหายอย่างต่อเนื่อง โดยพบผู้ป่วยรักษาหายสะสมกว่า 80% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ส่งผลให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ระหว่างการรักษา 6,499 ราย และคาดว่าจะมีจํานวนผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้นอีกต่อเนื่อง จากจํานวนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่มีกว่าร้อยละ 90 ของผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ระหว่างการรักษา ที่ส่วนใหญ่จะสามารถหายป่วยได้ตามกําหนดระยะเวลาของโรคคือประมาณ 14 วัน นับจากวันตรวจพบเชื้อ ภายใต้การดูแลของกรมราชทัณฑ์ ตามลักษณะอาการร่วมกับการให้ยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรและยาผงฟ้าทะลายโจรร่วมด้วย และในส่วนของผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง และสีแดง ซึ่งได้รับการรักษาภายในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลเรือนจํากลางบางขวาง ยังคงพบว่ามีแนวโน้มของผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวลดลง และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 โดยมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 28 ราย หรือร้อยละ 0.08 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด
นายวัลลภฯ กล่าวต่อว่า ด้านมาตรการเพื่อลดสถานะเรือนจํา/ทัณฑสถานจากการเป็นเรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําปกติ ปัจจุบัน มีเรือนจํา/ทัณฑสถานที่อยู่ระหว่างรอระยะเวลาเพื่อลดสถานะจํานวน 2 แห่ง คือ เรือนจําจังหวัดนนทบุรี และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง ซึ่งคาดว่าจะประกาศลดสถานะได้ภายในเดือนมิถุนายน 2564 นี้ ส่วนเรือนจําที่เริ่มดําเนินการได้บางส่วน คือ สามารถแบ่งแยกแดนที่เป็นสีขาวปลอดเชื้อบางส่วนได้แล้ว คือ เรือนจํากลางเชียงใหม่ ทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจํากลางบางขวาง ที่เป็นเรือนจําขนาดใหญ่ที่สามารถบริหารจัดการพื้นที่ รวมถึงการคัดกรองที่รวดเร็ว จนสามารถรักษาและลดจํานวนผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินเพื่อเข้าแผนการปรับลดสถานะจากเรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําปกติ เช่นเดียวกับ เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร และเรือนจําพิเศษธนบุรี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเช่นเดียวกัน
นายวัลลภฯ กล่าวปิดท้ายว่า ในส่วนของแผนการดําเนินงานระยะต่อไป จะเป็นการเริ่มวางแผนเพื่อคืนพื้นที่เรือนจํา/ทัณฑสถาน จากเรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําสีขาว ที่สามารถรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ได้ปกติ ควบคู่กับแผนการป้องกันเชื้อเข้าสู่เรือนจํา/ทัณฑสถาน ที่ต้องมีการดําเนินการอย่างเข้มงวดและเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในเรือนจํา/ทัณฑสถานชั้นในได้อีก โดยเฉพาะการเร่งฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังเพื่อให้ครอบคลุมทุกราย ซึ่งเป็นนโยบายที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้เน้นย้ําเป็นพิเศษ เนื่องจากถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเป็นพิเศษ ควบคู่กับแผนการฉีดวัคซีนของประชาชนทั่วไป | 2021-06-16 | 1,622.780029 | 1,624.790039 | 1,631.22998 | 1,619.22998 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. บันทึกเทปวีดิทัศน์ผลการประกวดคลิปดนตรีพื้นบ้านและการแสดงพื้นบ้านฯ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ “รวมศิล | รมว.วธ. บันทึกเทปวีดิทัศน์ผลการประกวดคลิปดนตรีพื้นบ้านและการแสดงพื้นบ้านฯ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ “รวมศิล
บันทึกเทปวีดิทัศน์ผลการประกวดคลิปดนตรีพื้นบ้านและการแสดงพื้นบ้านฯ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม”
วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปวีดิทัศน์ผลการประกวดคลิปดนตรีพื้นบ้านและการแสดงพื้นบ้านฯ ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช ๒๕๖๔ “รวมศิลป์ แผ่นดินสยาม” โดยมีนางสาวอัจฉราพร พงษ์ฉวี รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม | 2021-09-06 | 1,652.329956 | 1,648.369995 | 1,655.040039 | 1,644.560059 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลวอน อย่าแปลคำพูดนายกฯ เกินความหมาย ชี้ “สวดมนต์” นายกฯ มีเจตนาเพื่อให้คลายความทุกข์พร้อมรับสถานการณ์ โดยนายกฯ จะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำ จ.ชัยภูมิ วันที่ 29 นี้ | โฆษกรัฐบาลวอน อย่าแปลคําพูดนายกฯ เกินความหมาย ชี้ “สวดมนต์” นายกฯ มีเจตนาเพื่อให้คลายความทุกข์พร้อมรับสถานการณ์ โดยนายกฯ จะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ํา จ.ชัยภูมิ วันที่ 29 นี้
โฆษกรัฐบาลวอน อย่าแปลคําพูดนายกฯ เกินความหมาย ชี้ “สวดมนต์” นายกฯ มีเจตนาเพื่อให้คลายความทุกข์พร้อมรับสถานการณ์ โดยนายกฯ จะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ํา จ.ชัยภูมิ วันที่ 29 นี้
วันที่ 27 กันยายน 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจํานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดจากพายุเตี้ยนหมู่อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายนจนถึงปัจจุบัน มีพื้นที่ 27 จังหวัดได้รับผลกระทบน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลาก นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์อากาศตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน – 2 ตุลาคม จะยังคงมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและภาคกลางตอนล่าง โดยเฉพาะ 12 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร รวมถึงกรุงเทพมหานคร ขอให้มีการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ําล้นตลิ่งจากระดับน้ําในแม่น้ําเจ้าพระยาที่เพิ่มสูงขึ้น สําหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา บริษัทห้างร้าน หรือการเพาะปลูก/เลี้ยงสัตว์ เตรียมขนย้ายของขึ้นที่สูงและระมัดระวังการสัญจรทางน้ํา
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีห่วงพี่น้องประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม โดยเฉพาะหลายพื้นที่ระดับน้ํายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังอาจมีน้ําป่าไหลหลากที่จะส่งผลให้น้ําท่วมเฉียบพลันได้ ขอให้กระทรวง หน่วยงาน เร่งให้การช่วยเหลือดูแล โดยเฉพาะสถานที่เปราะบาง เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน วัด ศาสนสถาน รวมถึงพื้นที่สาธารณประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหายด้วย พร้อมทั้งยังฝากขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทหาร รวมถึงจิตอาสา กู้ภัย ที่ร่วมกันปฏิบัติงานท่ามกลางสถานการณ์อันยากลําบากด้วย
นายธนกรกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอความเป็นธรรมให้กับนายกรัฐมนตรีด้วย ในฐานะโฆษกรัฐบาลได้ติดตามนายกฯ ลงพื้นที่ ล่าสุดได้ร่วมตรวจเยี่ยมพื้นที่น้ําท่วมสุโขทัย ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้บอกสวดมนต์ไล่น้ํา แต่มีเจตนาให้ทําทุกอย่างเพื่อให้คลายความทุกข์ พร้อมรับสถานการณ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทํางานอย่างเต็มที่ทุกมาตรการ ยังเตรียมลงพื้นที่ จ. ชัยภูมิ และจังหวัดอื่น ๆ ภายในสัปดาห์นี้ด้วย | 2021-09-27 | 1,637.300049 | 1,620.02002 | 1,639.969971 | 1,616.599976 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนพฤษภาคม 2564 | รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤษภาคม 2564
ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีจํานวนผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดําเนินการแล้วสะสมสุทธิ 979 ราย ใน 75 จังหวัด
นางสาวสภัทร์พร ธรรมาภรณ์พิลาศ รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีจํานวนผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดําเนินการแล้วสะสมสุทธิ 979 ราย ใน 75 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (575 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (159 ราย) ภาคเหนือ (126 ราย) ภาคตะวันออก (67 ราย) และภาคใต้ (52 ราย) ตามลําดับ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2564 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้วจํานวนทั้งสิ้น 529,909 บัญชี รวมเป็นวงเงิน 12,216.13 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 23,053.26 บาทต่อบัญชี ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
(1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 มีจํานวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 880 ราย ใน 74 จังหวัด และมีจํานวนผู้เปิดดําเนินการแล้ว 841 ราย ใน 74 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดําเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (77 ราย) กรุงเทพมหานคร (66 ราย) และขอนแก่น (51 ราย)
(2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 มีจํานวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 153 ราย ใน 49 จังหวัด (เพิ่มขึ้น 3 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และมีจํานวนผู้เปิดดําเนินการแล้ว 138 ราย ใน45 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดําเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (20 ราย) อุดรธานี (9 ราย) อุบลราชธานีและกรุงเทพมหานคร (จังหวัดละ 8 ราย)
(3) ภาพรวมสถานะสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 มียอดสินเชื่อคงค้างจํานวนทั้งสิ้น 191,469 บัญชี คิดเป็นจํานวนเงิน 4,131.24 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชําระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 26,404 บัญชี หรือคิดเป็นจํานวนเงินสะสมรวม 602.70 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.59 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชําระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจํานวน 31,210 บัญชี หรือคิดเป็นจํานวนเงินสะสมรวม 738.43 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.87 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดําเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2564 สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ดําเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมายจํานวนสะสม 9,352 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2564 จํานวน 146 ราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
•สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
•ศูนย์ดํารงธรรม สายด่วน 1567
•ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
•ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359 | 2021-06-29 | 1,580.890015 | 1,591.430054 | 1,596.079956 | 1,579.439941 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด.อำพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ำตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ำตาลทราย ณ ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด | รองปลัด.อําพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย ณ ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด
รองปลัด.อําพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย ณ ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด
นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการน้ําตาลทราย พร้อมด้วย นายประสิทธิ์ วงษาเทียม ผู้อํานวยการกองอุตสาหกรรมอ้อย น้ําตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นายสมนึก มั่นในบุญธรรม ผู้อํานวยการสํานักบริหารอ้อยและน้ําตาลทราย คณะกรรมการน้ําตาลทราย เจ้าหน้าที่ของ สอน. และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย ณ ด่านศุลกากรคลองใหญ่ ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด โดยมี นางสุทัศนีย์ สุภาพันธ์ นายด่านศุลกากรคลองใหญ่ ให้การต้อนรับและบรรยายพิธีการศุลกากรการส่งสินค้าออก ขั้นตอนในการส่งสินค้า ภารกิจ บทบาทหน้าที่ของด่านศุลกากรคลองใหญ่ จากนั้นคณะได้เดินทางไปดูงานการขนย้ายน้ําตาลทราย ณ ท่าเรือส.กฤตรวัณ ด้วย | 2022-02-24 | 1,683.920044 | 1,662.719971 | 1,690.5 | 1,656.619995 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายอนุชาฯ ถวายเครื่องสักการะเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจำปี 2564 พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสัมพันธวงศ์ หรือ Community Isolation (CI) | รมต. นร. นายอนุชาฯ ถวายเครื่องสักการะเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2564 พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสัมพันธวงศ์ หรือ Community Isolation (CI)
รมต. นร. นายอนุชาฯ ถวายเครื่องสักการะเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2564 พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสัมพันธวงศ์ หรือ Community Isolation (CI)
วันนี้ (18 สิงหาคม 2564) เวลา 09.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เข้าถวายเครื่องสักการะ ประกอบด้วย พานธูปเทียนแพ พุ่มดอกไม้ ผ้าไตร และเครื่องไทยธรรม แด่พระพรหมเสนาบดี (พิมพ์ ญาณวีโร ป.ธ.๗) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2564
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจเยี่ยมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสัมพันธวงศ์ หรือ Community Isolation (CI) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีผลการตรวจรับรองว่าติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการในพื้นที่เขต โดยจะใช้แยกผู้ป่วยที่ต้องการแยกกักตัวจากครอบครัวและชุมชน เนื่องจากไม่สามารถแยกกักตัวที่บ้านได้ (Home Isolation : HI) ซึ่งจะมีการประเมินคัดกรองอาการผู้ป่วยในเบื้องต้น เพื่อรอการส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาล เป็นการลดปัญหาการแพร่ระบาดและติดเชื้อของคนในครอบครัวและชุมชน โดยทางศูนย์มีการแยกโซนผู้ป่วยชายและหญิง มีจํานวนเตียงทั้งสิ้น 46 เตียง แบ่งเป็น เตียงผู้ชาย จํานวน 23 เตียง เตียงผู้หญิง จํานวน 23 เตียง และแยกโซนผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความเป็นสัดส่วน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ตลอดจนจัดเตรียมจุดรับลงทะเบียนผู้ป่วย ซึ่งเป็นจุดแรกเข้า พร้อมอุปกรณ์สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จําเป็นให้แก่ผู้ป่วย รวมถึงสถานที่คัดแยกขยะติดเชื้อ การจัดระบบการดูแลเรื่องความสะอาดภายในศูนย์ฯ ระบบไฟฟ้า ระบบกล้อง CCTV ระบบการสื่อสารภายในระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางทางแพทย์ และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ป่วยภายในศูนย์พักคอยฯ เป็นต้น
...................... | 2021-08-18 | 1,546.709961 | 1,551.869995 | 1,557.079956 | 1,545.329956 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าในระบบขนส่งทางน้ำ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม | กรมเจ้าท่า ส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าในระบบขนส่งทางน้ํา ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
...
จากนโยบายรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มอบนโยบายให้กรมเจ้าท่าส่งเสริมการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าใช้ในระบบขนส่งทางน้ํา เพื่อประหยัดพลังงานของประเทศ ลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม
กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม โดยสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขานครปฐม ได้นําเจ้าหน้าที่ออกตรวจพื้นที่ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว โดยใช้เรือเพลาใบจักรยาวที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นยานพาหนะเพื่อเป็นแบบอย่างในการรณรงค์ให้เกิดการปฏิบัติตามนโยบายฯ พร้อมกํากับดูแลความปลอดภัย รวมถึงตรวจวัดความดังเครื่องยนต์ของเรือบรรทุกผู้โดยสารในพื้นที่เขตควบคุมความเร็ว พื้นที่คลองดําเนินสะดวก อําเภอดําเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
กรมจ้าท่า ได้ร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาชนในพื้นที่ ในการแก้ไขปัญหามลภาวะทางเสียงและทางอากาศจากเรือหางยาว ซึ่งได้มีการจัดทําเรือหางยาวไฟฟ้าต้นแบบขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนเรือหางยาวจากประชาชนในพื้นที่ในการพัฒนาเรือต้นแบบ เป็นเรือที่ชาวบ้านใช้ประกอบอาชีพอยู่เดิมนํามาดัดแปลงเปลี่ยนเครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้าทดแทนเครื่องยนต์เดิม 1 ลํา และภาคเอกชนสนับสนุนเพิ่มเติมอีก 1 ลํา (เสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2564) ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับฯ ของสํานักมาตรฐานเรือ กรมเจ้าท่า เพื่อแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของประชาชนกรณีเรือเสียงดัง ควันดํา ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองใช้งานเรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้านั้นสามารถลดมลพิษทางเสียงได้จาก 90-100 เดซิเบล ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการใช้น้ํามันเชื้อเพลิงจาก 100 บาท/ชั่วโมง/เที่ยว เหลือเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับการชาร์จแบตเตอรี่เพียง 25 บาท/ชั่วโมง/เที่ยว โดยเครื่องยนต์จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ามีแบตเตอรี่เพื่อเก็บพลังงาน ซึ่งการชาร์จ 1 ครั้ง จะวิ่งได้ประมาณ 2 ชั่วโมง รวมถึงการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ขณะใช้เรือได้อีกทางหนึ่งด้วย สําหรับเรือพลังงานไฟฟ้าลําดังกล่าว เป็นเรือที่ใช้งานในคลองดําเนินสะดวก เป็นเรือต้นแบบที่ไร้มลพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ กรมเจ้าท่า ขอความร่วมมือผู้ประกอบการท่าเรือ เจ้าของเรือ ผู้ควบคุมเรือ และนักท่องเที่ยวให้สวมใส่เสื้อชูชีพตลอดเวลา ขณะเดินทางทางน้ํา เพื่อความปลอดภัย สวมหน้ากากอนามัย และหมั่นทําความสะอาดมือ และให้ปฏิบัติตามคําแนะนําจากหน่วยงาน ด้านสาธารณสุขในท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด หากพบเห็นความไม่ปลอดภัยทางน้ํา สามารถโทรแจ้งสายด่วน 1199 กรมเจ้าท่า ตลอด 24 ชั่วโมง | 2022-05-31 | 1,654.27002 | 1,663.410034 | 1,663.52002 | 1,649.599976 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 นำประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนฯ (อขจพ.) พร้อมเตรียมนำผลงานสำคัญเสนอต่อที่ประชุม คจพ. | มท.1 นําประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนฯ (อขจพ.) พร้อมเตรียมนําผลงานสําคัญเสนอต่อที่ประชุม คจพ.
มท.1 นําประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนฯ (อขจพ.) พร้อมเตรียมนําผลงานสําคัญเสนอต่อที่ประชุม คจพ.
วันนี้ (13 มิ.ย. 65) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (อขจพ.) โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางสาวกาญจนา ภูพิพัฒน์ผล รองผู้อํานวยการสํานักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร ดร.นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ดร. สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในฐานะคณะอนุกรรมการฯ อาทิ นางบุปผา พันธุ์เพ็ง รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวมนิดา ลิ่มนิจสรกุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นางสาวนฤมล สงวนวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช ผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นายนิวัฒน์ น้อยผาง นายวิฑูรย์ นวลนุกูล นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การดําเนินการในช่วงที่ผ่านมาพบว่า กลไกทุกระดับมีแนวทางการดําเนินงานในพื้นที่ครบถ้วนตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและแนวทาง คจพ. โดยในขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาของขั้นตอนการบูรณาการความช่วยเหลือจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของพื้นที่ ขณะนี้ถือว่ามีความคืบหน้าตามลําดับ และนอกจากนี้ จากการลงพื้นที่ของผู้ปฏิบัติได้มีเสียงสะท้อนจากระดับพื้นที่เกี่ยวกับการดําเนินงานขับเคลื่อนฯ ที่จําเป็นต้องหารือเพื่อเสนอต่อที่ประชุม คจพ. พิจารณา จึงเป็นที่มาของการประชุมในวันนี้
นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ในฐานะฝ่ายเลขานุการที่ประชุม ได้รายงานผลความก้าวหน้า โดยจํานวนครัวเรือนที่ได้รับการสํารวจปัญหาและเป็นเป้าหมายที่ต้องให้ความช่วยเหลือตามระบบ TPMAP มีจํานวน 647,139 ครัวเรือน ซึ่งได้ดําเนินการสํารวจและแก้ไขปัญหาโดยหน่วยงานตามอํานาจหน้าที่ตามเมนูแก้จนใน 5 มิติ ได้แก่ 1) มิติสุขภาพ พบสภาพปัญหา 133,872 ครัวเรือน ได้รับความช่วยเหลือแล้ว 71,947 ครัวเรือน 2) มิติความเป็นอยู่ พบสภาพปัญหา 134,901 ครัวเรือน ได้รับความช่วยเหลือ แล้ว 66,315 ครัวเรือน 3) มิติการศึกษา พบสภาพปัญหา 134,044 ครัวเรือน ได้รับความช่วยเหลือแล้ว 79,153 ครัวเรือน 4) มิติรายได้ พบสภาพปัญหา 314,667 ครัวเรือน ได้รับความช่วยเหลือแล้ว 150,403 ครัวเรือน และ 5) มิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ พบสภาพปัญหา 2,649 ครัวเรือน ได้รับความช่วยเหลือแล้ว 1,215 ครัวเรือน
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ได้สะท้อนว่ายังมีครัวเรือนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนนอกเหนือจากตัวชี้วัดของระบบ TPMAP ซึ่งสภาพปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว จําเป็นต้องได้รับการแก้ไขและช่วยเหลือ และที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ในวันนี้ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน จึงมีมติเห็นชอบในหลักการให้นําเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุม คจพ. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาให้กลุ่มเป้าหมายที่ตกหล่นได้รับการกําหนดเป็นเป้าหมายในระบบ TPMAP
““คนเราเวลามีปัญหาจะรอไม่ได้” ต้องเข้าไปแก้ทันที เช่น ถ้าเขามีหนี้ และเราช่วยหาวิธีการทําให้เขาหมดหนี้ และมีเงินทุนในการประกอบอาชีพ แบบนี้เรียก “สําเร็จ” แต่ถ้าเขาไปเจอสาธารณภัยซ้ําทําให้ล้มเหลวอีก เราก็ต้องไปประเมินหาทางช่วยเหลือต่อไป เพราะของเก่าก็แย่ ของใหม่ก็แย่ไปอีก ก็ต้องช่วยกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เสร็จในคราวเดียว ซึ่งเปรียบคนกลุ่มนี้เป็นนักเรียนที่เรียนหนังสือในห้องเรียน จะมีคนกลุ่มหนึ่งเรียนอ่อน ซึ่งเราก็ติวเสริมพิเศษให้ แล้วก็ต้องสอบปลายภาค โดยนักเรียนคนที่เราติวไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจะเก่งเลย ในปีต่อไปถ้าเขาเก่งขึ้นจนช่วยตัวเองได้ เราก็จะติวต่อไป และต้องทําให้สําเร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 เพื่อให้ทุกส่วนราชการได้ดําเนินการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนตามอํานาจหน้าที่ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสื่อสารให้สังคมเกิดความตื่นตัว ทําให้สังคมรับรู้ว่าเราไม่ได้นิ่งเฉยกับการดูแลคนที่ยากลําบาก” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
ด้าน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอในฐานะนายกรัฐมนตรีของจังหวัดและอําเภอได้เป็นผู้นําแก้ไขปัญหาความยากจนร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น เหล่ากาชาดจังหวัด แม่บ้านมหาดไทยจังหวัด รวมถึงห้างร้าน สมาคม มูลนิธิ ในระดับพื้นที่ พุ่งเป้าช่วยเหลือครัวเรือนยากจากและประสบความเดือดร้อนทุกเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง อาทิ การสร้างที่อยู่อาศัยที่มั่นคงแข็งแรง การจัดหารถวีลแชร์ให้กับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ พร้อมทั้งเน้นย้ําในการสร้างการรับรู้สื่อสารสังคมตามนโยบายของ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญ ด้วยการใช้ช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้ง Online Onsite Onground ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดพลังความร่วมมือ พลังแห่งความเข้าใจจากทุกภาคส่วน เพื่อปลายทาง คือ “ทําให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีความสุข” อย่างยั่งยืน | 2022-06-13 | 1,611.839966 | 1,600.060059 | 1,616.310059 | 1,599.339966 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM pleased with success of historic visit to Saudi Arabia | PM pleased with success of historic visit to Saudi Arabia
PM pleased with success of historic visit to Saudi Arabia
January 26, 2022, following Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha’s official visit to the Kingdom of Saudi Arabia upon an invitation of His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud, Crown Prince, Deputy Prime Minister, and Minister of Defense of Saudi Arabia, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that the Prime Minister commended relevant agencies for their hard work under the Prime Minister’s policy and guidance that has led to the success of the historic visit. This visit also marks the first Government-level visit in more than 30 years. The meeting took place in a cordial manner, and the Prime Minister received a warm welcome that fitted his honor.
The Prime Minister was very pleased with the success in the opening of a new chapter in the relations between Thailand and Saudi Arabia, and expressed confidence that restoration of bilateral relations between the two Kingdoms would bring about mutual benefits at all levels in a comprehensive manner.
At the meeting with Thai community and students in Riyadh, the Prime Minister also called on everyone to join hands in advancing toward this new chapter of mutual relations. The Government would like to promote bilateral relations under which all the people enjoy the benefits. The Prime Minister also emphasized the Government’s commitment to take good care of the Thai people in Saudi Arabia.
According to the Government Spokesperson, the Prime Minister instructed concerned ministers and agencies to take immediate action in establishing dialogue and liaison mechanisms to advance bilateral relations and cooperation, especially in key strategic areas, in a tangible manner. | 2022-01-27 | 1,633.780029 | 1,634.170044 | 1,635.140015 | 1,617.869995 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงมหาดไทย เผยประเด็นการตรวจราชการ ประจำเดือนสิงหาคม 2565 กำชับตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม | หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงมหาดไทย เผยประเด็นการตรวจราชการ ประจําเดือนสิงหาคม 2565 กําชับตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
หัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงมหาดไทย เผยประเด็นการตรวจราชการ ประจําเดือนสิงหาคม 2565 กําชับตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 5/2565 พร้อมด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกรม ผู้แทนจากส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้ช่วยผู้ตรวจราชการกระทรวง และกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมสํานักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุภาพ และผ่านระบบออนไลน์
นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาข้อราชการสําคัญตามภารกิจของกระทรวงมหาดไทย และกําหนดเป็นประเด็นการตรวจราชการ ประจําเดือนสิงหาคม 2565 ดังนี้
1. การตรวจติดตามการดําเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดําริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นกิจกรรมขยายผลเกษตรเพื่ออาหารกลางวันอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้จัดทําโครงการในพื้นที่ 21 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ตราด พระนครศรีอยุธยา สระแก้ว สุพรรณบุรี นครพนม บุรีรัมย์ สุรินทร์ หนองบัวลําภู อุบลราชธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช พังงา ระนอง สตูล และสุราษฎร์ธานี เพื่อน้อมนําแนวพระราชดําริ และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้เป็นหลักในการพัฒนาและแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
2. การตรวจติดตามการดําเนินโครงการสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมจิตอาสาของจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อให้มีการขับเคลื่อนการดําเนินกิจกรรมจิตอาสาในจังหวัด และติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงาน
3. การตรวจติดตามการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ได้มาจากการใช้จ่ายงบประมาณของจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด เพื่อให้การบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ได้มาจากการใช้จ่ายงบประมาณของจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. การตรวจติดตามการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้นําข้อสั่งการของปลัดกระทรวงมหาดไทย ในการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาล และภารกิจสําคัญของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้เน้นย้ําให้ทุกจังหวัด เร่งดําเนินการในการแก้ไขปัญหาความยากจน ทั้งนี้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําให้จังหวัดตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อสํารวจคนยากจนให้ครบทุกครัวเรือนไม่ให้ตกหล่น และช่วยกันแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับประชาชนในพื้นที่
นายโสภณ สุวรรณรัตน์ รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในการตรวจราชการที่ผ่านมา ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยทุกท่าน ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง ทําให้การขับเคลื่อนโครงการขับเคลื่อนการขจัดความยากจน เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้พี่น้องประชาชน โดยบูรณาการในทุกภาคส่วนทั้งพื้นที่ในระดับอําเภอ และช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ว่าราชการจังหวัดในการติดตามขับเคลื่อนโครงการฯ ดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาประเด็นเน้นย้ําในการขับเคลื่อนงานตามภารกิจของกระทรวงมหาดไทย 3 ประเด็น 1) การบริหารงานตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และการสวมใส่ผ้าไทย และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ไปยังกลุ่ม OTOP กลุ่มศิลปาชีพ กลุ่มผ้าบาติก กลุ่มผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด ผ้าแพรวา ยกดอก ทุกเทคนิค ทุกรูปแบบ เพื่อให้การส่งผ้าเข้าร่วมประกวดโครงการประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ซึ่งได้มีการขยายเปิดรับสมัครถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2565 2) การดําเนินการจัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด พ.ศ. 2564 – 2570 ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนด และ 3) การลดอุบัติเหตุทางถนน เนื่องจากเป็นโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ จึงมีมติเน้นย้ําผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดให้สั่งการหน่วยงานและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ วางแผน แก้ไขปัญหา วางมาตรการฯ ให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และกําชับจังหวัดที่มีอัตราผู้เสียชีวิต เกินร้อยละ 50 ของค่าเป้าหมาย ให้เพิ่มความเข้มข้นในการดําเนินมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทาง
นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ในการตรวจราชการ ขอให้ผู้ตรวจราชการทุกท่าน ตรวจติดตามการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ตามประเด็นเน้นย้ําอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้ทราบปัญหาและอุปสรรค และเร่งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามประเด็น เพื่อมุ่งสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมสําหรับประเด็นการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยทุกเขตตรวจราชการ กําชับส่วนราชการในทุกจังหวัดร่วมพูดคุยกับประชาคมด้านการปกครองท้องที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในจังหวัดในการหาระบบสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยจากสาธารณภัยในทุกสาธารณภัยด้วย | 2022-08-03 | 1,590.52002 | 1,594.72998 | 1,597.73999 | 1,586.48999 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางช่วยเหลือและส่งเสริมผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมีอย่างไร | แนวทางช่วยเหลือและส่งเสริมผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมีอย่างไร
กระทู้ถามของสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง มาตรการในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเชื่อมต่อโครงการก่อสร้างทางรถไฟของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวสู่จังหวัดหนองคาย
ถาม แนวทางช่วยเหลือและส่งเสริมผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมีอย่างไร
ตอบ ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิทธิประโยชน์อื่นๆ ดังนี้
1. การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ใน 5 กิจการเป้าหมาย
2. การสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบการ SMEs
2.1 การผ่อนคลายเงื่อนไขการขอรับสิทธิประโยชน์การลงทุน
2.2 การยกระดับการให้บริการด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน
2.3 การส่งเสริมผู้ประกอบการด้านอื่น เช่น ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุนและศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 138 ตอนพิเศษ 109 ง วันที่ 20 พ.ค. 64 | 2021-09-02 | 1,634.25 | 1,647.75 | 1,652.030029 | 1,633.119995 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมการดำเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน | นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน
นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (24 พฤษภาคม 2565) เวลา 08.45 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และนายมนูญ ทนะวัง ผู้ประกอบการร้าน Cocoa Valley Café เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอนิทรรศการ “ธ.ก.ส. ยกระดับชีวิตเกษตรกรไทย สู่สังคมที่ภาคภูมิ” โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเยี่ยมชมกิจกรรม
นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ “ธ.ก.ส. ยกระดับชีวิตเกษตรกรไทย สู่สังคมที่ภาคภูมิ” โดยนายมนูญ ทนะวัง เจ้าของ Cocoa Valley อําเภอปัว จังหวัดน่าน ผู้ชนะเลิศการประกวด โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด และได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจําปี 2563 จัดโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นเกษตรกรผู้ทําสวนโกโก้ที่ปลูกแบบอินทรีย์ เพื่อให้เป็นช็อคโกแลตแท้ฝีมือคนไทย และยังพัฒนาเป็นขนมและเครื่องดื่ม เช่น ช็อคโกแลต โกโก้แบบผงชงดื่ม ขนม น้ําโกโก้สด รวมถึงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เวชสําอางจากไขมันโกโก้ เช่น ครีมบํารุงผิว สครับผิวจากโกโก้ รวมไปถึงการนําเปลือกโกโก้ไปทําสีย้อมผ้า นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงธุรกิจไปสู่การท่องเที่ยว โดยการเปิดคาเฟ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาชิมผลผลิตจากสวน ทํารีสอร์ตเพื่อเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งยังเชิญชวนผู้สูงอายุมาร่วมกันทํางาน เพื่อให้ผู้สูงอายุในชุมชนมีกิจกรรมและมีรายได้เลี้ยงชีพโดยไม่ต้องพึ่งลูกหลาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมการดําเนินงานของ โกโก้ วัลเล่ย์ ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดธุรกิจภายในชุมชน เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สู่ชุมชน ซึ่งเป็นไปตามแนวทางและนโยบายที่รัฐบาลได้ให้ไว้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าดูแล ให้การสนับสนุน เพื่อให้เป็นต้นแบบแก่เกษตรกรอื่น ๆ ต่อไป | 2022-05-24 | 1,636.119995 | 1,626.22998 | 1,636.969971 | 1,625.930054 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสำรองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก | โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสํารองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก
โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสํารองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เหน็บมีแต่คนใจแคบเท่านั้น ที่ไม่คิดช่วยประชาชนที่กําลังลําบาก ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่ากรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคําสั่งให้กองทัพเตรียมใช้รถทหารช่วยขนส่งแทนรถบรรทุกหากมีการประท้วงหยุดงานนั้น จะยิ่งทําให้ประชาชนเดือดร้อนเข้าไปอีกว่า อยากเรียนชี้แจงกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เพื่อจะได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า การใช้รถทหารช่วยขนส่งแทนรถบรรทุกหากมีการประท้วงหยุดงานนั้น เป็นแผนสํารองในกรณีที่มีความจําเป็นจริงๆ เพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนเท่านั้น อยากให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อ่านข่าวให้จบทุกบรรทัดก่อนแล้วค่อยออกมาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่อ่านแค่พาดหัวข่าวแล้วก็รีบออกมาพูดผ่านสื่อ เพราะรังแต่จะยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน
นายธนกร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ระบุว่า ทหารไม่มีงานทําหรือ ถึงมีเวลาว่างพอที่จะเอารถที่ใช้ในราชการทหารออกมาช่วยขนส่งให้กับประชาชนนั้น งานของทหารคือ การดูแลช่วยเหลือประชาชน และรถที่ใช้ในราชการทหารก็มาจากภาษีของประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเอารถทหารไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กําลังลําบาก ที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ําท่วม ก็ยังมีการนํารถทหารเพื่อช่วยขนย้ายประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาแล้วทุกรัฐบาล คงมีแต่คนใจแคบเท่านั้น ที่ไม่คิดจะช่วยเหลือประชาชนที่กําลังลําบาก ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ปัญหานั้น คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 มีมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ํามัน โดยให้กองทุนน้ํามันตรึงราคากลุ่มราคาน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร แม้ราคาพลังงานตลาดโลกจะมีแนวโน้มขาขึ้นและล่าสุด ครม. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 เห็นชอบการขออนุมัติกู้ยืมเงินของสํานักงานกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง (สกนช.) เพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ํามันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อการดํารงชีพของประชาชน โดยให้ สกนช. ดําเนินการกู้เฉพาะวงเงิน 20,000 ล้านบาท ตามกรอบของกฎหมายกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงที่มีอยู่ และจะดําเนินการกู้เงินเพิ่มเติมวงเงิน 10,000 ล้านบาท ได้ต่อเมื่อ ร่าง พ.ร.ฎ. เปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินกู้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ํามันเชื้อเพลิงในประเทศฯ มีผลบังคับใช้แล้ว ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ นายกแก้ปัญหาโดยยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก
....................... | 2021-11-18 | 1,643.390015 | 1,651.02002 | 1,653.680054 | 1,642.5 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ค้ำให้! บสย. เปิดรับค้ำประกัน Soft Loan ระยะพิเศษ ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ สมัครได้ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66 | ค้ําให้! บสย. เปิดรับค้ําประกัน Soft Loan ระยะพิเศษ ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ สมัครได้ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66
.....
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดรับคําขอโครงการค้ําประกันสินเชื่อระยะพิเศษ Soft Loan Extra แก่ผู้ประกอบการ SMEs โดย ยกเว้นค่าดําเนินการค้ําประกัน ค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก เพียง 1% ต่อปี จากปกติ 1.75% เนื่องจากรัฐบาลออกให้ 0.75% ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 8 ปี ขอได้ตั้งแต่ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66
.
คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้ได้รับสินเชื่อต่อเนื่องไม่ต่ํากว่า 67,400 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นไม่ต่ํากว่า 84,000 ล้านบาท ลดความกังวลของธนาคารเรื่องการผิดนัดชําระหนี้ ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ ขอคําปรึกษาได้ที่ บสย. โทร 02-890-9999
.
อ่านเพิ่มเติม คลิก >>https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52985
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | 2022-03-28 | 1,678.130005 | 1,684.300049 | 1,687.199951 | 1,676.75 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจง รพ.เพชรบูรณ์ถูกแฮก ไม่ใช่ฐานข้อมูลหลักของผู้ป่วย ไม่กระทบบริการ | สธ.แจง รพ.เพชรบูรณ์ถูกแฮก ไม่ใช่ฐานข้อมูลหลักของผู้ป่วย ไม่กระทบบริการ
กระทรวงสาธารณสุข แจงกรณีมีผู้แฮกข้อมูลผู้ป่วยรพ.เพชรบูรณ์ไปขายบนเว็บไซต์ ตรวจสอบแล้วเป็นฐานข้อมูลย่อยที่โรงพยาบาลจัดทําเพื่ออํานวยความสะดวกการทํางานในโรงพยาบาล ไม่ใช่ระบบฐานข้อมูลหลักที่มีประวัติการรักษาผู้ป่วย ไม่กระทบการบริการ เบื้องต้นแจ้งความแล้ว
กระทรวงสาธารณสุข แจงกรณีมีผู้แฮกข้อมูลผู้ป่วยรพ.เพชรบูรณ์ไปขายบนเว็บไซต์ ตรวจสอบแล้วเป็นฐานข้อมูลย่อยที่โรงพยาบาลจัดทําเพื่ออํานวยความสะดวกการทํางานในโรงพยาบาล ไม่ใช่ระบบฐานข้อมูลหลักที่มีประวัติการรักษาผู้ป่วย ไม่กระทบการบริการ เบื้องต้นแจ้งความแล้ว ย้ําทุกโรงพยาบาลเข้มงวดมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์
วันนี้ (7 กันยายน 2564) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แถลงข่าวกรณีการแฮกข้อมูลผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์ธงชัยกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานว่า รพ.เพชรบูรณ์ ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีแฮกข้อมูลผู้ป่วยไปโพสต์ขายบนเว็บไซต์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2564 จึงร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินความเสียหายทันที พบว่าไม่ได้เป็นการแฮกฐานข้อมูลหลักที่ใช้ในการให้บริการและมีประวัติการรักษาผู้ป่วย แต่เป็นฐานข้อมูลที่โรงพยาบาลเขียนขึ้นบนโปรแกรมที่เปิดให้ใช้ฟรี (Open source) สําหรับใช้ในการทํางานของเจ้าหน้าที่ เช่น การสรุปข้อมูลผู้ป่วย การนัดหมายผู้ป่วย ตารางเวรแพทย์ และการคํานวณรายจ่ายในการผ่าตัดของกลุ่มศัลยกรรมกระดูกและข้อ เป็นต้น
“ข้อมูลที่ถูกแฮกส่วนใหญ่เป็นบางไฟล์ที่มีชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ สิทธิการรักษา แต่ไม่ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลการตรวจรักษา โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ยังสามารถให้การดูแลคนไข้ได้ปกติ โดยข้อมูลที่ถูกแฮกมีประมาณ 18,000 กว่าราย ไม่ใช่ 16 ล้านราย เนื่องจากเพชรบูรณ์มีประชากรไม่ถึงล้านคน ซึ่งกรณีนี้ต่างจาก รพ.สระบุรี ที่ถูกแฮกระบบฐานข้อมูลหลักจนทําให้จุดบริการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม
การกระทําดังกล่าวมีความผิดตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 มีโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และ กฏหมายอื่น ที่เกี่ยวข้อง” นายแพทย์ธงชัยกล่าว
นายแพทย์ธงชัยกล่าวว่า ขณะนี้ได้แจ้งความแล้ว และกระทรวงดิจิทัลฯ กําลังติดตามตรวจสอบหาแฮกเกอร์ ซึ่งไม่ได้เจาะจงข้อมูลสุขภาพเป็นพิเศษ แต่จะตระเวนหาระบบที่มีจุดอ่อนเพื่อโจรกรรมข้อมูล จึงต้องกําชับบุคลากรให้เข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น เปลี่ยนยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดเป็นประจํา ทั้งนี้ จะจัดตั้งหน่วยงานเฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ด้านสุขภาพและหน่วยตอบโต้เหตุการณ์ฉุกเฉิน ประสานการทํางานกับสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
ด้านนายแพทย์อนันต์กล่าวว่า เซิร์ฟเวอร์ที่โรงพยาบาลเขียนโปรแกรมสําหรับการทํางานภายใน จําเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต อาจถูกผู้ไม่ประสงค์ดีบุกรุกได้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบการข้ามไปยังเซิร์ฟเวอร์อื่น และรพ.เพชรบูรณ์ได้ตัดการเชื่อมต่อจากภายนอกทั้งหมดเพื่อป้องกันการบุกรุก ส่วนการป้องกันในอนาคต โรงพยาบาลต่างๆ ต้องทบทวนมาตรการ ความเสี่ยง และประเมินเรื่องสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อจัดการให้ระบบมีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น เข้มงวดผู้ที่ใช้งานระบบให้ทําตามมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์
******************************* 7 กันยายน 2564 | 2021-09-07 | 1,653.670044 | 1,636.449951 | 1,658.079956 | 1,635.109985 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกำลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ | โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกําลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกําลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ
วันที่ 14 ก.พ. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งวางโรดแมปเพื่อสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน และด้านแรงงาน ซึ่งเป็นด้านที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน โดยได้พิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคีเพื่อผลักดันกรอบนโยบายและแผนความร่วมมือต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า การฟื้นความสัมพันธ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้ขยายความร่วมมือผ่านการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ โดยด้านการค้าการลงทุน จะเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้แก่สินค้าและธุรกิจของไทย ซึ่งล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกของไทยไปยังซาอุดีอาระเบียในปี 2565 จะมีการขยายตัวกว่า 6.2% สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดการณ์ว่า ในปี 2565 ไทยจะมีโอกาสเติบโตได้ถึงร้อยละ 15 และจะมีมูลค่าการส่งออกกว่า 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการส่งออกสินค้าไปยังซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุน การทําธุรกิจและการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อต่อยอดไปยังสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักและทําการตลาดได้มากขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยมีคุณภาพที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของซาอุดีอาระเบียได้โดดเด่นที่สุดในอาเซียนโดยมีสินค้าเป้าหมาย 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. สินค้าเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล เช่น ข้าว อาหารทะเลแปรรูป ไก่สด ผลไม้ กาแฟ ขนมจากน้ําตาล เครื่องปรุงรส อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช 2. สินค้าอุตสาหกรรม ประเภทยานยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า 3. ภาคบริการ ผ่านโรงพยาบาลและบริการทางการแพทย์ ตลอดจนโรงแรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งไทยล้วนมีศักยภาพในการผลิตและพร้อมส่งออก รวมถึงผ่านซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ด้านความคืบหน้าแรงงานไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อตกลงความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานไทยเข้าทํางานในซาอุดีอาระเบีย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานงานกับสํานักงานแรงงานของประเทศซาอุดีอาระเบีย ในการหารายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับตําแหน่งงาน ประเภทงาน ระดับทักษะฝีมือ และคุณสมบัติเบื้องต้นของแรงงานที่นายจ้างซาอุดีอาระเบียมีความต้องการ รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพและปรับเพิ่มทักษะฝีมือแก่แรงงานไทย (upskill & reskill) เพื่อให้สอดรับกับความต้องการแรงงานของซาอุดีอาระเบีย พร้อมทั้งเปิดช่องทางรับลงทะเบียนแรงงานไทยที่สนใจเข้าทํางานผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th ซึ่งเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ (Overseas Employment E-Service) และเว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th/prd ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อสรุปจะมีการลงนามระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565
“นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําถึงการวางโรดแมปความร่วมมือด้านต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อต่อยอดความร่วมมือจากการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องหารืออย่างครอบคลุม และรอบคอบด้วยการประสานงานจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งกําชับให้ติดตามความคืบหน้าและต้องมีการรายงานผลที่เป็นรูปธรรมภายใน 2 เดือนนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่าการดําเนินการของรัฐบาลไทยจะขยายต่อความร่วมมือไปยังด้านอื่นๆ ที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพได้อีกมาก ต่อเนื่องสร้างพลวัตด้านความสัมพันธ์ไปยังอนาคต” นายธนกรฯ กล่าว | 2022-02-14 | 1,692.890015 | 1,684.689941 | 1,694.189941 | 1,680.829956 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC | ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC เผยผลตอบรับดีเพราะผู้หญิงได้รับความปลอดภัยจากคดีสะเทือนขวัญมากขึ้น
น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําความผิดคดีอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.... ว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมร่างเสร็จเรียบร้อย โดยได้ส่งเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ซึ่งหัวใจสําคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ ร่างกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับของสหประชาชาติ โดยผ่านการกําหนดให้มีมาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางการปฏิบัติในการป้องกันไม่ให้ผู้ที่กระทําผิดในคดีอุกฉกรรจ์กลับไปทําความผิดซ้ํารวมถึงก่อคดีสะเทือนขวัญอีก ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องการให้มีการขับเคลื่อนงานด้านประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงร่างกฎหมายฉบับนี้ และต้องการให้ผู้หญิงทุกคนในสังคมรับรู้และตื่นตัว ดังนั้นตนได้จัดตั้งคณะทํางานขึ้นพร้อมเชิญผู้บริหารระดับสูงจากหลายกรมในกระทรวง และบุคคลภายนอกที่ชํานาญเกี่ยวกับเรื่องเด็ก เยาวชน และสตรี ชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย รวมถึงสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ เข้าร่วมประชุมและหารือด้วย ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เพราะกฎหมายนี้จะสร้างความปลอดภัยให้กับผู้หญิงได้มากยิ่งขึ้น
น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ เปิดเผยอีกว่า หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทําให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีกลไกและเครื่องมือในการบริหารจัดการผู้กระทําผิดในคดีอุกฉกรรจ์ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ครอบคลุมทุกปัจจัยเสี่ยง อีกทั้งร่างกฎหมายดังกล่าว จะช่วยเพิ่มบทบาทอํานาจหน้าที่ให้กับศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (Justice Safety Observation Ad Hoc Center JSOC) ในการเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมของผู้ทําผิดภายหลังได้รับการปล่อยตัวซึ่งจะทําให้สังคมมีความปลอดภัยมากขึ้น | 2021-07-13 | 1,557.26001 | 1,570.98999 | 1,571.819946 | 1,555.880005 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 | นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบูรไนดาลุสซาลามเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกลระหว่างวันที่ 26-28 ต.ค.2564 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก “เราห่วงใย เราเตรียมพร้อม เรารุ่งเรือง” We care, We prepare, We prosper ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมในกรอบอาเซียนทั้งหมดจํานวน 14 การประชุม ครอบคลุมถึงความร่วมมือทุกด้าน เพื่อต่อสู้กับความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ การรับมือภัยพิบัติ และสถานการณ์ในภูมิภาคทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2021-10-26 | 1,635.609985 | 1,635.969971 | 1,639.930054 | 1,627.680054 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเตียงเพิ่ม 1,500 เตียง ที่ รพ.บุษราคัม | ขยายเตียงเพิ่ม 1,500 เตียง ที่ รพ.บุษราคัม
....
ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ยังคงพบจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวและสีเหลือง
.
รัฐบาลจึงเร่งขยายเตียงใน รพ.บุษราคัมเพิ่มอีก 1,500 เตียง ภาพรวมขณะนี้ สามารถรองรับผู้ป่วยได้กว่า 3,700 เตียง และสามารถเพิ่มได้ถึง 4,000 เตียงในอนาคต
.
โดยผลการดําเนินงาน รพ.บุษราคัม ทั้ง 2 ระยะตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. – 3 ก.ค. 64 มีดังนี้
- ผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 100 ราย
- ผู้ป่วยสะสม 5,064 ราย
- รักษาหายกลับบ้าน 3,055 ราย
- ส่งรักษาต่อ 167 ราย
- อยู่ระหว่างการรักษา 1,842 ราย
- เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการสีเหลืองอ่อน 1,410 ราย กลุ่มสีเหลือง 432 ราย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | 2021-07-05 | 1,580.689941 | 1,579.280029 | 1,582.459961 | 1,573.670044 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด | โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด
โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด ย้ํานักเรียนต้องไม่ขาดกระบวนการเรียนรู้หรีอเสียโอกาสด้านการศึกษา
วันนี้ (2 มี.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ เตรียมความพร้อมมาตรการรองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นดูแลความปลอดภัยและให้คําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุดเพื่อให้นักเรียนไม่ขาดกระบวนการเรียนรู้และเสียโอกาสด้านการศึกษา
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังรับทราบความกังวลกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 อาจหมดสิทธิสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ หรือ PAT และการสอบวิชาสามัญ เพื่อนําคะแนนไปใช้ในการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2565 นั้น ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือกําหนดแนวทางในการอํานวยความสะดวกให้นักเรียนที่ติดโควิด มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ และอยู่ระหว่างการรักษา รวมถึงกลุ่มเสี่ยงสูงให้ได้เข้าสอบ ตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กําหนด เพื่อให้นักเรียนได้เข้าสอบ ไม่เสียสิทธิ โดยกรณีที่สามารถมาสอบได้และได้รับการยินยอมจากแพทย์มีมาตรการดูแลความปลอดภัยพร้อมให้คําแนะนําด้านสาธารณสุขที่ชัดเจน ถูกต้อง ยกระดับมาตรการส่วนบุคคลขั้นสูงสุดเพื่อลดการติดเชื้อ จัดให้มีพื้นที่แยกสําหรับจัดการสอบเป็นสัดส่วน แยกกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กลุ่มผู้ติดเชื้อ เน้นการระบายอากาศที่ดี จัดที่นั่งสอบห่างกันไม่น้อยกว่า 2 เมตร รวมทั้งกําหนดให้ผู้เข้าสอบต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่เข้าสอบและลดการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น
" นายกรัฐมนตรี ยังขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีแผนเผชิญเหตุรองรับ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นไปเพื่อให้นักเรียนได้ใช้สิทธิ์ในการสอบเพื่อการศึกษาต่ออย่างไม่มีอุปสรรค โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนเป็นสําคัญ" นายธนกร กล่าว
------------------- | 2022-03-02 | 1,694.640015 | 1,689.810059 | 1,699.579956 | 1,684.530029 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน | ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน
ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน
วันนี้ (6 ม.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่คณะทํางานสื่อสารสร้างความเข้าใจสังคมเชิงรุกและผู้ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบรรจบ จันทรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ร้อยตํารวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายชัยยศ เหลืองภัทรเชวง รองอธิบดีกรมที่ดิน ผู้แทนกรมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย อันประกอบด้วย กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ําเสีย รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ที่ได้ให้ความสําคัญและมีความตั้งใจในการที่จะช่วย Change for Good สร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน สังคมไทย และกระทรวงมหาดไทยอันเป็นที่รักยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การสื่อสาร" ที่ถือเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งในขณะนี้ เราอยู่ท่ามกลางสังคมโลกที่มีความเป็นโลกาภิวัตน์ มีการสื่อสารข้อมูลข่าวสารอย่างอิสระ เสรีเป็นอย่างมาก อันอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ความศรัทธา ความนับถือ ต่อองค์กรกระทรวงมหาดไทย หากไม่ให้ความสําคัญหรือทําความเข้าใจให้ดีก็อาจถือได้ว่าเป็น “ภัยคุกคามในโลกยุคปัจจุบัน” ซึ่งภัยคุกคามจากการสื่อสารจะหมดไปได้ถ้าเรามีเป้าหมายไปในทิศทาง (Direction) เดียวกัน คือ 1) ต้องสื่อสารภารกิจในงานขององค์กรเพื่อสร้างการรับรู้ สร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่น และให้ความสําคัญกับสังคมภายนอก 2) ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์ความรู้ บทบาทภารกิจขององค์กร และทัศนคติที่ดีของบุคลากรภายในหน่วยงาน ซึ่งถือเป็นสารตั้งต้นก่อนจะสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชน และต้องพึงระลึกเสมอว่า พี่น้องประชาชนคือ บุคคลที่สําคัญ ที่เราต้องช่วยกันให้บริการที่ดี เพื่อสนองตอบวิสัยทัศน์ของกระทรวงมหาดไทย และปณิธาน "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการสื่อสารสังคม และช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด
"สิ่งสําคัญ คือ คนมหาดไทยต้องรู้ เข้าใจ และเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนภารกิจการสื่อสารสังคม ทั้งการสื่อสารภายในและภายนอก ต้องมีความรัก และพร้อมในการทําหน้าที่เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับสิ่งที่ดี รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ รุ่นพี่ต้องเป็นแบบอย่างและถ่ายทอดสื่อสารการทํางานให้แก่รุ่นน้องได้ เพื่อให้เรามีบุคลากรที่ดีที่รักองค์กร รักเกียรติยศ รักชื่อเสียง และสํานึกตลอดเวลาว่าเราคือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อยากจะทํางานเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า ทั้ง 7 กรม 6 รัฐวิสาหกิจ รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เราต้องหลอมรวมแขนงไม้ไผ่ ทั้ง 13 แขนงเป็นทีมเดียวกัน เหมือนคติเรื่องเล่าในอดีต ซึ่งการสร้างความแข็งแกร่งของแขนงลําไม้ไผ่ย่อยๆได้นั้น ต้องเกิดจากการนํามามัดรวมกัน ซึ่งทุกส่วนราชการและการสื่อสารองค์กรต้องรวมเป็นหนึ่ง มีทิศทางเดียวกันให้ได้ คือ "ทีมมหาดไทย" เพื่อรับมือกับภัยคุกคามและโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยทีมมหาดไทยทั้ง 13 หน่วยงาน ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องขับเคลื่อนสื่อสารสังคมเป็นไปใน Theme หรือ Core Bussiness เดียวกัน นั่นคือ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข"
"ต้องให้คนมหาดไทยเข้าใจตรงกันและทุ่มเททํางานในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลกระทบที่ดีอย่างกว้างขวาง ซึ่งถ้าพวกเราทําอย่างเข้มแข็ง ก็จะเป็นแรงจูงใจให้ข้าราชการคนรุ่นใหม่เป็นคนดี มีอุดมการณ์ ทําเพื่อประชาชน มีความรู้รักสามัคคี และเมื่อ 13 หน่วยงานประสานหลอมรวมกัน ผนวกกับการสนับสนุนของภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อสารมวลชน ที่มาร่วมมือช่วยงานกัน ก็ย่อมเป็นการเสริมพลังให้งานประสบความสําเร็จได้ดียิ่งขึ้น รวดเร็วทันการณ์มากขึ้น และต้องไม่ลืมว่า ณ วันนี้ รัฐวิสาหกิจหรือกรมต่าง ๆ ต้องปรับตัวในการทํางานเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ปรับตัวให้ทันต่อภัยคุกคามต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับองค์กร
สุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ฝากถึงผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ ทั้ง 13 หน่วยงาน ให้ช่วยกันตั้งใจทําวันนี้ให้มีคุณค่า เพื่อใช้เวลาในวันข้างหน้าให้เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับกระทรวงมหาดไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ในการที่จะเป็นคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงกับพี่น้องประชาชน ทําหน้าที่ บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับประชาชน และในวาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย พวกเราต้องช่วยกันทําองค์กรให้เข้มแข็ง ให้เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเราต้องร่วมไม้ร่วมมือ ช่วยเหลือเกื้อกูล ทุ่มเทอุทิศกําลังกาย กําลังใจ ร่วมกับภาคีเครือข่ายให้เต็มกําลังความสามารถ และไม่ว่าจะกี่ร้อยปีข้างหน้า การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในเชิงคุณภาพ ทั้งในองค์กร และต่อการดํารงชีวิตของประชาชน ก็จะเป็นอมตะอยู่เสมอ และจะเป็นหลักชัยในการค้ําจุนประเทศชาติและประชาชนให้เกิดความมั่นคงอย่างยั่งยืน
จากนั้น ที่ประชุมได้มีการชี้แจงการขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมและประชาสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภารกิจด้านการสื่อสารสังคม โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึง การประยุกต์ใช้กลไก 3 5 7 ในการทํางานสื่อสารสังคม พร้อมทั้งการขับเคลื่อนการทํางานของคณะกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ และคณะทํางานขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่
ด้าน รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึงองค์ประกอบ บทบาทหน้าที่ และภารกิจของคณะทํางานกลไกสื่อสารสร้างความเข้าใจสังคมเชิงรุก และการจัดทําแผนแม่บทสื่อสารสังคมของกระทรวงมหาดไทย ในระยะ 5 ปี ที่ใช้เป็นเสมือน Road Map ในการมีเป้าหมายร่วมกันในการสื่อสารองค์กร นอกเหนือจาก สิ่งที่ได้ดําเนินการมาตามปกติ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและมองเห็นภาพการทํางานที่หนุนเสริมกันได้
นายไพศาล งามจิตอนันต์ ผู้อํานวยการกลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการกองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวชี้แจง รายละเอียดการสัมมนาวิชาการเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและการสื่อสารสังคมของกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 28 – 29 ม.ค. 2565
และในช่วงท้ายของการประชุม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันเพื่อร่วมสร้างอนาคตที่จะเกิดสิ่งที่ดีสําหรับกระทรวงมหาดไทย ทุกคนเป็นผู้ที่เสียสละ จึงขอให้ทุกคนยึดมั่นว่า เราจะเป็นผู้นําและจะไปถ่ายทอดขยายผลสื่อสารต่อไป นอกจากนี้ การที่เราจะสร้างอนาคตได้ต้องเกิดจากความสามัคคี ดังเช่นแขนงไม้ไผ่ ถ้ามีอันเดียวสามารถหักได้ง่าย แต่ถ้ามัดรวมหลาย ๆ แขนง เป็นสิบ ๆ แขนง ก็จะไม่สามารถหักได้ นั่นคือ ความสามัคคีของกรม/รัฐวิสาหกิจทั้ง 13 หน่วยงาน และ 7 ภาคีเครือข่าย อันจะนํามาซึ่งความเข้มแข็ง รวมทั้ง ทุกคนต้องมีทัศนคติที่ดี โลกต้องการคนดีเพื่อไม่ได้มารับรางวัล แต่ต้องการคนดีเพื่อทําชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น คนดีอย่างแท้จริงเสียสละได้แม้กระทั่งการที่จะทําให้คนอื่นรู้ว่าตนได้กระทําความดี หรือปิดทองหลังพระ ซึ่งทัศนคติที่ดีจะทําให้พวกเราได้มุ่งไปสู่ Core Business นั่นคือ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” จึงขอให้ทุกคนได้ช่วยกันทําให้สําเร็จด้วยความศรัทธา มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทํา สร้างอนาคตให้เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่ดี สร้างตําแหน่งให้เป็นตํานาน ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ต้องรู้จักปรับตัวต่อภัยคุกคาม ทําให้องค์กรตอบสนองในสิ่งต่าง ๆ นําไปสู่ การ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก เพื่อสามารถสื่อสารเชิงรุกให้สังคมได้รับรู้ถึงการขับเคลื่อนการทํางานของกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาชนอย่างยั่งยืน | 2022-01-06 | 1,663.589966 | 1,653.030029 | 1,666.219971 | 1,653.030029 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด | ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด
ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกวันหยุดพิเศษในวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 ตามที่เคยมีมติไปแล้วเมื่อ 29 ธันวาคม 2563 ซึ่งในครั้งนั้น รัฐบาลต้องการให้ประชาชนได้มีวันหยุดยาว 5 วันติดต่อกัน จะได้มีการเดินทางและท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ สําหรับช่วงวันหยุดดังกล่าวประกอบด้วยวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 เป็นวันอาสาฬบูชา วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2564 เป็นวันเข้าพรรษา วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2564 เป็นวันหยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชา และวันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันนี้ เป็นที่น่ากังวลในหลายพื้นที่ มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และขอความร่วมมือจากประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ครม.จึงเห็นชอบให้ยกเลิกวันหยุดพิเศษดังกล่าว
ทั้งนี้ ครม. ยังได้กําชับให้หน่วยงานราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้องให้อํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในเรื่องของการยกเลิก การเปลี่ยนตั๋วเดินทาง และการจองที่พัก แก่ประชาชนที่วางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้าแล้ว
--------------------------- | 2021-06-29 | 1,580.890015 | 1,591.430054 | 1,596.079956 | 1,579.439941 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก | โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงของการระบาดของโควิดที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่รายงานดัชนีความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข หรือมีการจัดอันดับหลายแห่งที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
อาทิ ในช่วงต้นของการแพร่ระบาด มหาวิทยาลัย John Hopkins และองค์กร Nuclear Threat Initiative รายงานดัชนีความมั่นคงทางด้านสุขภาพ เมื่อปี 2019 พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 13 ประเทศที่มีความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดมากที่สุด
ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นิตยสาร CEOWorld Magazine นิตยสารสําหรับแวดวงธุรกิจได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับดัชนีระบบบริการสุขภาพ ประจําปี 2021 (Health Care Index) โดยไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 13 จาก 89 ประเทศทั่วโลก หรือเป็นอันดับที่ 4 ของทวีปเอเชีย (รองจาก เกาหลีใต้ ไต้หวันและญี่ปุ่น ตามลําดับ) และเป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน ด้วยคะแนน 59.52 ทั้งนี้ ไทยมีความโดดเด่นที่สุดในเรื่อง ความพร้อมของยาที่จะให้บริการ และโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบบริการสุขภาพ
นายธนกร กล่าวว่า ดัชนีระบบบริการสุขภาพ มีปัจจัยที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์หลักๆ 5 ปัจจัย โดยไทยได้รับคะแนนในแต่ละด้าน ดังต่อไปนี้ ได้แก่ 1)โครงสร้างพื้นฐานของระบบบริการสุขภาพ (Infrastructure) ได้รับ 98.7 คะแนน 2) บุคลากรทางการแพทย์ (แพทย์, พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุข หรือ Professionals) ได้รับ 29.05 คะแนน 3) ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อปี (Cost) ได้รับ 94.99 คะแนน 4) ความพร้อมของยาที่ให้บริการ (Medicine Availability) ได้รับ 98.74 คะแนน และ 5)ความพร้อมของรัฐบาล (Government Readiness) ได้รับ 96.1 คะแนน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่นํามาใช้ประกอบการวิเคราะห์ร่วมกันอีก ได้แก่ สภาพแวดล้อม, การเข้าถึงน้ําสะอาด, สุขอนามัย, การเตรียมความพร้อมของรัฐบาลเกี่ยวกับการกําหนดบทลงโทษจากความเสี่ยง อาทิ การใช้ยาสูบ และโรคอ้วน ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและชื่นชมบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่ได้ทํางานอย่างเต็มที่ เอาใจใส่ มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานและประโยชน์สุขของประชาชน ส่งผลให้มีเสียงสะท้อนที่ดีจากพัฒนาการ และความพร้อมของระบบบริการสุขภาพของไทย ซึ่งรัฐบาลได้วางนโยบายด้านสุขภาพ และเตรียมความพร้อมเพื่อสุขภาพอนามัยในการดํารงชีวิตที่ดีของประชาชนไทย
โฆษกประจําสํานักนายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีได้กําหนดนโยบายสาธารณสุข ที่มุ่งพัฒนา “ระบบบริการสุขภาพ” อาทิ ยกระดับระบบบริการสุขภาพขั้นปฐมภูมิและ อสม. ให้คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน พัฒนาระบบบริการสุขภาพขั้นทุติยภูมิ ให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพในกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุ และประชาชนสามารถเข้าถึงยาที่จําเป็นได้อย่างทั่วถึง พร้อมเชื่อมั่นว่า ผลจากการจัดอันดับ ดัชนีระบบบริการสุขภาพ ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีของการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)” ภายในปี 2569 เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพในเชิงการท่องเที่ยว ต่อยอดสู่การสร้างอาชีพ | 2021-10-13 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เตรียมลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง | รฟม. เตรียมลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง
ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 นี้ เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการฯ และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่
วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2564) นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดําเนินงานโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง ว่า รฟม. กําหนดจะจัดการประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง ในวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ณ ห้องประชุมภูเก็ต แกรนด์ บอลรูม 1-2 ชั้น 2 โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ อําเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการฯ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจากประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตัวแทนภาคเอกชนในจังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินงานโครงการฯ มีความครบถ้วนตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ซึ่งได้มอบหมายให้ รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหาข้อสรุปแนวทางการดําเนินงานที่เหมาะสมของโครงการ รวมทั้งเป็นไปตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มอบหมายให้ รฟม. และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมบูรณาการการดําเนินงานและแผนงานโครงการด้านคมนาคมในจังหวัดภูเก็ตร่วมกัน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการจราจรที่อาจส่งผลต่อวิถีการดํารงชีวิตของประชาชนและนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตในระหว่างการก่อสร้างโครงการ โดยการดําเนินงานที่ผ่านมา รฟม. ได้จัดประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็น โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1ฯ ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นฯ ดังกล่าวพบว่า ประชาชนจังหวัดภูเก็ตโดยส่วนมากเห็นว่าโครงการมีความเหมาะสมและสมควรให้เร่งรัดดําเนินโครงการ
สําหรับ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต แบ่งการดําเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง มีระยะทางประมาณ 42 กิโลเมตร มีจํานวนสถานีทั้งหมด21 สถานี แบ่งเป็นสถานีระดับพื้นดิน 19 สถานี สถานียกระดับ 1 สถานี และสถานีใต้ดิน 1 สถานี และระยะที่ 2ช่วงท่านุ่น – เมืองใหม่ มีระยะทางประมาณ 16.5 กิโลเมตร ซึ่ง รฟม. จะเริ่มดําเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 เป็นลําดับแรก ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐาน พร้อมรองรับการเดินทางและการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตในอนาคต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดตามข่าวสาร รฟม. ได้ที่เว็บไซต์ รฟม. (www.mrta.co.th) เฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044 | 2021-11-08 | 1,631.339966 | 1,626.130005 | 1,635.619995 | 1,621.349976 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people | PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people
PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people
June 16, 2021, Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the contribution of the Thai insurance business sector in curbing COVID-19 disease and alleviating the impact against the nation and its people through implementation of a number of insurance-related measures.
Measures implemented by 56 members of the Thai General Insurance Association (TGIA) include:
1. TGIA and 12 member companies offered insurance policies to 274,000 medical staffs and related personnel. The policy provides coverage in the event of death from COVID-19. The coverage period is 6 months, and the sum insured is 1,000,000 baht per person, with the total sum insured of 274,000 million baht.
2. TGIA and 20 member companies handed over 50 sets of ventilators, worth 10,500,000 Baht, to Muangthong Thani Busarakam Covid-19 field hospital.
3. TGIA and 10 member companies launched a “Vaccination for Nation, Mor Prom is Ready to Vaccinate, Insurance Companies are Ready to Care” program to hand over 13 million insurance policies to cover side effects and anaphylaxis as a result of vaccination. The policy provides coverage in the event of death from side effects and anaphylaxis as a result of vaccination with the minimum sum insured of 100,000 Baht. This is in order to boost people’s confidence in vaccination.
The Prime Minister thanked all concerned units under the Thai insurance sector for their cooperation and support, and would like to offer moral support to all the parties in performing their duties to the best ability to achieve their goals, and to lead the country out of this crisis. | 2021-06-17 | 1,621.380005 | 1,617.650024 | 1,631.689941 | 1,615.619995 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดำเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน | ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน
ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน
กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือ กระทรวงเศรษฐกิจและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ ลงนามบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Memorandum of Understanding on Cooperation in Circular Economy) ผ่านระบบออนไลน์ ตั้งเป้าส่งเสริมและเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผลักดันการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายยูริ ยาร์วียาโฮ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Memorandum of Understanding on Cooperation in Circular Economy) ผ่านระบบออนไลน์ โดยรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า การจัดทําบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนครั้งนี้ เกิดขึ้นจากเมื่อเดือนกันยายน 2562 รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์ ได้ร่วมหารือกับรัฐบาลไทยเรื่องแนวปฏิบัติสําหรับความร่วมมือเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งไทยและฟินแลนด์ต่างเล็งเห็นความสําคัญของการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยเป็นกลไกสําคัญสําหรับแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน และจัดทําบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในระดับทวิภาคีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ นโยบาย และกลยุทธ์ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในสาขาที่สําคัญ เช่น อุตสาหกรรม เคมี พลาสติกและผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และการจัดการกิจการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
“ปัจจุบันไทยได้นําโมเดล BCG (BCG Model) ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวมาประยุกต์ใช้กับภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อสร้างความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในส่วนฟินแลนด์นั้นเป็นหนึ่งในประเทศผู้บุกเบิกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของโลก ความสําเร็จในการลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่เพียงแต่กระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและฟินแลนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสําคัญในการสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิต การขับเคลื่อนโมเดลประเทศไทย 4.0 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย และเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนให้ไทยและฟินแลนด์ ประสบความสําเร็จในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ”นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี กล่าว
ด้านนางสาวพะเยาว์ คํามุข รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า หลังจากเสร็จสิ้นพิธีลงนามแล้ว วันที่ 30 กันยายน 2564 จะมีการจัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อเศรษฐกิจหมุนเวียน : การตรวจสอบการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม (Circular Economy Webinar EP.1: Industrial Emission Monitoring)โดยวิทยากรที่มีคุณวุฒิมาให้ความรู้ทั้งจากฝ่ายไทยและฟินแลนด์ โดยฝ่ายไทย ประกอบด้วย ผู้แทนจาก กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology) และฝ่ายฟินแลนด์ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ด้านการตรวจสอบมลพิษ ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวถือเป็นกิจกรรมแรกและก้าวแรกของการดําเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างสองประเทศในการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ ทั้งไทยและฟินแลนด์จะร่วมหารือถึงแนวทางและวิธีการรับมือกับความท้าทายในอนาคต เพื่อเร่งให้เกิดการดําเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น | 2021-09-30 | 1,616.98999 | 1,605.680054 | 1,621.150024 | 1,601.790039 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังย่านบางเขน ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับ | นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังย่านบางเขน ย้ําทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ําให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับ
นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังย่านบางเขน ย้ําทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ําให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับเพื่อแก้ไขปัญหาในอนาคต พร้อมเป็นกําลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (19 พฤษภาคม 2565) เวลาประมาณ 12.45 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังในพื้นที่เขตบางเขน ณ บริเวณอนุเสาวรีย์หลักสี่ (วงเวียนบางเขน) เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยมี นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําตรวจเยี่ยมพร้อมรายงานสถานการณ์การระบายน้ําและพื้นที่น้ําท่วมขังในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 - 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยขณะนี้สถานการณ์ได้กลับมาเป็นปกติแล้ว 9 จุด และอยู่ระหว่างการเร่งระบายน้ําออกจากพื้นที่ 6 จุด ทั้งนี้ จากการติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพิ่มเติมและเร่งระบายน้ําลงคลองไผ่เขียว และคลองรางแก้ว-รางอ้อ คาดว่าภายในวันนี้น้ําท่วมขังจะแห้งเป็นปกติ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีห่วงใย และกล่าวว่าได้มีการติดตามสถานการณ์โดยตลอด และกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาการระบายน้ํา โดยรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างบูรณาการ เน้นการเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ําและแก้ปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่ในทันที โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรับผิดชอบและประสานงานร่วมกับสํานักการระบายน้ํากรุงเทพมหานคร และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเน้นย้ําให้เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการระบายน้ําให้ทันกับสถานการณ์ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ต้องเตรียมแผนรองรับปริมาณน้ําฝนในช่วงฤดูฝนที่กําลังจะมาถึงโดยขอให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อม ทั้งแผนหลัก แผนสํารอง เพื่อรองรับและแก้ปัญหาในอนาคตด้วย เช่น การพร่องน้ําในคูคลอง โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาการระบายน้ําให้สมบูรณ์และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่าการบูรณาการการทํางานของทุกภาคส่วนเป็นสิ่งจําเป็นและมีความสําคัญในการช่วยเหลือประชาชน โดยต้องเร่งสํารวจดูแลความเดือดร้อน เพื่อลดและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งเร่งระบายน้ําให้เร็วขึ้น เพื่อลดความเสียหายให้กับประชาชน และมีระบบการแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ขอความร่วมมือให้ทุกคนเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครต้องการให้เกิด โดยยืนยันรัฐบาลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการแก้ปัญหาเพื่อลดความเสียหายและลดความเดือดร้อนให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุดพร้อมเป็นกําลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคน
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | 2022-05-19 | 1,595.430054 | 1,605.97998 | 1,611.670044 | 1,592.099976 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism | Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism
Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism
June 22, 2022, at 11.30 hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Agis Loizou, Ambassador of the Republic of Cyprus to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister welcomed the Cyprus Ambassador who has traveled to Thailand from India to attend the Asia-Europe Foundation Board of Governors, which will be hosted by Thailand at the end of this week. The Asia-Europe Foundation Board of Governors is currently chaired by the Thai representative, and the meeting will also celebrate the 25th anniversary of Asia-Europe Foundation.
The Prime Minister marveled Cyprus Ambassador’s well-rounded experiences in the international relations. He has also played an important role in realizing Cyprus’ membership in the Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB), of which Thailand is a founding member. With cordial relations between the two countries that have spanned over 4 decades, Thailand stands ready to strengthen Thailand- Cyprus cooperation in all areas, especially in trade and investment, for mutual interests.
The Cyprus Ambassador was pleased and honored to be here in Thailand, and affirmed Cyprus’ commitment to advance relations and cooperation with the country, especially people to people relations which is the key foundation to the comprehensive cooperation and international relations in other dimensions. He also commended Thailand’s effective management of the COVID-19 situation which has been executed in parallel with successful economic recovery. Cypress would be pleased to support Thailand at the international stage through various cooperation frameworks, and promote future cooperation.
Both parties also discussed other issues of mutual interest:
On trade and investment, Thailand and Cyprus agreed to cooperate and promote post COVID-19 economic recovery in potential fields. The Prime Minister mentioned Thailand’s BCG economic model and the development of the Eastern Economic Corridor (EEC), as well as the Government’s policy to promote investment in energy, circular economy, green economy, and digital economy, on which Cyprus may leverage to expand its investment in other countries in the region. In addition, an increasing number of Thai investors have expressed interest in outward foreign investment, especially in the fields of tourism, hotels, Thai restaurants, spa, and Thai massage. The Cyprus Ambassador expressed readiness to promote trade and investment with the Thai counterparts, and exchange knowledge and experiences in the field of renewable energy which Cyprus has potential. He also proposed for the two countries to organize an investment summit with the private sector to support both domestic and regional investors.
With regard to tourism cooperation, Thailand has now eased its entry measures, and looked forward to welcoming more tourists from EU and Cyprus. The Ambassador of Cyprus was pleased to promote tourism between the two countries and to cooperate with Thailand in developing tourism industry.
On bilateral and multilateral cooperation, the Prime Minister proposed more exchange of visits between the two countries to further advance relations and cooperation. Both parties also congratulated negotiation finalization of the Comprehensive Partnership and Cooperation Agreement (PCA). The Prime Minister was of the view that related internal process should consequently be undertaken, and called for EU’s consideration on additional channels and opportunities for the implementation and expansion of cooperation at the regional level for mutual interests. He also endorsed elevation of ASEAN-EU to strategic partnership to promote constructive cooperation between the two regions. | 2022-06-23 | 1,564.209961 | 1,557.609985 | 1,565.530029 | 1,555.52002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ | พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ
พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ
วันที่ 7 ก.ย. 64ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม.นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. เปิดเผยถึงกรณีที่มีสื่อต่างๆ นําเสนอข่าวว่าพบหญิงเร่ร่อนอาศัยอยู่ในบ้านร้างแห่งหนึ่งในพื้นที่ อําเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ขณะที่พลเมืองดีโพสต์ไลฟ์สดช่วยเหลือหมูป่าผ่านเพจ Kingdom Of Tigers : ทูนหัวของบ่าว ว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสมุทรปราการได้รับเข้าไว้ในการคุ้มครองเรียบร้อยแล้ว โดยหญิงดังกล่าว อายุ 40 ปี ไม่มีข้อมูลทางทะเบียนราษฎร์ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าไม่เคยทําบัตรประจําตัวประชาชน ประกอบอาชีพเก็บของเก่า ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามที่สาธารณะ และได้ออกมาจากบ้านแล้วมาอาศัยอยู่ในบ้านร้างดังกล่าว เป็นเวลาประมาณ 1 ปี โดยในเบื้องต้น ได้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุด ATK แล้ว ผลปรากฏว่า ไม่พบเชื้อ
นางสาวแรมรุ้งกล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองฯ ได้พาหญิงดังกล่าวไปตรวจ 5 โรค และตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ และได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามหาญาติแล้ว แต่ไม่มีคนรู้จัก ทั้งนี้ จะดําเนินการติดตามหาญาติต่อไป และเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองฯ ได้นําไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา (โรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวช) เพื่อตรวจประเมินสุขภาพทางจิตตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ซึ่งทางแพทย์ประเมินว่ามีอาการทางจิตเวช จึงได้รับเข้าการรักษาตัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ทางศูนย์คุ้มครองฯ จะติดตามการรักษาของหญิงดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมดําเนินการประสานติดตามหาญาติ และหลังจากสิ้นสุดการรักษา ศูนย์คุ้มครองฯ จะรับตัวเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ และวางแผนให้การช่วยเหลือตามกระบวนการสังคมสงเคราะห์ที่เหมาะสมต่อไป
นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2564 ทีม One Home พม. จังหวัดสมุทรปราการ ได้เข้าช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด -19 จํานวนทั้งสิ้น 70 คน แบ่งเป็น เด็ก 5 คน สตรี 2 คน ผู้สูงอายุ 29 คน คนพิการ 12 คน และ ผู้ประสบปัญหาทางสังคมทั่วไป 22 คน โดยได้ให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตามภารกิจกระทรวง พม.ดังนี้ มอบถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น มอบเงินสงเคราะห์ต่างๆ ให้คําแนะนําด้านเงินกู้เพื่อประกอบอาชีพ ที่อยู่อาศัย และกฎหมาย และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ ติดตามและให้ความช่วยเหลือเป็นระยะ ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด -19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1)ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน้าที่รับสายและประสานความช่วยเหลือในทุกจังหวัดและ 2) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และ อพม. ทั่วประเทศ | 2021-09-08 | 1,632.180054 | 1,640.449951 | 1,641.290039 | 1,627.170044 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔ | กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดําเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔
กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดําเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในวันจันทร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พบว่า มีเรือนจํา/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจําสีขาวไม่พบการแพร่ระบาดคงที่ จํานวน ๑๒๙ แห่ง และพบการแพร่ระบาด ๑๒ แห่งคงเดิม โดยมีจํานวน ๒ แห่งที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อลดสถานะจากเรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําสีขาว เนื่องจากไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเรือนจํา/ทัณฑสถาน คือเรือนจําจังหวัดนนทบุรี และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง แต่ยังต้องรอประเมินสถานการณ์จนครบ ๒๘ วันที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ก่อน จึงจะปรับเป็นเรือนจําปกติได้ ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการได้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ นี้ รวมถึงเรือนจํากลางเชียงใหม่ และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง ที่มีการคัดแยกพื้นที่สีขาวและพื้นที่แพร่ระบาดออกจากกันชัดเจน รวมถึงเรือนจําพิเศษกรุงเทพหานคร และเรือนจําพิเศษธนบุรี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดสถานะได้ในระยะต่อไป
ทั้งนี้ สถานการณ์การต่างๆ เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น จากจํานวนผู้ติดเชื้อที่รักษาหายรายวัน ที่มีมากกว่าจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์มีจํานวนลดลง และต่ํากว่า ๘,๐๐๐ รายต่อเนื่องเป็นวันที่ ๓ โดยวันนี้ (๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๔) มีจํานวนผู้หายป่วยสะสมอยู่ที่ ๒๔,๕๒๕ ราย หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๕ ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด และคาดว่าจะมีอัตราผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้นอีกจํานวนมาก จากจํานวนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ที่มีมากกว่าร้อยละ ๙๐ ของผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ระหว่างการรักษาทั้งหมด รวมถึงแนวโน้มของจํานวนผู้ป่วยกลุ่มสีแดงและสีเหลืองที่ลดลง ภายใต้การรักษาของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลเรือนจํากลางบางขวาง ซึ่งมีความสามารถในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี มีอุปกรณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการรักษา และระบบการส่งต่อการรักษาที่เป็นระบบ ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตจากการป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของผู้ต้องขังมีเพียงร้อยละ ๐.๐๙ ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม แม้ทุกฝ่ายจะพยายามรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังเกิดความสูญเสียขึ้น ซึ่งกรมราชทัณฑ์ ขอแสดงความเสียใจต่อทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้น มา ณ โอกาสนี้
แม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่เป็นปกติ และยังมีเรือนจําที่พบการแพร่ระบาดอยู่บ้าง แต่นับได้ว่ามีแนวโน้มของสถานการณ์ที่ดีขึ้น ทําให้การบริหารจัดการด้านเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ เริ่มเป็นระบบและเพียงพอต่อความต้องการ ทั้งจากการเบิกจ่ายตามงบประมาณ และการบริจาคของหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกๆ ความช่วยเหลือ โดยสิ่งของที่กรมราชทัณฑ์ได้รับ ได้ดําเนินการจัดสรรไปยังเรือนจํา/ทัณฑสถานต่างๆ ไปแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดสรรเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการใช้งานมากที่สุด | 2021-06-15 | 1,634.449951 | 1,622.310059 | 1,636.099976 | 1,618.599976 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง เผยปริมาณประชาชนเดินทางด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 | กรมการขนส่งทางราง เผยปริมาณประชาชนเดินทางด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565
สะสม 2 วัน (29 - 30 ธ.ค. 64) รวม 1,378,120 คน โดยวันที่ 30 ธ.ค. 64 มีผู้ใช้บริการระบบรางรวม 670,106 คน
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่ผ่านมา2 วันคือ วันที่ 29 - 30 ธันวาคม 2564 มีประชาชนใช้บริการระบบราง 1,378,120 คน ประกอบด้วย
รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผู้ใช้บริการรวม 93,790 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 38,065 คน และผู้โดยสารเชิงสังคม 55,725 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกสะสม 52,848 คน และขาเข้า 40,942 คน ซึ่งพบว่า สายตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 26,460 คน (ขาออก 16,122 คน และขาเข้า 10,338 คน) รองลงมาคือสายใต้ 26,852 คน (ขาออก14,329 คน และขาเข้า 12,523 คน) สายเหนือ 23,402 คน (ขาออก 13,637 คน ขาเข้า 9,765คน) สายตะวันออก 11,010 คน (ขาออก 5,770 คน ขาเข้า 5,240 คน) และสายมหาชัย/แม่กลอง 6,066 คน (ขาออก 2,990 คน ขาเข้า3,076 คน) และระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (รวมรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) สะสม 2วัน มีผู้ใช้บริการ 1,284,330 คน ประกอบด้วย Airport Rail Link 57,446 คน สายสีแดง 15,590 คน สายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) 50,721 คน สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) 355,242 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) 805,331 คน
ทั้งนี้ พบว่า ในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ 2565 มีประชาชนมาใช้บริการ รวมจํานวน 670,106 คน (ลดลงจากวันที่ 29 ธันวาคม 2564 จํานวน 37,908 คน) แบ่งเป็น รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จํานวน 50,000 คน และรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) จํานวน 620,106 คน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. รถไฟของ รฟท. จํานวน 50,000 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 6,210 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.18) แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 21,004 คนและเชิงสังคม 28,996 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกจํานวน 28,414 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 3,980 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.28) และผู้โดยสารขาเข้า 21,586 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค.64 จํานวน 2,230 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.52) โดยพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 14,916คน (ผู้โดยสารขาออก 7,920 คน ผู้โดยสารขาเข้า 6,996 คน) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 13,790 คน (ผู้โดยสารขาออก 8,406 คน ผู้โดยสารขาเข้า 5,384 คน) สายเหนือ 12,315 คน (ผู้โดยสารขาออก 7,336 คน ผู้โดยสารขาเข้า 4,979 คน) สายตะวันออก 5,835 คน (ผู้โดยสารขาออก 3,187 คน ผู้โดยสารขาเข้า 2,648 คน) และสายมหาชัย/แม่กลอง 3,144 คน (ผู้โดยสารขาออก 1,565 คน ผู้โดยสารขาเข้า 1,579 คน) ทั้งนี้ รฟท. ได้เพิ่มตู้โดยสารไปกับรถไฟทางไกล และเพิ่มขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร จํานวน 2 ขบวน มีผู้ใช้บริการรวม 966 คน ได้แก่ ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 5 กรุงเทพ - เชียงใหม่ พ่วงรถนอนปรับอากาศชั้นสอง จํานวน 9 ตู้ มีผู้ใช้บริการ 279 คน และขบวนรถเร็วที่ 977 กรุงเทพ - อุบลราชธานี พ่วงรถนั่งพัดลมชั้นสาม จํานวน 15 ตู้ มีผู้ใช้บริการ 687 คน โดยพบว่า ไม่มีผู้โดยสารตกค้างที่สถานีกรุงเทพและชุมทางบางซื่อ
2. ระบบรถไฟฟ้า จํานวน 620,106 คน (ลดลงจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 44,118 คน หรือลดลงร้อยละ 6.64) ประกอบด้วย รถไฟฟ้า Airport Rail Link จํานวน 27,933 คน รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) จํานวน 7,481 คน รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) จํานวน 23,952 คน รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) จํานวน 168,470 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) จํานวน 392,270 คน โดยในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้าและเย็นได้เพิ่มรถเสริม รวม 18 เที่ยว ได้แก่ Airport Rail Link เพิ่มรถเสริมจํานวน 1 เที่ยว BTS สายสุขุมวิท เพิ่มรถเสริมจํานวน 8 เที่ยว และสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) เพิ่มรถเสริมจํานวน 9 เที่ยว โดยไม่มีเหตุรถไฟฟ้าขัดข้อง
สําหรับด้านความปลอดภัยประจําวันที่ 30 ธันวาคม 2564 พบว่าหน่วยงานผู้ให้บริการระบบรางดําเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) อย่างต่อเนื่อง และมีอุบัติเหตุรถไฟของ รฟท. จํานวน 1 ครั้ง เมื่อเวลา10.55 น. ขบวนรถด่วนที่ 72 (อุบลราชธานี-กรุงเทพ) เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะที่ฝ่าเครื่องกั้นอัตโนมัติที่ลงกั้นเรียบร้อยแล้ว บริเวณจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับที่เสาโทรเลขที่ 259/12-13 ระหว่างสถานีนครราชสีมา-สถานีภูเขาลาด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย จํานวน 2 ราย (ชาย 1 คนและหญิง 1 คน เป็นคนอําเภอเมือง จังหวัดยโสธร) ถูกนําส่ง รพ.มหาราช จ.นครราชสีมา
ในการนี้ กรมการขนส่งทางราง ได้มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การขับขี่ปลอดภัยบริเวณจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับ "ชีวิตของท่านมีค่า อย่าคิดฝ่าไม้กั้นรถไฟ"รวมทั้งประสานขอความร่วมมือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดอาสาสมัคร มาช่วยอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในบริเวณจุดตัดที่ไม่มีเครื่องกั้นและทางลักผ่านในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เพื่อลดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ
กรมการขนส่งทางราง ห่วงใยผู้ใช้บริการระบบราง เทศกาลปีใหม่เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19 | 2021-12-31 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว ร่าง MOU ไทย – กัมพูชา ผนึกกำลังปราบแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ข้ามแดน | ครม. ไฟเขียว ร่าง MOU ไทย – กัมพูชา ผนึกกําลังปราบแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ข้ามแดน
.....
ที่ประชุม ครม. (5 ก.ค. 65) เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่างไทย – กัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam เพื่อกําหนดกรอบความร่วมมือและใช้มาตรการทีสอดคล้องกับกฎหมายของทั้ง 2 ประเทศ ปราบปรามผู้กระทําผิด ซึ่งรัฐบาลถือว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นเร่งด่วน เนื่องจากมีคนไทยได้รับผลกระทบและเสียหายจากการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ในลักษณะดังกล่าวเป็นจํานวนมาก
.
สาระสําคัญของความตกลงฯ มีกิจกรรมที่ผ่านการตัดสินใจร่วมกัน ดังนี้
• แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค ในการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ภายใต้ระบบและกรอบการทํางานร่วมกัน เช่น สนับสนุนส่งเสริมส่งผ่านข้อมูลข้ามพรมแดน
• แต่งตั้งผู้ประสานงานสืบหาหลักฐานในไทย และกัมพูชา เพื่อขยายการสืบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทําความผิด เช่น ที่อยู่ ข้อมูลผู้ใช้บริการ VOIP ฝั่งกัมพูชา, IP Address และข้อมูลโทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ในการกระทําความผิด
• ประสานงานและอํานวยความสะดวกในกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญาระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยการส่งผู้รายข้ามแดน
• ตั้งคณะทํางานร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และความร่วมมืออื่น ๆ ตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน
.
ซึ่งการลงนามจะมีขึ้นในวันที่ 11 ก.ค. 65 ที่ประเทศกัมพูชา ในโอกาสที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเดินทางไปเยือนกัมพูชา เพื่อติดตามประเด็นการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam และจะมีผลบังคับเป็นเวลา 3 ปีนับแต่วันลงนาม และอาจขยายเวลาบังคับได้อีก 3 ปี ด้วยการจัดทําความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | 2022-07-08 | 1,568.599976 | 1,557.869995 | 1,569.47998 | 1,554.26001 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 13 ราย | ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 13 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 13 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 13 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 13 ราย
1) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 520 เพศชาย อายุ 43 ปี
2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 520 เพศหญิง อายุ 30 ปี
3) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 34 เพศชาย อายุ 56 ปี
4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 62 เพศหญิง อายุ 50 ปี
5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 91 เพศหญิง อายุ 48 ปี
6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 91 เพศหญิง อายุ 26 ปี
7) พนักงานเติมน้ํามันรถโดยสาร อู่บรมราชชนนี เพศชาย อายุ 56 ปี
8) พนักงานเติมน้ํามันรถโดยสาร อู่บรมราชชนนี เพศชาย อายุ 46 ปี
9) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 165 เพศหญิง อายุ 55 ปี
10) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 91 เพศชาย อายุ 56 ปี
11) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 80 เพศหญิง อายุ 44 ปี
12) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 141 เพศชาย อายุ 30 ปี
13) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 12 เพศหญิง อายุ 59 ปี | 2021-09-13 | 1,634.430054 | 1,633.76001 | 1,642.630005 | 1,627.290039 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ตรวจติดตามการให้บริการ ในระบบขนส่งทางราง และการดำเนินการตามมาตรการ COVID-19 | กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ตรวจติดตามการให้บริการ ในระบบขนส่งทางราง และการดําเนินการตามมาตรการ COVID-19
เพื่อตรวจการให้บริการต้อนรับการเดินทางกลับจากภูมิลําเนาของประชาชน หลังช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ปี 2565
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ขร. ลงพื้นที่ตรวจเตรียมความพร้อมการให้บริการประชาชนระบบในระบบขนส่งทางราง โดยเริ่มจากสถานีกลางบางซื่อ เพื่อตรวจความพร้อมการให้บริการประชาชน ของรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ตามแผนการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศากาลปีใหม่ 2565 ซึ่งมีนายสุเทพ พันธ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) และเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ และได้นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง เพื่อไปดูการจุดเชื่อมต่อรถไฟทางไกล ณ สถานีรถไฟฟ้ารังสิต
จากนั้น ได้เดินทางไปตรวจติดตามการให้บริการรถไฟทางไกล สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลําโพง) เพื่อตรวจการให้บริการต้อนรับการเดินทางกลับจากภูมิลําเนาของประชาชน หลังช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ปี 2565 และการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขผู้ใช้บริการรถไฟทางไกลในช่วงเดินทางกลับ (วันที่ 2 - 3 ม.ค. 65) อยู่ที่ประมาณ 8.8 หมื่นคน ซึ่งการให้บริการต่างๆ เป็นไปตามมาตรการของสาธารณสุข โดย ขร. ได้เน้นย้ําเรื่องการเข้มงวดการตรวจคัดกรองผู้ใช้บริการ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งการทําความสะอาดขบวนรถ จุดสัมผัสต่างๆ ให้เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาด และการอํานวยความสะดวกต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางรางทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัยต่อไป
กรมการขนส่งทางราง ห่วงใยผู้ใช้บริการระบบราง ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19 | 2022-01-04 | 1,664.51001 | 1,670.280029 | 1,674.189941 | 1,663.5 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกสั่งจ่าย 8.2 พันล้าน เงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs เป็นของขวัญผู้ประกอบการก่อนปีใหม่ | นายกสั่งจ่าย 8.2 พันล้าน เงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs เป็นของขวัญผู้ประกอบการก่อนปีใหม่
สถานประกอบการ SMEs เฮทั่วหน้า รับเงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs วันที่ 30 ธ.ค. 64 เป็นของขวัญรับปีใหม่จากรัฐบาล
วันที่ 30 ธันวาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยนายจ้าง สถานประกอบการขนาดเล็ก - กลางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในช่วงที่ผ่านมา จึงสั่งการกระทรวงแรงงาน เร่งดําเนินการจ่ายเงินอุดหนุนตามโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs งวดเดือนธันวาคม 2564 ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 64 เพื่อให้นายจ้าง สถานประกอบการ มีเงินอุดหนุนจากภาครัฐไปเสริมสภาพคล่อง เป็นทุนหมุนเวียนในการขับเคลื่อนกิจการรับปีใหม่ 2565 ที่กําลังจะมาถึง
“ในรอบอุดหนุนงวดแรกเดือนพฤศจิกายน 2564 เรามีการแบ่งจ่ายเงินอุดหนุน จํานวน 2 รอบ หากเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทยนายจ้างจะได้รับเงินวันที่ 30 ของเดือน แต่หากเป็นบัญชีธนาคารอื่นๆจะได้รับเงินวันที่ 2 ของเดือนถัดไป ซึ่งหลังจากท่านนายกมีข้อสั่งการ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็เร่งเตรียมการทันที ถือเป็นของขวัญปีใหม่เล็กๆน้อยๆเพื่อกลุ่มธุรกิจ SMEs อีกชิ้นตามดําริท่าน ในวันนี้ (30 ธ.ค. 64) เราจะจ่ายเงินอุดหนุนแก่นายจ้าง สถานประกอบการ จํานวน 182,312 ราย ที่มีลูกจ้างสัญชาติไทย จํานวน 2,739,797 คน เป็นยอดเงินอุดหนุนทั้งสิ้น 8,219,391,000 บาท (แปดพันสองร้อยสิบเก้าล้านสามแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันบาท) โดยนายจ้างสถานประกอบกลุ่มนี้ยังเหลือการรับเงินอุดหนุนในเดือนสุดท้าย งวดเดือนมกราคม 2565 อีก 1 งวด นอกจากนี้หากมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากยอดการจ้างงาน ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 จะได้รับเงินส่งเสริมการจ้างงานใหม่ จํานวน 3,000 บาทต่อลูกจ้างสัญชาติไทย 1 คนต่อเดือน ตามจํานวนการจ้างงานจริง โดยให้สิทธิ์ 1 ลูกจ้าง ต่อ 1 นายจ้าง จนครบตามจํานวนลูกจ้างสัญชาติไทยทั้งหมดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ เดือนละไม่เกิน 201,647 ราย ซึ่งจากวันที่ 16 ต.ค. – 30 ธ.ค. 64 มีการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น 61,571 คน แบ่งเป็นกิจการขนาดเล็ก (ลูกจ้าง 1 - 50 คน) จ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่มขึ้น 42,770 คน กิจการขนาดกลาง (ลูกจ้าง 51 - 200 คน) จ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่มขึ้น 18,764 คน และกิจการที่เดิมจ้างเฉพาะแรงงานข้ามชาติ มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่ม 37 คน โดยประเภทกิจการที่มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่ม 5 อันดับแรก ได้แก่ ประเภทกิจการโรงแรม รีสอร์ท ประเภทกิจการรักษาความปลอดภัย ประเภทกิจการบริการทําความสะอาดทั่วไปของตัวอาคาร ประเภทกิจการบริการด้านอาหารในภัตตาคารร้านอาหาร และประเภทกิจการร้านสะดวกซื้อมินิมาร์ท” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สําหรับสถานประกอบการที่ยังไม่ได้รับเงิน โดยมีสาเหตุจาการโอนเงินไม่สําเร็จ ด้วยปัญหาบัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวเกิน 6 เดือน บัญชีปิดแล้ว บัญชีติดเงื่อนไขในการโอนเงินเข้า บัญชีเงินฝากแบบพิเศษไม่สามารถรับเงินจากการโอนได้ บัญชีเงินฝากแบบประจําไม่สามารถรับเงินจากการโอนได้ บัญชีตั้งเงื่อนไขจํานวนเงินในบัญชีต้องไม่เกิน 1,000 บาท และหมายเลขบัญชีไม่ถูกต้อง นายจ้าง สถานประกอบการต้องติดต่อธนาคารสาขาที่เปิดบัญชีเพื่อตรวจสอบ แก้ไข หรือติดต่อสอบถาม ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ทํางานเพื่อปรับปรุงข้อมูล หรือแนบรายละเอียดเพิ่มเติม อีกครั้งในวันเปิดทําการ 4 มกราคม 2564 เป็นต้นไป | 2021-12-30 | 1,657.290039 | 1,657.619995 | 1,660.849976 | 1,652.369995 | up |